สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ พฤศจิกายน 13, 2024, 07:29:28 am



หัวข้อ: ‘คลั่งชาติ’ สุดโต่ง, ส่งต่อ ‘สงคราม’
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ พฤศจิกายน 13, 2024, 07:29:28 am
.
(https://www.matichon.co.th/wp-content/uploads/2024/11/cats4499.jpg)


‘คลั่งชาติ’ สุดโต่ง, ส่งต่อ ‘สงคราม’

เกาะกูด – กระแสชาตินิยม “คลั่งชาติ” และ “คลั่งเชื้อชาติไทย” ยังถูกปลุกเร้าโจมตีรัฐบาล กรณี MOU44 เชื่อมโยงพื้นที่เกาะกูด (จ. ตราด) แม้กระทรวงการต่างประเทศจะแถลงแสดงหลักฐานชัดเจนที่สุดก็ตามว่าไม่เสียดินแดน แต่กระแสสุดโต่งยังมีต่อไปตามที่ ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ บอกว่า “การเมืองของฝ่ายขวาสุดขอบ รัฐบาลยังต้องรับมืออีกหลายขนาน” (มติชนออนไลน์ วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2567)

“คลั่งชาติ” และ “คลั่งเชื้อชาติ” มีขึ้นจากการหล่อหลอมกล่อมเกลา แล้วควบคุมให้ท่องจำเชื่อถือประวัติศาสตร์เชื้อชาติไทย ราว 80 ปีที่แล้ว หลัง พ.ศ. 2482 เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม (นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น) เปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นประเทศไทย, เปลี่ยนเพลงชาติสยามเป็นเพลงชาติไทย, และเปลี่ยนประวัติศาสตร์สยามเป็นประวัติศาสตร์ไทย

เพื่อลดกระแสสุดโต่งเหล่านั้น รัฐบาลนี้ต้องเริ่มแก้ไขประวัติศาสตร์ไทย “มีสัญชาติ-ไม่มีเชื้อชาติ” (ซึ่งต้องใช้เวลานานมาก แต่จะเป็นผลดีโดยรวมเมื่อทำสำเร็จ)

ถ้าไม่แก้ไขชำระประวัติศาสตร์ไทยให้ถูกต้องตามจริงที่มีหลักฐานวิชาการสนับสนุน รัฐบาลก็ต้องรับมืออีกหลายขนานต่อไปอีกนาน

@@@@@@@

ประวัติศาสตร์ที่สร้างกระแส “คลั่งเชื้อชาติไทย”

ประวัติศาสตร์ไทย (ของทางการ) เป็นประวัติศาสตร์เชื้อชาติ ของ “คนไทยแท้ เชื้อชาติไทย สายเลือดบริสุทธิ์” เพื่อสถาปนาสำนึก “คลั่งเชื้อชาติไทย” สนองการเมือง “ชาตินิยมไทย” สนับสนุนการกีดกันชาติพันธุ์อื่น และรังแกคนอื่นที่ “ไม่ไทย”

เหล่านี้ มีกำเนิดในสังคมที่ถูกปิดล้อมทางการเมือง เรื่อง “เชื้อชาติ” และ “รัฐชาติ” ทั้งจาก “ภายนอก” และ “ภายใน”

การเมืองภายนอกจากยุโรป มีพลังสูงมาก แผ่ไปทั้งโลกเรื่องเชื้อชาติกับรัฐชาติ เพื่อล่าอาณานิคมมากกว่า 250 ปีมาแล้ว เรือน พ.ศ. 2300 (ตรงกับสมัยปลายอยุธยา)

หลังอินโดจีนตกเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส  นักค้นคว้าจากฝรั่งเศสมี “อคติ” กระตุ้นความขัดแย้งรุนแรง โดยเฉพาะไทยกับประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบ ด้วยการแปลความหลักฐานโบราณคดี ตามสำนึก “เชื้อชาติ” และ “รัฐชาติ” สมัยใหม่ ในระบบเมืองขึ้น ซึ่งตรงข้ามความจริง ตามประเพณีดั้งเดิม ที่เป็นการเมืองระบบเครือญาติ ทางการแต่งงาน

การเมืองภายในชาตินิยมคลั่งเชื้อชาติไทย ซึ่งรับแนวคิดจากยุโรปเรื่องเชื้อชาติกับรัฐชาติ แผ่ถึงสยามมากกว่า 150 ปีมาแล้ว เรือน พ.ศ. 2400 (ตรงกับสมัยต้นรัตนโกสินทร์) มีพลังต่อสังคม ดังนี้

@@@@@@@

(1.) กระตุ้นชนชั้นนำสยาม มีสำนึกคลั่งเชื้อชาติไทย จึงเปลี่ยนชื่อประเทศ จากประเทศสยาม เป็นประเทศไทย เมื่อ 85 ปีที่แล้ว พ.ศ. 2482

[เรื่องนี้นายปรีดี พนมยงค์ เขียนเล่าไว้เองว่าท่านเป็น “เสียงข้างน้อย” จึงไม่สำเร็จในการคัดค้านการเปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นไทย]

