หัวข้อ: เมตตาฌาน ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ (มาดูตัวอย่าง) เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มีนาคม 11, 2011, 10:46:46 am เมตตาฌาน ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ (มาดูตัวอย่าง) (http://j5.tagstat.com/image03/7/1b7f/002o001VNJ_.gif) พระพุทธองค์ทรงแสดงอานิสงส์ของเมตตาไว้ ๑๑ อย่าง ดังนี้ คือ ๑. หลับก็เป็นสุข ๒. ตื่นก็เป็นสุข ๓. มีหน้าตาผ่องใสเบิกบาน ๔. ไม่ฝันร้าย ๕. เป็นที่รักของมนุษย์ ๖. เป็นที่รักของเทวดาและอมนุษย์ ๗. เทวดารักษา ๘. ไม่เป็นอันตรายด้วยยาพิษหรือศาสตรา ๙. จิตเป็นสมาธิ ๑๐. เมื่อจะตายมีสติไม่หลงตาย ๑๑. หากไม่บรรลุมรรคผลในชาตินี้ ก็จะได้ไปเกิดในพรหมโลก ( ข้อนี้หมายเฉพาะผู้ที่เจริญเมตตาจนได้ญาณ ) ผู้ที่เจริญเมตตาย่อมได้รับอานิสงส์ดังกล่าวนี้ ควรหรือไม่ที่เราจะมีเมตตาต่อกัน ปรารถนาดีต่อกัน และอภัยให้กัน เพราะนอกจากตัวเราจะเป็นสุขแล้ว ผู้อื่นก็ยังเป็นสุขด้วย แต่ผู้ที่จะเจริญเมตตาให้ได้ผลนั้น ต้องอาศัยขันติธรรม คือ ความอดทน อดกลั้น ไม่โกรธตอบ ควบคู่กันไปด้วย ดังเรื่องของ นางอุตตรา ที่จะยกมาเล่าดังต่อไปนี้ ถวายทานพระออกจากนิโรธสมาบัติรวยทันตา นางอุตตรา เป็นธิดาของนายปุณณะ ซึ่งเป็นคนยากจน อาศัยอยู่ในเรือนของสุมนเศรษฐี วันหนึ่งเมื่อนายปุณณะไปไถนา ภรรยาเอาอาหารไปส่ง ได้พบท่านพระสารีบุตรระหว่างทาง จึงเอาอาหารที่เป็นส่วนของนายปุณณะถวายท่านพระสารีบุตรเสียก่อนด้วยความเลื่อมใส แล้วจึงกลับไปทำอาหารมาให้ใหม่ นายปุณณะทราบแทนที่จะโกรธ กลับชื่นชมอนุโมทนา พร้อมกับเล่าว่า ตนก็ได้ถวายไม้สีฟันและน้ำล้างหน้าแก่ท่านพระสารีบุตรผู้ออกจากนิโรธสมาบัติมาใหม่ๆ ด้วย ครั้นบริโภคอาหารแล้ว นอนหลับไปด้วยความเมื่อยล้าจากการไถนา พอตื่นขึ้นมาก็ได้เห็นก้อนดินที่ตนไถไว้กลายเป็นทองไปหมด จึงไปกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ พระราชาทรงให้ขนทองมาไว้ที่พระลานหลวง แล้วทรงมอบให้นายปุณณะทั้งหมด พร้อมกับพระราชทานตำแหน่งเศรษฐีให้แก่นายปุณณะ ผลของบุญได้เกิดแก่นายปุณณะในวันนั้นเอง (http://images.palungjit.com/attachments/3225-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2-files-jpg) บรรลุโสดาบันทั้งครอบครัว เมื่อเป็นเศรษฐีแล้วได้ถวายทานแก่พระสงฆ์อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขตลอด ๗ วัน ในวันที่ ๗ พระพุทธองค์ทรงกระทำอนุโมทนา นายปุณณะ ก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน พร้อมทั้งภรรยาและนางอุตตราธิดา ต้องส่งดอกไม้บูชาพระพุทธเจ้าทุกวัน จึงยอมยกลูกสาวให้ ต่อมาสุมนเศรษฐี ขอนางอุตตราให้แก่บุตรชายของตน ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ปุณณเศรษฐีจึงไม่ยอมยกธิดาให้ สุมนเศรษฐียกเอาความคุ้นเคยที่มีมาแต่ก่อนขึ้นมาอ้าง ถึงอย่างนั้นปุณณะเศรษฐีก็ไม่ยอมยกธิดาให้ ต่อเมื่อสุมนเศรษฐีรับว่าจะจัดหาดอกไม้มีค่าวันละ ๒กหาปณะมาให้นางอุตตราบูชาพระพุทธเจ้า ปุณณะเศรษฐีจึงตกลงยกให้ สามีไม่ยอมให้ถืออุโบสถ เมื่อนางอุตตรามาอยู่บ้านสามีแล้ว ได้ขออนุญาตสามีรักษาอุโบสถศีล เดือนละ ๘ วัน ตามที่เคยกระทำเมื่ออยู่บ้านบิดา แต่สามีไม่อนุญาต นางคอยจนถึงวันเข้าพรรษาจึงขออนุญาตอีก สามีก็ไม่ยินยอม ครั้นอีกครึ่งเดือนจะออกพรรษา นางจึงส่งข่าวไปเล่าเรื่องให้บิดามารดาทราบ พร้อมกับขอเงิน ๑๕,๐๐๐ กหาปณะ ต้องจ้างโสเภณีมาเป้นภรรยาแทนจึงยอม เมื่อได้รับเงินแล้ว นางอุตตราก็จ้างนางสิริมา หญิงโสเภณีในนครนั้น ให้มาทำหน้าที่ภรรยาแทนตน ตลอดเวลาครึ่งเดือน ที่นางจะรักษาอุโบสถ ด้วยค่าจ้าง ๑๕,๐๐๐ กหาปณะ ซึ่งสามีก็ยินดีว่าจะได้เสพสุขกับนางสิริมา จึงยินยอมให้ภรรยารักษาอุโบสถได้ตามปรารถนา ตั้งแต่นั้นมา นางอุตตราก็ตระเตรียมอาหารด้วยมือของตนแต่เช้าตรู่ทุกวัน ถวายพระบรมศาสดาและภิกษุสงฆ์ อธิษฐานอุโบสถศีล แล้วขึ้นไปอยู่บนปราสาท ระลึกถึงศีลของตนอยู่ นางทำดังนี้ จนครบครึ่งเดือน โสเภณีลืมตัวนึกว่าตัวเองเป็นภรรยา ในวันที่จะสละอุโบสถ ได้จัดแจงข้าวปลาอาหารเป็นอันมาก เตรียมจะถวายพระศาสดาอยู่ในครัวกับพวกทาสีแต่เช้าตรู่ สามีอยู่บนปราสาทกับนางสิริมา มองลงมาแล้วก็ยิ้มด้วยคิดว่า หญิงนี้ละทิ้งสมบัติมากมาย มาทำครัวจนเนื้อตัวเปรอะเปื้อน มอมแมมไปด้วยเขม่าไฟ นางอุตตราเห็นแล้วทราบความคิดของสามี จึงคิดว่า สามีเรานี้โง่แท้ๆ สำคัญว่าสมบัติมากมายของตนจะมั่นคงถาวรทุกเวลา แล้วก็ยิ้มบ้าง นางสิริมาเห็นแล้วโกรธว่า ดูสิ ทั้งที่เราก็ยืนอยู่ที่นี่ นางทาสีนี้ก็ยังยิ้มแย้มกับสามีเรา ได้รีบลงจากปราสาทมาโดยเร็ว ตอนนี้นางสิริมาลืมตัวว่า ตนรับจ้างนางอุตตราปรนนิบัติสามีของนางอุตตรา คิดว่าตนเป็นภรรยา นางอุตตราเป็นทาสีมายิ้มกับสามีของตนจึงโกรธ อำนาจเมตตาฌาน น้ำมันเดือดก็ไม่ระคายผิว นางอุตตราเห็นอาการของนางสิริมาแล้ว รู้ว่านางโกรธ จึงเข้าเมตตาฌาน แผ่เมตตาไปในนางสิริมา นางสิริมาลงมาแล้วก็เอากระบวยตักน้ำมันร้อน ๆ ในกระทะทอดขนม