หัวข้อ: 'พุทธศาสนา' ศาสนาแห่ง “กรรมลิขิต” และ “สัทธาสัมปยุตตะ” เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มกราคม 31, 2025, 09:00:37 am .
(https://i.pinimg.com/736x/49/a8/b2/49a8b22cddc98cd9ee1dd9d35b7917a9.jpg) 'พุทธศาสนา' ศาสนาแห่ง “กรรมลิขิต” และ “สัทธาสัมปยุตตะ” พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่ง “กรรมลิขิต” คือ เชื่อกรรมและผลของกรรม ตามความที่ว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมย่อมจำแนกสัตว์ทั้งหลายให้เลวและดีต่างกัน คุณสมบัติของชาวพุทธที่ว่า “เป็นผู้ไม่ถือมงคลตื่นข่าว เชื่อกรรม” พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่ง “สัทธาสัมปยุตตะ” มีศรัทธา ความเชื่อที่ประกอบด้วยปัญญา มีหลักคำสอนตามที่เป็นจริงด้วยหลักเหตุผล พิสูจน์ได้ (เอหิปัสสิโก) และเป็นศรัทธาที่ถูกต้องในขอบเขตศรัทธา ๔ ตามความดังนี้ (๑) กัมมสัทธา เชื่อกรรม เชื่อแห่งกฎแห่งกรรม เชื่อว่ากรรมมีจริง (๒) วิปากสัทธา เชื่อผลของกรรม ผลของกรรมมีจริง (นรก สวรรค์มีจริง) ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว (๓) กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน เชื่อแต่ละคนว่าเป็นเจ้าของกรรม (๔) ตถาคต-โพธิสัทธา เชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าว่ามีอยู่จริง ธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นเป็นความจริง และพระพุทธศาสนามีหลักประกันชีวิตด้วยจริยธรรมระดับพื้นฐาน คือ “ศีล ๕” ซึ่งเป็นจริยธรรมสำหรับควบคุมพฤติกรรมทางกาย วาจา @@@@@@@ เป็นที่ทราบดีว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการศึกษาตามแนวไตรสิกขา ประกอบด้วยศีลสมาธิ ปัญญา ครอบคลุมพฤติกรรมทางกาย วาจา ใจ เกิดการพัฒนาต่อยอดด้วยปัญญา ซึ่งศีลจะทำหน้าที่รักษาผู้ปฏิบัติมีชีวิตดีมีคุณภาพเป็นปกติสุข สมาธิทำหน้าที่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมทางจริต ปรับจริตให้สมดุล ปัญญาทำหน้าที่พัฒนาเข้าใจความจริง แก้ปัญหาที่จะเกิดขึ้นอย่างหลีกไม่ได้ ตามแนวอัคคัญญสูตร ที่ถือว่าเป็นวิวัฒนาการชีวิตให้มีหลักประกันทั้งโดยตรงและโดยอ้อมตามธรรมชาติของมนุษย์ ที่ทุกคนต้องการชีวิตที่มีหลักประกันและพัฒนาต่อเนื่อง มีชีวิตที่เป็นไปตามธรรม ธรรมที่นำบุคคลไปสู่ความเจริญ เมื่อเป็นเช่นนี้ มนุษย์ที่สมบูรณ์ มีสติปัญญา มีคุณภาพชีวิตต้องการหลักประกันชีวิต เพื่อให้ชีวิตรอดพ้นจากภัยตามนัยจูฬกัมมวิภังคสูตรนั้น ด้วยการแก้ไข พัฒนาคุณภาพชีวิตให้มีธรรม มีคติในปัจจุบันที่ดีมีกัลยาณมิตร มีทรัพย์สินสมบัติเป็นที่อาศัยทางกายภาพ มีธรรมประจำใจ ในที่สุดแล้ว มนุษย์ต้องการความสุข เป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ถ้าถามว่า เราดิ้นรนทำงาน หาเงินไปทำไม ก็ต้องตอบว่า เพื่อไปใช้ซื้อกินซื้อใช้ ทำไมต้องกินต้องใช้ ก็เพื่อความสุข ถ้าไม่ได้กินได้ใช้แล้วมีทุกข์ กล่าวคือ ทุกข์ทั้งกายและใจ ถ้ากายทุกข์ จิตก็ทุกข์ตาม ถ้ากายสุข ใจก็สุขตาม เป็นเหตุเป็นปัจจัย ต่อกัน @@@@@@@ จูฬกัมมวิภังคสูตรแห่งคัมภีร์มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เป็นพระสูตรที่สะท้อนถึงสุขภาพกล่าวคือ ทำให้สุขภาพร่างกาย สติปัญญา สถานะ ฐานะ วิถีชีวิตของมนุษย์ไปตามการกระทำของตนทั้งในปัจจุบันและอดีต ซึ่งจะใช้ยารักษาไม่หาย ตัวอย่าง พระจักขุปาลเถระ พระจูฬปันถก พระปูติคัตตเถระที่ถูกกรรมสนองในชาติปัจจุบัน กล่าวได้ว่า โรคกรรม-โรคเวร แต่ถ้าโรคทางการแพทย์ใช้ยารักษาก็หาย ดังนั้น ความสมบูรณ์ของสุขภาพร่างกายของมนุษย์ มีความเกี่ยวข้องกับกรรมตามแนวของสูตร มีความโดยย่อว่า - สุภมาณพ โตเทยยบุตร ทูลถามถึงเหตุที่ทำให้สัตว์มีอายุสั้น มีอายุยืน มีโรคมาก มีโรคน้อย เป็นต้น และเหตุที่ทำให้คนเลวและดีต่างกัน - พระผู้มีพระภาคตรัสตอบโดยย่อว่า เป็นเพราะสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมจึงจำแนกสัตว์ให้เลวและดีต่างกัน ในเรื่องนี้พระอรรถกถาจารย์ได้ประมวลผลกรรมในอดีตไว้ชัดเจนว่า ทาง ๗ สายที่สรรพสัตว์จะไปเสวยพร้อมกับทางแก้ ได้แก่ (๑) ทางไปนรก ได้แก่ โทสะ (๒) ทางไปเปรตและอสุรกาย ได้แก่ โลภะ (๓) ทางไปดิรัจฉาน ได้แก่ โมหะ (๔) ทางไปมนุษย์ ได้แก่ ศีล ๕ และกุศลกรรมบถ ๑๐ (๕) ทางไปสวรรค์ ได้แก่ มหากุศล ๘ (๖) ทางไปพรมโลก ได้แก่ สมถกรรมฐาน (๗) ทางไปนิพพาน ได้แก่ วิปัสสนากรรมฐาน ขอขอบคุณ :- ภาพจาก : pinterest บทความ : จากสารนิพนธ์ (บทนำ) เรื่อง "จูฬกัมมวิภังคสูตร : กรรม/ความเชื่อที่สะท้อนสุขภาพ" โดย พระครูสิริรัตนานุวัตร วิทยาลัยสงฆ์พุทธชินราช พิษณุโลก หมายเหตุ : ยกมาแสดงเพียงบางส่วน ดัดแปลงแก้ไขและจัดย่อหน้าใหม่ |