(2.) จากนั้นชนชั้นนำสยาม บงการให้เปลี่ยนประวัติศาสตร์ จากประวัติศาสตร์สยาม ของชาวสยาม เป็นประวัติศาสตร์ไทย ของคนไทยแท้ “เชื้อชาติไทย สายเลือดบริสุทธิ์” มีถิ่นกำเนิดในจีน [ตามการค้นคว้าของชาวยุโรป—ไม่ใช่จากชาวสยาม]

ต่อมาถูกจีนรุกราน ต้องถอยร่นลงไปตั้งกรุงสุโขทัย เป็นราชธานีแห่งแรกของไทย

(3.) สร้างบรรยากาศแห่งความกลัว ด้วยการเมืองชาตินิยม “คลั่งเชื้อชาติไทย” ผู้คัดค้านหรือคิดต่างจากประวัติศาสตร์ไทยแนวเชื้อชาตินิยม อาจถูกปิดปากใส่ร้ายว่าไม่รัก “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ด้วยการตั้งข้อหาต้องสงสัยมีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ และมีโอกาสถูกจับติดตะรางขังลืม

@@@@@@@

“ชาตินิยม” สุดโต่ง ส่งไป “คลั่งชาติ” ถึงประกาศสงคราม

ประวัติศาสตร์เชื้อชาติไทย สถาปนาสำนึกชาตินิยม “คลั่งเชื้อชาติไทย” จนสุดโต่ง แล้วคลุ้มคลั่งแข็งกร้าวแสดงออกรุนแรง ซึ่ง อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ บอกว่ากลายเป็น “ลัทธิขยายดินแดน” ที่ทั้งผู้นําในระบอบดังกล่าวปลุกระดมว่าเป็น “มหาอาณาจักรไทย” (Pan-Thai-ism ซึ่งอยู่ในช่วงเดียวกันกับ Pan Germanism อันเป็นปรากฏการณ์ในเยอรมนีและยุโรปซึ่งได้กลายเป็นสาเหตุของสงครามโลกครั้งที่สอง)

ระบอบดังกล่าวแอบ-อิง-และอ้าง “ลัทธิประชาชาตินิยม” สามารถปลุกระดมให้นักเรียนนิสิตนักศึกษาประชาชนชั้นกลางลุกขึ้นมาเดินขบวนสนับสนุนรัฐบาล และในที่สุดกองทัพไทยก็บุกเข้าไปยึดครองดินแดนและผู้คนที่อยู่ภายใต้อาณานิคมฝรั่ง ดังกรณีทางประวัติศาสตร์ดังนี้


(https://www.matichon.co.th/wp-content/uploads/2024/11/cats88-692x1024.jpg)
จอมพล ป. พิบูลสงคราม โบกธงรับบรรดานิสิตและนักเรียนเตรียมอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเดินขบวนเรียกร้องดินแดนคืน ที่หน้ากระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2483


1–ยึดดินแดนจากอินโดจีนของฝรั่งเศส (กัมพูชาและลาว) เมื่อปี พ.ศ. 2483 หลังการเปลี่ยนนามประเทศเพียง 1 ปี (ยึดได้มาด้วยการสู้รบกับฝรั่งเศสและการไกล่เกลี่ยเข้าข้างไทยของญี่ปุ่น) รวมทั้งยึดดินแดนจากอาณานิคมของอังกฤษโดยกองทัพญี่ปุ่นช่วยหนุนหลังปี 2485 รวมทั้งหมด ดังนี้

2–ยึดเสียมราฐ แล้วเปลี่ยนนามเป็น “จังหวัดพิบูลสงคราม”

3–ยึดพระตะบองและศรีโสภณ (ให้นายควง อภัยวงศ์ รับมอบคืน ใช้ชื่อเดิม)

4–ยึดนครจัมปาศักดิ์ (จัมปาสักในลาว ใช้ชื่อเดิม แต่สะกดให้เป็นไทย)

5–ยึดไชยะบุรี (แล้วเปลี่ยนนามเป็นจังหวัดลานช้าง-ไม่มีไม้โท)

6–ยึดเมืองเชียงตุงและเมืองพาน (ในพม่า) แล้วเปลี่ยนนามเป็น “สหรัฐไทยเดิม”

7–ยึดกลันตัน ตรังกานู เคดะห์ ปะลิส (ในมลายู) แล้วเรียกเสียใหม่ให้เป็นไทยว่า “สี่รัฐมาลัย”


(https://www.matichon.co.th/wp-content/uploads/2024/11/cats44.jpg)
สงครามอินโดจีน ปลายปี พ.ศ. 2483 ต้นปี พ.ศ. 2484 เมื่อประเทศ “ไทย” ทําสงครามกับฝรั่งเศส กองทัพไทยได้เข้ายึดดินแดนบางส่วนของกัมพูชา อาณานิคมของฝรั่งเศส และสามารถยึดธงชัยเฉลิมพลฝรั่งเศสได้


