สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ มกราคม 07, 2023, 07:45:43 am



หัวข้อ: ไม่มีใครเหงา ถ้าเข้าใจธรรม
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มกราคม 07, 2023, 07:45:43 am
(http://www.cybervanaram.net/files/pic09/atom05.jpg)


ไม่มีใครเหงา ถ้าเข้าใจธรรม

เทศกาลวันวิสาขบูชาพึ่งผ่านพ้นไป พอรุ่งขึ้นอีกวันบริเวณวัดจึงตกอยู่ในความเงียบ เนื่องเพราะพอเสร็จงานแล้วต่างคนต่างไป เหลือไว้เพียงขยะที่ยังเก็บกวาดไม่หมดอันเป็นผลมาจากการที่มีพุทธศาสนิกชนจำนวนมากมาร่วมเวียนเทียนในวันวิสาขบูชา พอคนมาขยะก็ย่อมมีแม้จะพยายามเก็บกวาดแล้วก็ยังเหลือบางส่วนที่อาจจะรอดพ้นจากสายตาอยู่บ้าง ภิกษุสามเณรกำลังช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาดมีเสียงพูดคุยสนทนากันตามบ้าง วัดจึงไม่ได้เงียบเหงาแม้ในวันที่ไม่ค่อยจะมีผู้คน

หลวงตาไซเบอร์เดินออกจากพระอุโบสถช่วงนี้ไม่ค่อยได้ที่ท่าน้ำหน้าวัดเท่าไรนักเพราะกำลังมีการก่อสร้างบ่อกักกันน้ำเสีย แต่วันนี้เงียบเสียงคงเนื่องเพราะคนงานหยุดพักผ่อน ยืนมองสายน้ำที่กำลังเอื่อยไหลอย่างเชื่องช้าพัดเอาขยะทั้งหลายไหลลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา วันนี้คงจะต้องมีเศษขยะที่ลอยไปตามกระแสน้ำ มองไปเห็นชายคนหนึ่งกำลังนั่งเหม่อมองไปยังท้องน้ำเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ 

เมื่อหลวงตาไซเบอร์เดินเข้าไปใกล้เขาจึงรู้สึกตัวหันมายกมือไหว้ ก่อนจะชวนสนทนาตามธรรมเนียม มีช่วงหนึ่งที่ชายคนนั้นถามว่า “หลวงตาไม่รู้สึกเหงาบ้างหรือครับ” เป็นคำถามง่ายๆแต่ตอบยาก  ไม่ได้คิดว่าจะต้องมาตอบคำถามใครก็ไม่รู้ ที่ยังไม่คุ้นเคย ไม่เคยรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน

@@@@@@@

ในขณะที่กำลังคิดหาคำตอบที่เหมาะสมจึงใช้วิธีการที่คุ้นเคยนั่นคือปฏิปุจฉาคือการถามกลับว่า “ความเหงาที่ว่าคืออะไร” ชายคนนั้นตอบว่า “ผมหมายถึงความรู้สึกโดดเดี่ยว เปลี่ยวใจ หงอยเหงา เศร้าซึม ประมาณนั้นแหละครับ”

     “ทำไมจึงรู้สึกว่าตนเองเหงา”  เขาบอกว่า “เหมือนไม่มีที่พึ่งมองไปทางไหนมืดมนไปหมด เหมือนในวันที่ไฟฟ้าดับที่ไม่ได้เตรียมไฟสำรองไว้มันมืดแปดด้านนะครับ ชีวิตผมมันรู้สึกเศร้าๆเหงาๆยังไงไม่รู้ ทั้งที่ผมก็มีครอบครัว มีบ้าน มีงานทำตามปรกติ”

หากจะปล่อยให้เขาอธิบายต่อไปคงไม่ได้คำตอบที่ดีกว่านี้อีกสักเท่าใดนัก เพราะคำว่า “เหงา” เมื่อพูดแล้วทุกคนเข้าใจ แต่ที่พยายามถามก็เพราะยังหาคำตอบที่ถูกใจตัวเองไม่ได้ว่าในชีวิตรู้สึกว่าเคยเหงาบ้างหรือไม่


(http://www.cybervanaram.net/files/pic09/atom03.jpg)

คำว่า “เหงา” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายไว้ว่า “เหงา” คำกิริยาหมายถึง “หงอย เปลี่ยวใจ เปล่าเปลี่ยว หงอยเหงา เหงาหงอย หรืออีกความหมายคือ “ไม่คึกคัก”
    - คำที่มักจะใช้ร่วมกันคือ “เหงาหงอย” เป็นคำกิริยาแปลว่า “หงอยเหงา เศร้าซึม เหงา เปล่าเปลี่ยว
    - หรือ อีกความหมายหนึ่งว่า “เปลี่ยวใจไม่กระปรี้กระเปร่า หงอยเหงา”
    - ภาษาอังกฤษเป็นคำกิริยาใช้คำว่า  “vi. to feel lonely” ส่วนคำว่า “เหงาหงอย” ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “feel lonesome”

ตอนนั้นหวนคิดถึงพระภิกษุชรารูปหนึ่งที่มกุฏพันธเจดีย์ กุสินารา สถานที่สำหรับถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระศาสดาภายหลังจากที่เสด็จดับขันธปรินิพพานได้เจ็ดวัน ภิกษุชรารูปนั้นดวงตาฟ้าฟาง จีวรเก่าๆในมือถือไม้เท้า เดินงกๆเงิ่นๆหน้าประตูทางเข้ามกุฏเจดีย์ก่อให้เกิดธรรมสังเวชสำหรับนักจาริกแสวงบุญว่าสักวันหนึ่งเราก็จะต้องแก่ชราเหมือนภิกษุรูปนั้นอย่างหนีไม่พ้น

