หัวข้อ: ‘Whataboutism’ การถกเถียงเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ที่เราพบเห็นได้ในชีวิต เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มกราคม 30, 2025, 06:07:51 am .
(https://media.thairath.co.th/image/swwqa0CqhChJx6mF5Nt7yyQssbWxuR5fP7oquMFoD7Ye9vA1.jpg) ‘Whataboutism’ การถกเถียงเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ที่เราพบเห็นได้ในชีวิต ดราม่า การเมือง และเรื่องระหว่างประเทศ Summary • Whataboutism คือวิธีการโต้เถียงด้วยการยกข้อกล่าวหาอื่นๆ มาโต้ตอบ แทนที่จะตอบคำถามหรือพูดคุยกันในประเด็นตรงหน้า เพื่อที่คำถามหรือประเด็นเดิม (ซึ่งมักจะน่าอึดอัด) จะได้ถูกละเลยไป • วิธีการถกเถียงแบบนี้สามารถพบเห็นได้ทั้งในชีวิตประจำวัน ดราม่าบนโซเชียลมีเดีย ในเรื่องการเมือง ไปจนถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศ กระทั่งในยุคโบราณ แต่ ‘Whataboutism’ เป็นชื่อที่ถูกเรียกขานอย่างจริงจังในช่วงยุคสงครามเย็นจากโฆษณาชวนเชื่อของโซเวียต :49: :49: :49: “เธอมาสาย รู้ไหมว่าเรารอนานขนาดไหน” “ทีเธอแต่งหน้าเป็นชั่วโมงๆ แล้วเรานั่งรอล่ะ” “ทำไมมึงไม่ล้างจานอีกแล้ววะ” “แล้วทำไมวันก่อนมึงไม่เก็บขยะบนโต๊ะไปทิ้ง” “ห้องหับนี่ไม่คิดจะเก็บเลยใช่ไหม” “แม่ลองไปดูห้องพี่ดิ หนักกว่าอีก ทำไมไม่ด่ามันมั่ง” เชื่อว่าแค่อ่าน 3 สถานการณ์ตัวอย่างข้างต้น เราก็จะรู้สึกคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี เพราะท่ามกลางสงครามแห่งการถกเถียง เรามักพบเห็นการเบี่ยงเบนความสนใจด้วยการยกข้อกล่าวหาอื่นๆ มาโต้ตอบ แทนที่จะตอบคำถามหรือพูดคุยกันในประเด็นตรงหน้าอยู่บ่อยๆ การกระทำหรือวิธีโต้เถียงแบบนี้มีชื่อเรียกเฉพาะตัวว่า Whataboutism หมายถึงการบิดเบือนและเบี่ยงเบนความสนใจ เป็นวิธีการถกเถียงที่ไม่ถูกต้องนักในทางตรรกะ เพราะไม่นำไปสู่ข้อเท็จจริงในประเด็นที่พูดคุยกันอยู่ และยังเป็นหนึ่งในวิธีที่ถูกเรียกว่า ‘เหตุผลวิบัติ’ หรือ Fallacy ด้วย แต่อย่างที่บอกไปตอนต้นว่า เรามักเห็นการเบี่ยงประเด็นแบบ ‘ถ้าฉันผิด แล้วทีเธอ...ล่ะ’ อยู่เสมอ อันที่จริงมันเกิดขึ้นอยู่รอบๆ ตัวเรา ทั้งในดราม่าบนโซเชียลมีเดีย ในเรื่องทางการเมือง ไปจนถึงความขัดแย้งทางสังคมและระหว่างประเทศ วันนี้เราจึงขอชวนมารู้จักกับ ‘Whataboutism’ กันให้มากขึ้นอีกนิด (https://media.thairath.co.th/image/swwqa0CqhChJx6mF5Nt7yyQssbWxuR5fP7oquMFoD7Ye9vA1.jpg) Whataboutism วิธีการแบบ ‘หมาตายลอยน้ำ’ ปัญหาใหญ่ของ Whataboutism ก็คือมันไม่ได้กล่าวถึงประเด็นตรงหน้าอย่างจริง แต่กลับหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมา และมักจะมีเจตนาเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากการโต้เถียงถึงเรื่องต่างๆ ที่มีเบาะแสหรือมีมูลความจริง หลายครั้งมันเกิดขึ้นในการถกเถียงที่มีผลกระทบต่ออารมณ์และความรู้สึกส่วนตัว ผู้คนจึงเลือกใช้ Whataboutism เพื่อก้าวไปสู่เรื่องที่รู้สึกปลอดภัยกว่า คำถามหรือประเด็นเดิม (ที่มักจะน่าอึดอัด) จะได้ถูกละเลยไปเสีย ตัวอย่างหนึ่งที่เปรียบเทียบได้ชัด มาจากบทความของอดีตนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร บอริส จอห์นสัน ตอนนั้นเขาเขียนถึงกลยุทธ์ทางการเมืองประเภทหนึ่งโดยเรียกมันว่าวิธีการแบบ ‘แมวตาย’ (ซึ่งเพื่อให้เข้ากับบริบทไทยๆ มากขึ้นผู้เขียนจะขอเรียกมันว่าวิธีการแบบ ‘น้องหมาตายลอยน้ำ’) ลองจินตนาการว่าครอบครัวหนึ่งกำลังทะเลาะกันใหญ่โตเกี่ยวกับเรื่องราวเมื่อหลายปีก่อน เสียงกำลังดังอื้ออึง วีนกันไปมา แล้วอยู่ๆ คุณปู่ก็เดินเข้ามากลางห้อง จากนั้นก็ทุบแมวน้อยตัวใหญ่ที่เป็นโรคเรื้อนจนตายคามือ ทันใดนั้น การโต้เถียงก่อนหน้าก็ถูกลืมไปจนสิ้น น้องเหมียวตายเป็นสิ่งเดียวที่ครอบครัวจะพูดถึง แนวคิดนี้ก็คล้ายกับเวลาที่เราชอบพูดกันว่า ถ้าเรารู้สึกโกรธ หรือรู้สึกตลกขบขันจนเกินไปในเวลาที่ไม่สมควร ให้หลับตานึกถึง ‘หมาตายลอยน้ำ’ ภาพที่น่าเวทนาจะทำให้เรารู้สึกเศร้าและเก็บอาการไว้ได้จนลืมเรื่องที่อยู่ตรงหน้า ประเด็นในบทความของนายกจอห์นสันก็คือ หากสังคมนำเสนอข่าวที่น่าตื่นตาตื่นใจ ไร้สาระ หรืออื้อฉาวต่อสาธารณชน พวกเขาก็จะลืมข่าวที่ยากกว่านั้นไป มันเป็นสิ่งที่นักวางแผนยุทธศาสตร์ สื่อ และผู้เชี่ยวชาญด้านการประชาสัมพันธ์ใช้ประโยชน์อยู่ทุกวัน (https://media.thairath.co.th/image/swwqa0CqhChJx6mF5Nt7yyQssbWxuR5fP7oquMFoD7Ye9vA1.jpg) Whataboutism ในตำนาน -- มีมาตั้งแต่ยุคกรีกและถูกตั้งชื่อให้ในช่วงสงครามเย็น Whataboutism ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของเหตุผลวิบัติ หรือความผิดพลาดทางตรรกะที่มีมานาน มันมีชื่อเรียกดั้งเดิมตามภาษาละตินว่า ‘tu quoque’ แปลว่า “คุณก็เหมือนกัน" (ในภาษาอังกฤษคือ “you also...” หรือ “And so are you!”) แต่ชื่อ ‘Whataboutism’ เป็นฉายาที่กำเนิดขึ้นในปี 1978 เพื่อใช้กับเทคนิคโฆษณาชวนเชื่อของสหภาพโซเวียตในช่วงสงครามเย็น สถานการณ์ตอนนั้นก็คือเมื่อชาติตะวันตกวิพากษ์วิจารณ์สหภาพโซเวียต เช่น วิจารณ์เรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการกดขี่ สหภาพโซเวียตก็จะชี้ให้เห็นถึงอาชญากรรมที่ชาติตะวันตกก่อขึ้น (เช่น การเหยียดเชื้อชาติ) เมื่อประเด็นนี้ถูกพูดถึงผ่านสื่อ นักอ่านคนหนึ่งก็เลยเขียนจดหมายหาสื่อในอังกฤษอย่าง The Guardian ผู้อ่านคนนี้เขียนถึงสถานการณ์โต้เถียงช่วงสงครามเย็นว่าเป็นผลงาน ‘Whataboutism’ ที่ดีที่สุด เขายังประณามกลวิธีโต้เถียงแบบนี้ว่าเป็น ‘สินค้านำเข้าจากโซเวียต’ ด้วย @@@@@@@ แม้จะป๊อปปูลาร์ขึ้นมาเพราะโซเวียตและสงครามเย็น แต่ในประวัติศาสตร์เราก็พบเห็น Whataboutism ได้ทั่วไป โดยเฉพาะในสถานการณ์ความขัดแย้ง นักโฆษณาชวนเชื่อชาวจีนใช้กลอุบายนี้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากคำวิจารณ์เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติต่อชาวอุยกูร์ในจีน นักโฆษณาชวนเชื่อของคณะรัฐประหารในเมียนมาร์ก็ใช้กลอุบายลักษณะเดียวกันเมื่อถูกวิจารณ์เรื่องโรฮิงญา หรือในช่วงทศวรรษ 2010 ที่ขบวนการขับเคลื่อนเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศอย่าง #MeToo ส่งเสียงดัง ตอนนั้นวุฒิสมาชิก อัล แฟรงเกน ต้องลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากถูกกล่าวหาว่าประพฤติผิดทางเพศ (ช่วงปี 2017-2018) หลายคนก็บอกว่าเขาใช้แนวคิด Whataboutism เพราะพยายามหยิบยกข้อเท็จจริงที่ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ก็ถูกกล่าวหาว่าล่วงละเมิดทางเพศเช่นกันขึ้นมา แม้กระทั่งในอดีตอันไกลโพ้น นักปราชญ์เลื่องชื่ออย่างเพลโตก็เคยวิจารณ์ Whataboutism ด้วยเหมือนกัน สมัยก่อนนั้นนอกจากนักปราชญ์จะเป็น ‘ผู้รู้’ ในอีกแง่หนึ่งหลายคนก็เป็น ‘นักโฆษณาชวนเชื่อ’ ด้วยความรอบรู้ ปราดเปรื่อง และเจ้าเล่ห์ของพวกเขา พวกเขาจึงมักภูมิใจที่สามารถโน้มน้าวผู้ฟังโดยใช้ทุกวิธีที่มี รวมถึงแนวคิด Whataboutism ด้วย เพลโต ซึ่งเป็นนักปราชญ์ผู้ชื่นชอบวิจารณ์นักปราชญ์ด้วยกันอย่างกระตือรือร้น เคยชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการโต้แย้งควรมุ่งเป้าไปที่ ‘ความจริง’ ไม่ใช่การเบี่ยงเบนด้วยเรื่องอื่น ผลงานที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับเรื่องนี้ของเพลโตคือบันทึกบทสนทนาที่เล่าถึงการถกเถียงระหว่างโสกราตีส และคัลลิเคลส (Callicles: นักปรัชญาการเมืองจากเอเธนส์) @@@@@@@ พวกเขาเถียงกันเกี่ยวกับความดีและความชั่วของมนุษยโดยมี Whataboutism เป็นส่วนประกอบ ซึ่งจะขอยกตัวอย่างจากโบราณกาลไว้ให้ในบรรทัดถัดไป Socrates : You’re breaking your original promise, Callicles. If what you say contradicts what you really think, your value as my partner in searching for the truth will be at an end. Callicles : You don’t always say what you think either, Socrates. Socrates : Well, if that’s true, it only makes me just as bad as you … โสกราตีส : ท่านกำลังผิดคำมั่นของท่านอยู่นะคัลลิเคลส ถ้าสิ่งที่ท่านพูดขัดแย้งกับสิ่งที่คิดจริงๆ ละก็ คุณค่าของท่านในฐานะคู่คิดเพื่อค้นหาความจริงของข้า ก็จะจบสิ้นลงตรงนี้แหละ คัลลิเคลส : ท่านก็ไม่ได้พูดในสิ่งที่ท่านคิดเสมอไปเช่นกันนะ โสกราตีส โสกราตีส : โอ้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง มันก็คงทำให้ข้าแย่เท่ากันกับท่านนั่นแหละ (https://media.thairath.co.th/image/swwqa0CqhChJx6mF5Nt7yyQssbWxuR5fP7oquMFoD7Ye9vA1.jpg) เราทำอะไรได้เมื่อตกอยู่ท่ามกลาง Whataboutism เมื่อ Whataboutism ปรากฏตัวในการถกเถียงต่างๆ ผู้ใช้ Whataboutism อาจต้องไม่ลืมว่าแม้สิ่งใหม่ที่ยกขึ้นมาจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง มันก็อาจไม่ใช่ข้อแก้ตัว หรือคำอนุญาตทำให้เราเพิกเฉยต่อการแสดงความรับผิดชอบ หรือละเลยการพูดขอโทษอย่างจริงใจและรอบคอบได้ "พูดอย่างง่ายที่สุดก็คือ ความผิดหรือปัญหาในกรณีอื่นๆ ไม่ได้มีพลังอำนาจเปลี่ยนความผิดของใครคนใดคนหนึ่งให้กลายเป็นเรื่องถูกต้องขึ้นมา" ส่วนกรณีที่เราเป็นฝ่ายถูก Whataboutism โจมตี แม้เราจะไม่สามารถจัดการกับความคิดเห็นที่คนอื่นมีต่อเราได้ แต่เราสามารถพยายามเปลี่ยนพฤติกรรมของเราเองได้ หากถูกตำหนิในเรื่องใด เราอาจลองทบทวนข้อหาเหล่านั้น แล้วยอมรับหรือขอโทษในเรื่องดังกล่าวก่อน จากนั้นค่อยๆ นำประเด็นที่ถกเถียงอยู่ก่อนหน้ากลับขึ้นมาชี้แจง เพื่อให้คลี่คลายกันไปทีละเปลาะ บางครั้งความซับซ้อนของสถานการณ์และความรู้สึกก็ทำให้การยอมรับ การขอโทษ และการพูดคุยอย่างตรงไปตรงมาเป็นเรื่องยาก เช่นนั้นแล้ว Whataboutism จึงถือกำเนิดขึ้นมา แต่บางครั้งการเดินออกจาก Whataboutism ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการยอมรับ การขอโทษ และพูดคุยอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน Thank to : https://plus.thairath.co.th/topic/everydaylife/105123 Thairath Plus › Everyday Life › Relationships Lifestyle | 25 ม.ค. 68 creator : ศุภาวรรณ คงสุวรรณ์ |