สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ พฤศจิกายน 06, 2025, 08:20:23 am



หัวข้อ: พัฒนาการการแต่งกาย ในพิธีศพของไทย
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ พฤศจิกายน 06, 2025, 08:20:23 am
.
(https://www.madchima.org/forum/gallery/2_06_11_25_7_56_21.jpeg)
จิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถวัดทองธรรมชาติ แสดงภาพประชาชนทั่วไปที่มาชมมหรสพในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่างแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่มีสีสันหลากหลาย


พัฒนาการการแต่งกาย ในพิธีศพของไทย

ในปัจจุบัน การแต่งกายด้วยชุดดำสำหรับไว้ทุกข์ในพิธีศพเป็นธรรมเนียมสากลที่ยึดถือกันโดยทั่วไป ซึ่งเป็นสิ่งที่รับมาจากอิทธิพลของชาติตะวันตกในราวสมัยรัชกาลที่ ๕

แต่สำหรับสังคมไทยในอดีตนั้นมีการใส่ชุดไว้ทุกข์หลากหลายสี ทั้งขาว ดำ และสีอื่นๆ เช่นน้ำเงิน ม่วง ฯลฯ  ซึ่งได้มีการพัฒนาปรับเปลี่ยนไปตามแต่ละยุคสมัย ซึ่งก็มีหลายแห่งเคยกล่าวไว้บ้างแล้ว ในที่นี้จะขอเรียบเรียงและลงรายละเอียดให้ครอบคลุมมากขึ้นในหลายๆ ประเด็นครับ

สันนิษฐานว่าดั้งเดิม ชุดที่ใช้ในการไว้ทุกของคนไทยโบราณเป็นชุดขาวหรือนุ่งห่มด้วยผ้าที่ไม่ได้ย้อมสี
ธรรมเนียมการสวมชุดสีขาวหรือผ้าที่ไม่ได้ย้อมสีในการไว้ทุกข์ เป็นวัฒนธรรมร่วมที่พบในหลายอารยธรรมทั้งในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูของอินเดีย จีน รวมถึงอีกหลายวัฒนธรรมในทวีปเอเชีย สันนิษฐานว่าภูมิภาคอุษาคเนย์ได้รับถ่ายทอดวัฒนธรรมในเรื่องนี้มาจากอิทธิพลของชาวอินเดียอีกต่อหนึ่งอีกต่อหนึ่ง

@@@@@@@

ข้อสันนิษฐานมูลเหตุของการแต่งชุดขาวในการไว้ทุกข์  ปรากฏในเอกสารสาส์นสมเด็จ ที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงมีลายพระหัตถ์โต้ตอบกับสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ ฉบับลงวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๔๘๐ ความว่า

     “มีเรื่องที่หม่อมฉันทูลผัดไว้อีกเรื่อง ๑ คือ ที่ตรัสถามถึงหลักการนุ่งขาวนุ่งดำและสีกุหร่าในงานศพนั้น หม่อมฉันคิดใคร่ครวญดูตามที่เคยรู้เห็น เห็นว่าการนุ่งขาวในงานศพน่าจะมีมาก่อนเก่าช้านาน ข้อนี้พึงเห็นด้วยประเพณีนุ่งขาวในงานศพมีทุกประเทศทางตะวันออกนี้ ตั้งแต่อินเดียไปจนตลอดเมืองจีน เมื่อคิดต่อไปว่าเหตุใดจึงนุ่งขาว เห็นว่า
     ผ้าขาวเป็นขั้นต้นของเครื่องนุ่งห่มที่ใช้กันในบ้านเมืองเป็นสามัญ คือเอาฝ้ายอันธรรมชาติเป็นสีขาวมาปั่นทอเป็นผืนผ้า จึงเป็นสีขาวนุ่งห่มกันเป็นปกติ การนุ่งห่มด้วยสิ่งอื่น เช่นใบไม้ก็ดี คากรองก็ดี เป็นของมีมาก่อนรู้จักทอผ้า เป็นแต่คงนุ่งห่มตามแบบเดิมที่นุ่งห่มผ้าย้อมฝาด ก็เพื่อรักษาให้ผ้าทนทาน เพราะอัตคัดผ้าขาวนุ่งห่ม ต่อบุคคลที่มั่งมีศรีสุขหาผ้าขาวได้ง่าย ปรารถนาจะแต่งตัวให้สวยงามกว่าเพื่อน จึงคิดทำผ้านุ่งห่มย้อมสีสรรเขียนลวดลายต่าง ๆ เสมออย่างเป็นเครื่องประดับ
     ตลอดจนทำเสื้อแสงปักลวดลายก็เพื่อให้สวยงามอย่างเป็นเครื่องประดับในทำนองเดียวกัน ไม่แต่งในเวลามีทุกข์โศก คงแต่ผ้าขาวที่นุ่งห่ม นอกจากไว้ทุกข์ยังมีกรณีอื่นอีกหลายอย่างที่นุ่งขาวห่มขาว แต่พิเคราะห์ดูก็อยู่ในการงดเครื่องประดับทั้งนั้น จึงเห็นว่าการงดเว้นเครื่องประดับเป็นมูลของการนุ่งขาว ที่ทูลนี้อาจจะเป็นความเห็นอย่างฟุ้งซ่าน เมื่อคิดขึ้นทูลตามความคิดเห็น”


@@@@@@@

แต่ในภูมิภาคอุษาคเนย์ไม่ได้นุ่งห่มขาวในงานศพเท่านั้น  มีหลักฐานว่าในงานศพของคนพื้นเมืองอุษาคเนย์เมีการแต่งกายนุ่งห่มด้วยผ้าสีทั่วไป พบหลักฐานสืบทอดมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นว่ามีการแต่งกายสวยงามอย่างเต็มที่พร้อมที่จะอวดโฉม แม้แต่ในงานพระศพของพระราชวงศ์ ดังที่ปรากฏในพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนาของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยว่า

       ๏ บัดนั้น..........................ประชาชนพลเมืองทั้งหลาย
จะดูชักพระศพตบแต่งกาย..........หญิงชายโอ่อวดประกวดกัน

ใน “โคลงถวายพระเพลิงพระบรมอัฐิพระเจ้าหลวง” พระนิพนธ์ของกรมหมื่นศรีสุเรนทร์ บรรยายถึงงานพระเมรุถวายพระเพลิงพระบรมอัฐิของสมเด็จพระปฐมบรมชนกซึ่งได้อ้างอิงจากงานพระบรมศพสมัยกรุงศรีอยุทธยา กล่าวถึง

        พลเมืองทั้งหนุ่มเถ้า..........ปานกลาง
แต่งสกนธ์กายางค์....................ย่างเยื้อง

@@@@@@@

มูลเหตุของการแต่งกายในการศพสมัยโบราณงดงามถึงขั้น “ประกวด” กัน เพราะว่างานศพในสมัยโบราณถือว่าเป็นงานรื่นเริงประเภทหนึ่ง เนื่องจากมีมหรสพประกอบจำนวนมาก เช่น โขน หนังใหญ่ งิ้ว หุ่นกระบอก ฯลฯ พบได้ในประเพณีงานพระบรมศพของพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์

มีตัวอย่างปรากฏในเอกสาร “คำให้การเกี่ยวกับเหตุการณ์สมัยอยุธยาตอนปลาย” กล่าวถึงราษฎรที่มาร่วมงานพระบรมศพของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งกรุงศรีอยุทธยาว่า “แล้วก็พากันไปดูงานเล่นทั้งปวงอันมีต่างๆ ทั้งเด็กแลผู้ใหญ่ก็พากันรื่นเริงไปทั่วทั้งกรุงศรีอยุธยา”

ในโคลงถวายพระเพลิงพระบรมอัฐิพระเจ้าหลวง ที่ระบุว่ามีทั้งผู้คนมาเที่ยวชมงานมีหนุ่มสาวเมียงมองกัน มีการเล่นพนันขันต่อ หรือถึงขั้นมีการชกต่อยกัน จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ประชาชนจะได้ออกมาเที่ยวเล่นและได้พบปะกับผู้คนหมู่มาก