ในขณะที่ใกล้ๆกันมีวงดนตรีพ่อแม่ลูกกำลังบรรเลงบทเพลงที่ฟังไม่รู้เรื่อง แต่ทว่ารู้สึกและสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยวเหงา เศร้าโศกจากเครื่องดนตรีที่กำลังบรรเลง ช่างเป็นบทเพลงที่แสนเศร้ากระไรปานนั้น ในขณะที่พระสงฆ์ไทยกำลังสวดมนต์บทธรรมนิยามสูตร อันเป็นการแสดงถึงธรรมสังเวชที่มีต่อการปรินิพพานของพระบรมศาสดา


(http://www.cybervanaram.net/files/pic09/atom01.jpg)

เสียงสวดมนต์ เสียงดนตรีและการก้าวย่างอย่างเชื่องช้าของภิกษุชราช่างเป็นความเปลี่ยวเหงาในวันที่แสงแดดกำลังระอุร้อน รู้สึกสงสารและเห็นใจจึงแวะเข้าไปทักทายและถวายปัจจัยค่าอาหารแก่ภิกษุชรารูปนั้น เพียงแว็บเดียวที่ได้เห็นรอยยิ้มจากใบหน้าที่เหี่ยวย่นนั้น ย้อนกลับมานึกถึงตัวเอง หากยังมีลมหายใจรอดจนอายุใกล้เคียงกับภิกษุชรารูปนั้นก็คงไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ หรืออาจจะซ้ำร้ายกว่านั้นทั้งเหงาหงอย เปล่าเปลี่ยว เดียวดายในวัยชรา  ธรรมชาติของโลกธรรมชาติของชีวิตเป็นเช่นนั้นเอง

ชายชราอีกคนถือไม้เท้าดวงตาฟ้าฟางเดินแทรกเข้ามาใกล้ๆหมู่ภิกษุที่กำลังสวดมนต์ มองจากลักษณะท่าทางคงเหมือนกับดำรงตนอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายในโลกที่เต็มไปด้วยผู้คน นั่นก็คนเหงาคนหนึ่งเหมือนกัน แต่การแสดงออกของความเหงาต่างกัน ชายชราใช้ความโดดเดี่ยวในการประกอบอาชีพ อย่างน้อยในแต่ละวันขอเพียงให้มีเงินซื้ออาหารพอประทังกายให้วันเวลาผ่านไปในแต่ละวัน คงไม่หวังอะไรที่มากเกินกว่านั้น เพราะลมหายใจแห่งชีวิตคงเหลือน้อยเต็มทีแล้ว ธรรมดาของชีวิตก็เป็นเช่นนี้เอง เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา


(http://www.cybervanaram.net/files/pic09/atom02.jpg)

ความเหงาส่วนหนึ่งมาจากการที่จะต้องอยู่คนเดียวหรือหากจะอยู่ในสังคมในท่ามกลางผู้คนที่มากมายแต่กลับไม่มีใครสักคนที่รู้จักที่สามารถจะพูดคุยสนทนาในเรื่องเดียวกันได้ การอยู่คนเดียวสำหรับบางคนเป็นความเงียบเหงา แต่สำหรับใครบางคนกลับเป็นสิ่งที่น่าอภิรมย์

มีพุทธภาษิตบทหนึ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงแก่พระภิกษุรูปหนึ่งนามว่าเอกวิหารีภิกษุที่มักจะแยกตัวจากความวุ่นวายบำเพ็ญสมณธรรมรูปเดียว พระศาสดาทราบข่าว จึงทรงสรรเสริญการกระทำ และได้ภาษิตคาถาที่ปรากฎในขุททกนิกาย ธรรมบท ปกิณณกวรรค (25/31/46) ความว่า

    “ภิกษุพึงเสพการอยู่ผู้เดียว การนอนผู้เดียว ไม่เกียจคร้าน เที่ยวไปผู้เดียว ฝึกหัดตนผู้เดียว พึงเป็นผู้ยินดีแล้วในมี่สุดป่า”
     แปลมาจากภาษาบาลีว่า
    “เอกาสนํ เอกเสยฺยํ  เอโก จรมตนฺทิโต  เอโก ทมยมตฺตานํ วนนฺเต รมิโต สิยา”


(http://www.cybervanaram.net/files/pic09/atom04.jpg)

การที่จะต้องอยู่คนเดียวจึงไม่ใช่สาเหตุแห่งความเหงาเสมอไป การอยู่ในท่ามกลางผู้คนที่ไม่รู้จักบางครั้งเป็นความเหงายิ่งกว่าการที่จะต้องอยู่คนเดียวเสียอีก ขอเพียงเข้าใจธรรมชาติ เข้าใจความเป็นไปของชีวิต เข้าใจโลก แม้จะอยู่คนเดียวในโลกใบนี้ความเหงาก็ไม่อาจจะกล้ำกลายได้

พระมหาบุญไทย ปุญญมโน | 26/05/56


 



Thank to :-
Cybervanaram.net : ไซเบอร์วนาราม.เน็ต เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์
http://www.cybervanaram.net/2009-12-17-14-44-23-14/956-2013-05-26-13-53-37 (http://www.cybervanaram.net/2009-12-17-14-44-23-14/956-2013-05-26-13-53-37)
เผยแพร่เมื่อ : 26 พฤษภาคม 2556
ผู้เขียน : พระมหาบุญไทย ปุญญมโน