สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ มิถุนายน 04, 2024, 08:56:04 am



หัวข้อ: 'ดอกบัว' กับ 'การเรียนรู้' ในทัศนะพุทธปรัชญา
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มิถุนายน 04, 2024, 08:56:04 am
.
(https://i.pinimg.com/564x/90/3c/52/903c52343428979e4bfcf6bc6be983d5.jpg)


'ดอกบัว' กับ 'การเรียนรู้' ในทัศนะพุทธปรัชญา
The Lotus and Leaning in Concept Buddhist Philosophy

โดย ปัญญา นามสง่า , Panna Namsagha
อาจารย์ประจำ สาขาวิชาปรัชญา, วิทยาลัยสงฆ์พุทธชินราช
Lecturer of Department of Philosophy, Phuttha Chinarat Buddhist College

ที่มา : วารสาร มจร ปรัชญาปริทรรศน์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม – ธันวาคม 2561)
Journal of MCU Philosophy Review Vol. 1 No. 2 (July - December 2018)




 :25: :25:

บทคัดย่อ

บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ดอกบัวกับการเรียนรู้ในทัศนะพุทธปรัชญา โดยใช้การศึกษาจากเอกสาร หนังสือและบทความที่เกี่ยวข้อง ผลการศึกษาพบว่า ดอกบัวมีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของคนไทยมายาวนาน “ดอกบัว” มีปรากฏอยู่ในภาษาวรรณคดีและวรณคดีไทย สุภาษิต ปริศนาคำทาย รวมทั้งความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้า ในความเชื่อเกี่ยวกับการตั้งชื่อคนไทยมีความเชื่อเกี่ยวกับบัวว่าจะอำนวยความสุข ความเจริญให้กับตนได้

นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์กับโภชนาการด้านอาหารซึ่งเป็นมรดกที่เก่าแก่ของสังคมไทยดอกบัวเป็นดอกไม้ชนิดหนึ่งมีปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนา มี 3 เหล่า คือ ดอกอุบล ดอกปทุม และดอกบุณฑริก ดอกบัวบางดอกเกิดในน้ำ เจริญในน้ำ อยู่เสมอน้ำและขึ้นพ้นจากน้ำไม่เกาะน้ำ

อาการของดอกบัว 4 ประการนี้เอง กล่าวได้ว่า “อุปมาด้วยการเรียนรู้ของบุคคล 4 ประเภท” โดยเป็นพัฒนาการเรียนรู้ที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล คือ
(1) อุคฆฏิตัญญู
(2) วิปติตัญญู
(3) เนยยะ
(4) ปทปรมะ

เมื่อจัดกลุ่มบุคคลที่เป็นไวเนยยสัตว์แล้ว ได้ 3 จำพวก ได้แก่
(1) อุคฆฏิตัญญู ผู้มีสติปัญญาดี เรียนรู้เร็ว
(2) วิปจิตัญญู ผู้มีสติปัญญาค่อนข้างดีเมื่อเรียนรู้อีกเล็กน้อยก็สำเร็จได้
(3) เนยยะ ผู้มีสติปัญญาปานกลาง เมื่อได้ยินได้ฟังบ่อยๆ อบรมบ่อยๆ ก็สำเร็จได้

ส่วนปทปรมบุคคล เป็นบุคคลที่แม้จะศึกษามาก อบรมมาก ทรงจำเนื้อหาคำสอนได้มาก แต่ก็ไม่สามารถบรรลุมรรคผลในชาตินี้ได้ ได้อานิสงส์เพียงเป็นวาสนาบารมีในภพชาติถัดไป

คำสำคัญ : ดอกบัว, การเรียนรู้, พุทธปรัชญา




 :25: :25:

Abstract

This article entitled to analyze the Lotus and Leaning in Concept Buddhist Philosophy. This is a qualitative research done by studying academic documents. In the research, it was found that the lotus related for the longest time with the Thai way of living. Lotus them appeared in the expressions, language, literature, idioms, proverbs and aphorisms as well as the beliefs in Gods. With regard to the naming, the thais believed that the names relation to lotus would bring them happiness and prosperity.

In addition, lotus related not only to the sources of knowledge, but also to nutrition and Thai food which were the cultural heritage of the Nation in Thai society. Lotus its flower in Buddhism, There are 3 groups : Ubon Pathum and Buntharik by compare with learning of four Puggala [four kinds of persons]

     (1) Ugghatitannu = a person of quick intuition ; the genius ; the intuitive
     (2) Vipacitannu = a person who understands after a detailed treatment ; the intellectual
     (3) Neyya = a person who is guidable ; the trainable but
     (4) Padaparama = a person has just word of the text at most ; an idiot.

Keywards : Lotus, Learning, Buddhist Philosophy.




(https://i.pinimg.com/736x/40/fb/42/40fb42be097c065cb1c2bfaf3de60af4.jpg)


บทนำ

คำว่า “บัว” (ปทุม) มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ซึ่งมีตำนานกล่าวว่าหมอชีวกโกมารภัจจ์ ได้ปรุงยาจากดอกบัว ถวายแด่ องค์สมเด็จพระพุทธเจ้า แก้อาการอ่อนเพลีย ถือว่าดอกบัวเป็นดอกไม้ประจำศาสนาพุทธ ตามพุทธประวัติพบว่า บัวมีส่วนเกี่ยวข้องตั้งแต่ เมื่อพระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพาน

เมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้แล้ว แต่เนื่องจากพระธรรมที่พระองค์ทรงบรรลุนั้นมีความละเอียดอ่อน สุขุมคัมภีรภาพ ยากต่อบุคคลจะรู้ เข้าใจและปฏิบัติได้ ทรงพิจารณาอย่างลึกซึ้ง แล้วทรงเห็นว่าบุคคลในโลกนี้มีหลายจำพวก บางพวกสอนได้ บางพวกสอนไม่ได้ เปรียบเสมือนบัวสี่เหล่า

บัวหลวงในพุทธประวัติ ตอนแรกกล่าวถึงสุบินนิมิตของพระนางสิริมหามายาว่า มีพระเศวตกุญชรใช้งวงจับดอกบัวหลวงสีขาวที่เพิ่งบานใหม่ๆ ส่งกลิ่นหอมตรลบ และทำประทักษิณสามรอบ แล้วจึงเข้าสู่พระครรภ์พระนางสิริมหามายาด้านข้าง

ในขณะนั้นได้เกิดบุพนิมิตขึ้น 32 ประการ ประการหนึ่งเกี่ยวกับดอกบัว คือมีดอกบัวปทุมชาติห้าชนิด เกิดดารดาษไปในน้ำและ บนบกอย่างหนึ่ง มีดอกบัวปทุมชาติ ผุดงอกขึ้นมาจากแผ่นหินแห่งละเจ็ดดอกอย่างหนึ่ง และต้นพฤกษาลดาชาติทั้งหลาย ก็บังเกิดดอกปทุมชาติออกตามลำต้นและกิ่งก้านอีกอย่างหนึ่ง

ตอนประสูติ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติที่สวนลุมพินี ทรงบ่ายพระพักตร์ไปทางทิศอุดร และย่างพระบาทไป 7 ก้าว มีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับ 7 ดอก (พระไตรปิฎกพร้อมอรรถกถาภาษาไทย1/172/102)

ต่อมาเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ เจริญพระชนมายุได้ 7 พรรษา พระราชบิดาโปรดให้ขุดสระโบกขรณี 3 สระ สำหรับพระราชโอรสทรงลงเล่นน้ำ โดยปลูกอุบลบัวขาบสระหนึ่ง ปลูกปทุมบัวหลวงสระหนึ่ง และปลูกบุณฑริกบัวขาวอีกสระหนึ่ง