(https://www.madchima.org/forum/gallery/2_06_11_25_7_56_38.jpeg)
ประชาชนแต่งชุดไว้ทุกข์ในงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พ.ศ.๒๔๙๓ ตามธรรมเนียมรัฐนิยม คือชายแต่งกายด้วยสีขาวล้วน หญิงแต่งกายสีดำล้วน


มูลเหตุของการมีมหรสพในงานศพ มีการสันนิษฐานว่ามาจากความเชื่อเรื่อง "ขวัญ" ของคนยุคดึกดำบรรพ์ในภูมิภาคอุษาคเนย์ โดย ศพ คือ คนที่ขวัญหายจากร่างไปชั่วคราว แล้วหาทางกลับเข้าร่างไม่ถูก ถ้าญาติทั้งหลายร่วมกันดีดสีตีเป่าร้องรำทำเพลงอึกทึกครึกโครมดังๆให้ขวัญได้ยิน ขวัญก็จะกลับถูกทาง คืนสู่ร่างตามเดิม แล้วลุกขึ้นทำงานตามปกติ จึงได้พัฒนามาเป็นรูปแบบของงานศพที่มีการละเล่นประกอบในสมัยหลัง ซึ่งภายหลังมีการตีความว่าเป็นการเฉลิมฉลองที่พระเจ้าแผ่นดินได้เสด็จกลับสู่สรวงสวรรค์ หรือให้ประชาชนได้คลายความทุกข์โศก

แม้ว่าสังคมไทยสมัยหลังจะไม่นิยมแต่งกายด้วยผ้าสีทั่วไปในงานศพแล้ว แต่ยังสามารถพบธรรมเนียมนี้ได้ในท้องถิ่นที่ห่างไกลจากวัฒนธรรมของส่วนกลาง ซึ่งสุจิตต์ วงษ์เทศได้เล่าเอาไว้ว่า

     “คนบ้านนอกราว 50 ปีมาแล้ว จะไปเผาศพบนเชิงตะกอน (ยังไม่มีเมรุเผาศพ) แต่งตัวเหมือนไปดูลิเกงานประจำปี บางคนมีสายสร้อยทองคำก็ขนออกมาใส่อวดกันทั้งๆ ในชีวิตประจำวันไม่ใส่ แม่ผมนุ่งโจงกระเบนต้องเลือกผ้าลายอย่างดี สีสวยสดที่เก็บไว้แต่งไปทำบุญมานุ่งไปเผาศพ ถือเป็นการแสดงความรักและเคารพนับถืออย่างยิ่ง ฉะนั้นงานศพตอนผมยังเด็กเป็นงานสีสันฉูดฉาด (บาดตามาสำหรับสมัยนี้)”

สันนิษฐานว่า ธรรมเนียมการนุ่งห่มขาวในสังคมไทยโบราณนั้นนุ่งห่มในหมู่เครือญาติของผู้ตายเท่านั้น สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นเครือญาติสามารถแต่งกายสีใดก็ได้


(https://www.madchima.org/forum/gallery/2_06_11_25_7_56_53.jpeg)
ประชาชนแต่งกายไว้ทุกข์ด้วยชุดขาวล้วนในงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


ต่อมาโดยไม่ทราบช่วงเวลาและเหตุผลที่แน่ชัด ได้มีการเปลี่ยนแปลงการแต่งกายในงานศพ โดยกำหนดให้นุ่งห่มขาวเฉพาะญาติที่อายุน้อยกว่าผู้ตายหรือมีศักดิ์ต่ำกว่า เช่นเป็นบ่าวไพร่ของผู้ตาย แต่ก็ไม่ใช่ในทุกกรณี ดังที่ปรากฏหลักฐานว่าหลายครั้งผู้ใหญ่กว่าผู้ตายก็นุ่งผ้าขาวให้ ดังที่ปรากฏในสาส์นสมเด็จว่า

