หัวข้อ: ส่อง ‘สงกรานต์ไทย’ ย้อนรอยความเชื่อโบราณ-ที่มาการเล่นสาดน้ำ เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มีนาคม 30, 2024, 07:04:38 am .
(https://www.matichon.co.th/wp-content/uploads/2024/03/728-319.jpg) ส่อง ‘สงกรานต์ไทย’ ย้อนรอยความเชื่อโบราณ-ที่มาการเล่นสาดน้ำ วงเสวนา ส่อง ‘สงกรานต์ไทย’ ย้อนรอยความเชื่อโบราณ และที่มาการเล่นสาดน้ำ เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่ห้องประชุมอาคารดำรงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร สโมสรศิลปวัฒนธรรม จัดเสวนาส่อง “สงกรานต์ไทย” โดยมี ผศ.คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และนายศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี ร่วมเสวนา (https://www.matichon.co.th/wp-content/uploads/2024/03/444646-1024x683.jpg) โดย ผศ.คมกฤช กล่าวว่า คำว่า “สงกรานต์” หรือ “สังกรานติ (สํกฺรานฺติ)” มาจากภาษาสันสกฤต หรือภาษาแขกของอินเดีย มีความหมายว่า การเคลื่อนหรือย้ายของพระอาทิตย์ ซึ่งความเชื่อคนโบราณ แบ่งท้องฟ้าออกเป็น 12 ช่องตามกลุ่มดาวจักรราศี ดังนั้น “วันสงกรานต์” หมายถึงวันที่ดวงอาทิตย์ เคลื่อนย้ายจากราศีหนึ่งไปสู่อีกราศีหนึ่งในกลุ่มดาวจักราศีทั้ง 12 กลุ่ม เพราะฉะนั้นในรอบ 1 ปี จึงมีวันสงกรานต์ถึง 12 วัน ในช่วงวันที่ 14-15 ของทุกเดือน ตามสุริยคติ เช่น พระอาทิตย์ย้ายเข้าราศีมังกร ก็เรียก มกรสังกรานติ (มกรสงกรานต์) เข้าราศีเมษก็เรียก เมษสังกรานติ (เมษสงกรานต์) ซึ่งเป็นความเชื่อแบบโบราณ โดยตามความเชื่อของพราหมณ์ ถือเอาสงกรานต์ใหญ่สองสงกรานต์ว่าสำคัญกว่าสงกรานต์อื่นๆ คือ มกรสงกรานต์ และเมษสงกรานต์ มกรสงกรานต์ หรือมกรสังกรานติ คือสงกรานต์ที่พระอาทิตย์ย้ายเข้าราศีมังกรในช่วงวันที่ 14-15 มกราคมของทุกปี เพราะเป็นช่วงที่ดวงอาทิตย์ย้ายเข้าราศีมังกร เท่ากับได้ย้ายจากวงโคจร (อายน) ด้านใต้ (ทักษิณายัน) ซึ่งกินเวลาครึ่งหนึ่งของปี มาสู่วงโคจรด้านเหนือ (อุตรายัน) วงโคจรด้านเหนือของดวงอาทิตย์คือช่วงเวลาของฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงอบอุ่นของโลกอันเหมาะแก่การเพาะปลูก ผิดกับวงโคจรด้านใต้ที่หนาวเย็น สะท้อนถึงความมืดและความตาย ถือกันว่าทักษิณายันเป็น “กลางคืน” ของเทวดา ส่วนอุตรายันเป็น “กลางวัน” ของเทวดา เพราะหนึ่งปีมนุษย์เท่ากับหนึ่งวันของเทวดา (https://www.matichon.co.th/wp-content/uploads/2024/03/444654-1024x683.jpg) ทั้งนี้ เมื่อไปดูสงกรานต์ เดือนมกราคมของอินเดียใต้ จะไม่มีการสาดน้ำ แต่จะมีพิธีบูชาเทพที่เทวสถานแล้ว ในอินเดียภาคใต้จะเรียกเทศกาลนี้ว่า “ไทปงคัล” “ปงคัล” คือข้าวหุงอย่างเทศใส่นมเนย ส่วน “ไท” คือชื่อเดือนยี่ของทมิฬ ชาวบ้านจะตื่นมาหุงข้าวปงกัลป์ถวายพระสุริยเทพ ส่วนข้าว “ปงคัล” ของทมิฬ ก็คืออย่างเดียวกับ “ข้าวเปียก” หมายถึงข้าวกวนกับกะทิและนม ซึ่งใช้ถวายพระเป็นเจ้าในพระเทวสถานเฉพาะในพระราชพิธีตรียัมปวายเท่านั้น โดยไม่มีการสาดน้ำ ส่วนส่งกรานต์เดือนเมษายน ของประเทศไทยนั้น ตรงกับช่วงที่พระอาทิตย์โคจรเข้าสู่ราศี เมษสงกรานต์สำคัญ เพราะเป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์อยู่ในตำแหน่งสูงสุดคือจอมฟ้า ตรงเหนือศีรษะเราพอดี อันเป็นตำแหน่งที่พระอาทิตย์มีกำลังสูงสุดในทางโหราศาสตร์อินเดียถือว่า ราศีเมษ เป็นราศีที่สถิต “ลัคนา” หรือตำแหน่งอ้างอิงทางโหราศาสตร์ของโลก การที่ดาวใหญ่อย่างดวงอาทิตย์ย้ายเข้าในราศีลัคนาโลก จึงเป็นเรื่องใหญ่โต และยังใกล้เริ่มต้นเพาะปลูกอีกด้วย แขกพราหมณ์อินเดียใต้ ต่างถือว่าเมษสงกรานต์เป็นปีใหม่ของตน เรียกชื่อเทศกาลออกไปต่างกัน โดยอินเดียในแต่ละภูมิภาคไม่ได้นับปีใหม่ตรงกัน เพราะความแตกต่างของภูมิอากาศ (https://www.matichon.co.th/wp-content/uploads/2024/03/444655-1024x614.jpg) โดยสงกรานต์ของแขกพราหมณ์ไม่มีสาดน้ำหรือรดน้ำเป็นกรณีพิเศษ แต่จะมีรดน้ำเทวรูปในเทวสถาน ซึ่งก็ทำกันเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่ใช่พิธีที่แยกออกมา การที่พระอาทิตย์เคลื่อนย้ายทำให้เกิดฤดูกาล ส่วนมาเป็นสงกรานต์ของ ประเทศไทยได้อย่างไรนั้น สงกรานต์ในระดับราชสำนัก ที่รับมาจากพรามหณ์ จะมีความเข้มข้นค่อนข้างมากในเรื่องของพิธีกรรม ส่วนระดับชาวบ้านอาจจะมีความแตกต่างกับอินเดีย แต่ที่อาจจะคล้ายกัน คือของไทยมีการสาดน้ำ แต่ของประเทศอินเดียจะมีการสาดผงสีใส่กันในเทศกาลโฮลี เป็นเรื่องของการเจริญพืชพันธ์ แต่ที่สันนิษฐานว่า ไม่เหมือนกับสงกรานต์ไทย โดยโฮลี ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งการสิ้นสุดฤดูหนาว ย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้น นอกจากจะเล่นสาดสีกันแล้ว ก็จะมีการร้องรำทำเพลงและเต้นรำกันเป็นที่สนุกสนาน ซึ่งตามความเชื่อแล้ว เทศกาลโฮลี เป็นการเผานาง โหลิกา หรือการไล่ความร้อน ซึ่งไม่มีการใช้น้ำ อีกทั้งยังเป็นคนละช่วงเวลา ที่ไม่เกี่ยวข้องกับพระอาทิตย์ และไม่ได้เป็นที่มาของการสาดน้ำในสงกรานต์ประเทศไทย (https://www.matichon.co.th/wp-content/uploads/2024/03/444672-1024x626.jpg) ส่วนพิธีกรรมที่เกี่ยวกับน้ำนั้น ตามประเพณีของไทยมี แต่จะมีเฉพาะพระราชพิธีของพระมหากษัตริย์ ซึ่งมีปรากฎอยู่ในพระราชนิพนธ์พระราชพิธีสิบสองเดือนเกิดขึ้น ของรัชกาลที่ 5 ส่วนการเล่นสาดน้ำนั้น มาจากของไทยเอง จนปัจจุบัน ถึงกับเรียกว่า Water Festival เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว แม้ที่ผ่านมา จะเคยมีการพูดคุยว่า อยากให้อนุรักษ์ประเพณีสงกรานต์แบบดั่งเดิม แต่ส่วนตัว ก็อยากให้เป็นไปตามยุคสมัย ภายใต้กฎหมาย เพื่อให้ประชาชนได้สนุกกับสงกรานต์แบบพอเหมาะพอดี ด้านนายศิริพจน์ กล่าวว่า เรื่องวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่รับมาอินเดีย จะมาเป็นชุดทั้งประเพณี และหลักการความเชื่อทางศาสนา ซึ่งจะมีเรื่องพิธีกรรมที่สัมพันธ์กับฤดูกาล ภูมิอากาศ และการเพาะปลูก เห็นได้จากกฎหมายตราสามดวงวง ซึ่งนับ 1 ปี เป็น 1 รอบของการเพาะปลูก โดยช่วงเดือนเมษายน ของประเทศไทย ตรงกับหน้าร้อนที่ ไม่มีการเพาะปลูก ดังนั้น จึงเป็นช่วง ตรงกับช่วงที่มีการไหว้ผีบรรพบุรุษเพื่อคุ้มครองให้เดือนถัดไปที่จะมีการแรกนา เป็นไปด้วยดี มีความอุดมสมบูรณ์ จึงทำให้สงกรานต์ของไทย นอกจากไหว้เทพและยังมีการไหว้ผีบรรพชนด้วย ส่วนการสาดน้ำในประเพณีไทยมาจากไหน นั้น จากข้อมูลในสมัยร.4 ที่มีการออกประกาศในเรื่องประเพณีสงกรานต์ ก็ยังไม่มีการสาดน้ำ จนกระทั่งต้องมีการออกประกาศห้ามกระทำในเรื่องต่าง ๆ แต่ก็ยังไม่มีการประกาศในเรื่องสาดน้ำ ส่วนการสาดน้ำมีความเป็นมาอย่างไรนั้น มองว่า เป็นความพยายามแหกออกจากกฎเกณฑ์สังคม ซึ่งการสาดน้ำก็เป็นหนึ่งในการแหกกฎที่ไม่สามารถทำได้ในวิถีปกติ รวมถึงยังมีเรื่องเล่าสัปดนซึ่งไม่สามรถทำได้ในวิถีชีวิตปกติเช่นเดียวกัน Thank to : https://www.matichon.co.th/education/religious-cultural/news_4497898 (https://www.matichon.co.th/education/religious-cultural/news_4497898) วันที่ 28 มีนาคม 2567 - 17:02 น. |