สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ ธันวาคม 22, 2023, 10:07:00 am



หัวข้อ: บุคคลแรกที่ "พูดได้เดินได้" ทันทีที่เกิด
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ธันวาคม 22, 2023, 10:07:00 am
.
(http://www.dhammajak.net/board/files/3_569.jpg)


เสฐียรพงษ์ วรรณปก : สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา (1) บุคคลแรกที่พูดได้เดินได้ทันทีที่เกิด

บอกไว้ก่อนว่า เรื่องอย่างนี้มิใช่เรื่องอัศจรรย์ มิใช่เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ แต่เป็นปรากฏการณ์ “ธรรมดา” ที่เกิดขึ้นได้สำหรับบุคคลพิเศษ บุคคลพิเศษในที่นี้ก็คือ เจ้าชายสิทธัตถะ

เจ้าชายสิทธัตถะคือใคร ชาวพุทธทุกคนก็ต้องรู้ (หรือว่าไม่รู้ก็มิทราบ คุณปัญญา ลองนำไปถามในรายการทีวีของท่านดูสักหน่อยได้ไหมครับ) เจ้าชายสิทธัตถะ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ กับพระนางสิริมหามายา แห่งเมืองกบิลพัสดุ์ แคว้นศากยะ ซึ่งตั้งอยู่เชิงเขาหิมาลัย ปัจจุบันนี้อยู่ในประเทศเนปาล

ก่อนประสูติเล็กน้อย พระนางสิริมหามายาเสด็จนิวัตยังพระนครเทวทหะ บ้านเกิดเมืองนอนของท่านเพื่อไปคลอดลูก (แหม พอได้พูดคำธรรมดา ไม่ใช้ราชาศัพท์ เขียนคล่องเลยครับ) ขบวนเสด็จไปถึงพระราชอุทยานชื่อลุมพินีวัน ซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์กับเมืองเทวทหะ พระนางก็ประชวรพระครรภ์ จึงเสด็จไปพักผ่อนในพระราชอุทยาน แล้วก็ทรงมีพระประสูติกาล (คลอดลูกนั้นแหละครับ) ณ สวนลุมพินีนั้นเอง

เคยมีครูถามนักเรียนว่า นักเรียน ทำไมเจ้าชายสิทธัตถะประสูติที่สวนลุมพินี นักเรียนยกมือตอบด้วยความมั่นใจว่า “เพราะอยู่ใกล้โรงพยาบาลจุฬาครับ!” (นี่แหละครับ ผมถึงอยากให้คุณปัญญา ทดสอบผ่านรายการของท่าน ให้ผมหน่อย)

พระนางสิริมหามายาทรงยืน (ตรงนี้ไม่ “ประทับยืน” แน่ๆ เพราะ “ประทับ” แปลว่านั่ง ประทับยืน ก็แปลว่า “นั่งยืน” มองไม่ออกว่าทำอีท่าไหน) เหนี่ยวกิ่งสาละ (ไม่ควรแปลว่าต้นรัง ผมไปเห็นมาแล้ว ต้นสาละไม่ใช่ต้นรัง) พระราชกุมารน้อยก็ก้าวลงจากพระครรภ์ ผินพระพักตร์ไปทางทิศอุดร ทรงชี้พระดรรชนีขึ้นฟ้า เสด็จดำเนินไป 7 ก้าว ทรงเปล่ง อาสภิวาจา (วาจาอย่างองอาจ)

อาสภิวาจา ว่าอย่างไร อาทิตย์หน้าค่อยว่ากัน วันนี้ขอแถลงเรื่อง การที่เจ้าชายสิทธัตถะ พูดได้ เดินได้ ทันทีที่ประสูติ

@@@@@@@

คนส่วนมากตั้งคำถามว่า “พูดได้ เดินได้จริงหรือ” บางท่านก็พูดออกมาตรงๆ ว่า ไม่เชื่อ อมพระมาทั้งโบสถ์ก็ไม่เชื่อ เพราะไม่คิดว่าเรื่องอย่างนี้จะเป็นไปได้กระมัง อาจารย์รุ่นหลังๆ จึงหาทางออกว่า เป็น “สัญลักษณ์” หรือ “บุพนิมิต” แล้วก็แจกแจงอย่างน่าฟัง เช่น

    - การที่ผินพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ เป็นสัญลักษณ์ว่า ท่านผู้นี้ต่อไปจะเป็นผู้อยู่เหนือ คือเอาชนะเจ้าลัทธิทั้งหลายในชมพูทวีป

    - การเสด็จดำเนิน 7 ก้าว เป็นสัญลักษณ์แทนแว่นแคว้นทั้ง 7 ที่จะได้ประกาศสัจธรรมที่ตรัสรู้ให้แพร่หลาย หรือ (มีหรือด้วยครับ แสดงว่าตีความได้สองนัย) หมายถึงโพชฌงค์ 7 ประการ

   - ดอกบัวที่ผุดขึ้นรองรับพระบาท หมายถึงท่านผู้นี้จะเป็นผู้บริสุทธิ์จากกิเลสโดยสิ้นเชิง (หมายเหตุ ในพระไตรปิฎก ไม่พูดถึงดอกบัว ดอกบัวนี้เพิ่มมาภายหลัง)

   - การที่ทรงเปล่งอาสภิวาจา หมายถึง ท่านผู้นี้จะได้ประกาศสัจธรรมที่ยังไม่เคยมีใครประกาศมาก่อนเลย ฯลฯ

นี้คือ การหาทางออก เพื่อไม่ให้ชาวพุทธอึดอัดใจเมื่อมีใครซักถาม แต่ขอกราบเรียนว่า คำตอบนั้นมีอยู่แล้วในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าตรัสเล่าให้พระสาวกของพระองค์เอง พวกเราชาวพุทธอ่านไม่ละเอียดเอง

@@@@@@@

จากข้อความในพระไตรปิฎก แสดงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เกิดขึ้นได้จริง มิใช่สัญลักษณ์แต่อย่างใด ในพระไตรปิฎก ได้เล่าเหตุการณ์พิเศษต่างๆ ดังกล่าวมาข้างต้น แล้วท่านก็สรุปลงด้วยคำพูดสั้นๆ ว่า “นี้เป็นธรรมดาของพระโพธิสัตว์”

ท่านบอกเราว่า เหตุการณ์พิเศษต่างๆ ที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเรื่องธรรมดาของพระโพธิสัตว์ เจ้าชายสิทธัตถะ เป็นพระโพธิสัตว์คือผู้บำเพ็ญบารมีมาจนเต็มเปี่ยมแล้ว ท่านย่อมมี “ธรรมดา” ไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไป

ถามว่า เรื่องอย่างนี้เป็นปาฏิหาริย์ไหม.? ตอบว่า ไม่ใช่
เป็นอิทธิฤทธิ์ไหม.? ตอบว่า ไม่ใช่ “มันเป็นธรรมดาของพระโพธิสัตว์”

“ธรรมดาของนกย่อมบินได้” ท่านเห็นนกบินได้ท่านอัศจรรย์ไหม.? เปล่าเลย มันธรรมดาของมัน
ถ้าถามว่า ทำไมนกมันบินได้.? คำตอบที่ถูกต้องที่สุดก็คือ “มันเป็นธรรมดาของนกมัน” นกบินไม่ได้สิผิดธรรมดาแน่ๆ ใช่ไหมครับ

เพราะฉะนั้น เหตุการณ์เกี่ยวกับการประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ขอให้เข้าใจว่า ก็คือเหตุการณ์ธรรมดาๆ นั้นเอง ไม่ใช่เรื่องประหลาดมหัศจรรย์อะไร เพียงแต่เป็นธรรมดา ที่ไม่ทั่วไปสำหรับสามัญชนอื่นๆ เท่านั้นเอง

@@@@@@@

ผมเคยอ่านบันทึกจากกินเนสส์บุ๊ก (คนอื่นเขาลอกมาให้อ่านอีกที) บันทึกไว้ว่า มีเด็กชายสองคนชื่อ เจมส์ ซิดิส คนหนึ่ง คริสเตียน ไฮเนเก้น อีกคนหนึ่ง เป็นอัจฉริยมนุษย์ โดยเฉพาะ คริสเตียน ไฮเนเก้น เกิดมาแปดสัปดาห์พูดได้ ปาฐกถาเรื่องอภิปรัชญาชั้นสูง ให้ที่ประชุมนักปราชญ์ทั้งหลายฟัง ทึ่งไปตามๆ กัน ว่าทำได้ไง