ราดลงบนศีรษะของนางอุตตรา แต่ด้วยอำนาจเมตตาฌาน น้ำมันเดือดๆ นั้นก็ไหลกลับไปเหมือนน้ำที่ราดลงบนในบัวฉะนั้น พวกทาสีของนางอุตตราเห็นเช่นนั้น ก็บริภาษนางสิริมาว่า รับค่าจ้างจากนายของพวกเราแล้ว ยังมาทำร้ายนายของพวกเราอีก ต้องให้พระพุทธองค์ยกโทษให้ก่อน ตนถึงจะยกโทษให้ นางสิริมาฟังแล้วก็ได้สำนึกว่า ตนเป็นเพียงภรรยาที่เขาจ้างมาเท่านั้น จึงหมอบลงแทบเท้านางอุตตราขอโทษ นางอุตตราบอกให้ไปขอโทษพระพุทธองค์ ถ้าพระพุทธองค์ทรงยกโทษให้ ตนก็จะยกโทษให้ ดังนั้นเมื่อพระศาสดาเสด็จมาเสวยที่เรือนของนางอุตตรา นางสิริมาจึงเข้าไปหมอบแทบพระบาทกราบทูลถึงความผิดของตน พร้อมกับทูลขอให้พระศาสดาทรงยกโทษให้ พระศาสดาก็ทรงยกโทษให้ นางสิริมาจึงไปขอให้นางอุตตรายกโทษให้ ซึ่งนางอุตตราก็ยกโทษให้ โสเภณีบรรลุโสดาบัน ในวันนั้น เมื่อพระศาสดา ทรงอนุโมทนาภัตทานของนางอุตตราได้ตรัสพระคาถาว่า “พึงชนะคนโกรธ ด้วยความไม่โกรธ พึงชนะคนไม่ดี ด้วยความดี พึงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้ พึงชนะคนพูดเท็จด้วยคำจริง” พอจบคาถา นางสิริมาก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล เป็นพระโสดาบัน เป็นอันว่าการเจริญเมตตาของนางอุตตรา นอกจากจะทำให้นางอุตตราไม่เป็นอันตรายจากน้ำมันเดือดๆ แล้ว ยังเป็นปัจจัยให้นางสิริมาสำนึกถึงความผิดของตน ได้ฟังพระธรรมเทศนาบรรลุเป็นพระโสดาบันด้วย เมตตาจึงมีอานิสงส์มาก อย่างนี้ ในการแสดงเมตตานี้ พระพุทธองค์ทรงสอนให้ผู้เจริญเมตตาได้รับอานิสงส์ทั้ง ๓ ประการ คือ อานิสงส์ที่พึงได้รับในปัจจุบัน ๑ อานิสงส์ที่จะพึงได้รับในอนาคต ๑ และอานิสงส์อันเป็นปรมัตถประโยชน์ คือ การบรรลุมรรค ผล นิพพาน อีก ๑ (http://i1045.photobucket.com/albums/b453/alongkot_r/010653/f24.jpg) นั่นคือมิให้หยุดอยู่เพียงได้เมตตาฌานเท่านั้น แต่ยังทรงสอนให้ใช้ฌานนั้นเป็นบาท ก้าวขึ้นสู่วิปัสสนา จนผ่านวิปัสสนาญาณไปตามลำดับ บรรลุ มรรค ผล นิพพาน เป็นพระอรหันต์ ผู้ที่บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วเท่านั้น ที่เป็นผู้ทำที่สุดทุกข์ได้ คือปรินิพพานแล้วไม่เกิดอีก อันเป็นจุดหมายสูงสุดในพระศาสนานี้ ไม่มีในศาสนาอื่น นี่คือ พระมหากรุณาธิคุณที่พระพุทธองค์ทรงมีแก่สรรพสัตว์โดยแท้ และนี่แหละ คือ อานิสงส์ที่แท้จริงของการอยู่ด้วยกัน ด้วยความรัก คือ เมตตา ที่มา http://84000.org/tipitaka/book/bookpn07.html (http://84000.org/tipitaka/book/bookpn07.html) |