หัวข้อ: จิตวิทยาเบื้อง หลังความสำเร็จของ TikTok ทำไมเปิดแล้ว จึงหยุดดูไม่ได้ คล้ายเสพติด เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ สิงหาคม 08, 2023, 10:33:03 am (https://assets.beartai.com/uploads/2022/02/IMG_1327.jpg)
จิตวิทยาเบื้อง หลังความสำเร็จของ TikTok ว่าทำไมเปิดแล้ว จึงหยุดดูไม่ได้ ‘คล้ายเสพติด’ ตอนที่ TikTok ออกมาแรก ๆ เมื่อปี 2017 มีแต่คนบอกว่ามันเป็นแอปพลิเคชันที่ดูไร้สาระ เป็นตัวก๊อปปี้ของแอปพลิเคชัน Vine (ที่ถูกซื้อไปโดยทวิตเตอร์) ที่ให้คนมาแชร์วีดีโอสั้น ๆ บนโลกออนไลน์ แต่ด้วยหลาย ๆ สาเหตุตั้งแต่จำนวนผู้ใช้งานมหาศาลที่ไม่ได้จำกัดแค่ในอเมริกา และการใช้เพลงเป็นตัวชูโรงของวิดีโอบนแพลตฟอร์ม อีกทั้งรูปแบบของโมเดลธุรกิจที่ผลักดันให้ KOLs (Key Opinion Leaders) หรือ Influencers มาสร้างรายได้บนแพลตฟอร์มอย่างชัดเจน ทำให้มันได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว TikTok มีผู้ใช้งานอยู่ประมาณ 1,000 ล้านคนทั่วโลก ในอเมริกามีผู้ใช้งานคิดเป็น 25% ของประชากร ส่วนบ้านเรา 1 ใน 7 คน หรือประมาณ 14% ของประชากร (ราว ๆ 10 ล้านคน) ดาวน์โหลด TikTok มาใช้บนมือถือ แถมยังติด 1 ใน 3 ของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีจำนวนผู้ใช้งานเติบโตมากที่สุด ซึ่งก็อาจจะมาจากการใช้งานสมาร์ตโฟนที่เพิ่มขึ้นของคนในประเทศด้วย ผู้ใช้งานส่วนใหญ่ของ TikTok จะเป็นวัยต่ำกว่า 30 ปีกว่า 63% ของทั้งผู้ใช้งานทั้งหมด ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะคนกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มแรกที่จะอยากลองแพลตฟอร์มใหม่ ๆ ออกจากพื้นที่เดิมที่รู้สึกว่ามัน “แก่ไปแล้ว” หรือไม่ได้เป็นเทรนด์อีกต่อไป ในปี 2020 กว่า 30% ของวัยรุ่นบอก TikTok เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่พวกเขาชื่นชอบ เทียบกับ Facebook ที่ได้รับความนิยมจากวัยรุ่นเพียง 2% เท่านั้น สำหรับคนที่ใช้จะรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี เมื่อกดเปิดแอปแล้วจะยากมากเลยที่จะปิดมันลงได้ แล้วอะไรหล่ะที่ทำให้ผู้ใช้งานติดขนาดนี้? ทำไมเราถึงอยากเปิดมันขึ้นมาวันละหลายต่อหลายรอบ? แล้ว TikTok ส่งผลกระทบทางจิตวิทยาของเราอย่างไร้บาง? โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ใช้งานวัยเด็กที่สมองยังกำลังพัฒนาอยู่อีกหล่ะ? อัลกอริทึมของ TikTok ถูกออกแบบมาให้เรากลับมาใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวิดีโอที่เราดู TikTok จะเรียนรู้เกี่ยวกับเราเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากใช้งาน มันสามารถบอกได้เลยว่ารสนิยมของเพลงที่เราชอบคืออะไร เพศสภาพเป็นแบบไหน สภาวะทางจิตใจ และชื่นชอบวีดีโอแบบไหน ถ้าเราดูวีดีโอของน้องหมาน่ารัก ๆ สักพักเดี๋ยววิดีโอของสัตว์อื่น ๆ ก็จะเริ่มโผล่มา? แมวบ้างไหม? กิ้งก่ารึเปล่า? หรืองู? แต่ถ้าคุณไม่ได้เลื่อนผ่านวิดีโอของน้องหมาไปแบบไว ๆ แล้วไปหยุดที่วิดีโอประเภทอื่น เชื่อเลยว่าอีกหลายชั่วโมงต่อมาคุณก็ยังจะนั่งดูคลิปน้องหมาน่ารัก ๆ ชวนหัวเราะ ๆ อีกหลายร้อยคลิปจากทั่วโลกอย่างแน่นอน เดือนธันวาคม 2021 สำนักข่าว The New York Times ได้รีวิวเอกสารภายในที่เล็ดลอดออกมาของ TikTok ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นเพื่อสอนพนักงานที่ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคเกี่ยวกับอัลกอริทึมของแพลตฟอร์ม เอกสารตรงนี้คอนเฟิร์มว่าแพลตฟอร์มนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ทำให้คุณกลับมาใช้งานทุกวัน ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ และสิ่งที่น่าสนใจก็คือว่าจากเอกสารแล้วสิ่งที่ TikTok ทำก็คือการแสดงวิดีโอที่ ‘ใกล้เคียง’ กับสิ่งที่เราอยากจะดูแต่ไม่ใช่สิ่งที่เราอยากจะดูแบบเป๊ะ ๆ และเพราะแบบนี้เองจึงทำให้ผู้ใช้งานดูวิดีโออันต่อไปที่เราน่าจะสนใจด้วยเช่นเดียวกัน จูเลียน แมคออเรย์ (Julian McAuley) ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัย Univeristy of California, San Diego บอกว่า ‘อัลกอริทึมนี้ไม่ได้ใหม่อะไร เพียงแค่มันไม่เหมือนใครเท่านั้นเอง’ ไม่เพียงแต่ TikTok มีข้อมูลจำนวนมหาศาลของผู้ใช้งานที่อยู่บนแพลตฟอร์ม แต่พวกเขายังมีระบบที่แนะนำคอนเทนต์ที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้งานแต่ละคนเป็นพื้นฐานด้วย เปรียบเทียบให้ชัดเจนกับ Instagram ที่คอนเทนต์บนฟีดเรานั้นจะมาจากคนที่เราไปติดตาม แต่ว่า TikTok จะเลือกฟีด ‘สำหรับคุณ’ ขึ้นมาโดยเฉพาะเลย (https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2022/02/GettyImages-1238168364-1024x682.jpg) แล้วมันกระทบกับสมองของเรายังไงล่ะ? จากข้อมูลที่หลุดออกมาบอกว่าผู้ใช้งานเฉลี่ยอยู่บน TikTok วันละ 89 นาทีต่อวันในปี 2021 จอห์น โคเอต์ซิเออร์ (John Koetsier) นักเขียนจากนิตยสาร Forbes เคยเรียก TikTok ว่า “ดิจิทัลโคเคนสำหรับสมอง” ซึ่งมันก็มีความจริงอยู่ไม่น้อยเลย โคเอต์ซิเออร์ ได้ทำการสัมภาษณ์ดอกเตอร์จูลี่ อัลไบรต์ (Dr.Julie Albright) นักสังคมวิทยาที่เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมดิจิทัลและการสื่อสารเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยสรุปออกมาว่าเมื่อเราเปิด TikTok ขึ้นมาใช้ ก็เหมือนกับการเสพยาเลยทีเดียว “เมื่อคุณเลื่อนดู… บางครั้งคุณเห็นรูปภาพหรือบางสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุขและดึงดูดความสนใจ” อัลไบรต์กล่าว “และสารโดปามีนในสมองก็จะหลั่งออกมา… ที่ศูนย์แห่งความสุขของสมอง คุณเลยอยากเลื่อนดูเรื่อย ๆ ไม่หยุด” แต่สิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้นสำหรับ TikTok ก็คือว่ามันจะไม่ใช่แค่เอาวิดีโอที่เราชอบมาแสดงเท่านั้น แต่มันจะปรับอัลกอริทึมเพื่อแสดงวิดีโอที่เรา ‘อาจจะ’ ชอบ ที่แตกต่างออกไปตลอดทั้งวัน ซึ่งความไม่แน่นอนแบบนี้แหละที่ทำให้มันน่าติดตาม มันเป็นเทคนิคทางจิตวิทยาที่มอบรางวัลให้เราแบบไม่ได้คาดหวัง ทำให้เรารู้สึกมีความสุขมากกว่าการได้รับรางวัลที่รู้อยู่แล้วว่าจะมาถึง พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า TikTok ทำให้โดปามีนเกิดขึ้นในสมองของเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่งในสองทางนี้ 1. สมองก็หลั่งโดปามีนออกมาเมื่อเราจะได้รับรางวัลที่ไม่ได้คาดหวัง 2. สมองเราปรับตัวเข้ากับระบบรางวัลที่ไม่ได้คาดหวังแล้ว ให้รางวัลเป็นโดปามีนไว้ล่วงหน้าสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้น สิ่งนี้ทางจิตวิทยามีชื่อเรียกว่า Pavlovian Feedback Loop หรือทฤษฎีการเรียนรู้แบบวางเงื่อนไขของพาฟลอฟที่หมายความว่าเมื่อสมองเรานั้นคุ้นเคยกับการได้รับโดปามีน มันก็จะเรียนรู้ที่จะคาดการณ์และหลั่งสารโดปามีนไว้ก่อนเลย เพียงแค่เปิดแอปพลิเคชัน TikTok เราก็มีความสุขแล้ว และก็จะยิ่งอยากได้มากขึ้นไปอีก ดอกเตอร์อัลไบรต์บอกว่า “แพลตฟอร์มอย่าง TikTok (รวมไปถึง Instagram, Snapchat และ Facebook) นั้นใช้หลักการเดียวกันกับสิ่งที่ทำให้คนเสพติดการพนัน” (https://www.beartai.com/wp-content/uploads/2022/02/GettyImages-1237654889-1024x683.jpg) ผลกระทบของ TikTok เราอาจจะเห็นรายงานข่าวที่ว่า TikTok นั้นส่งผลเสียในระยะยาวต่อสมอง โดยเฉพาะผู้ใช้งานวัยเด็กที่สมองยังเติบโตไม่เต็มที่จนกว่าจะอายุ 25 ปี (บทความของโคเอต์ซิเออร์ก็บอกเหมือนกันว่า TikTok ทำให้สมาธิของผู้ใช้งานสั้นลง) แต่สิ่งที่กล่าวอ้างนั้นยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ระบุอย่างแน่ชัดว่า TikTok ทำให้สมาธิสั้นจริง ๆ แต่โดยทั่วไปแล้วการใช้เวลาบนโทรศัพท์มากเกินไปนั้นจะส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมองอย่างแน่นอน เพราะสมองมนุษย์นั้นเติบโตและเปลี่ยนแปลงไปตามการใช้งานและสภาพแวดล้อม ถ้าเกิดว่าใช้เวลากับหน้าจอนาน ๆ ก็อาจจะเพิ่มความเครียด รบกวนการนอนหลับ และมีความเสี่ยงเรื่องอาการซึมเศร้ามากขึ้นด้วย ผลกระทบด้านหนึ่งของ TikTok ที่น่าเป็นห่วงคือเรื่องของการนำเสนอภาพลักษณ์ของร่างกายที่ไม่เท่าเทียมกัน มีรายงานว่าคอนเทนต์จากครีเอเตอร์ที่มีรูปร่างพลัสไซส์นั้นจะถูกลบและปัดตกว่าไม่เหมาะสมเมื่อเทียบกับคอนเทนต์คล้ายกันจากครีเอเตอร์ที่มีรูปร่างผอมบางกว่า มันเป็นการนำเสนอภาพลักษณ์ที่บิดเบี้ยวต่อคนที่เสพคอนเทนต์ ซึ่งกระทบกับความมั่นใจและทำให้รู้สึกว่าตัวเองแตกต่างจากคนอื่นถ้าไม่เป็นเหมือนอย่างในวิดีโอ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นที่กำลังค้นหาตัวเองอยู่ อีกประเด็นหนึ่งที่ควรต้องระวังคือ TikTok อาจจะทำให้ผู้ใช้งานวินิจฉัยปัญหาสุขภาพจิตของตนเองผิดพลาดได้ ข้อมูลจากบทความของ Banner Health (ระบบสุขภาพที่ไม่แสวงหาผลกำไรในสหรัฐอเมริกา) บอกว่าแพทย์ได้ระบุการเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในคนหนุ่มสาวที่วินิจฉัยตนเองว่าเป็น ADHD, OCD และออทิสติก แม้ว่าการสร้างความตระหนักเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้มีประโยชน์อย่างมากในวงกว้าง แต่ก็มีโอกาสที่จะเกิดอันตรายได้เมื่อผู้ใช้วินิจฉัยตนเองว่าเป็นโรคต่าง ๆ อย่างเช่น โรคหลายบุคลิก (Dissociative Identity Disorder) ซึ่งอาจนำไปสู่การวินิจฉัยที่ผิดพลาดและการรักษาอย่างไม่ถูกต้องสำหรับสาเหตุที่แท้จริงของความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า หรือปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ แน่นอนว่าการใช้ TikTok อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ยิ่งทำให้อัลกอริทึมของมันนั้นเรียนรู้และป้อนสิ่งที่เราอยากดูมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะเป็นเหมือนหลุมลึกที่ไม่รู้จบของคอนเทนต์แบบสุดโต่งขึ้นเรื่อย ๆ อาจจะเป็นคอนเทนต์ที่มีความโหดร้ายมากขึ้นเรื่อย ๆ หรือฝ่ายการเมืองที่ขวาจัดหรือซ้ายจัดไปเลย หรืออาจจะเป็นคอนเทนต์เหยียดผิว เหยียดเพศ เหยียดสัญชาติ ซึ่งเมื่อผู้ใช้งานยังเด็กจะส่งผลกระทบต่อมุมมองของพวกเขาที่มีต่อโลกและสร้างความเข้าใจที่ผิดจนเกิดความเสียหายได้ ด้านดีของ TikTok.? เหรียญแน่นอนต้องมีสองด้าน สิ่งหนึ่งที่เราได้จาก TikTok แน่นอนคือเรื่องของความสนุกและผ่อนคลายเมื่อได้ใช้งาน แม้ว่ามันจะมีคอนเทนต์แปลก ๆ หรือทำให้เกิดความไม่สบายใจบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วเราก็จะได้เห็นอะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เราได้เห็นครีเอเตอร์ที่ทำวีดีโอตลก ๆ มาให้เราดู คนที่มีความชอบคล้าย ๆ กันเรา แต่งตัวเป็นคอสเพลย์ เล่นเกม ร้องเพลง ติดบอร์ดเกม หรือชอบตกปลา ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ทำให้เรารู้สึกว่าในโลกนี้ก็ยังมีคนเหมือนเราอยู่ อีกอย่างหนึ่งที่ TikTok มี (แม้ว่าจะดูมากไปหน่อย) ก็คือคอนเทนต์ไลฟ์โค้ชต่าง ๆ การมองโลกในแง่บวก แง่คิด คำคม วิธีการทำงาน สิ่งเหล่านี้แน่นอนล่ะไม่ได้จะมาเปลี่ยนชีวิตคุณให้ดีขึ้นเพียงแค่นั่งดูวิดีโอ 15 วินาที แต่อย่างน้อย ๆ ในวันที่ห่อเหี่ยวมันก็ช่วยเป็นความหวังแม้เล็กน้อย นอกจากนั้นเราก็จะเห็นคอนเทนต์จากคนที่ป่วยเป็นโรคต่าง ๆ ที่พยายามหนุนใจคนอื่นที่อาจจะตกอยู่ในสภาวะเดียวกัน ช่วยผลักดันให้มีกำลังใจลุกขึ้นมาสู้ต่อไปได้ มันก็เหมือนกับชีวิตนั่นแหละ จะบอกว่าดีทั้งหมดก็ไม่ได้ จะว่าแย่ทั้งหมดก็ไม่จริง ยิ่งเราเข้าใจมันได้ดีเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เราสามารถใช้งานมันให้มีประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น TikTok ทำให้เรารู้ว่าเราไม่เดียวดาย ยังมีคนที่ชอบอะไรคล้ายเราอยู่มากมายบนโลกใบนี้ แต่ก็อย่าไปจมอยู่กับมัน เพราะคลิปวิดีโอความยาว 3 นาทีก็ไม่ควรเป็นโลกทั้งใบของคุณอีกเช่นกัน Thank to : https://www.beartai.com/brief/958365 (https://www.beartai.com/brief/958365) โสภณ ศุภมั่งมี | 23/02/2022 พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส |