หัวข้อ: ทวารกา เมืองโบราณใต้น้ำในมหากาพย์ “มหาภารตะ” แอตแลนติสแห่งอินเดีย เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มกราคม 05, 2024, 09:22:40 am .
(https://www.silpa-mag.com/wp-content/uploads/2024/01/ภาพปก-ทวารกา-696x364.jpg) ภาพเขียน กรุงทวารกา นครของพระกฤษณะ ในมหาภารตะ, ผลงานของ Kesu Kalan ปี 1585 (ภาพจาก National Museum of Asian) ทวารกา เมืองโบราณใต้น้ำในมหากาพย์ “มหาภารตะ” แอตแลนติสแห่งอินเดีย ทวารกา เมืองโบราณใต้น้ำในมหากาพย์ “มหาภารตะ” แอตแลนติสแห่งอินเดีย ที่ยูเนสโกประกาศขึ้นทะเบียนให้เป็นเมืองมรดกโลกใต้น้ำในเส้นทางสายไหม ทวารกา (Dvaraka, Dwaraka, Dwarka) เป็นเมืองชายฝั่งของรัฐคุชราต ตั้งอยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำคอมตี (Gomti River) บริเวณปากอ่าวคุตช์ (Gulf of Kutch) ติดกับทะเลอาหรับ ในเขตเทวภูมิทวารกา (Devbhumi Dwarka District) และเป็น 1 ใน 7 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาฮินดู ที่มีผู้จาริกแสวงบุญมาสักการะ พระกฤษณะ หรือ พระวิษณุ ประจำทุกปี @@@@@@@ ผลพวงของคำสาป ตามเนื้อหาในหนังสือหริวงศ์ หลังจากสังหารราชากังสะผู้เป็นลุง และเพื่อหลีกเลี่ยงการสู้รบกับราชาชราสัณธ์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นพ่อตาของราชากังสะ พระกฤษณะ ได้ตัดสินใจอพยพเชื้อพระวงศ์วฤษณีและไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินจากเมืองมถุรามาสร้างมหานครอันยิ่งใหญ่ริมทะเล บนดินแดน “ทวารวดี” (Dvaravati) หรือ ทวารกา ในท้ายเรื่องมหาภารตะ มหานครแห่งนี้ต้องมาจมอยู่ใต้บาดาล ภายหลังการตายของพระกฤษณะตามคำสาปของพระนางคานธารี 36 ปีหลังมหาสงครามล้างวงศ์เครือญาติที่ทุ่งกุรุเกษตร ทวารกา กลายเป็นอาณาจักรที่นอนนิ่งสงบใต้ทะเล ดุจเดียวกับที่พระนารายณ์บรรทมสินธุ์ในวงขนดพญาอนันตนาคราชนานนับหลายพันปี กระทั่งในช่วงทศวรรษที่ 1930 หน่วยโบราณคดีทางทะเล (The Marine Archaeological Unit-MAU) ของสำนักงานการสำรวจทางโบราณคดีอินเดีย (the Archaeological Survey of India-ASI) กระทรวงวัฒนธรรม นำโดย เอส. อาร์. เรา (S.R. Rao) หนึ่งในนักโบราณคดีคนสำคัญของอินเดีย ได้เริ่มการสำรวจโบราณสถานใต้ทะเลรอบ ๆ บริเวณเมืองโลธาล (Lothal) รัฐคุชราต ซึ่งเป็นศูนย์กลางท่าเรือของอารยธรรมฮารัปปา ที่มีอายุอยู่ในช่วง 1570 ปีก่อนคริสตกาล จนขุดพบสิ่งประดิษฐ์โบราณกับเครื่องปั้นดินเผาที่เกิดขึ้นก่อนอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุในบริเวณนี้มากมาย นอกจากนี้ ในปี 1930 เอส. เอส. เรา ยังเคยนำทีมสำรวจบริเวณรอบ ๆ เกาะ “Bet Dwarka” (หรือ Beyt Dwarka) ในทะเลอาหรับ ซึ่งตั้งอยู่ปากอ่าวคุตช์ ห่างจากชายฝั่งทวารกาออกไปประมาณ 3 กิโลเมตร แต่หยุดชะงักไปโดยไม่ทราบสาเหตุ อีกด้วย (https://www.silpa-mag.com/wp-content/uploads/2024/01/3408936173_73fdcd1c7a_c.jpg) วิหารพระกฤษณะ ในพื้นที่เมืองทวารกาสมัยใหม่ (ภาพโดย Emmanuel DYAN จาก flickr สิทธิ์การใช้งาน CC BY 2.0) ปลุก “ทวารกา” นครที่หลับใหล การค้นพบโบราณวัตถุใต้ทะเลที่เมืองโลธาล จุดประกายให้ทีมสำรวจโบราณคดีตัดสินใจออกตามหานครทวารกาในตำนานอันยิ่งใหญ่นี้ การสำรวจครั้งแรกในปี 1963 ที่สถาบันทางด้านโบราณคดี เดคแคน คอลเลจ ของเมืองปูเน่ ร่วมกับหน่วยงานโบราณคดีของรัฐคุชราต ได้เผยให้เห็นสิ่งประดิษฐ์โบราณที่มีอายุหลายศตวรรษ ต่อมาในปี 1979 หน่วยงาน MAU นำโดย เอส. อาร์. เรา ซึ่งเคยมีผลงานที่เมืองโลธาล ก็ได้นำทีมขุดสำรวจแหล่งโบราณนี้อีกครั้งหนึ่ง การขุดค้นเมืองทวารกาที่หลับใหลอยู่ใต้ทะเลรอบที่สองนี้ ได้ค้นพบเครื่องปั้นดินเผาสำริด ที่มีอายุมากกว่า 3,000 ปี จากนั้นทีมของเอส. อาร์. เรา ก็มีการสำรวจต่อเนื่องมาอีกยาว โดยระหว่างปี 1983-1990 ที่มีการสำรวจทั้งบนบกและใต้น้ำรอบ ๆ Bet Dwarka ได้ขุดพบโครงสร้างอาคาร ประกอบด้วย ซากกำแพง ก้อนหินขนาดมหึมา ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างอาคาร และเสา ที่อาจมีอายุตั้งแต่ช่วง 3,000-1,500 ปีก่อนคริสตกาล ทั้งหมดนี้ล้วนยืนยันถึงการดำรงอยู่ของเมืองที่เคยรุ่งเรืองเมื่อ 1,500 ปีก่อนคริสตกาล พิจารณาถึงเหตุผลที่เป็นไปได้แล้ว เอส. อาร์. เรา ก็มั่นใจว่าเมืองที่จมอยู่ใต้น้ำนี้คือ “ทวารกาในมหาภารตะ” @@@@@@@ ตำนานที่มีอยู่จริง อย่างไรก็ดี เนื่องจากการค้นพบซากปรักหักพังช่วงปี 1983-1990 ยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่าเป็นโครงสร้างของกำแพงเมือง กำแพงวัด หรือเป็นชิ้นส่วนของสิ่งก่อสร้างใด ในปี 2007 กองโบราณคดีใต้น้ำ (The Underwater Archaeology Wing-UAW) ของ ASI นำโดย อโลก ตริปาถิ (Alok Tripathi) ผู้อำนวยการ UAW จึงได้มีการขุดค้นทวารกาอีกครั้งทั้งบนบกและใต้น้ำ เพื่อศึกษาโบราณสถานแบบองค์รวม การขุดหาซากโบราณสถานในครั้งนี้ ทำให้ค้นพบโครงสร้างหินรูปครึ่งวงกลมและสี่เหลี่ยมจำนวนมาก รวมถึงการค้นพบสมอหินมากมาย ที่ชี้ให้เห็นว่าบริเวณนี้เป็นเมืองท่าสำคัญทางการค้าระหว่างอินเดียและอาหรับในช่วงศตวรรษที่ 15-18 จากนั้นซากปรักหักพังที่ค้นพบทั้งหมดก็ได้รับการประกาศให้เป็นซากของนครทวารกาที่ล่มสลาย จากการวิจัยยังพบว่าภัยพิบัติได้กลืนกินทั้งเมืองเมื่อประมาณ 3,500 ปีก่อน ทำให้ทวารกาจมดิ่งลงสู่ก้นสมุทร นักโบราณคดีได้ตั้งสมมุติฐานถึงเหตุแห่งภัยพิบัติที่ทำให้อาณาจักรจมสู่ใต้ทะเลอยู่ 3 ประการ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงระดับพื้นใต้ทะเล แผ่นดินไหวหรือสึนามิ หรืออาจเป็นไปได้ว่าเกิดจากระดับน้ำทะเลสูงขึ้นอย่างกะทันหัน ก่อนจะเปิดเผยสู่สาธารณชนโดยพิจารณาจากสภาพซากอาคารว่า มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดจากระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งปรากฏการณ์คล้ายคลึงกันนี้ได้เกิดขึ้นที่บาห์เรนในช่วงเวลาเดียวกัน ความสำเร็จที่น่าตื่นตาตื่นใจของการสำรวจทางโบราณคดีครั้งนี้ จึงไม่เพียงแต่พิสูจน์ว่าเมืองทวารกาของพระกฤษณะในตำนานมีอยู่จริง แต่ยังเป็นหลักฐานพิสูจน์ให้เห็นว่า มหาภารตะไม่ใช่เรื่องราวในเทพนิยาย! คำว่า “ทวารกา” มาจากคำว่า “ทวาร” ในภาษาสันสกฤตแปลว่า “ประตู” ดังนั้นเมืองท่าโบราณแห่งนี้จึงอาจเป็นประตูสำหรับลูกเรือต่างชาติที่เดินทางมาถึงอินเดีย ปัจจุบันองค์การยูเนสโกยังได้ขึ้นทะเบียนทวารกาให้เป็นเมืองมรดกโลกใต้น้ำในเส้นทางสายไหม ซึ่งสะท้อนถึง “ความศิวิไลซ์ของมนุษยชาติ” ในฐานะเป็นเส้นทางโบราณทางการค้าและวัฒนธรรมที่เชื่อมต่อกับภูมิภาคตะวันตกและตะวันออก อ่านเพิ่มเติม :- • ด้านมืดของพระกฤษณะ ในศึกมหาภารตะ ที่ต่างจากแง่มุมคุณธรรม-ความดี (https://www.silpa-mag.com/culture/article_7294) • “กรรณะ” วีรบุรุษฝ่ายอธรรม คู่ปรับอรชุน ผู้ถูกกีดกันจากชาติกำเนิดในศึกมหาภารตะ (https://www.silpa-mag.com/culture/article_6525) • “สกา” เกมพนันที่เดิมพันด้วยบ้านเมือง ใน “มหาภารตะ” คืออะไร? (https://www.silpa-mag.com/culture/article_104739) ขอขอบคุณ :- ที่มา : เพจ อ่านมหาภารตะ เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 4 มกราคม พ.ศ.2567 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 4 มกราคม 2567 URL : https://www.silpa-mag.com/history/article_124924 (https://www.silpa-mag.com/history/article_124924) อ้างอิง : เฟซบุ๊กเพจ อ่านมหาภารตะ. ทวารกา-แอตแลนติสแห่งอินเดีย มรดกโลกใต้น้ำในเส้นทางสายไหม. เข้าถึงเมื่อ 3 มกราคม 2567. โดยได้รับอนุญาตจากเพจ อ่านมหาภารตะ ให้นำเนื้อหามาเผยแพร่ |