     “อนึ่งการนุ่งขาวในงานศพน่าสันนิษฐานว่าแต่เดิมเห็นจะนุ่งหมดทั้งครัวเรือน ตั้งแต่พ่อแม่พี่น้องจนบ่าวไพร่ของผู้ตาย แต่ต่อมาน่าจะเป็นเพราะเหตุใดยังคิดไม่เห็น จึงกำหนดให้นุ่งขาวที่อายุอ่อนกว่าผู้ตายกับบ่าวไพร่ ถึงกระนั้นถ้าผู้ใหญ่ในสกุลจะนุ่งขาวก็นุ่งได้ตามใจสมัคร มีตัวอย่างในเมืองพม่าปรากฏว่าพระเจ้ามินดงทรงขาวในงานพระศพอัครมเหสีด้วยความอาลัย แล้วเลยทรงขาวไว้ทุกข์ต่อมาจนตลอดพระชนมายุ
      ในเมืองไทยนี้ก็มีตัวอย่างปรากฏในพงศาวดารรัชกาลที่ ๑ ว่าเมื่องงานพระศพสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงศรีสุนทรเทพใน พ.ศ. ๒๓๕๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงพระภูษาลายพื้นขาวทุกวัน ดำรัสว่า "ลูกคนนี้รักมากต้องนุ่งขาวให้" เรื่องที่กล่าวมานี้ส่อให้เห็นว่าประเพณีในสมัยนั้น การนุ่งขาวในงานศพ ไม่นุ่งแต่เฉพาะผู้ที่อ่อนกว่าผู้ตายอย่างเช่นถือกันในปัจจุบันนี้”


เช่นเดียวกับที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระภูษาขาวในงานพระเมรุของพระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าวิลาส กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ พระราชธิดาที่ทรงเสน่หามาก และในกรณีของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระภูษาขาวในงานพระเมรุของพระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าศรีวิลัยลักษณ์ กรมขุนสุพรรณภาควดี พระราชธิดาพระองค์ใหญ่

@@@@@@@

สำหรับการนุ่งผ้าของเครือญาติผู้ใหญ่หรือผู้ที่ไม่ใช่เครือญาติของผู้ตายในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น พบว่าผู้เป็นญาติผู้ใหญ่นิยมนุ่งผ้าสีเข้มที่ไม่ฉูดฉาดอย่างสีม่วงสำหรับ  ผู้ไม่ได้เป็นญาตินุ่งผ้าสีน้ำเงิน แต่ห่มแพรสีขาวเหมือนกัน

        “และมีปัญหาน่าคิดต่อไปด้วยว่า หากมิใช่งานศพเจ้านายซึ่งทรงเสน่หาเท่าเจ้าฟ้ากรมหลวงศรีสุนทรเทพจะทรงพระภูษาสีไร ข้อนี้มีเค้าเงื่อนปรากฏอยู่ในสมัยเมื่อผู้หญิงยังไม่แต่งดำในงานศพ ผู้หญิงที่เป็นญาติชั้นผู้ใหญ่ย่อมนุ่งผ้าลายพื้นม่วง ผู้หญิงที่มิใช่ญาตินุ่งผ้าลายสีน้ำเงิน ห่มแพรสีขาวทั้ง ๒ พวก ส่อให้เห็นว่าในงานศพสมัยรัชกาลที่ ๑ ญาติผู้ชายชั้นเป็นผู้ใหญ่ก็เห็นจะนุ่งผ้าสีม่วงหรือสีอื่นที่ไม่ฉูดฉาดและคาดพุ่งสีขาว ใช้ประเพณีเช่นนั้นมาจนรัชกาลที่ ๓”

การนุ่งผ้าสำหรับงานศพในสมัยโบราณไม่ซับซ้อนมาก เพราะคนไทยสมัยโบราณจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๓ ทั้งชายหญิงไม่นิยมสวมเสื้อ การแต่งกายจึงดูเพียงสีของผ้านุ่งเป็นหลัก


(https://www.madchima.org/forum/gallery/2_06_11_25_7_57_08.jpeg)
เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ในงานพระราชทานเพลิงศพท่านผู้หญิงยมราช (ตลับ สุขุม) ผู้เป็นภรรยา ณ วัดปทุมวนาราม วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๔ โดยเจ้าพระยายมราชได้แต่งชุดดำไว้ทุกข์ โดยปฏิบัติตามธรรมเนียมในประกาศนุ่งขาวที่จะใส่ชุดดำเมื่อมีฐานะสูง (สามีถือเป็นผู้ใหญ่กว่าภรรยา) หรืออายุมากกว่าผู้ตาย


ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงออกประกาศให้ข้าราชการสวมเสื้อเข้าเฝ้า จึงเกิดความซับซ้อนสำหรับการแต่งกายในงานศพมากขึ้น โดยพบว่า

    - ผู้มีอายุน้อยกว่าหรือเป็นบ่าวไพร่ของผู้ตายที่เดิมนุ่งผ้าขาวก็สวมเสื้อสีขาวตามอย่างธรรมเนียมเดิม

    - ผู้ที่ไม่ใช่ญาติของผู้ตาย สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า เดิมน่าจะสวมเสื้อแพรสีกุหร่าซึ่งเป็นสีหม่นใกล้เคียงสีม่วง แต่ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็ไม่ปรากฏว่ามีใครได้ใส่อีกนอกจากสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)

     “ถึงรัชกาลที่ ๔ มีการเปลี่ยนแปลงด้วยเรื่องเครื่องแบบแต่งตัว เริ่มด้วยให้ใส่เสื้อในการงาน ปัญหาน่าจะเกิดขึ้นในสมัยนี้ ว่าในงานศพควรจะใส่เสื้อสีใด พวกชั้นที่นุ่งขาวต้องใส่สีขาวอยู่เองไม่มีปัญหา เป็นปัญหาแต่ญาติชั้นผู้ใหญ่ที่นุ่งผ้าสีม่วงจะใส่เสื้อสีใด จึงบัญญัติให้ใส่เสื้อแพรสีกุหร่า ด้วยสีหม่นใกล้กับสีม่วง       
      ที่ทูลมานี้เป็นอธิบายตามคาดคะเน ด้วยเมื่อแต่งสีกุหร่ากันในรัชกาลที่ ๔ หม่อมฉันยังเด็กนักจำไม่ได้ แต่มีกรณีที่ได้เห็นเค้าเงื่อนครั้งหนึ่งเมื่องานพระเมรุสมเด็จพระนางสุนันทา ในรัชกาลที่ ๕ ในสมัยนั้นเจ้านายใช้ประเพณีทรงดำทรงขาวตามชั้นพระชันษาอยู่แล้ว
      สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงปรารภถึงสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ซึ่งเป็นหัวหน้าราชนิกุล จะให้แต่งตัวอย่างเจ้าก็ไม่เข้าระเบียบ จะให้แต่งตัวอย่างขุนนางสามัญซึ่งนุ่งสมปักลายใส่เสื้อขาว (หรือเยียรบับหม่อมฉันจำไม่ได้แน่) ก็ทรงเกรงใจ ดูเหมือนจะทรงปรึกษาสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ เอาแบบแต่งสีกุหร่าอย่างแต่ก่อนมาใช้ มีรับสั่งให้ใส่เสื้อสีแก่ใกล้กับสีดำ หม่อมฉันได้เห็นนุ่งสมปักลาย (ดูเหมือนสีม่วง) ใส่เสื้อแพรสีน้ำตาลนั่งที่หน้าพลับพลาทุกวัน”


@@@@@@@

การแต่งชุดดำในงานศพ ปรากฏหลักฐานในสมัยรัชกาลที่ ๕ สันนิษฐานว่าไทยรับมาจากอิทธิพลของชาติตะวันตกในเวลานั้น โดยผู้ที่แต่งชุดสีดำคือผู้ที่มีอายุหรือฐานะสูงกว่าผู้ตาย เหมือนกับสีเข้มอื่นๆ ที่เคยใช้มาแต่ก่อน

สีเครื่องแต่งกายในงานศพ จึงเป็นหนึ่งในเครื่องบ่งบอกสถานะทางสังคมของไทย   หากเป็นระดับพระราชวงศ์ก็ยิ่งมีธรรมเนียมรายละเอียดการแต่งกายมากกว่าคนทั่วไป

การแต่งกายชุดไว้ทุกข์ในสมัยต้นรัชกาลที่ ๕ มีหลายระดับ ดังต่อไปนี้
    ๑. แต่งขาวล้วน
    ๒ .แต่งดำล้วน หรือห่มขาว
    ๓. นุ่งผ้าขาวลาย สวมเสื้อขาว หรือห่มขาว
    ๔. นุ่งผ้าม่วงสีน้ำเงิน สวมเสื้อขาวหรือห่มขาว

การแต่งขาวล้วนยังแบ่งออกได้อีกเป็นสองประเภทคือสีขาวล้วนหรือขาวแบบมีลาย ซึ่งขาวล้วนจะแต่งในวันเผาศพเท่านั้น หรืออาจแต่งในวันชักศพอีก ๒ วัน รวมเป็น ๓ วันเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นจะให้แต่งขาวลาย


(https://www.madchima.org/forum/gallery/2_06_11_25_7_56_03.jpeg)
สตรีแต่งกายด้วยชุดขาวล้วนในงานพระเมรุพระองค์เจ้าอุรุพงษ์รัชสมโภช ที่สวนมิสกวัน พ.ศ.๒๔๕๒


หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัยดิศกุล ทรงเล่าถึงการแต่งกายไว้ทุกข์สีต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ไว้ว่า

    "พวกเราเด็กๆ มักถูกเอ็ดเสมอเพราะแต่งไม่ถูกบ่อยๆและชักจะสนุกในการได้เปลี่ยนสีเครื่องแต่งตัวเสียด้วย บางครั้งพอได้ข่าวว่าเสด็จป้า เสด็จอา พระองค์ใดสิ้นพระชนม์ ก็รีบแต่งดำขึ้นไปเฝ้า พอถึงก็ถูกสมเด็จหญิงทรงถามว่า ไว้ทุกข์ใคร.? เราทูลว่า พระองค์นั้นๆ เลยถูกไล่ให้ไปเปลี่ยนเร็ว เพราะท่านกำลังประชวรหนักไม่สิ้นสักที จะเป็นแต่งไปแช่งท่าน
      ส่วนในงานเวลาเมรุนั้นเราเด็กๆ ไม่ค่อยจะได้แต่งสีดำเลย เพราะไม่มีผู้ตายอายุอ่อนกว่า จึงต้องแต่งขาวอยู่ตลอดเวลา เมื่อใดมีพวกเด็กเล็กตาย เราได้แต่งดำรู้สึกภาคภูมิเสียจริงๆ ส่วนสีน้ำเงินแก่นั้น เคยแต่งครั้งเดียว คือเมื่องานพระราชทานเพลิงศพ "พระยาอิศรพันธ์โสภณ (หนู อิศรางกูร)" เพราะในเวลานั้นยังไม่มีนามสกุล เรารู้จักกันแต่ว่าเป็นขุนนางคนหนึ่ง
      สมเด็จหญิงและพระเจ้าลูกเธอที่ทรงมีชันษาคราวเดียวกันทรงเป็นลูกศิษย์ของเจ้าคุณอิศรพันธ์โสภณ ทรงเรียกว่า คุณหนู ถึงวันเผาท่านก็ทรงขาวกันทุกพระองค์ และตรัสสั่งให้ข้าพเจ้านุ่งสีน้ำเงินแก่ตามเสด็จเพราะไม่ได้เป็นลูกศิษย์ พวกเรารู้สึกว่าโก้แทบตายเพราะไม่เคยนุ่งเลยสักครั้งเดียว"


@@@@@@@

ธรรมเนียมปฏิบัติแต่งกายในงานศพที่ซับซ้อนทำให้เกิดปัญหาการแต่งกายที่ไม่เหมาะสมกับฐานะหลายครั้ง ดังที่ปรากฏในพระราชกิจจานุเบกษาที่กล่าวถึงงานพระศพของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นถาวรยศ และพระบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นสิทธิสุขุมการ ที่เมรุวัดสระเกศ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๑๙  ครั้งนั้นเจ้านายชั้นพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ (พระโอรสในรัชกาลที่ ๓) ทรงแต่งกายไม่เหมาะสม คือทรงผ้าขาวล้วนเหมือนกับพระเจ้าบรมวงศ์เธอชั้นผู้ใหญ่ และทรงในวันที่ไม่ใช่วันชักหรือวันเผาพระศพ

     "ในวันนั้นพระบรมวงษานุวงษทรงผ้าลายพื้นขาวทั้งสิ้น แต่พระเจ้าราชวรวงษเธอ กรมขุนภูวไนยนฤเบนทราธิบาล กับพระเจ้าราชวรวงษเธอ กรมหมื่นเจริญผลภูลสวัสดิทรงผ้าขาวล้วน เหมือนกับพระเจ้าบรมวงษเธอ กรมหลวงวรศักดิพิศาล แลสมเดจพระเจ้าบรมวงษเธอ เจ้าฟ้ามหามาลากรมพระบำราบปรปักษ การก็เกินไปสักน้อยด้วยมิใช่บรมวงษเหมือนท่าน
      ถ้าโดยจะนับถือเคารพต่อท่านผู้ซึ่งสิ้นพระชนมไปนั้น ก็ควรจะทรงผ้าขาวล้วนแต่เวลาพระราชทานเพลิงวันเดียว ฤๅวันชักพระศพอีกวันหนึ่งเปนสองวันเท่านั้น แต่วันนอกนั้นไปไม่ควรจะทรงผ้าขาวล้วนเลย ซึ่งทรงทำดังนี้แรงไปนัก ถึงการพระศพ พระเจ้าบรมวงษเธอซึ่งมีมาแต่ก่อนๆ ในราชวรวงษก์ไม่เคยนุ่งขาวล้วนทั้งสามวันเลย"


@@@@@@@

ด้วยเหตุที่การแต่งกายไว้ทุกข์มีความซับซ้อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงออกพระราชกิจจานุเบกษาเรื่อง “ประกาศนุ่งขาว” ใน พ.ศ.๒๔๓๐ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ลดการแต่งกายไว้ทุกข์เหลือเพียงสองแบบคือ

     ๑. แต่งขาวล้วน สำหรับผู้ไว้ทุกข์ที่เป็นญาติที่มีอายุต่ำกว่าผู้ตาย ผู้ที่ไม่ได้เป็นญาติแต่มีบรรดาศักดิ์ต่ำกว่าผู้ตาย หรือต้องการแต่งเพื่อแสดงความนับถือต่อผู้ตาย

     ๒. แต่งดำล้วน หรือห่มขาว สำหรับผู้ไว้ทุกข์ที่เป็นญาติสนิทที่มีอายุมากกว่าผู้ตาย ผู้ที่ไม่ได้เป็นญาติแต่มีบรรดาศักดิ์สูงกว่าผู้ตาย หรืออาจเป็นเพียงญาติห่างๆ ที่มีอายุน้อยกว่า (ไม่ได้อยู่ในสาขาญาติตามผังเครือญาติในประกาศ)

ธรรมเนียมการแต่งกายแบบนี้เริ่มใช้ตั้งแต่งานพระศพสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ใน พ.ศ.๒๔๓๐ เป็นต้นมา

@@@@@@@

หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง  รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามได้มีการออกนโยบาย "รัฐนิยม" เปลี่ยนแปลงธรรมเนียมการแต่งกายไว้ทุกข์ใหม่ โดยยกเลิกการแต่งกายตามอายุและบรรดาศักดิ์ แต่ให้แยกการแต่งกายตามเพศ ตามประกาศเรื่องระเบียบการแต่งกายไว้ทุกข์ในงานศพ วันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๘๔ ความว่า

(๑) ชาย
     ก. แต่งเครื่องแบบ ให้ใช้ผ้าสักหลาดหรือผ้าโปร่งดำขนาดกว้างระหว่าง ๗ ถึง ๑๐ เซ็นติเมตร พันแขนเสื้อซ้ายบน
     ข. แต่งกายสุภาพตามรัฐนิยม ให้ใช้เสื้อขาว กางเกงขายาวขาว (ถ้าเป็นเสื้อคอแบะ ให้ใช้เสื้อเชิ๊ตขาว ผ้าผูกคอดำเงื่อนกะลาสี) รองเท่าหนังดำ ถุงเท้าดำ และใช้ผ้าสักหลาดหรือผ้าโปร่งดำขนาดกว้างระหว่าง ๗ ถึง ๑๐ เซ็นติเมตร พันแขนเสื้อซ้ายเบื้องบน

(๒) หญิง
แต่งกายสุภาพตามรัฐนิยม ให้ใช้เครื่องดำล้วน

การแต่งกายในงานศพหลังจากนั้นอ้างอิงตามระเบียบการแต่งกายไว้ทุกข์ในงานศพ พ.ศ.๒๔๘๔ เป็นหลัก  แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้เปลี่ยนมาแต่งกายด้วยชุดดำทั้งชายและหญิงตามประเพณีสากลนิยม ดังที่พบในงานศพยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นทางราชการหรือในงานศพบุคคลทั่วไป





ขอบคุณที่มา :-
โพสต์ของ วิพากษ์ประวัติศาสตร์ > เฟซบุ้ค วิพากษ์ประวัติศาสตร์ · 31 ตุลาคม 2016
https://www.facebook.com/WipakHistory/posts/พัฒนาการการแต่งกายในพิธีศพของไทยในปัจจุบัน-การแต่งกายด้วยชุดดำสำหรับไว้ทุกข์ในพิ/1210327449030723/?locale=th_TH (https://www.facebook.com/WipakHistory/posts/พัฒนาการการแต่งกายในพิธีศพของไทยในปัจจุบัน-การแต่งกายด้วยชุดดำสำหรับไว้ทุกข์ในพิ/1210327449030723/?locale=th_TH)

เอกสารอ้างอิง :-
- นนทพร อยู่มั่งมี, ธัชชัย ยอดพิชัย. ธรรมเนียมพระบรมศพและพระศพเจ้านาย
- เกรียงไกร เกิดศิริ. งานพระเมรุ: ศิลปสถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมเกี่ยวเนื่อง ส่วนที่ ๒ : จากอยุธยาสู่รัตนโกสินทร์
- จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. แนวการสร้างชาติและป้องกันประเทศ
- สุจิตต์ วงษ์เทศ : งานศพดั้งเดิมแบบไทยๆในอุษาคเนย์ แต่งชุดสีต่างๆ ชุดดำไว้ทุกข์ เป็นประเพณีได้จากฝรั่ง เพิ่งมีสมัย ร.5 (http://www.matichon.co.th/news/323920 (http://www.matichon.co.th/news/323920))
- ราชกิจจานุเบกษา เรื่อง "ประกาศนุ่งขาว" (http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2430/005/35_1.PDF (http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2430/005/35_1.PDF))
- สาส์นสมเด็จ ฉบับลงวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๔๘๐ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทูล สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ (Cr. เพจพระเจ้ากรุงรัตนปุระอังวะ)

หมายเหตุ : บทความทั้งหมดเรียบเรียงโดยผู้ดูแลเพจวิพากษ์ประวัติศาสตร์ ผู้ดูแลเพจขอสงวนสิทธิไม่อนุญาตให้นำข้อมูลที่เผยแพร่ในเพจไปแก้ไข คัดลอก ดัดแปลง ทำซ้ำ เผยแพร่ต่อ และห้ามนำไปแสวงหาผลกำไรทางพาณิชย์โดยเด็ดขาด หากมีความประสงค์จะขอบทความของเพจวิพากษ์ประวัติศาสตร์ไปเผยแพร่ต่อด้วยวิธีการใดๆ ก็ตามต้องได้รับการยินยอมจากผู้ดูแลเพจวิพากษ์ประวัติศาสตร์ในทุกกรณี ยกเว้นแต่การแชร์ (share) ในเฟสบุ๊คที่สามารถกระทำได้โดยไม่ต้องขออนุญาต