หัวข้อ: แค่พูดว่า ‘ไม่!’ ทำไมแสนยาก : บอกปฏิเสธอย่างไร ไม่ทำลายน้ำใจเพื่อนร่วมงาน เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มกราคม 26, 2023, 06:53:18 am (https://media.thairath.co.th/image/nqe1OpLRmDwSRenx1NtDWqDPn2UOQXEP7dcvGcZ28f0e9vA1.png)
แค่พูดว่า ‘ไม่!’ ทำไมแสนยาก : บอกปฏิเสธอย่างไร ไม่ทำลายน้ำใจเพื่อนร่วมงาน Summary • คำว่า “ไม่” สำหรับบางคนอาจพูดได้คล่อง แต่ก็มีคนจำนวนหนึ่งที่การพูดว่า “ไม่” ดูเหมือนจะเป็นคำต้องห้าม เพราะกลัวพูดไปแล้วจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ โดยเฉพาะในที่ทำงานที่อาจต้องพึ่งพากันและกันหลายด้าน การปฏิเสธอาจหมายถึงการหักหาญน้ำใจ หรืออาจเป็นต้นตอความขัดแย้ง แต่ทุกอย่างล้วนมีขีดจำกัด รวมถึงการ ‘เซย์เยส’ ต่อทุกคำร้องขอด้วย – ซึ่งหากคุณกำลังอึดอัดคับข้องใจที่ตัวเองไม่กล้าปฏิเสธคำขอหรือคำชวนของใครเลย บทความนี้อาจมีทางออกที่คุณมองหา • เพราะโดยทั่วไปผู้คนที่เห็นคุณค่าและยอมรับในตัวเราจริงๆ มักไม่มีปัญหากับการบอกปฏิเสธ บางคนอาจไม่ถามเหตุผลเลยด้วยซ้ำ ในทางกลับกัน คนที่โกรธ หรือทำให้เรารู้สึกว่าผิดเมื่อยืนยันความต้องการของตัวเอง คนเหล่านั้นอาจทำให้เราต้องกลับมาพิจารณาใหม่ว่า พวกเขายอมรับตัวตนของเราจริงๆ หรือยอมรับประโยชน์ที่พวกเขาได้จากเรากันแน่ Illustration: Nuttal-Thanatpohn Dejkunchorn ในออฟฟิศ มักมีอยู่คนหนึ่งที่เมื่อมีกิจกรรมสังสรรค์ นอกเหนือจากเรื่องงานเมื่อไร ก็มักปฏิเสธทุกครั้ง ไม่เคยร่วมกิจกรรมกับเพื่อนๆ สักที ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ก็จะมีหนึ่งคนที่ใครชวนไปไหนก็ไป ชวนทำอะไรก็ให้ความร่วมมือ จนเพื่อนร่วมงานมอบตำแหน่งขวัญใจมหาชน เพราะเป็นคนที่ไม่เคยปฏิเสธคำขอของใคร แน่นอนว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะตอบรับ หรือปฏิเสธคำขอ-คำชวนต่างๆ ได้ ตามดุลยพินิจของตนเอง แต่สำหรับบางคน การบอกปฏิเสธกลับเป็นเรื่องยาก แม้ในใจอยากพูดว่า “ไม่” แต่สุดท้ายก็กลับพยักหน้าตอบรับทุกที – ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าใครปฏิเสธทุกรอบ หรือใครตอบรับทุกครั้ง แต่อยู่ตรงที่คำตอบของเราแต่ละครั้ง ตรงกับความต้องการในใจหรือเปล่า เพราะหากคำตอบไม่ตรงกับใจ เราอาจเหนื่อยหน่ายตัวเองที่ต้องฝืนทำเรื่องที่ไม่อยากทำอยู่ร่ำไป คำว่า “ไม่” สำหรับบางคนอาจพูดได้คล่อง แต่ก็มีคนจำนวนหนึ่งที่การพูดว่า “ไม่” ดูเหมือนจะเป็นคำต้องห้าม เพราะกลัวพูดไปแล้วจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ โดยเฉพาะในที่ทำงานที่อาจต้องพึ่งพากันและกันหลายด้าน การปฏิเสธอาจหมายถึงการหักหาญน้ำใจ หรืออาจเป็นต้นตอความขัดแย้ง แต่ทุกอย่างล้วนมีขีดจำกัด