หัวข้อ: คาถาของ "อินทร์/พรหม และภิกษุ" ในวันดับขันธปรินิพพาน เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ พฤศจิกายน 26, 2024, 07:18:33 am .
(https://i.pinimg.com/736x/2d/ee/76/2dee76b01932c72a5be7f595cb834e12.jpg) คาถาของ "อินทร์/พรหม และภิกษุ" ในวันดับขันธปรินิพพาน เมื่อพระบรมศาสดาประทานปัจฉิมโอวาทเป็นวาระสุดท้ายแล้ว ก็หยุดมิได้ตรัสอะไรอีกเลย ทรงทำพระนิพพาน บริกรรมด้วยอนุปุพพวิหารสมาบัติทั้ง ๙ โดยอนุโลม (ตามลำดับ) ดังนี้ 1. ทรงเข้าปฐมฌาน (ฌานที่ ๑) ออกจากปฐมฌานแล้ว 2. ทรงเข้าทุติยฌาน (ฌานที่ ๒) ออกจากทุติยฌานแล้ว 3. ทรงเข้าตติยฌาน (ฌานที่ ๓) ออกจากตติยฌานแล้ว 4. ทรงเข้าจตุตถฌาน (ฌานที่ ๔) ออกจากจตุตถฌานแล้ว 5. ทรงเข้าอากาสานัญจายตนะ ออกจากอากาสานัญจายตนะแล้ว 6. ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจากวิญญาณัญจายตนะแล้ว 7. ทรงเข้าอากิญจักญายตนะ ออกจากอากิญจักญายตนะแล้ว 8. ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนะแล้ว 9. ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ สมาบัติ ๙ อันเป็นนิโรธสมาบัติที่มีอาการสงบที่สุด ถึงดับสัญญาและเวทนา คือไม่รู้สึกทั้งกายทั้งใจทุกประการ แม้ลมหายใจเข้าออกก็หยุดสงบยิ่งกว่านอนหลับ ผู้ไม่คุ้นเช่นพระอานนท์เข้าใจว่าพระบรมศาสดาเข้าสู่นิพพานแล้ว แต่พระอนุรุทธเถระผู้เชี่ยวชาญสมาบัติชี้แจงว่า บัดนี้พระพุทธองค์กำลังเสด็จอยู่ใน สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ จากนั้นพระผู้มีพระภาคจึงเสด็จออกจาก สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ถอยเข้าสู่เนวสัญญานาสัญญายตนะ คือ ถอยตามลำดับจนถึงปฐมยาม (เหมือนขึ้นสู่ตึกชั้นที่ ๙ แล้วถอยลงมาสู่ชั้นที่ ๘ ตามลำดับจนถึงชั้นที่ (๑) แล้วย้อนจากปฐมยาม ขึ้นไปสู่ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌานเป็นลำดับสุดท้าย จึงปรินิพพานอยู่ในฌาน เป็นธรรมเนียมนิยมทั่วไปเพราะขณะอยู่ในฌาน อานุภาพของฌานย่อมรักษาตลอดเวลาที่ยังดำรงอยู่ในฌานนั้น ๆ เป็นการนิพพานโดยไม่ติดในรูปฌานหรือในอรูปฌาน @@@@@@@ หลังจากที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ได้บังเกิดมหัศจรรย์ แผ่นดินไหว กลองทิพย์บรรเลง เสียงกึกก้องกัมปนาท ท้าวสหัมบดีพรหม ท้าวโกสีย์สักกเทวราช พระอนุรุทธเถระและพระอานนท์เถระเป็นอาทิ ได้กล่าวสรรเสริญพระพุทธคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แสดงความไม่เที่ยงถาวรแห่งสังขาร ด้วยความเคารพเลื่อมใส เหล่ามหาชนพุทธบริษัททั้งหลายที่ประชุมกันอยู่ ณ สาลวันนั้น ต่างก็โศกเศร้าร้องร่ำไรรำพัน พระอนุรุทธเถระและพระอานนท์เถระเจ้าได้แสดงธรรมกถาปลุกปลอบ เพื่อให้คลายความเศร้าโศกโทมนัส ท้าวสหัมบดีพรหมทรงกล่าวคาถาว่า “สัตว์ทั้งปวงทอดทิ้งร่างกายไว้ในโลก แม้แต่พระตถาคตศาสดา ผู้ไม่มีใครเปรียบปาน