หัวข้อ: ยิ้มร่า ยิ้มเยาะ ยิ้มเยื้อน ยิ้มสยาม ยิ้มญี่ปุ่น : มีอะไรเบื้องหลัง ‘รอยยิ้ม’ เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มิถุนายน 09, 2023, 07:21:52 am (https://media.thairath.co.th/image/yh5ltIOU5r38btyWp1V2vmsp1V2gSfMBOWVg9kKJnPd3BJp1V26Ye9vA1.png)
ยิ้มร่า ยิ้มเยาะ ยิ้มเยื้อน ยิ้มสยาม ยิ้มญี่ปุ่น : มีอะไรเบื้องหลัง ‘รอยยิ้ม’ Summary - Small Science เป็นคอลัมน์ชวนอ่านฆ่าเวลาของ โตมร ศุขปรีชา ว่าด้วยเกร็ดความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์เล็กๆ น้อยๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ในทุกสรรพสิ่งรอบตัวเรา จากสสาร สิ่งประดิษฐ์ ไปจนถึงสิ่งมีชีวิตในกิจวัตรประจำวันของมนุษย์ - สำหรับสัปดาห์นี้ โตมรเล่าถึงวิทยาศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลัง ‘รอยยิ้ม’ ที่อาจไม่ได้หมายถึงความสุข หรือการแสดงความรู้สึกในแง่บวกเสมอไป แต่ความหมายของมันยังขึ้นอยู่กับบริบททางสังคมและวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่ด้วย จากรอยยิ้มที่ต้องถูกสงวนไว้ในบางประเทศของยุโรปตะวันออก ไปจนถึงรอยยิ้มที่เกินเลยของโลกตะวันออกอย่างญี่ปุ่น Illustration: Nuttal-Thanatpohn Dejkunchorn หลายคนเชื่อว่าการ ‘ยิ้ม’ เป็นการแสดงออกสากล หมายถึงความปรารถนาดี ความร่าเริง หรือการแสดงความรู้สึกในแง่บวก ซึ่งโดยทั่วไปก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่, มันจะเป็นอย่างนั้นเสมอไปจริงหรือเปล่า.? เดี๋ยวเรามาดูกัน บางคนคิดว่า เวลาเรามีความสุข เราจะยิ้ม แต่เชื่อไหมครับว่า มันเป็นจริงในทางกลับกันด้วย คือถ้าเรายิ้ม เราจะมีความสุขขึ้นมาได้ (บ้าง) เรื่องนี้ ท่านติช นัท ฮันห์ พระเซนชาวเวียดนามผู้ก่อตั้งหมู่บ้านพลัมในฝรั่งเศส เคยกล่าวไว้ว่า หากเรายิ้มนิดหนึ่ง โลกรอบตัวเราก็จะเปลี่ยนไปนิดหนึ่งด้วยเหมือนกัน เพราะรอยยิ้มคือแรงกระเพื่อมที่จะส่งพลังไปรายรอบ ในทางวิทยาศาสตร์ เคยมีการศึกษาของมหาวิทยาลัยแคนซัส บอกว่ารอยยิ้มที่เป็น ‘ยิ้มแท้จริง’ (Genuine Smile) หรือเรียกเป็นภาษาอย่างเป็นทางการหน่อยว่า Duchenne Smile จะสามารถทำให้เกิดอารมณ์เชิงบวกขึ้นกับผู้ยิ้มได้ @@@@@@@ คำว่า Duchenne smile มีที่มาจากนักวิทยาศาสตร์สมัยศตวรรษที่ 19 ชื่อ กีโยม ดูเชนน์ (Guillaume Duchenne) ที่ศึกษาเรื่องของกล้ามเนื้อในร่างกายมนุษย์ รวมไปถึงกล้ามเนื้อที่ควบคุมสีหน้าของมนุษย์เราด้วย โดยนักวิจัยในรุ่นหลังยืนยันว่า การยิ้มแบบ Duchenne Smile นี้ ถือเป็นรอยยิ้มที่มี ‘อิทธิพล’ สูงที่สุดในบรรดาการแสดงออกของมนุษย์ "รอยยิ้มคือสัญญาณทางสังคมที่ทรงพลังอย่างมาก และการยิ้มนั้นมี ‘ข้อมูล’ แทรกอยู่มหาศาล ไม่ว่าจะเป็นการเชื้อเชิญ การแสดงความเป็นมิตร หรือความเปิดกว้าง ทำให้คนอื่นสามารถเข้าถึงเราได้ง่ายขึ้น มีการศึกษาพบว่า รอยยิ้มนั้นเป็นที่เข้าใจกันตรงกันในวงกว้าง แม้จะมีวัฒนธรรม ภาษา หรือปูมหลังที่แตกต่างกันอย่างมากก็ตาม" แล้วยิ้มแบบนี้เป็นอย่างไร.? คำตอบง่ายๆ ก็คือ มันเป็นการ ‘ยิ้ม’ ทั้งปากและตา แต่ถ้าตอบแบบยากๆ หน่อย ก็คือเป็นการยิ้มที่มีการทำงานของกล้ามเนื้อใบหน้าอย่างน้อยสองมัด มัดแรกคือ Zygomaticus ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่ช่วยยกมุมปากของเราขึ้นมา กับอีกมัดหนึ่งคือ Orbicularis oculi ที่ช่วยยกโหนกแก้มของเราขึ้นมาด้วย ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อมัดหลังนี้เองที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนมีรอยยิ้มที่ดวงตา (พร้อมกับรอยย่นที่หางตา) และเป็นการยิ้มแบบนี้เองที่เปลี่ยนแปลงอารมณ์ของตัวเราเองได้ การศึกษาโดยใช้ MRI แสดงให้เห็นว่า นอกจากกล้ามเนื้อของเราจะยกริมฝีปากกับโหนกแก้มขึ้นมาแล้ว กิจกรรมในสมองของเราในด้านที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย นอกจากนี้ยังพบด้วยว่า คนที่ยิ้มจะมีการเต้นของหัวใจต่ำกว่าเมื่อต้องทำสิ่งที่เครียด ถึงกับมีการทดลองให้อาสาสมัครคาบตะเกียบไว้ในปาก เพราะการคาบตะเกียบจะไปกระตุ้นกล้ามเนื้อคล้ายๆ กับการยิ้ม @@@@@@@ ก็เลยมีคำกล่าวว่า Fake it till you make it หรือถ้าคุณกำลังอารมณ์เสีย ก็ให้พยายามลองยิ้มไปเรื่อยๆ อย่ามัวแต่ทำหน้าบึ้งอย่างเดียว ประเดี๋ยวรอยยิ้ม (เฟกๆ ในตอนแรก) ก็จะทำให้อารมณ์คุณดีขึ้น จนรอยยิ้มปลอมกลายเป็นยิ้มจริงไปได้เอง การยิ้มไม่ได้ส่งผลต่อตัวเราเท่านั้น แต่มันยังส่งอารมณ์ ‘กระเพื่อม’ ออกไปหาคนรอบข้างด้วย เพราะการยิ้มคือการส่ง ‘สัญญาณทางสังคม’ (social cues) แบบหนึ่ง สัญญาณทางสังคมนั้นเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ต่อวิวัฒนาการของมนุษย์นะครับ ใครจับสัญญาณพวกนี้เก่งๆ บางทีอาจจะโด่งดังหรือร่ำรวยขึ้นมาได้เลย เพราะมันช่วยให้เรา ‘รู้’ ว่าอีกฝ่ายหนึ่งกำลังคิดอะไรอยู่ รอยยิ้มคือสัญญาณทางสังคมที่ทรงพลังอย่างมาก และการยิ้มนั้นมี ‘ข้อมูล’ แทรกอยู่มหาศาล ไม่ว่าจะเป็นการเชื้อเชิญ การแสดงความเป็นมิตร หรือความเปิดกว้าง ทำให้คนอื่นสามารถเข้าถึงเราได้ง่ายขึ้น มีการศึกษาพบว่า รอยยิ้มนั้นเป็นที่เข้าใจกันตรงกันในวงกว้าง แม้จะมีวัฒนธรรม ภาษา หรือปูมหลังที่แตกต่างกันอย่างมากก็ตาม พูดได้ว่า รอยยิ้ม (ที่จริงใจ) มีลักษณะที่เป็นสากล หรือมี Universality มากที่สุดอย่างหนึ่ง ดังนั้น การยิ้มจึงช่วยปรับปรุงสายสัมพันธ์ทางสังคมให้เราได้ (https://media.thairath.co.th/image/yh5ltIOU5r38btyWp1V2vmsp1V2svr8ADqcIdHhnj76pit3bke9vA1.jpg) นักวิจัยจากสถาบันมักซ์ พลังก์ ในด้านมานุษยวิทยาวิวัฒนาการ ค้นพบว่า กระทั่งในทารกที่อายุแค่ 14 สัปดาห์ ก็ตอบสนองต่อรอยยิ้มในเชิงบวกแล้ว นั่นแสดงให้เห็นว่าการยิ้มเป็นธรรมชาติพื้นฐานในการสื่อสารอย่างหนึ่งของมนุษย์ การยิ้มทำให้เรา ‘อยู่รอด’ มาได้ในเชิงวิวัฒนาการ เพราะมันทำให้เกิดความวางใจ ความเป็นหนึ่งเดียวกันขึ้นมา ที่สำคัญ รอยยิ้มยังเป็นเรื่องที่ ‘แพร่ระบาด’ ได้ด้วย ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะในทางประสาทวิทยา มนุษย์เรามีเซลล์ประสาทรับความรู้สึกของคนอื่นที่เรียกว่า เซลล์ประสาทกระจก (Mirror neurons) ที่มักจะ ‘เลียนแบบ’ สิ่งที่ตัวเองได้พบเห็น ซึ่งทำให้เมื่อเราเห็นคนยิ้ม เราก็มักจะยิ้มตามไปด้วย โดยมีการวิจัยที่มหาวิทยาลัย Uppsala ในสวีเดน พบว่าการได้เห็นรอยยิ้มจะไปกระตุ้น ‘ระบบรางวัล’ ในสมอง คือสมองจะหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้เรารู้สึกมีความสุขออกมา แล้วกระตุ้นให้เราส่งรอยยิ้มตอบกลับไป ดังนั้น การยิ้มจึงไม่ใช่แค่ยิ้ม แต่มันมีผลกระเพื่อมออกไปรอบข้างมากมาย อย่างไรก็ตาม เมื่อโลกซับซ้อนมากขึ้น เราจะพบการยิ้มแบบอื่นๆ ได้อีกหลายอย่าง ที่ไม่ได้หมายถึงรอยยิ้มจริงใจอย่างเดียว เพราะในหลายวัฒนธรรม การยิ้มจะซับซ้อนกว่า Duchenne Smile มาก ตัวอย่างเช่น ในวัฒนธรรมยุโรปตะวันออกบางประเทศ (รวมถึงรัสเซีย) จะมีวัฒนธรรมในการสงวนรอยยิ้มและแสดงสีหน้าที่ขึงขังจริงจังมากกว่าวัฒนธรรมอื่นๆ การยิ้มมากเกินไปจึงอาจถูกมองว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสม หรือถึงขั้นถูกมองว่าไม่จริงใจได้เลย ในทางกลับกัน บางวัฒนธรรมก็จะต้อง ‘ฉาบเคลือบ’ รอยยิ้มเอาไว้เสมอ ตัวอย่างหนึ่งคือวัฒนธรรมญี่ปุ่น ที่มีวัฒนธรรมการยิ้มเพื่อแสดงความสุภาพ จนบางครั้งเกิดการยิ้มที่เกินเลยไป เรียกว่า ทาเทะมาเอะ (Taemae) หรือ Smiling Mask "บางวัฒนธรรมต้อง ‘ฉาบเคลือบ’ รอยยิ้มเอาไว้เสมอ ตัวอย่างหนึ่งคือวัฒนธรรมญี่ปุ่น ที่มีวัฒนธรรมการยิ้มเพื่อแสดงความสุภาพ จนบางครั้งเกิดการยิ้มที่เกินเลยไป เรียกว่า ทาเทะมาเอะ (Taemae) หรือ Smiling Mask ซึ่งถ้าด้านในเป็นแบบหนึ่ง แต่ด้านนอก ‘ต้อง’ ทำอีกแบบหนึ่ง ก็อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งในตัวตนขึ้นมาได้" @@@@@@@ จริงๆ คำว่าทาเทะมาเอะนั้นไม่ได้หมายถึงรอยยิ้มอย่างเดียว แต่มันหมายถึง ‘ฉากหน้า’ ที่อยู่ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น ฉากหน้านี้อาจเหมือนหรือตรงข้ามกับ ฮอนเนะ (Honne) หรือความรู้สึกที่แท้จริงภายในก็ได้ คือถ้าเหมือนกันก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามันต่างกัน คือด้านในเป็นแบบหนึ่ง แต่ด้านนอก ‘ต้อง’ ทำอีกแบบหนึ่ง ก็อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งในตัวตนขึ้นมาได้ ซึ่งก็มีนักวิชาการญี่ปุ่นเขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้อย่างจริงจังหลายมิติ ทั้งในด้านสังคมวิทยา มานุษยวิทยา และในด้านวิทยาศาสตร์ ทั้งหมดนี้เกิดจากการหล่อหลอมเชิงวัฒนธรรมทั้งสิ้น ส่วนในตะวันออกกลาง การยิ้มให้กับคนแปลกหน้า หรือเพศตรงข้ามนั้น อาจถูกมองว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสมได้ หรือบางชนเผ่าก็จะมี ‘รหัสวัฒนธรรม’ ในการยิ้มที่ซับซ้อนและเคร่งครัด ว่าเจอกับสถานการณ์ไหนต้องยิ้มอย่างไร ในบทความของ BBC บอกเอาไว้ว่า รอยยิ้มทั้งหลายทั้งปวงนั้นมีอยู่ด้วยกันถึง 19 แบบ แต่มีแค่ 6 แบบเท่านั้นที่เป็นรอยยิ้มที่เกิดจากความสุข ใครสนใจสามารถคลิกเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ ที่นี่ นะครับ จะเห็นว่า การศึกษารอยยิ้มนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย แต่มันช่วยเผยให้เห็นถึงสิ่งที่ดูธรรมดาสามัญอย่างยิ่ง ว่าแท้จริงแล้วสำคัญกับกระบวนการดำรงอยู่ของมนุษยชาติอย่างไรบ้าง ถ้าคุณกำลังอารมณ์เสียอยู่ ลองยิ้มให้กับตัวเองสักเล็กน้อยสิครับ บางทีโลกของคุณอาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างคิดไม่ถึงก็เป็นได้ Thank to : https://plus.thairath.co.th/topic/spark/103262 Thairath Plus › Spark › Science & Tech | 2 มิ.ย. 66 | creator : โตมร ศุขปรีชา |