รวมถึงการ ‘เซย์เยส’ ต่อทุกคำร้องขอด้วย หากคุณกำลังอึดอัดคับข้องใจที่ตัวเองไม่กล้าปฏิเสธคำขอหรือคำชวนของใครเลย บทความนี้อาจมีทางออกที่คุณมองหา @@@@@@@ เข้าใจเหตุผลของคน ‘เซย์เยส’ ถึงแม้ว่าการเซย์เยส กับทุกคำขอ อาจส่งผลกระทบหลายด้าน ทั้งเรื่องสุขภาพกายใจ ที่เลิกงานไม่ได้กลับบ้าน วันหยุดไม่ได้พัก หนำซ้ำยังอาจกระทบกับเงินในกระเป๋าที่เราต้องใช้จ่ายเมื่อต้องไปไหนไปกันตามคำชวน แต่ถึงอย่างนั้น คนส่วนหนึ่งกลับไม่กล้าปฏิเสธ – เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น? มนุษย์มีความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน คนส่วนใหญ่จึงมักรู้สึกว่า การไม่อ่อนโอนผ่อนปรนไปตามกระแส หรือความต้องการของสังคม จะส่งผลกระทบระหว่างความสัมพันธ์ของเรากับคนรอบตัวได้ การกล่าวคำว่า “ไม่” อาจทำให้คู่สนทนาเสียใจ โกรธ หรือร้ายที่สุด อาจทำให้เกิดความขัดแย้งที่กระทบความสัมพันธ์ ทุกคนอยากเป็นที่ยอมรับของสังคม องค์กร กลุ่ม การได้รู้สึกว่าตัวเองเป็น ‘ส่วนหนึ่ง’ คือธรรมชาติของมนุษย์ แต่ในขณะเดียวกัน การทำตามความต้องการของตัวเองด้วยการปฏิเสธคำขอต่างๆ อาจเพิ่มความเสี่ยงที่จะถูก ‘คัดออก’ จากกลุ่ม เมื่อความต้องการของตัวเอง ไม่ตรงกับความต้องการของคนรอบตัว บางครั้งคนเราจึงเลือกแก้ปัญหาด้วยการเอ่ยปากตกลงทุกครั้ง แม้ใจจะไม่ต้องการ เพื่อพยายามหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง เลี่ยงการเผชิญหน้า รักษาน้ำใจ ป้องกันไม่ให้ตัวเองกลายเป็นคนนอกของวงสังคม "สิ่งที่ผู้คนมักหลงลืม ก็คือ ทุกครั้งที่เราเซย์เยส กับความต้องการของคนอื่น เราก็กำลัง ‘เซย์โน’ กับความต้องการของตัวเอง ซึ่งนั่นหมายความว่า เรากำลังบั่นทอนคุณค่าในตัวเองลงไป ทุกครั้งที่ปากไม่ตรงกับใจ" ยิ่งอยู่ในสังคมที่เชื่อว่าการ ‘ไปไหนไปกัน’ และ ‘ร่วมหัวจมท้าย’ เป็นเครื่องหมายของความทุ่มเท จริงใจ โดยเฉพาะในที่ทำงาน ก็ยิ่งทำให้การพูดว่า “ไม่” ยากขึ้นไปอีก เพราะคนส่วนใหญ่เชื่อว่าการตอบตกลงตามๆ กันไป อย่างวลี “ได้ครับพี่ ดีครับท่าน” อาจเป็นใบเบิกทางสู่ความก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้ แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่ผู้คนมักหลงลืม ก็คือ ทุกครั้งที่เราเซย์เยส กับความต้องการของคนอื่น เราก็กำลัง ‘เซย์โน’ กับความต้องการของตัวเอง ซึ่งนั่นหมายความว่า เรากำลังบั่นทอนคุณค่าในตัวเองลงไป ทุกครั้งที่ปากไม่ตรงกับใจ @@@@@@@ เกิดอะไรเมื่อเราไม่ปฏิเสธใครเลย เราอาจคิดว่า การบอกปฏิเสธคำร้องขอของคนอื่นๆ เป็นการกระทำที่วุ่นวาย เหนื่อยล้า ไหนจะต้องอธิบายเหตุผล ไหนจะต้องรับมือกับความผิดหวังของคู่สนทนา แค่เซย์เยสทุกครั้งก็จบปัญหา ซึ่งก็จริงอยู่ที่การไม่ขัดแย้งกับคนอื่น (เลย) อาจลดความวุ่นวายในความสัมพันธ์ลงได้ แต่อีกด้านหนึ่ง เมื่อเราไม่ปฏิเสธใครเลย สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือ ความเข้าใจผิด การถูกเอาเปรียบ และคุณค่าในตัวเองที่หายไป ความเข้าใจผิด เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่าย เมื่อคนเราตอบรับทุกคำร้องขอ เพราะเมื่อยอมทำสิ่งเดิมซ้ำๆ ก็มีความเป็นไปได้ว่า คนอื่นจะคิดว่าเราชอบสิ่งนั้น เช่น เมื่อเพื่อนร่วมงานขอให้ช่วยทำสไลด์พรีเซนต์งาน และเราตอบรับทุกครั้ง ก็เลี่ยงไม่ได้ที่คนอื่นจะคิดว่าเราชอบงานนี้ ทั้งที่ความจริงเราอาจชอบและทำหน้าที่อื่นได้ดีกว่า แต่เพราะไม่กล้าปฏิเสธ แทนที่จะได้รับหน้าที่อื่นที่ท้าทาย หรือได้ทำสิ่งที่ชอบ กลับต้องติดอยู่กับหน้าที่เดิมๆ ตลอดไป โดยไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่เราชอบ หรือทำได้ดี จริงๆ แล้วคืออะไรกันแน่ นอกจากนี้ การไม่มีปากเสียง ใครขอร้องอะไรก็ทำได้หมด ยิ่งทำให้มีโอกาสถูกเอาเปรียบ ตั้งแต่รุ่นพี่ฝากซื้อกาแฟทุกเช้า เพื่อนร่วมงานขอติดรถกลับบ้านทุกวัน หัวหน้าขอให้ทำงานส่วนตัวที่ไม่ได้อยู่ในขอบเขตงานของเรา - สถานการณ์เหล่านี้ หากไม่ทำให้เราต้องกักเก็บความโกรธ ความน้อยเนื้อต่ำใจไว้ภายใน ก็มักจะทำให้เราต้องพยายามหลีกเลี่ยงบุคคลเหล่านั้น เพราะไม่อยากถูกขอให้ทำในสิ่งที่ไม่ต้องการ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแบบใด เราก็ทำร้ายจิตใจตัวเองไม่ต่างกัน เมื่อต้องทำในสิ่งที่ขัดกับความต้องการจริงๆ บ่อยเข้า คนเรามักเริ่มสงสัยคุณค่าในตัวเอง และเริ่มตั้งคำถามว่า “เรากำลังถูกหลอกใช้หรือเปล่า” หรือ “มีใครสนใจความต้องการจริงๆ ของเราบ้าง” ซึ่งคำถามเหล่านี้ไม่มีประโยชน์เลย หากเราไม่กล้ายืนหยัดในความต้องการของตัวเอง แต่ข่าวดีก็คือ ในการยืนหยัดความต้องการของตัวเอง และเอ่ยคำว่า “ไม่” เพื่อปฏิเสธสิ่งที่ไม่ต้องการนั้น ทุกคนสามารถทำได้โดยไม่ต้องทำร้ายน้ำใจกันและกัน (https://media.thairath.co.th/image/nqe1OpLRmDwSRenx1NtDWvWLu8H2ydYva3QlTQR3Yxoe9vA1.jpg) จาก “ได้” เป็น “ไม่” ความท้าทายของก้าวแรก จากคนที่เคยตอบตกลงง่ายๆ ใครชวนไปไหนก็ไป ใครให้ทำอะไรก็ทำ อยู่มาวันหนึ่ง เราเปลี่ยนจากการตอบตกลงทุกอย่าง แล้วเปล่งคำว่า “ไม่” ออกไป แน่นอนว่ามันต้องทำให้คนคุ้นเคยตกใจ พวกเขาอาจเริ่มพยายามโน้มน้าวเพื่อให้เรายอมทำตามความต้องการของพวกเขาเหมือนที่เคยทำมาตลอด เราจึงอาจต้องพูดว่า “ไม่” ซ้ำหลายครั้งเพื่อยืนยันเจตนา คู่สนทนาอาจงัดไม้ตายหลายรูปแบบทั้ง ตั้งข้อแม้ ติดสินบน แสดงอาการโกรธ เสียใจ ทำให้เรารู้สึกผิด ฯลฯ ทั้งหมดนี้เป็นความท้าทายประการแรกที่ต้องเผชิญเมื่อเรายืนหยัดเพื่อตัวเอง ซึ่งแม้ว่าไม่ง่าย แต่เชื่อเถอะว่า มันคุ้มค่าและดีต่อใจมากกว่าในระยะยาว มีความเป็นไปได้สูงที่คู่สนทนาอาจไม่พอใจ ในเมื่อเคยเป็นฝ่ายได้รับมาโดยตลอด แล้วจู่ๆ ถูกปฏิเสธ พวกเขาย่อมสงสัยว่า เรากำลังเล่นแง่ หรือมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ซึ่งในกรณีนี้ควรชัดเจนว่า การตอบปฏิเสธนั้นเป็นไปเพื่อตัวเราเอง ไม่ใช่เพราะคนอื่นทำหรือเป็นอะไร โดยทั่วไปผู้คนที่เห็นคุณค่าและยอมรับในตัวเราจริงๆ มักไม่มีปัญหากับการบอกปฏิเสธ บางคนอาจไม่ถามเหตุผลเลยด้วยซ้ำ ในทางกลับกัน คนที่โกรธ หรือทำให้เรารู้สึกว่าผิดเมื่อยืนยันความต้องการของตัวเอง คนเหล่านั้นอาจทำให้เราต้องกลับมาพิจารณาใหม่ว่า พวกเขายอมรับตัวตนของเราจริงๆ หรือยอมรับประโยชน์ที่พวกเขาได้จากเรากันแน่ @@@@@@@ แค่พูดว่า “ไม่” คุณทำได้ ไม่ยากหรอก ไม่อยากแวะซื้อกาแฟให้เพื่อนร่วมงานทุกเช้าอีกแล้ว อยากบอกปัดไม่ตอกบัตรแทนเพื่อนที่มาสาย เพราะหัวหน้าจับตามอง ไม่อยากลองใช้เครื่องสำอางที่หัวหน้าเอามาขาย ฯลฯ สารพัดคำขอที่ต้องเผชิญ บางทีอาจถึงเวลาบอกว่า “ไม่” เพื่อทำตามหัวใจตัวเองเสียที หลังจากเตรียมตัวมาดีแล้ว ต่อไปนี้คือสิ่งที่ทุกคนทำได้ เพื่อปฏิเสธออกไป โดยไม่ทำลายน้ำใจเพื่อนร่วมงาน • ปฏิเสธสั้นๆ ไม่ต้องลงรายละเอียด : เมื่อปฏิเสธคำขอหรือคำชวนต่างๆ ควรพูดอย่างชัดเจน จริงใจ และอธิบายให้น้อยที่สุด ซึ่งจะว่าไปแล้ว คนที่ร้องขอให้เราทำเรื่องต่างๆ มักไม่สนใจหรอกว่า เราทำไม่ได้เพราะอะไร และสิ่งที่พวกเขาขอ กระทบเราอย่างไรบ้าง หากพวกเขาคำนึงถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้ พวกเขาอาจไม่ร้องขอบ่อยๆ อย่างที่ผ่านมา ฉะนั้น บอกปฏิเสธให้สั้นที่สุด เช่น “ไม่สะดวกค่ะ” หรือ “ครั้งนี้ไม่ได้จริงๆ” หากพวกเขาถามหาเหตุผล อธิบายอย่างสั้นที่สุดบอกว่า “มีธุระส่วนตัว” หรือ “ตอนนี้มีงานด่วนเยอะมาก” ไม่จำเป็นต้องลงรายละเอียด หากเรายืนยันชัดเจน คำขอต่างๆ จะค่อยๆ หายไปในที่สุด • ไม่ต้องขอโทษ : ทุกคนมีสิทธิ์บอกว่า “ไม่” โดยไม่ต้องขอโทษ หากเรื่องเหล่านั้นไม่ใช่ความรับผิดชอบของเรา เมื่อเพื่อนฝากซื้อกาแฟทุกเช้า เราบอกปฏิเสธได้โดยไม่ต้องขอโทษ ไม่ต้องกังวลว่า เพื่อนบ้านไกล ถ้าแวะซื้อกาแฟอาจจะเข้างานไม่ทัน เพราะนั่นไม่ใช่หน้าที่ของเรา แต่เป็นปัญหาของเพื่อนร่วมงานที่ต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเองให้ได้ต่างหาก • จำกัดการให้เหตุผล : จริงๆ แล้วเราไม่จำเป็นต้องให้เหตุผลว่า เพราะอะไร เราจึงไม่ต้องการทำตามคำขอ โดยเฉพาะหากสิ่งเหล่านั้นอยู่นอกเหนือความรับผิดชอบของเรา แต่เพื่อรักษาน้ำใจ เราอาจให้คำอธิบายสั้นๆ เช่น “ซื้อกาแฟให้ไม่ได้นะ ไม่ผ่านทางนั้นแล้ว” ควรจำกัดคำอธิบายให้สั้นที่สุดเพราะยิ่งเราให้เหตุผลมากเท่าใด