อนึ่ง ในบรรดาดินแดนที่รัฐบาลไทยได้เข้ายึดครองนั้น ยังได้มีการตอบแทนผู้ร่วมงานของ นรม. (ป. พิบูลสงคราม) ด้วยการนําบรรดาศักดิ์ของคณะทหารและรัฐมนตรีร่วมไปตั้งเป็นชื่อ “อําเภอ” ต่างๆ ที่ได้ยึดครองมา เช่น

ในกัมพูชา จังหวัดพิบูลสงคราม (ที่เปลี่ยนมาจาก “เสียมราบ” หรือ “เสียมราฐ” นั้น ให้มี “อําเภอไพรีระย่อเดช” (ตัวสะกดสมัยนั้น) ให้มี “อําเภอเกรียงศักดิ์พิชิต” เพื่อเป็นเกียรติต่อนายทหารผู้ร่วมงานกับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม กับให้มี “อําเภอสินธุสงครามชัย” เพื่อเป็นเกียรติต่อพลเรือตรี หลวงสินธุสงครามชัย (สินธุ กมลนาวิน) ผู้บัญชาการทหารเรือ และ รมต. กระทรวงธรรมการ

ใน “จังหวัดพระตะบอง” ให้มี “อําเภอพรหมโยธี” เพื่อเป็นเกียรติต่อ “นายพันเอก หลวงพรหมโยธี (มังกร พรหมโยธี)” รมช.กลาโหมควบตําแหน่งรอง ผบ.สส. และให้มี “อําเภออธึกเทวเดช” แถมยังมี “ตําบลอธึก” กับ “ตําบลเทวเดช” อีกด้วย เพื่อเป็นเกียรติต่อ “นายนาวาอากาศเอก หลวงอธึกเทวเดช ผู้บัญชาการทหารอากาศ”

และในเมืองศรีโสภน (ศรีโสภณ) อันเป็นเมืองสําคัญตรงทางแยกที่จะไปเสียมราฐหรือไปพระตะบองนั้น ก็ให้ตั้งชื่อ “ตําบล” ต่างๆ เพื่อเป็นเกียรติต่อ “ลัทธิชาตินิยมไทย” หรือ “มหาอาณาจักรไทย” เช่น “ตําบลเกียรติทหานไทย ไทยชนะ นิยมไทย ราสตร์บํารุง” (ชื่อสุดท้ายนี้น่าจะหมายถึง “คณะราษฎร” นั่นเอง)

ส่วนในลาว ใน “จังหวัดนครจัมปาศักดิ์” ที่ได้มาก็ให้มี “อําเภอเมืองวรรณไวทยากร” เพื่อเป็นเกียรติต่อหม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี (ต่อมาคือ กรมหมื่นนราธิปพงศประพันธ์ ภายหลังเป็นรองนายกรัฐมนตรี และอธิการบดี มธ.)

และใน “จังหวัดลานช้าง” ตรงข้ามกับหลวงพระบาง ให้มี “อําเภอหานสงคราม” เพื่อเป็นเกียรติต่อหลวงหานสงคราม และให้มี “อําเภออดุลเดชจรัด” เพื่อเป็นเกียรติต่อ “นายพันตํารวจเอก หลวงอดุลเดชจรัส (มิ่ง พึ่งพระคุณ)” อธิบดีกรมตํารวจ และ รมช. มหาดไทย ฯลฯ

@@@@@@@

ขอให้สังเกตว่า การขนานนามในดินแดนใหม่นี้ ส่วนใหญ่จะใช้บรรดาศักดิ์ของนายทหารบก/เรือ/อากาศทั้งสิ้น จะมีข้อยกเว้นก็ในกรณีของ ม.จ.วรรณไวทยากร และน่าสังเกตว่าไม่มีจากทางฝ่ายข้าราชการพลเรือนหรือกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) หรือหลวงวิจิตรวาทการ (ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสําคัญในการเปลี่ยนนามประเทศและเป็นผู้ประพันธ์วรรณกรรม “ปลุกใจ” ทั้งหลายของ “มหาอาณาจักรไทย” ในสมัยนั้น)

ดินแดนและผู้คนเหล่านี้ รัฐบาลไทยได้ส่งข้าราชการเข้าไปปกครองอยู่ระหว่าง 3-5 ปี แต่ต้องส่งคืนไปภายหลังที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สองเมื่อ พ.ศ. 2488

[ปรับใหม่บางตอนจากเอกสารวิชาการโครงการตลิดวิชามหาวิทยาลัยชาวบ้าน จากสยามเป็นไทยฯ ของ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ พ.ศ. 2550]

ถ้าไม่ชำระแก้ไขประวัติศาสตร์ไทยฉบับคลั่งเชื้อชาติไทยที่ยังใช้งานทุกวันนี้ รัฐบาลก็ต้องรับมือการเมือง “คลั่งชาติ” สุดโต่งที่มีแนวโน้มส่งต่อ “สงคราม” เพราะเคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต






Thank to : https://www.matichon.co.th/columnists/news_4893478 (https://www.matichon.co.th/columnists/news_4893478)
วันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 - 17:52 น.   
ผู้เขียน   : สุจิตต์ วงษ์เทศ