หัวข้อ: อายุพุทธศาสนา ๕,๐๐๐ ปี กับ ครุธรรม ๘ ประการ เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กันยายน 24, 2025, 06:57:57 am .
(https://i.pinimg.com/736x/07/ab/b0/07abb05aade97b73ecc3367dfc671a3f.jpg) ครุธรรม คือ หลักธรรมยืดอายุพระพุทธศาสนา ผมเชื่อว่า-ที่ว่า “ครุธรรมคือหลักธรรมยืดอายุพระพุทธศาสนา” นี้ ไม่มีใครยกขึ้นมาพูด ซึ่งก็คือไม่มีใครนึก แม้แต่คำว่า “ครุธรรม” ก็ไม่มีใครรู้จัก ในพระไตรปิฎก พระพุทธองค์ตรัสว่า "ดูก่อนอานนท์ ก็ถ้าสตรีจักไม่ได้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์จักดำรงอยู่ได้นาน สัทธรรมจะพึงดำรงอยู่ได้ตลอดพันปี" "ดูก่อนอานนท์ แต่เพราะสตรีออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว บัดนี้พรหมจรรย์จักไม่ดำรงอยู่ได้นาน สัทธรรมจักดำรงอยู่ได้เพียง ๕๐๐ ปีเท่านั้น" _____________________________ ที่มา: ภิกขุนีขันธกะ นินัยปิฎก จุลวรรค ภาค ๒ พระไตรปิฎกเล่ม ๗ ข้อ ๕๑๘ @@@@@@@ ในพระพุทธดำรัสนี้ทรงแสดงว่า พระพุทธศาสนาจะมีอายุอยู่ได้ ๑๐๐๐ ปี อรรถกถาขยายความว่า หมายถึง • ระยะเวลา ๑๐๐๐ ปีหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ยังมีพระอรหันต์ประเภทเตวิชโช-ฉฬภิญโญ คือ บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้วมีฤทธิ์มีเดชมีความสามารถพิเศษต่าง ๆ ด้วย • พ้นพันปีไปแล้ว เข้าพันปีที่สอง จะไม่มีพระอรหันต์ประเภทเตวิชโช-ฉฬภิญโญ จะมีแต่พระอรหันต์ประเภทสุกขวิปัสสก (สุก-ขะ-วิ-ปัด-สก) เป็นพระอรหันต์ธรรมดา หมดกิเลส แต่ไม่มีฤทธิ์มีเดชใด ๆ • เข้าพันปีที่สาม จะไม่มีใครสามารถบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ ผู้บรรลุธรรมสูงสุดจะมีแค่พระอนาคามี • เข้าพันปีที่สี่ จะไม่มีใครสามารถบรรลุธรรมเป็นพระอนาคามีได้ ผู้บรรลุธรรมสูงสุดจะมีแค่พระสกทาคามี • เข้าพันปีที่ห้า จะไม่มีใครสามารถบรรลุธรรมเป็นพระสกทาคามีได้ ผู้บรรลุธรรมสูงสุดจะมีแค่พระโสดาบัน พ้นห้าพันปีไปแล้วจะไม่มีใครสามารถบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลได้ ประพฤติปฏิบัติธรรมได้เพียงระดับปุถุชน คือถอยไปอยู่ระดับเดิมก่อนที่จะมีพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นในโลก ซึ่งก็หมายถึง พระพุทธศาสนาสูญไปจากโลกนั่นเอง คติ “พระพุทธศาสนาห้าพันปี” มาจากคำอธิบายของอรรถกถาดังว่านี้ (ดู สมันตปาสาทิกา ภาค ๓ หน้า ๔๙๙) @@@@@@@ คติที่ว่า-พ้นห้าพันปีไปแล้วจะไม่มีใครสามารถบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลได้-นี้ มีผู้ยกเหตุผลมาหักล้างว่า ไม่จริง เหตุผลที่ยกมาหักล้าง ก็คือ "พระพุทธดำรัสที่ตรัสแก่สุภัททะ-ปัจฉิมสาวกในวันที่เสด็จดับขันธปรินิพพานว่า ถ้ายังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ตราบใด โลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์อยู่ตราบนั้น" (อิเม จ สุภทฺท ภิกฺขู สมฺมา วิหเรยฺยุํ อสุญฺโญ โลโก อรหนฺเตหิ อสฺส = สุภัททะ ก็ภิกษุเหล่านี้พึงอยู่โดยชอบ โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย-มหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค พระไตรปิฎกเล่ม ๑๐ ข้อ ๑๓๘) เงื่อนไขที่โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ก็คือ ยังมีพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ถ้าพ้นห้าพันปีไปแล้ว ยังมีพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็จริงอย่างที่ค้าน ปัญหาก็คือ พ้นห้าพันปีไปแล้วจะมีพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหลงเหลืออยู่หรือไม่ ขณะนี้เรากำลังอยู่ในพันปีที่สามลองชำเลืองดูการประพฤติปฏิบัติของพระในพันปีที่สาม แล้วประเมินสถานการณ์อีกสองพันปีข้างหน้าดูเถิดว่า-ถึงเวลานั้นยังจะมีพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหลงเหลืออยู่หรือไม่ (https://i.pinimg.com/736x/62/e7/6f/62e76f43a2a5cd13fa0762f9ebd10e6d.jpg) ที่ว่า “ครุธรรมคือหลักธรรมยืดอายุพระพุทธศาสนา” นี้ ถอดความมาจากพระพุทธดำรัสที่ตรัสแก่พระอานนท์ที่เมืองเวสาลีในคราวที่ทรงอนุญาตให้สตรีบวชเป็นภิกษุณีในพระพุทธศาสนา ถือโอกาสศึกษาประวัติความเป็นมาของภิกษุณีไปด้วยเลยนะครับ หลังจากพระเจ้าสุทโธทนะปรินิพพานแล้ว วันหนึ่งขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นิโครธารามในเมืองกบิลพัสดุ์ พระนางมหาปชาบดีโคตมีเสด็จเข้าไปเฝ้า และทูลขออนุญาตให้สตรีสละเรือนออกบวชในพระธรรมวินัย แต่การณ์นั้นมิใช่ง่าย พระพุทธเจ้าตรัสห้ามเสียถึง ๓ ครั้ง ต่อมาพระพุทธเจ้าเสด็จไปยังเมืองเวสาลี ประทับที่กูฏาคารศาลาในป่ามหาวัน พระนางมหาปชาบดีโคตมีไม่ละความพยายาม ถึงกับปลงผมนุ่งห่มผ้ากาสาวะเอง ออกเดินทางพร้อมด้วยเจ้าหญิงศากยะจำนวนมาก (อรรถกถาว่า ๕๐๐ นาง) ไปยังเมืองเวสาลี และได้มายืนกันแสงอยู่ที่ซุ้มประตูนอกกูฏาคารศาลา พระบาทบวม พระวรกายเปรอะเปื้อนธุลี พระอานนท์มาพบเข้า สอบถามทราบความแล้วรีบช่วยไปกราบทูลขออนุญาตให้ แต่เมื่อพระอานนท์กราบทูลต่อพระพุทธเจ้าก็ถูกพระองค์ตรัสห้ามเสียถึง ๓ ครั้ง @@@@@@@ ในที่สุดพระอานนท์เปลี่ยนวิธีใหม่ โดยกราบทูลถามว่า สตรีออกบวชในพระธรรมวินัยแล้วจะสามารถบรรลุโสดาปัตติผลจนถึงอรหัตผลได้หรือไม่ พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่าได้ พระอานนท์จึงอ้างเหตุผลนั้น พร้อมทั้งการที่พระนางมหาปชาบดีเป็นพระมาตุจฉาและเป็นพระมารดาเลี้ยง มีอุปการะมากต่อพระองค์ แล้วขอให้ทรงอนุญาตให้สตรีออกบวช พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตโดยมีเงื่อนไขว่า พระนางจะต้องรับปฏิบัติตามครุธรรม ๘ ประการ พระนางยอมรับตามพุทธานุญาตที่ให้ถือว่า การรับครุธรรมนั้นเป็นการอุปสมบทของพระนาง ส่วนเจ้าหญิงศากยะที่ตามมาทั้งหมดพระพุทธเจ้าตรัสอนุญาตให้ภิกษุสงฆ์อุปสมบทให้ ในคราวนั้นพระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระอานนท์ว่า การให้สตรีบวชจะเป็นเหตุให้พรหมจรรย์ คือพระศาสนาหรือสัทธรรมตั้งอยู่ได้ไม่ยั่งยืน จะมีอายุสั้นเข้า เปรียบเหมือนตระกูลที่มีบุรุษน้อยมีสตรีมาก ถูกผู้ร้ายทำลายได้ง่าย หรือเหมือนนาข้าวที่มีหนอนขยอกลง หรือเหมือนไร่อ้อยที่มีเพลี้ยลง ย่อมอยู่ได้ไม่ยืนนาน พระองค์ทรงบัญญัติครุธรรม ๘ ประการกำกับไว้ก็เพื่อเป็นหลักคุ้มกันพระศาสนา เหมือนสร้างคันกั้นสระใหญ่ไว้ก่อนเพื่อกันไม่ให้น้ำไหลท้นออกไป (พระศาสนาจักอยู่ได้ยั่งยืนเช่นเดิม) _____________________________________ ที่มา: พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ที่คำว่า “ภิกษุณีสงฆ์” (https://i.pinimg.com/736x/d7/b6/24/d7b624ab369eae00e4cda4d02b93091f.jpg) พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต อธิบายขยายความคำว่า “ครุธรรม” ไว้ดังนี้ ครุธรรม : ธรรมอันหนัก, หลักความประพฤติสำหรับนางภิกษุณีจะพึงถือเป็นเรื่องสำคัญอันต้องปฏิบัติด้วยความเคารพไม่ละเมิดตลอดชีวิต มี ๘ ประการ คือ ๑. ภิกษุณีแม้บวชร้อยพรรษาแล้วก็ต้องกราบไหว้ภิกษุแม้บวชวันเดียว ๒. ภิกษุณีจะอยู่ในวัดที่ไม่มีภิกษุไม่ได้ ๓. ภิกษุณีต้องไปถามวันอุโบสถและเข้าไปฟังโอวาทจากภิกษุทุกกึ่งเดือน ๔. ภิกษุณีอยู่จำพรรษาแล้วต้องปวารณาในสงฆ์สองฝ่ายโดยสถานทั้ง ๓ คือ โดยได้เห็น โดยได้ยิน โดยรังเกียจ (รังเกียจ หมายถึง ระแวงสงสัยหรือเห็นพฤติกรรมอะไรที่น่าเคลือบแคลง) ๕. ภิกษุณีต้องอาบัติหนัก ต้องประพฤติมานัตในสงฆ์สองฝ่าย (คือ ทั้งภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์) ๑๕ วัน ๖. ภิกษุณีต้องแสวงหาอุปสัมปทาในสงฆ์สองฝ่าย เพื่อนางสิกขมานา ๗. ภิกษุณีไม่พึงด่าไม่พึงบริภาษภิกษุไม่ว่าจะโดยปริยายใดๆ ๘. ไม่ให้ภิกษุณีว่ากล่าวภิกษุ แต่ภิกษุว่ากล่าวภิกษุณีได้ เป็นที่ทราบและยอมรับ-แม้ในหมู่สตรีที่บวชเป็นภิกษุณีเอง-ว่า “ครุธรรม” เป็นเงื่อนไขสำคัญของการอยู่เป็นภิกษุณี และตามพระพุทธดำรัสที่ตรัสแก่พระอานนท์ดังที่ยกมาข้างต้นตรัสยืนยันว่า “พระองค์ทรงบัญญัติครุธรรม ๘ ประการกำกับไว้ ก็เพื่อเป็นหลักคุ้มกันพระศาสนา เหมือนสร้างคันกั้นสระใหญ่ไว้ก่อนเพื่อกันไม่ให้น้ำไหลท้นออกไป (พระศาสนาจักอยู่ได้ยั่งยืนเช่นเดิม)” @@@@@@@ การรักษาครุธรรมคือ การปฏิบัติตามครุธรรมอย่างเคร่งครัด จึงหมายถึงการรักษาอายุของพระศาสนาด้วย และโดยนัยตรงกันข้าม การละเลย ละเมิด หรือปฏิบัติเบี่ยงเบนไปจากครุธรรม ก็คือการบั่นทอนอายุของพระศาสนาด้วยเช่นกัน ผมไม่แน่ใจว่า บรรดาท่านที่แสดงตนเป็น “ภิกษุณี” อยู่ในสังคมไทยในเวลานี้ได้ตระหนักรู้ถึงพระพุทธดำรัสนี้กันมากน้อยเพียงใด แต่คนส่วนมากในสังคมแทบไม่รู้และไม่สนใจว่า “ครุธรรม” คืออะไร สำคัญอย่างไร นั่นก็คือ สนใจแต่การบวชเป็นภิกษุณี แต่ไม่สนใจที่จะรู้ว่าเป็นภิกษุณีแล้วต้องทำอะไรและห้ามทำอะไร-โดยเฉพาะบวชเป็นภิกษุณีแล้วต้องปฏิบัติตามครุธรรมอย่างเคร่งครัด ตรงจุดนี้สังคมไทยไม่รู้และไม่รับรู้เลยก็ว่าได้ การปฏิบัติตามครุธรรมนั้น ทราบว่าบางสำนักใช้วิธีตีความ เช่น ครุธรรมข้อ ๒ ว่า “ภิกษุณีจะอยู่ในวัดที่ไม่มีภิกษุไม่ได้” (ภิกษุณีต้องอยู่ในวัดที่มีภิกษุเป็นผู้ปกครอง) ก็ตีความว่า เจตนารมณ์ของครุธรรมข้อนี้คือ ต้องการให้ภิกษุณีอยู่ในที่ปลอดภัย สำนักที่ตั้งเป็นเอกเทศ (ไม่มีภิกษุปกครอง) อ้างว่าสำนักของตนมีรั้วรอบขอบชิดและมีการระวังป้องกันภัยเป็นอย่างดี มีความปลอดภัยทุกประการ จึงไม่ขัดต่อครุธรรมข้อนี้ @@@@@@@ จึงเป็นที่มาของคำถามว่า ก็แล้วทำไมจึงไม่ไปอยู่ในวัดที่มีภิกษุปกครองให้ถูกต้องตรงตามครุธรรมเล่า.? นี่เป็นเพียงครุธรรมข้อเดียว ครุธรรมอีก ๗ ข้อ มีการปฏิบัติตามเคร่งครัดแค่ไหน.? อย่าลืมว่า การปฏิบัติตามครุธรรมอย่างเคร่งครัด คือการรักษาอายุของพระศาสนา จึงมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า การที่สตรีพยายามจะบวชเป็นภิกษุณีในเมืองไทย ทั้ง ๆ ที่มีปัญหาตั้งแต่ถกเถียงกันว่าตามพระธรรมวินัยแล้วบวชได้หรือไม่ ไปจนกระทั่งบวชแล้วปฏิบัติตามครุธรรมได้ถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ เช่นนี้ ก็ยังมีผู้พยายามบวชเป็นเป็นภิกษุณี เป็นเพราะ “อยากปฏิบัติธรรมให้สูงขึ้นไป”.? หรือเพียงเพราะ “อยากเป็นภิกษุณี” กันแน่.? พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา ๑๑ กันยายน ๒๕๖๘ , ๑๙:๒๕ ขอขอบคุณ :- ภาพจาก : pinterest บทความ : จาก Facebook ธรรมธารา · 1 วัน https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1248247640669715&set=a.470481945112959&type=3&ref=embed_page (https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1248247640669715&set=a.470481945112959&type=3&ref=embed_page) |