กินเนสส์บุ๊ก เป็นที่รู้กันว่าบันทึกเรื่องจริง ไม่โกหกเราแน่นอน สมัยนี้ เด็กเกิดมาแปดสัปดาห์พูดได้ ก็มีแล้ว ย้อนหลังไปสองพันห้าร้อยกว่าปี เจ้าชายแห่งราชวงศ์ศากยะ ทันทีที่เกิดมาก็พูดได้ จะต่างอะไรล่ะครับ อย่าคิดแต่เพียงว่า เป็นไปไม่ได้ๆ สมัยนี้มีกี่หมื่นกี่แสนอย่างที่เราไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้ มันเป็นไปได้แล้วทั้งนั้น

สรุปแล้ว บุคคลแรกที่พูดได้ทันทีที่เกิด คือเจ้าชายสิทธัตถะ พระราชกุมารแห่งศากยวงศ์ ต่อมาก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระบรมศาสดาเอกแห่งโลกนั้นแล






ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 มิถุนายน 2559
เผยแพร่ : วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2559
website : https://www.matichonweekly.com/column/article_5220 (https://www.matichonweekly.com/column/article_5220)
Photo : http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=39613&view=print (http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=39613&view=print)



 :25: :25: :25:

อาสภิวาจา

อาสภิวาจา มีบันทึกในพระไตรปิฎก 2 แห่ง คือ

  - พระไตรปิฎกเล่มที่ 14 ข้อที่ 377 หน้าที่ 253 เป็นคำพูดของพระอานนท์กราบทูลพระพุทธองค์ว่า “ข้าพระพุทธเจ้า ได้ยินจากพระโอษฐ์พระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ๆ…” กับ
  - อีกแห่งหนึ่งในพระไตรปิฎกเล่มที่ 10 ข้อที่ 26 หน้าที่ 17 ในรูปพระพุทธพจน์ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า “ภิกษุทั้งหลาย เป็นธรรมดาของพระโพธิสัตว์ที่…”

ใจความของอาสภิวาจาตรงกัน ต่างกันนิดเดียว “อยมนฺติมา เม ชาติ” ในเล่มที่ 14 ไม่มีคำว่า “เม” เท่านั้นเอง ข้อความเต็มมี ดังนี้ครับ

  "อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺสส อยมนฺติมา เม ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว"
  “เราเป็นผู้เลิศในโลก เป็นผู้ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก นี้เป็นชาติสุดท้าย ไม่มีการเกิดใหม่อีกต่อไป”




ขอบคุณ
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8 - 14 กรกฎาคม 2559
คอลัมน์ เสฐียรพงษ์ วรรณปก : สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา (3)
เผยแพร่ : วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2559
URL : https://www.matichonweekly.com/column/article_5228 (https://www.matichonweekly.com/column/article_5228)


หัวข้อ: Re: บุคคลแรกที่ "พูดได้เดินได้" ทันทีที่เกิด
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ธันวาคม 23, 2023, 06:08:52 am
.
(https://www.matichonweekly.com/wp-content/uploads/2016/08/7oyouou-1-696x377.jpg)


เสฐียรพงษ์ วรรณปก : สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา (2) คำแรกที่เจ้าชายสิทธัตถะพูดตอนประสูติ

สัปดาห์ที่แล้ว ได้บอกว่าพระโพธิสัตว์คือเจ้าชายสิทธัตถะพูดได้ เดินได้ หลังประสูติชั่วขณะ และได้บอกด้วยว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ อาจารย์ในภายหลังพยายามอธิบายว่าเป็นภาษาสัญลักษณ์ หรือ “บุพนิมิต” ว่าไม่ใช่เรื่องเกิดขึ้นจริง แต่ข้อความในพระไตรปิฎกในรูปพุทธวจนะตรัสแก่พระสาวก ยืนยันว่า เป็นเรื่องจริง ทรงอธิบายสั้นๆ ว่า เป็นธรรมดาของพระโพธิสัตว์ ดังได้กล่าวไว้แล้ว

คราวนี้มาว่าถึงคำพูดอันองอาจ เรียกตามศัพท์เทคนิคว่า อาสภิวาจา ที่พระโพธิสัตว์เปล่งออกมานั้นว่าอย่างไi คัมภีร์บันทึกไว้ไม่ค่อยตรงกันนักในแง่พลความ แต่ในสาระเหมือนกัน เช่นในพระไตรปิฎก บันทึกไว้ว่า

     อคโหมสมิ โลกสส
     เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสส
     เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสส
     อคฺโคหมสฺมิ โลกสส
     อยมนฺติมา ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว

ตรงนี้เขียนเป็นร้อยแก้วธรรมดา แต่อีกที่หนึ่งแต่งเป็นคาถาหรือบทกวีดังนี้

     อคโคหมสมิ โลกสส
     เชฏฺโฐ เสฏโฐหมสฺมิ
     อยมนฺติมา เม ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว

แปลว่า เราเป็นผู้เลิศของโลก เป็นผู้ใหญ่ที่สุดของโลก เป็นผู้ประเสริฐที่สุดของโลก นี้เป็นการเกิดครั้งสุดท้าย ไม่มีการเกิดใหม่อีกต่อไป

นี้แปลตามตัวอักษร ตามประโยคบาลีเปี๊ยบเลย ถ้าจะแปลเป็นไทยๆ คำว่าของโลก แปลว่า ในโลก น่าจะเข้าใจดีกว่า

@@@@@@@

หมายเหตุ : ปรากฏการณ์เจ้าชายน้อยประสูตินี้ ในพระไตรปิฎก ไม่มีดอกบัวเจ็ดดอกผุดขึ้นรองรับ พูดแต่เพียงว่า ทรงผินพระพักตร์ไปทางทิศอุดร ทรงเหลียวดูทิศทั้งหลาย เสด็จดำเนินไปเจ็ดก้าว ทรงเปล่ง อาสภิวาจา ดังกล่าวข้างต้น อาจารย์ในภายหลัง ไม่คิดว่าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นจริง จึงพยายามแปลเป็นภาษาสัญลักษณ์ หรือบอกว่าเป็นบุพนิมิต

แต่ใจความในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นเรื่องเป็นไปได้ คือปรากฏการณ์เช่นนี้เป็นธรรมดาของพระโพธิสัตว์ มิใช่เรื่องเหลือเชื่อหรืออิทธิปาฏิหาริย์อะไร ดังผมได้อธิบายขยายความมาแล้วในอาทิตย์ที่แล้ว

ผมเห็นว่าท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ ท่านถอดเป็นภาษาธรรมได้ดีที่สุด คือท่านว่าปรากฏการณ์เช่นนี้ เป็นเครื่องสำแดงว่า เจ้าชายสิทธัตถะต่อมาคือพระพุทธเจ้านั้น ทรงประกาศอิสรภาพให้แก่มนุษย์ทั้งปวง

เนื่องจากสมัยนั้นมนุษย์ทั้งหลายตกเป็นทาสความยึดถือผิดๆ ว่า มนุษย์อยู่ในการดลบันดาลของพระพรหม ต้องพึ่งพระพรหม เรียกว่าพรหมลิขิต ค่านิยมความดีความชั่ว ตัดสินเอาที่ว่าใครเกิดในวรรณะไหน ถ้าเกิดในวรรณะสูงก็เป็นคนดีโดยอัตโนมัติ เกิดในวรรณะต่ำก็เป็นคนเลว

จากนี้ต่อไป ท่านผู้นี้จะได้ปลดปล่อยมนุษย์ทั้งหลายจากความเข้าใจผิดเสียที ประกาศให้เห็นศักยภาพของมนุษย์ ว่ามนุษย์ทุกคนสามารถพึ่งพาตัวเองด้วยการกระทำของตน คนจะดีหรือชั่วเพราะการกระทำด้วยตนเอง มิใช่เพราะการดลบันดาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ หรือด้วยการอ้อนวอนขอ และเซ่นสรวงเอาใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ

@@@@@@@

ท่านเจ้าคุณใช้คำคมว่า เป็นการดึงคนจากเทพมาสู่ธรรม คือ ในขณะที่สังคมมุ่งหวังผลจากการดลบันดาลของเทพเจ้า เอาแต่อ้อนวอนขออำนาจเทพเจ้า ให้บันดาลโน่นบันดาลนี่ เจ้าชายน้อยพระองค์นี้ ซึ่งต่อมาคือพระพุทธเจ้า ก็ดึงให้คนทั้งหลายมาสนใจตัวธรรมที่อยู่ในธรรมชาติ คือความจริงแห่งความเป็นไปตามเหตุปัจจัย

ถอดความให้ฟังง่ายก็คือ พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนคนว่าอย่ามัวหวังพึ่งเทพเจ้า ให้บันดาลโน่นบันดาลนี่ ให้หันมาพึ่งการกระทำของตนเองดีกว่า

นี้แหละครับ คือการดึงประชาชนจากเทพมาสู่ธรรม นับว่าเจ้าชายน้อยพระองค์นี้ทรงถือกำเนิดมาเพื่ออิสรภาพของโลกอย่างแท้จริง

การอธิบายในแง่นี้ยังไม่มีใครอธิบายมาก่อน นอกจากท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ จึงขอนำมาบอกเล่าเก้าสิบให้ฟัง ถ้าใครอยากทราบรายละเอียด (เพราะผมจำมาไม่หมด) ให้ไปหาหนังสือ จาริกบุญ-จารึกธรรม ของท่านมาอ่านก็แล้วกัน




ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 1 - 7 กรกฎาคม 2559
เผยแพร่ : วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2559
website : https://www.matichonweekly.com/column/article_5224 (https://www.matichonweekly.com/column/article_5224)



 :25: :25: :25:

เสฐียรพงษ์ วรรณปก : สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา (3)

สัปดาห์ที่แล้ว พูดถึง “บุคคลแรกที่พูดได้หลังเกิดใหม่ๆ” คือเจ้าชายสิทธัตถะแห่งศากยวงศ์ ต่อมาคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของชาวเราทั้งหลาย และได้นำ “อาสภิวาจา” (พระวาจาอันองอาจ) ที่ทรงเปล่งออกมา มาให้อ่านกัน พร้อมอ้างที่มาเสร็จ

แต่ต้องขออภัยที่อ้างไม่หมด และ “อาสภิวาจา” ก็ผิด ขอแก้เพื่อความถูกต้องดังนี้ครับ

อาสภิวาจา มีบันทึกในพระไตรปิฎก 2 แห่ง คือ

    - พระไตรปิฎกเล่มที่ 14 ข้อที่ 377 หน้าที่ 253 เป็นคำพูดของพระอานนท์กราบทูลพระพุทธองค์ว่า “ข้าพระพุทธเจ้า ได้ยินจากพระโอษฐ์พระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ๆ…” กับ
    - อีกแห่งหนึ่งในพระไตรปิฎกเล่มที่ 10 ข้อที่ 26 หน้าที่ 17 ในรูปพระพุทธพจน์ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายว่า “ภิกษุทั้งหลาย เป็นธรรมดาของพระโพธิสัตว์ที่…”

ใจความของอาสภิวาจาตรงกัน ต่างกันนิดเดียว “อยมนฺติมา เม ชาติ” ในเล่มที่ 14 ไม่มีคำว่า “เม” เท่านั้นเอง ข้อความเต็มมี ดังนี้ครับ

     อคฺโคหมสฺมิ โลกสฺส
     เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส
     เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺสส
     อยมนฺติมา เม ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว

    “เราเป็นผู้เลิศในโลก เป็นผู้ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก นี้เป็นชาติสุดท้าย ไม่มีการเกิดใหม่อีกต่อไป”

(ยกมาแสดงบางส่วน)






ขอบคุณ
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8 - 14 กรกฎาคม 2559
คอลัมน์ เสฐียรพงษ์ วรรณปก : สิ่งแรกในพระพุทธศาสนา (3)
เผยแพร่ : วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.2559
URL : https://www.matichonweekly.com/column/article_5228 (https://www.matichonweekly.com/column/article_5228)