เมื่อพระพุทธองค์ได้ทรงพิจารณาถึงธรรมะที่ได้ทรงตรัสรู้ว่า เป็นธรรมะอันล้ำลึกยากที่ชนผู้ยินดีในกามคุณจะรู้ตามได้ แต่ผู้ที่มีกิเลสเบาบางอันอาจรู้ตามก็มี จึงเกิดอุปมาเวไนยสัตว์เหมือน “ดอกบัว”

จะเห็นว่า ดอกบัวเป็นดอกไม้ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาหลายๆ ตอน ชาวพุทธนิยมใช้ดอกบัวบูชาพระรัตนตรัยมาตั้งแต่โบราณกาล ประเทศไทยใช้บัวเป็นดอกไม้ประจำพระพุทธศาสนา




(https://i.pinimg.com/736x/4d/19/79/4d1979064b79f95c20cea22c934804d8.jpg)


ลักษณะการเรียนรู้เรื่องดอกบัวในฐานะในทรรศนะพุทธปรัชญา

ดอกบัวเป็นพืชพันธุ์ไม้ที่มีความผูกพันกับพระพุทธศาสนามานาน ความนิยมในดอกบัวว่าเป็นดอกไม้ที่สูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ จึงได้รับการยกย่องให้เป็นดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งพระพุทธศาสนา เป็นสัญลักษณ์แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (พระไตรปิฎกภาษาไทย17/94/180)

ดอกบัวจึงเป็นดอกไม้พิเศษที่พุทธศาสนิกชนมีความเชื่อมาแต่โบราณว่าการบูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกบัวจะได้บุญกว่าการบูชาพระพุทธองค์ด้วยดอกไม้อื่น การที่ดอกบัวได้รับการยกย่องให้มีความสำคัญสูงส่งเช่นนั้น จึงปรากฏเรื่องราวของดอกบัวแทรกอยู่ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาด้วยเสมอ

เรื่องราวในพุทธประวัติ ที่บรรยายเหตุการณ์เมื่อพระโพธิสัตว์ตรัสรู้แล้วในสัปดาห์ที่ 5 พระองค์ได้ทรงพิจารณาธรรมที่ได้ตรัสรู้ว่าเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง ยากที่จะมีคนรู้ตามได้ แต่ก็ทรงทราบด้วยพระญาณว่าบุคคลในโลกนี้มีหลากหลายจำพวก บ้างกิเลสบาง บ้างกิเลสหนา บ้างสอนง่าย บ้างสอนยาก บ้างสามารถจะรู้ตามได้ บ้างไม่สามารถจะรู้ตามได้ เปรียบเหมือนดอกบัว 3 ประเภท ได้แก่

     1. บุคคลที่เมื่อได้ฟังเพียงหัวข้อเรื่องก็สามารถเข้าใจในเรื่องราวทั้งหมดซึ่งเปรียบได้กับดอกบัวที่ตั้งขึ้นพ้นน้ำ รอสัมผัสแสงอาทิตย์ก็จะบานในวันเดียวกัน
     2. บุคคลที่เมื่อได้ฟังหัวข้อเรื่องแล้วได้รับการขยายความอีกเล็กน้อย ก็สามารถเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้ ซึ่งเปรียบได้กับดอกบัวที่ตั้งอยู่เสมอน้ำ รอที่จะบานในวันรุ่งขึ้น
     3. บุคคลที่เมื่อฟังหัวข้อเรื่องแล้ว และได้รับการสั่งสอนโดยละเอียดจึงจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ซึ่งเปรียบได้กับดอกบัวที่ยังอยู่ในน้ำ ยังไม่โผล่พ้นน้ำ แต่ก็รอที่จะบานในวันต่อไป (พระไตรปิฎกภาษาไทย 4/9/14)

ในจิตรกรรมสถาปัตยกรรม หรือประติมากรรมที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า ก็แสดงสัญลักษณ์ดอกบัวรองรับพระพุทธองค์ไว้ทุกอิริยาบถ

@@@@@@@

นอกจากนี้ ในพระไตรปิฎกมีเรื่องราวที่พระพุทธเจ้าทรงชมเชยบุคคลผู้ปฏิบัติธรรมจนสามารถละธุลีคือราคะ โทสะ และโมหะ ได้แล้วว่าเป็นผู้มีปัญญา ไม่หวั่นไหวต่อคำนินทาหรือสรรเสริญ มีจิตห่างจากบาป ไม่โกรธง่าย ไม่ว่าร้ายใคร ทรงเปรียบผู้ปฏิบัติเช่นนั้นเหมือนกับดอกบัวที่แม้จะอยู่ในน้ำ แต่ก็ไม่ติดอยู่กับน้ำ ดังประโยคที่ปรากฏในขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า

    “ผู้เที่ยวไปผู้เดียว มีปัญญา ไม่ประมาท ไม่หวั่นไหว เพราะนินทาและสรรเสริญ ไม่สะดุ้ง เพราะเสียงเหมือนราชสีห์ ไม่ติดข่ายเหมือนลม ไม่เปียกน้ำเหมือนบัว เป็นผู้แนะนำผู้อื่น ไม่ใช่ผู้อื่นแนะนำ นักปราชญ์ทั้งปลาย ประกาศว่าเป็นมุนี” (พระไตรปิฎกภาษาไทย 25/215/550)

ในการศึกษาพระปริยัติสัทธรรมโดยเฉพาะในส่วนที่เป็นนวังคสัตถุศาสน์ เราจะได้พบคำศัพท์ทางวิชาการพุทธศาสนาอีกมากที่ยังคงเป็นประเด็นปัญหาในเรื่องของการตีความและการอธิบายความอยู่ และหนึ่งในบรรดาคำศัพท์เหล่านั้น ก็คือคำว่า ‘ปทปรมบุคคล’ อันเป็นหนึ่งในบรรดาบุคคลสี่จำพวก ที่ท่านเปรียบด้วยดอกบัวเหล่าที่สี่

คำว่า ‘ปทปรมบุคคล’ นี้ตามหลักฐานเดิมในคัมภีร์พระไตรปิฎกตอนปฐมโพธิกาล มีเพียงบุคคล 3 จำพวกคือ อุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู และเนยยะ (พระไตรปิฎกภาษาไทย 12/283/307-308) เท่านั้น จึงมีนัยชวนให้เกิดข้อสงสัยขึ้นมาว่า เพราะเหตุไรพระพุทธองค์จึงไม่ทรงยกขึ้นมาตรัสไว้ในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วย

จากข้อสังเกตตามหลักฐานที่ปรากฏในคัมภีร์ดังกล่าว ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานได้ว่า เหตุที่พระพุทธองค์ไม่ทรงยกขึ้นมาตรัสไว้นั้น อาจเป็นด้วยเหตุผลที่ว่าบุคคล 3 จำพวกดังกล่าวนี้ ท่านจัดเป็นเวไนยบุคคล ซึ่งถือว่าเป็นบุคคลกลุ่มเป้าหมายหลักสำคัญที่พระพุทธองค์ทรงมีพระประสงค์จะเสด็จไปแสดงธรรมโปรดตามหลักพุทธกิจ 5 อย่าง (พระไตรปิฎกพร้อมอรรถกถาภาษาบาลี 1/45-47) อันเป็นพระพุทธัตถจริยาของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่เคยเป็นมาไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบัน หรือแม้แต่ในอนาคตข้างหน้าก็ตาม เพื่อให้เวไนยสัตว์เหล่านั้นได้สำเร็จมรรคผลตามควรแก่อุปนิสัยแห่งวาสนาบารมีของตนๆ ภายหลังจากที่ได้ตรัสรู้แล้วใหม่ๆ

@@@@@@@

ส่วนปทปรมบุคคล ที่ไม่ปรากฏตามหลักฐานที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งพระอรรถกถาจารย์กล่าวว่า มิได้ขึ้นสู่บาลี (พระไตรปิฎกพร้อมอรรถกถาภาษาบาลี 18/2/453) คือ พระพุทธองค์มิได้ทรงยกขึ้นมาตรัสไว้เองนั้น เนื่องจากมิใช่เวไนยบุคคลอันเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักสำคัญที่พระพุทธองค์จะต้องรีบเสด็จไปแสดงธรรมโปรดโดยเร่งด่วน

เพราะมีพุทธกิจข้อหนึ่งอันเป็นหลักพุทธัตถจริยา (พระไตรปิฎกพร้อมอรรถกากถาภาษาบาลี 31/449/329) ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก่อนแต่ที่จะทรงแสดงธรรมโปรดใครนั้น ในเวลาใกล้รุ่งจะทรงแผ่ข่ายคือพระญาณเพื่อพิจารณาหาว่าบุคคลใดบ้าง ที่จะสามารถบรรลุธรรมได้ และใครบ้างที่ยังไม่สามารถบรรลุธรรมได้(พระไตรปิฎกภาษาบาลี 4/9/9) เป็นเบื้องต้นก่อน โดยมากพระองค์จะทรงเลือกบุคคลหรือกลุ่มบุคคลผู้เข้าไปปรากฏในข่ายคือพระญาณของพระองค์ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นบุคคลหรือกลุ่มบุคคลผู้มีอุปนิสัยวาสนาบารมี หรือมีอินทรีย์แก่กล้าแล้วเท่านั้น

ดังจะเห็นได้ว่าภายหลังที่ตรัสรู้แล้วใหม่ๆ คราวที่ทรงพิจารณาหาบุคคลผู้จะรับฟังพระธรรมเทศนาของพระองค์ทรงระลึกถึงอาจารย์ 2 ท่านคืออาฬารดาบส กาลามโคตร และอุททกดาบส รามบุตรก่อน พอทรงทราบว่าท่านทั้งสองนั้นได้ถึงแก่กรรมแล้ว

ต่อมาจึงทรงหวนระลึกถึงพระเบญจวัคคีย์ เพราะนอกจากท่านเหล่านั้นเคยเป็นผู้มีคุณูปการต่อพระพุทธองค์มาก่อนแต่ที่จะได้ตรัสรู้แล้ว ท่านเหล่านั้นยังเป็นผู้มีอุปนิสัยวาสนาบารมีจัดอยู่ในจำ พวกอุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู หรือ เนยยบุคคลผู้ควรแก่การรับปฐมเทศนาเบื้องต้น เพราะเป็นผู้มีสติปัญญาสามารถที่จะบรรลุมรรคผลได้ในปัจจุบันชาตินี้ หากว่าได้สดับรับฟังพระธรรมเทศนา เพียงแต่พระองค์ทรงยกหัวข้อขึ้นแสดง หรืออธิบายขยายความหัวข้อที่ทรงยกขึ้นแสดงแล้วนั้นให้พิสดาร ก็จะสามารถบรรลุธรรมได้โดยลำดับ เปรียบด้วยดอกบัวจำพวกที่โผล่พ้นน้ำแล้วเพียงสัมผัสแสงตะวันก็จะบานในทันที และดอกบัวจำพวกที่เจริญขึ้นมาเสมอน้ำแล้ว จักบานในวันพรุ่ง


(https://i.pinimg.com/564x/1e/85/8e/1e858ee965fbc2f00409176ec07fd1fe.jpg)

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหลักฐานทางคัมภีร์พระไตรปิฎกบางคัมภีร์จะมิได้กล่าวถึงบุคคลจำพวกปทปรมะไว้ แต่พระอรรถกถาจารย์ผู้รู้พุทธาธิบายเห็นว่าควรนำมาแสดงไว้ด้วย เพื่อให้ได้ความครบถ้วนสมบูรณ์ ดังมีปรากฏอยู่ในคัมภีร์อุคฆฏิตัญญูสูตร (พระไตรปิฎกภาษาบาลี 21/133/187) ซึ่งคัมภีร์ดังกล่าวนี้ได้กล่าวถึงบุคคลไว้ 4 จำพวก คือ
    - อุคฆฏิตัญญู (ผู้เข้าใจได้ฉับพลัน)
    - วิปจิตัญญู(บุคคลผู้เข้าใจต่อเมื่อขยายความ)
    - เนยยะ (ผู้ที่พอจะแนะนำได้) และ
    - ปทปรมะ (ผู้ที่สอนให้รู้ได้แต่เพียงตัวบทคือพยัญชนะ)(พระไตรปิฎกภาษาบาลี 21/133/202) เท่านั้น

โดยที่ประเด็นปัญหาที่ต้องการศึกษาในที่นี้ ก็คือ เรื่องการตีความ และการอธิบายความของพระอรรถกถาจารย์ พระฎีกาจารย์ และพระอนุฏีกาจารย์ ตลอดถึงโบราณาจารย์ต่างๆ ในคัมภีร์ชั้นหลังๆ ตามที่ปรากฏในสังคมไทยเกี่ยวกับคำว่า ปทปรมบุคคล ในส่วนของการตีความ หรือการอธิบายความบุคคล 4 จำพวกดังกล่าว

การตีความหรือการอธิบายความบุคคล 3 จำพวกแรกข้างต้นตามที่ปรากฏในคัมภีร์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์ชั้นปฐมภูมิคือพระไตรปิฎก เป็นต้น หรือทุติยภูมิ คือ หลักสูตร แบบเรียน หรือตำราวิชาการชั้นรองลงมา การตีความ หรือการอธิบายความนั้นไม่สู้จะเป็นปัญหาที่ยากเกินไปในการที่จะศึกษา และทำความเข้าใจมากนัก เพราะมีเนื้อความที่กระจ่างชัดอยู่แล้ว จะมีก็แต่จำพวกปทปรมบุคคลเท่านั้น ที่ยังคงเป็นปัญหาในเรื่องของการตีความ หรือการอธิบายความในคัมภีร์ชั้นหลังๆอยู่ โดยเฉพาะการตีความหรือการอธิบายความในทัศนะของสังคมไทยปัจจุบัน

ตัวอย่างจากการที่ได้ศึกษาค้นคว้าหลักฐานทางคัมภีร์พระพุทธศาสนามา โดยเฉพาะหลักฐานขั้นปฐมภูมิ พบว่าหลักฐานทางคัมภีร์ส่วนใหญ่ แม้จะมีการตีความหรือการอธิบายความไว้มีนัยต่างๆ แต่ก็มีใจความโดยสรุปสอดคล้องไปในแนวเดียวกัน ไม่ต่างกันมากนักจากคัมภีร์หลักคือพระไตรปิฎก

ดังเช่นในอภิธรรมปิฎก ได้ตีความหรืออธิบายความไว้ว่า ปทปรมะ หมายถึงบุคคลที่ฟังมาก กล่าวก็มาก ทรงจำก็มาก บอกสอนก็มาก แต่ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ในปัจจุบันชาตินั้น (พระไตรปิฎกภาษาบาลี 36/185/65)

แม้ในอรรถกถาต่างๆ ก็ได้มีการตีความหรือการอธิบายความไว้มีนัยเช่นเดียวกัน และยังได้อธิบายเพิ่มเติมว่า เป็นดุจดอกบัวอันเป็นภักษาแห่งปลาและเต่า...จะมีวาสนาเพื่อประโยชน์ในอนาคต (พระไตรปิฎกพร้อมอรรถกถาภาษาไทย 13/2/1/148-149)

@@@@@@@

อนึ่ง ในบรรดาบุคคล 2 ประเภทที่ท่านจัดไว้ คือ ภัพพบุคคล และอภัพพบุคคล (พระไตรปิฎกพร้อมอรรถกถาภาษาไทย 18/1/2/453-454) ปทปรมบุคคลนี้ พระอรรถกถาจารย์ท่านจัดไว้ในประเภท อภัพพบุคคล เนื่องจากไม่สามารถก้าวลงสู่ความชอบในกุศลธรรมแน่นอน(พระไตรปิฎกพร้อมอรรถกถาภาษาไทย18/1/2/453-454)

คือ ไม่อาจเชื่อมั่นในลักษณะที่จะสามารถรับประกันหรือรับรองได้ว่า บุคคลดังกล่าวนั้นจะสามารถดำรงจิตของตนให้มั่นคงอยู่ได้ในกุศลธรรมเช่นนั้นอย่างสม่ำเสมอตลอดไป ระหว่างที่ยังไม่บรรลุมรรคผ และนิพพาน โดยที่ไม่ให้ตกไปสู่กระแสแห่งบาปอกุศลธรรมใดๆ ได้เลย

จากหลักฐานชั้นปฐมภูมิ คือคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา และฎีกาอย่างที่ได้ยกนำมากล่าวไว้ข้างต้นนี้ มีข้อที่ชวนให้เกิดความสงสัย คือ คำว่า ปทปรมบุคคลนี้ ไม่น่าจะตีความหรืออธิบายความไว้ด้วยนัยที่ค่อนข้างจะแคบว่า หมายถึงเฉพาะบุคคลผู้โง่เขลาอับปัญญา จนถึงขั้นไม่สามารถเรียนรู้และเข้าใจความหมายอะไรได้เลย อย่างที่นักวิชาการด้านศาสนา และคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในสังคมไทยโดยมากเข้าใจกันอยู่ในสมัยปัจจุบัน

เช่น อย่างข้อความที่ปรากฏอยู่ในหนังสือพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรมที่ว่า ปทปรมะ หมายถึง ผู้มีบทเป็นอย่างยิ่ง, ผู้อับปัญญา สอนให้รู้ได้แต่เพียงตัวบท คือพยัญชนะหรือถ้อยคำ ไม่อาจเข้าใจอรรถคือความหมาย (พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), 2543 ก)

และอีกข้อความหนึ่งที่ปรากฏในหนังสือพุทธศาสนานิกายเซนที่ว่า “ปทปรมบุคคล”ได้แก่ คนที่ไม่สามารถทำความเข้าใจธรรมได้เลย คนประเภทนี้ไม่มีทางที่ใครจะช่วยให้เข้าใจธรรมได้ไม่ว่าคนที่จะช่วยนั้นจะมีความสามารถเพียงใดหรือใช้ความพยายามเท่าไรก็ตาม

หากยึดลักษณะการตีความหรือการอธิบายความไว้อย่างที่ได้ยกขึ้นมากล่าวข้างต้นนี้ ก็อาจจะมีผู้ตั้งคำถามขึ้นมาว่า ข้อที่ว่ารู้ได้แต่เพียงตัวบท คือ พยัญชนะหรือถ้อยคำ นั้น หมายถึงความรู้ในระดับไหน คือ ระดับสุตมยปัญญา ระดับจินตามยปัญญา หรือระดับภาวนามยปัญญา และข้อความที่ว่า ไม่อาจเข้าใจอรรถ คือ ความหมายหรือไม่อาจเข้าใจธรรม

@@@@@@@

ดอกบัวได้ชื่อว่า เป็นพืชพันธุ์ไม้น้ำที่ทรงคุณค่าด้านความงามอันล้ำเลิศ พระอรรถกถาจารย์ (พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), 2543 ก) เปรียบธรรมชาติของดอกบัวว่า มีความคล้ายคลึงกับปรัชญาในพระพุทธศาสนา จากการศึกษาพบว่า ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท มีเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับดอกบัวอยู่มากมาย ดอกบัวเป็นสัญลักษณ์ของพระรัตนตรัยก็มี ใช้ดอกบัวเป็นชื่อของบุคคลก็มี ใช้ดอกบัวเป็นชื่อของสถานที่ก็มี ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาทหรือวรรณคดีบาลี ดอกบัวมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของพระพุทธเจ้า นับแต่ประสูติจนถึงปรินิพพาน

(ยังมีต่อ..)

ย้ายไปห้องส่งจิตออกนอกแล้วครับ คลิกได้ที่นี่ : https://www.madchima.org/forum/index.php?topic=34198.new#new (https://www.madchima.org/forum/index.php?topic=34198.new#new)