อีกฝ่ายก็มักนำเหตุผลของเรามาต่อรอง เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการไม่หยุดหย่อน เช่น เมื่อคุณปฏิเสธไม่ช่วยแก้งานให้เพื่อน โดยให้เหตุผลว่าต้องรีบกลับบ้าน เพื่อนร่วมงานอาจบอกว่า งั้นเอางานไปแก้ที่บ้านก็ได้นะ พอคุณบอกว่า เสาร์อาทิตย์ไม่สะดวก เขาก็อาจบอกว่าไม่รีบสัปดาห์หน้าก็ได้ ฯลฯ และกลายเป็นการต่อปากต่อคำไม่จบสิ้น "ทุกคนมีสิทธิ์บอกว่า “ไม่” โดยไม่ต้องขอโทษ หากเรื่องเหล่านั้นไม่ใช่ความรับผิดชอบของเรา เมื่อเพื่อนฝากซื้อกาแฟทุกเช้า เราบอกปฏิเสธได้โดยไม่ต้องขอโทษ ไม่ต้องกังวลว่า เพื่อนบ้านไกล ถ้าแวะซื้อกาแฟอาจจะเข้างานไม่ทัน เพราะนั่นไม่ใช่หน้าที่ของเรา แต่เป็นปัญหาของเพื่อนร่วมงานที่ต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเองให้ได้ต่างหาก" • ใช้วิธีแผ่นเสียงตกร่อง : หากให้เหตุผลแล้ว อีกฝ่ายยังไม่เข้าใจ คุณอาจต้องพูดว่า “ไม่” ซ้ำไปซ้ำมาราวกับแผ่นเสียงตกร่อง แต่ไม่เป็นไร เพราะนี่เป็นวิธีที่ชัดเจนที่คุณจะแสดงเจตจำนงของตัวเองได้ การปฏิเสธอาจเริ่มจากการบอกอย่างสุภาพว่า “ไม่ได้ครับ” เมื่อถูกซักไซ้ ก็ยังยืนยันว่า “ไม่สะดวกจริงๆ ครับ” หากอีกฝ่ายยังขอร้องไม่เลิก ก็ลองทำน้ำเสียงทีเล่นทีจริงว่า “ไม่ได้คร้าบ” เพื่อลดบรรยากาศตึงเครียด แม้ว่ารูปประโยคและโทนเสียงอาจเปลี่ยนไป แต่ความหมายยังคงเป็น “ไม่” อยู่เช่นเดิม • รับมือความรู้สึกในใจ : เมื่อการปฏิเสธประสบความสำเร็จ ความรู้สึกแรกคือโล่งใจ แต่อีกด้านอาจเป็นความรู้สึกผิด สงสารอีกฝ่ายที่ถูกปฏิเสธ หรือกังวลว่าอีกฝ่ายจะคิดกับเราอย่างไร ความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้นได้ แต่ต้องไม่ลืมว่า เราไม่ได้มีหน้าที่รับผิดชอบความรู้สึกของคนอื่น เพราะในวันที่เราเหนื่อยล้า วิ่งทำตามความต้องการของคนอื่น ก็มีเพียงตัวเราเท่านั้นที่ดูแลและประคับประคองจิตใจตัวเอง…ไม่มีใครเหนื่อยแทนกันได้ แม้พวกเขาจะบอกว่าห่วงใยเราเพียงใดก็ตาม @@@@@@@ สุดท้ายแล้ว เมื่อเราเซย์เยสกับสิ่งหนึ่ง ในขณะเดียวกันนั้น เราก็กำลังเซย์โน กับอีกสิ่งหนึ่งด้วยเสมอ หากเราตอบรับทุกคำขอของคนอื่น อาจหมายความว่า เราปฏิเสธทุกความต้องการของตัวเองเช่นกัน ดังนั้น ความสงบสุขของชีวิตจึงอาจไม่ได้อยู่ที่การทำตามทุกคำขอ หรือปฏิเสธทุกคำชวน แต่เป็นการรักษาสมดุลระหว่างสองสิ่ง ในโลกที่เรายังต้องมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันอยู่นั่นเอง Thank to :- อ้างอิง : nationalsocialanxietycenter.com, theswaddle.com, kiplinger.com Thairath Plus › Everyday Life › workspace › Lifestyle creator : สุภาวดี ไชยชลอ | 23 ม.ค. 66 website : https://plus.thairath.co.th/topic/everydaylife/102699 |