ทรงสมบูรณ์ด้วยทศพลญาณ ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง ยังดับสนิทแล้ว” ท้าวสักเทวราชหรือพระอินทร์ทรงกล่าวคาถาว่า “สังขาร ทั้งหลายไม่เที่ยงแท้หนอ เกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา การดับสังขารทั้งหลายได้ เป็นความสุขแท้” ซึ่งคาถาของพระอินทร์ได้ถูกนำมาเป็นคาถา “บังสุกุล” ของพระภิกษุสงฆ์เมื่อมีคนตายและการพิจารณาสวดศพก่อนที่จะกระทำการฌาปนกิจ ดังมีคาถาว่า “อนิจจา วะตะ สังขารา อุปปาทะวะยะธัมมิโน อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ เตสัง วูปะสะโม สุโข” พระอนุรุทธะเถระได้กล่าวคาถาว่า “พระพุทธเจ้าผู้มีพระทัยมั่นคง ผู้คงที่ ไม่หวั่นไหว ทรงหมดลมหายใจแล้ว พระมุนีเจ้าทรงทำกาละอย่างสงบแล้ว พระองค์มีพระทัยไม่หดหู่ ทรงระงับเวทนาได้ พระทัยหลุดพ้น ทรงดับสนิทแล้ว ดุจเปลวประทีปดับ ฉะนั้น” พระอานนท์กล่าวคาถาว่า “เมื่อพระพุทธองค์ผู้ทรงสมบูรณ์พร้อมด้วยประการทั้งปวง เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ได้เกิดความสะพรึงกลัวขนพองสยองเกล้าแล้ว” @@@@@@@ พระพุทธองค์ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานใต้ต้นสาละ ณ สาลวโนทยาน ของมัลลกษัตริย์ เมืองกุสินารา แคว้นมัลละ (ปัจจุบันอยู่ใน เมืองกุสีนคร) แคว้นอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย สิริรวมพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา การปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ถือเป็นวันสำคัญของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก เพราะพุทธศาสนิกชน ได้สูญเสียดวงประทีปของโลก ซึ่งนับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ และครั้งสำคัญของพระพุทธศาสนา ซึ่งมีข้อคิดเห็นของท่านอาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก ได้แสดงไว้ว่า วาทะคาถาของพระอนุรุทธะเถระ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ทรงอภิญญา กับพระอานนท์ซึ่งเป็นพระเสขะบุคคล (ผู้ยังไม่หมดกิเลสสิ้นเชิง) เนื้อหาต่างกัน พระอนุรุทธะนั้นกล่าวอย่างผู้เข้าใจกฏธรรมดาว่า ทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นแล้วจะต้องดับไป แม้พระพุทธเจ้ายังดับ แต่การดับของพระองค์นั้นดับอย่างสนิท เพราะทรงละอาสวะกิเลสทั้งปวงได้ ส่วนวาทะของพระอานนท์นั้น ยังใส่ความรู้สึกของผู้มีอุปาทานอยู่ แม้ว่าท่านจะเป็นพระโสดาบันแล้วก็ตาม ขอขอบคุณ :- ภาพจาก : pinterest บทความ : https://www.phutthathum.com/พระพุทธเจ้า/ปรินิพพาน/ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน (https://www.phutthathum.com/พระพุทธเจ้า/ปรินิพพาน/ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน) เว็บไซต์พุทธะ | 18 ธันวาคม 2552 ชื่อบทความเดิม : ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน |