สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ ธันวาคม 05, 2025, 10:42:50 am



หัวข้อ: ว่าด้วย "ปิดทองหลังพระ”
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ธันวาคม 05, 2025, 10:42:50 am
.
(https://www.madchima.org/forum/gallery/2_05_12_25_11_51_47.jpeg)


สำนวน ปิดทองหลังพระ” มีที่มาอย่างไร.?
การปิดทองหลังองค์พระ จะช่วยให้ส่งเสริมให้ผู้ปิดทอง มีผิวพรรณดี มีความผ่องใส และมีสง่าราศี



 :25: :25: :25:

“ปิดทองหลังพระ” คือ สำนวนไทย ที่มีความหมายว่า การทำความดีที่ไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ และไม่ได้ต้องการให้ใครรู้

ซึ่งที่มาของสำนวนนี้เป็นการเปรียบเปรยถึงการปิดทองที่ด้านหลังของพระพุทธรูป ที่คนส่วนใหญ่มักมองเพียงด้านหน้าขององค์พระ แต่การปิดทองทั่วทั้งองค์จะทำให้พระพุทธรูปนั้นมีความสวยงามทั่วทั้งองค์

คำว่า “ปิดทองหลังพระ” นี้ เคยปรากฏอยู่ในพระบรมราโชวาทของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ความว่า

“การปิดทองหลังพระนั้น เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องปิด ที่จริงแล้วคนโดยมาก ไม่ค่อยชอบปิดทองหลังพระกันนัก เพราะนึกว่าไม่มีใครเห็น แต่ถ้าทุกคนพากันปิดทองแต่ข้างหน้าไม่มีใครปิดทองหลังพระเลย พระจะเป็นพระที่สวยงามสมบูรณ์ไม่ได้”

@@@@@@@

ทั้งนี้ ได้มีการนำคำว่า ปิดทองหลังพระ ไปใช้ในอีกหลายบริบท ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการถ่ายทอดความหมาย และนัยเชิงบวกของสำนวนไทยคำนี้ออกไปอย่างกว้างขวาง อาทิ

    - มูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ
    - เพลง ผู้ปิดทองหลังพระ ของวงดนตรีเพื่อชีวิตชื่อดัง คาราบาว   

โดยในส่วนของความเชื่อมโยงเกี่ยวกับความเชื่อเรื่อง “การปิดทององค์พระพุทธรูป” นั้น มีความเชื่อว่า...

การปิดทองหลังองค์พระ จะช่วยให้ส่งเสริมให้ผู้ปิดทอง มีผิวพรรณดี มีความผ่องใส และมีสง่าราศี

@@@@@@@

นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับการปิดทองพระพุทธรูปในตำแหน่งอื่น ๆ ด้วย เช่น

1. ปิดทองที่ศีรษะ : ความจำดี มีสติปัญญาเป็นเลิศ ฉลาดหลักแหลม

2. ปิดทองที่ใบหน้า : มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ไร้ซึ่งอุปสร
รคใด ๆ

3. ปิดทองที่หน้าอก : เป็นที่ถูกอกถูกใจและเป็นที่รักใคร่ ใครเห็นก็เอ็นดูเมตตา

4. ปิดทองที่สะดือ : มีคนคอยอุปถัมภ์ค้ำจุน และได้รับการเลี้ยงดูปูเสื่อเป็นอย่างดี

5. ปิดทองบริเวณท้อง : จะช่วยให้มั่งมี ร่ำรวย อุดมสมบูรณ์ อีกทั้งยังทำให้มีโชคมีลาภ

6. ปิดทองที่มือ : มีอำนาจบารมี เป็นที่น่าเคารพยกย่อง

7. ปิดทองที่เท้า : ช่วยให้ชีวิตพบเจอแต่ความราบรื่น ความสมบูรณ์เพียบพร้อม

8. ปิดทองที่ฐานรอง : ช่วยให้มีชีวิตที่มั่นคงแข็งแรง เจออุปสรรคอะไรก็จะไม่ย่อท้อ

@@@@@@@

คุณล่ะ..ชอบปิดทองส่วนไหนขององค์พระ.?
แล้วเคย “ปิดทองหลังพระ” บ้างไหม.?




ขอขอบคุณ :-
ภาพจาก : Facebook น้ำเงินเข้ม
บทความ : จาก Facebook น้ำเงินเข้ม | 19 มกราคม 2021
https://www.facebook.com/SuperDeepBlue/posts/pfbid02NWREqKBsmaGdWDpyxTAhN1BpG3unLcpXCvJwgVVMghfUtmN4stUqUJ5ybCQ9EN66l (https://www.facebook.com/SuperDeepBlue/posts/pfbid02NWREqKBsmaGdWDpyxTAhN1BpG3unLcpXCvJwgVVMghfUtmN4stUqUJ5ybCQ9EN66l)


หัวข้อ: Re: ว่าด้วย "ปิดทองหลังพระ”
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ธันวาคม 05, 2025, 10:55:45 am
.
(https://s.isanook.com/ho/0/ud/35/178599/168579.jpg?ip/resize/w728/q80/jpg)


การปิดทององค์พระในส่วนต่าง ๆ ให้อานิสงส์ด้านใดบ้าง

ทุกคนคงเคยได้ยินคำว่า “ปิดทองหลังพระ” และทราบถึงความหมายของสำนวนนี้เป็นอย่างดีใช่ไหมว่าคือ การทำความดีโดยไม่ได้หวังจะให้ใครมารับรู้และไม่ได้หวังผลตอบแทน สำนวนนี้มักทำให้คนจำนวนมากเมื่อไปไหว้พระทำบุญเลือกที่จะปิดทองพระพุทธรูปเฉพาะบริเวณด้านหลังเท่านั้น

แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเราสามารถปิดทองที่บริเวณส่วนอื่น ๆ ของพระพุทธรูปได้เช่นกัน ซึ่งแต่ละจุดก็จะมีความหมายและให้อานิสงส์ผลบุญที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นเรามาดูกันดีกว่าว่าการปิดทององค์พระในแต่ละจุดจะให้อานิสงส์ด้านใดบ้าง

@@@@@@@

1. ปิดทองที่พระเศียร (ศีรษะ)

มีความเชื่อว่าการปิดทองบริเวณศรีษะของพระพุทธรูปจะทำให้ความจำดี มีสติปัญญาเป็นเลิศ ฉลาดหลักแหลม หัวไว เรียนเก่ง สามารถคิดและวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี และหากมีปัญหาหรืออุปสรรคอะไรก็จะสามารถฝ่าฟันและแก้ไขปัญหาได้เสมอแม้ในยามคับขัน

2. ปิดทองที่พระพักตร์ (ใบหน้า)

การปิดทองบริเวณใบหน้าของพระพุทธรูปจะทำให้คุณประสบความสำเร็จในชีวิต มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ไร้ซึ่งอุปสรรคใด ๆ มาขัดขวาง ทุกสิ่งทุกอย่างราบเรียบราบรื่นไม่มีติดขัด ไม่มีสะดุด

3. ปิดทองที่พระหัตถ์ (มือ)

การปิดทองบริเวณพระหัตถ์หรือมือของพระพุทธรูป มีความเชื่อกันว่าจะทำให้มีอำนาจ มีบารมี เป็นที่น่าเคารพยกย่องของผู้ที่พบเห็น รวมทั้งใครเห็นก็ต่างพากันเกรงขาม

4. ปิดทองที่พระอุระ (หน้าอก)

มีความเชื่อกันว่าการปิดทองพระพุทธรูปบริเวณหน้าอก จะทำให้เป็นที่ถูกอกถูกใจและเป็นที่รักใคร่ของคนรอบข้าง ใครเห็นก็เอ็นดู ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะมีความโดดเด่นและมีเสน่ห์มากกว่าคนอื่นเสมอ

5. ปิดทองที่พระอุทร (ท้อง)

มาถึงทีเด็ดกันค่ะ การปิดทองพระพุทธรูปบริเวณท้อง เชื่อว่าหลาย ๆ คนอาจจะทราบกันบ้างแล้วว่าจะช่วยให้ร่ำรวย มั่งมี อุดมสมบูรณ์ มีกินมีใช้ไปตลอดทั้งชาติ อีกทั้งยังทำให้มีโชคมีลาภ ทรัพย์สินเงินทองไหลมาเทมาอีกด้วยนะคะ


(https://s.isanook.com/ho/0/ud/35/178599/254394.jpg?ip/crop/w1200h700/q80/webp)


6. ปิดทองที่พระนาที (สะดือ)

การปิดทองพระบริเวณสะดือก็คล้ายกับบริเวณท้องค่ะ ที่เน้นเรื่องความร่ำรวย มั่งคั่ง มั่งมี แต่บริเวณสะดือจะพิเศษมากกว่าก็คือจะทำให้มีคนคอยอุปถัมภ์ค้ำจุนอยู่เสมอ และได้รับการเลี้ยงดูปูเสื่อเป็นอย่างดี แม้ในยามที่มีปัญหาอุปสรรคใด ๆ ก็ตาม ก็จะมีคนยื่นมือเข้ามาให้การช่วยเหลือส่งเสริมเพื่อไม่ให้เราต้องเผชิญกับความยากลำบากหรืออดอยากนั่นเอง

7. ปิดทองที่พระบาท (เท้า)

มีความเชื่อกันว่าการปิดทองพระพุทธรูปบริเวณเท้าหรือพระบาทจะช่วยให้ชีวิตพบเจอแต่ความราบรื่น ความสมบูรณ์ เพียบพร้อม ไม่ว่าจะเรื่องบริวาร บ้านช่องที่อยู่อาศัย หรือแม้แต่การเดินทาง รวมถึงยวดยานพาหนะต่าง ๆ ไม่ว่าคุณคิดจะไปที่ใดก็จะได้ไปตามปรารถนานั่นเองค่ะ

8. ปิดทองบริเวณหลังองค์พระพุทธรูป (ด้านหลัง)

เพราะข้างหลังเป็นส่วนที่คนมักจะมองไม่เห็นและไม่ค่อยให้ความสำคัญกันนัก ดังนั้นการปิดทองบริเวณด้านหลังของพระพุทธรูปจึงมีความสำคัญ ซึ่งก็เปรียบได้กับการช่วยเติมเต็มสิ่งที่ยังไม่สมบูรณ์นั่นเองค่ะ และยังมีความเชื่อกันด้วยว่าการปิดทองหลังพระจะช่วยให้มีผิวพรรณดี มีความผ่องใส และมีสง่าราศี

9. ปิดทองบริเวณฐานรองพระองค์

อาจเปรียบการปิดทองบริเวณฐานรองของพระพุทธรูปได้กับประโยคที่ว่า “หากเรามีรากฐานที่มั่นคงแข็งแรง แข็งแกร่ง ก็จะทำให้เราเติบโตขึ้นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ” เนื่องจากการปิดทององค์พระในจุดนี้จะช่วยให้เรามีชีวิตที่มั่นคง แข็งแรง แข็งแกร่ง ยากที่จะโค่นล้มค่ะ ไม่ว่าจะเรื่องการงาน การเงิน ความรัก หรือแม้แต่การดำเนินชีวิตประจำวันก็ตาม

@@@@@@@

อย่างไรก็ตามอย่าลืมอธิษฐานเวลาปิดทององค์พระกันด้วยนะคะ “ด้วยอานิสงส์แห่งการปิดทองนี้ ขอให้ข้าพเจ้าได้เติมเต็มสิ่งดี ๆ ที่ยังไม่เต็มให้สมบูรณ์” และหากว่ามีการปิดทองพระพุทธรูปจนเต็มองค์แล้ว ก็สามารถปิดทองทับของคนอื่นลงไปได้ แล้วให้ตั้งจิตอธิษฐานว่า “การใดใดที่เป็นสิ่งดีงาม ที่สมบูรณ์แล้ว ขอให้ข้าพเจ้าได้ทำให้สมบูรณ์ยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีกด้วยเถิด”



Thank to : https://www.sanook.com/horoscope/178599/ (https://www.sanook.com/horoscope/178599/)
03 มี.ค. 63 (11:45 น.) | Horosociety199 : สนับสนุนเนื้อหา


หัวข้อ: Re: ว่าด้วย "ปิดทองหลังพระ”
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ธันวาคม 05, 2025, 11:05:12 am
.
(https://www.madchima.org/forum/gallery/2_05_12_25_10_40_44.jpeg)
ขอบคุณภาพจากเฟซบุ้ค ส้มโอ ส้มแร็ง


ปิดทองหลังพระ

ถาม : ถ้าคนเอาแผ่นทองไปปิดไว้ด้านหลังพระ แล้วเวลาทำความดี คนอื่นไม่เห็น หรือมองข้ามความสำคัญอย่างนี้ จริงหรือไม่ครับ.?
ตอบ : ไม่จริง ปิดทองส่วนไหนขององค์พระก็ตาม อานิสงส์เป็นพุทธบูชาทั้งนั้น

อานิสงส์ที่เป็นพุทธบูชานี่ท่านบอกว่า “พุทโธ อัปปมาโณ” คุณของพระพุทธเจ้าประมาณไม่ได้

เรื่องคนจะไม่เห็นนั้นไม่มี ถึงเวลาถึงวาระบุญจะส่งให้เด่นขึ้นไปเอง ดีไม่ดีพวกปิดทองข้างหลังพระนั้นจะเด่นเป็นพิเศษ ถูกคนเขาถีบออกไปข้างหน้า ...(หัวเราะ)...

ในหลวงท่านสร้างพระอยู่รุ่นหนึ่ง เรียกว่า “สมเด็จจิตรลดา” เวลาท่านมอบให้บุคคลที่ทำคุณความดีและรับใช้ใกล้ชิด ท่านจะบอกว่าให้ปิดทองข้างหลัง

คุณวสิษฐ์ เดชกุญชร ตอนนั้นเป็นนายตำรวจประจำราชสำนักอยู่ ก็กราบทูลในหลวงว่า "ปิดทองหลังพระ ทำแล้วคนอื่นไม่เห็น ทำให้หมดกำลังใจครับ" ในหลวงทรงตรัสว่า "คุณปิดให้เยอะเข้าไว้เถอะ เดี๋ยวก็ล้นออกไปข้างหน้าเอง" ....(หัวเราะ)... จริงไหม ? ปิดให้เยอะเข้าไว้เดี๋ยวก็ล้นออกไปข้างหน้าเอง

ถาม : อย่างนี้ก็เป็นความเชื่อที่ผิด.!!
ตอบ : เรียกได้ว่าเป็นความเชื่อที่ผิด จริง ๆ แล้วเรื่องอานิสงส์การเป็นพุทธบูชา อย่างเมณฑกเศรษฐีนี่ไม่ใช่หลังพระนะ ก้นส้วมด้วย โอ้โฮ..รวยจนนับไม่ได้เลย

สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๔



ขอบคุณ : https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1983 (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1983)
โพสต์โดย โอรส | 18-07-2010, 05:53
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-07-2010 เมื่อ 10:07


หัวข้อ: Re: ว่าด้วย "ปิดทองหลังพระ”
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ธันวาคม 05, 2025, 11:17:59 am
.
(https://www.madchima.org/forum/gallery/2_05_12_25_10_40_24.jpeg)
ขอบคุณภาพจากเฟซบุ้ค Thammasat University Library


มองเป็นเห็นธรรม : อานิสงส์ของการ ปิดทองหลังพระ

“...การทำงานด้วยน้ำใจรัก ต้องหวังผลงานนั้นเป็นสำคัญ แม้จะไม่มีใครรู้ใครเห็น ก็ไม่น่าวิตก เพราะผลสำเร็จนั้น จะเป็นประจักษ์พยานที่มั่นคง ที่พูดเช่นนี้ เหมือนกับสอนให้ปิดทองหลังพระ

การปิดทองหลังพระนั้น เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องปิด ว่าที่จริงแล้ว คนโดยมากไม่ค่อยชอบปิดทองหลังพระกันนัก เพราะนึกว่าไม่มีใครเห็น แต่ถ้าทุกคนพากันปิดทองแต่ข้างหน้า ไม่มีใครปิดทองหลังพระเลย พระจะเป็นพระที่งามบริบูรณ์ไม่ได้...”

ความตอนหนึ่งใน พระบรมราโชวาท ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ ๒๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๖ นำให้เห็นการทำงานแบบปิดทองหลังพระที่ถูกต้อง นำให้ระลึกถึงเรื่องท้าวสักกะ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ มีความตามอรรถกถาโดยย่อดังนี้

@@@@@@@

พระศาสดา เมื่อทรงประทับอยู่ในกูฏาคารศาลา เมืองเวสาลี เจ้าลิจฉวีนามว่า “มหาลิ” เข้าไปเฝ้า ได้กราบทูลถามถึงท้าวสักกะ ผู้จอมแห่งเทพทั้งหลาย พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงถึงเรื่องนี้ แล้วกล่าวว่า

“ท้าวสักกะถึงความเป็นท้าวสักกะ เพราะได้สมาทานวัตตบท ๗ ใด วัตตบท ๗ นั้น ได้เป็นของท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่งเทพทั้งหลาย (ครั้ง) เกิดเป็นมนุษย์ในกาลก่อน สมาทานให้บริบูรณ์แล้ว”

แล้วพระพุทธองค์จึงตรัสว่า “มหาลิ กรรมนี้ท้าวสักกะทำไว้ในคราวเป็นมฆมาณพ จงฟังเถิด” มีความโดยพิสดารดังนี้

ในอดีตกาล มาณพชื่อว่า มฆะ อยู่ในอจลคามในแคว้นมคธ ไปสู่สถานที่ทำงานในบ้านแห่งหนึ่ง เห็นฝุ่นสกปรกในที่นั้น จึงคุ้ยฝุ่นด้วยปลายเท้าในที่ที่ตนยืนแล้ว ได้จัดทำให้สถานที่นั้นเป็นรมณียสถาน จนเสร็จ แล้วพัก เมื่อมีชายผ่านทางมาเห็นสถานที่ที่น่ายินดีที่เขาสร้าง ก็ประสงค์อยากได้ จึงผลักเขาออกจากรมณียสถานนั้น และเข้าไปยึดครองไว้เพื่อประโยชน์ของตน

มฆมานพก็ไม่โกรธต่อชายคนหนึ่ง เดินหลีกไป จนพบสถานที่ควรทำรมณียสถาน เขาก็ทำสถานที่นั้นเป็นรมณียสถานอีก เมื่อมีคนอื่นมาพบก็ขับไล่เขาออกจากสถานที่นั้น

@@@@@@@

ในวันต่อมาเขาก็ออกแสวงหาที่ที่เหมาะในการสร้างรมณียสถาน และจัดสร้างขึ้นใหม่ แล้วก็ถูกแย่งชิงไปอีก เขาก็แสวงหาสร้างรมณียสถานต่อไป ด้วยคิดว่า “ชนเหล่านั้นแม้ทั้งหมด เป็นผู้ได้รับสุขแล้ว กรรมนี้พึงเป็นกรรมให้ความสุขแก่เรา”

วันรุ่งขึ้นวันหนึ่ง มฆมานพได้ถือเอาจอบไปทำที่เท่ามณฑลแห่งลานให้เป็นรมณียสถาน มีปวงชนได้ไปพักอยู่ในที่นั้นนั่นแล ครั้นในฤดูหนาวเขาได้ก่อไฟให้คนเหล่านั้น ในฤดูร้อนได้ให้น้ำ ต่อมาเขาคิดว่า

“ชื่อรมณียสถาน เป็นที่รักของคนทั้งปวง ชื่อว่าไม่เป็นที่รักของใครๆ ไม่มี จำเดิมแต่นี้ไป เราควรเที่ยวทำหนทางให้ราบเรียบ”

แล้วจึงออกจากบ้านไปแต่เช้าตรู่ ทำหนทางให้ราบเรียบ เที่ยวตัดรานกิ่งไม้ที่ควรตัดรานเสีย ภายหลัง บุรุษอีกคนหนึ่งเห็นเขาแล้วกล่าวว่า “ทำอะไรเล่า? เพื่อน”

มฆะตอบว่า “ฉันทำหนทางเป็นที่ไปสวรรค์ของฉันละซิ เพื่อน”

บุรุษนั้นจึงกล่าวว่า “ถ้ากระนั้น แม้ฉันก็จะเป็นเพื่อนของท่าน”

มฆะตอบว่า “จงเป็นเถอะเพื่อน ธรรมดาสวรรค์ย่อมเป็นที่รักที่ชอบใจของชนเป็นอันมาก”


(https://mpics.mgronline.com/pics/Images/558000002575901.JPEG)


ตั้งแต่นั้นมา ทั้งสองก็ช่วยทำหนทางให้ราบเรียบ เป็นเหตุนำให้ชายอื่นอีก เห็นเขาทั้งสองแล้ว ถามเหมือนอย่างนั้นนั่นแล พอทราบแล้ว ก็เป็นสหายของคนทั้งสอง แม้คนอื่นๆ อีกก็ได้ทำอย่างนั้น รวมคนทั้งหมดจึงเป็น ๓๓ คน

เมื่อมฆมานพและเพื่อนได้กระทำหนทางให้ราบเรียบไปถึงที่ประมาณ ๑-๒ โยชน์ นายบ้านมาเห็นเข้า ก็คิดว่า “ชนเหล่านี้ประกอบแล้วในฐานะที่ไม่ควรประกอบ แม้ถ้าชนเหล่านี้ พึงนำวัตถุทั้งหลาย มีปลาและเนื้อเป็นต้นมาจากป่า หรือทำสุราแล้วดื่ม หรือทำกรรมเช่นนั้นอย่างอื่น เราพึงได้ส่วนอะไรๆ บ้าง”

แล้วก็เรียกมฆมานพและเพื่อนมาพบ แล้วถามว่า “พวกแกทำอะไรกัน?”

มฆมานพตอบว่า “ทำทางสวรรค์ ขอรับ”

นายบ้านจึงพูดว่า “ธรรมดาผู้อยู่ครองเรือนทั้งหลาย ไม่ควรจะทำอย่างนี้ ควรจะแสวงหาอาหารมาจากป่า ควรทำสุราแล้วดื่ม และควรทำการงานทั้งหลายมีประการต่างๆ”

มฆมานพและเพื่อนก็ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของนายบ้าน ก็พูดคัดค้านขึ้น นายบ้านพยายามพูดโน้มน้าวให้เขาไปทำอย่างอื่นที่ก่อประโยชน์แก่ตน มฆมานพและเพื่อนก็ไม่ยินยอม จนในที่สุด นายบ้านก็เกิดความโกรธขึ้น อาฆาตในใจว่า “เราจักให้พวกมันฉิบหาย” แล้วเขาก็ไปยังสำนักของพระราชา

นายบ้านเข้าเฝ้ากราบทูลว่า “ข้าพระองค์เห็นพวกโจรเที่ยวไป ด้วยการคุมกันเป็นพวก พระเจ้าข้า”

เมื่อพระราชาตรัสว่า “เธอจงไป จงจับพวกมันแล้วนำมา”

นายบ้านก็ทำตามรับสั่ง ไปจับตัวมฆมานพและเพื่อนมาให้พระราชา พระราชาเมื่อเห็นทั้งหมดก็ตัดสินโทษทันทีว่า “นำพวกมันไปให้ช้างเหยียบ”

@@@@@@@

ณ แดนประหาร มฆมานพได้ให้โอวาทกับเพื่อนว่า “สหายทั้งหลาย เว้นเมตตาเสีย ที่พึ่งอย่างอื่นของพวกเราไม่มี ท่านทั้งหลายไม่ต้องทำความโกรธในใครๆ จงเป็นผู้มีจิตเสมอเทียวด้วยเมตตาจิต ในพระราชา ในนายบ้าน ในช้างที่จะเหยียบ และในคน”

เพื่อนของเขาจึงทำตามคำของเขา เพราะอานุภาพแห่งเมตตาของมฆมานพและเพื่อน ช้างที่พระราชาให้ไสมาเหยียบ ก็ไม่อาจเข้าไปใกล้ได้ เจ้าหน้าที่จึงนำความเข้าไปทูลให้ทราบ พระองค์จึงตรัสว่า

“ช้างมันเห็นคนมาก จึงไม่อาจเหยียบได้ ท่านทั้งหลายจงไป เอาเสื่อลำแพนคลุมเสียแล้วจึงให้มันเหยียบ” เจ้าหน้าที่ก็นำเสื่อลำแพนมาคลุมร่างของมฆมานพและเพื่อน เมื่อไสช้างเข้ามา ช้างก็ถอยกลับไปเสีย ไม่ยอมเข้าใกล้เลย

พระราชาทรงสดับประพฤติเหตุนั้นแล้ว ทรงดำริว่า “ในเรื่องนี้ ต้องมีเหตุ” แล้วรับสั่งให้เรียกมฆมานพและเพื่อน มาเฝ้า ตรัสถามว่า “พ่อทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเจ้าเป็นโจรเที่ยวไปในป่า ด้วยการคุมกันเป็นพวกหรือ?”

มฆะทูลถามว่า “ใครกราบทูลอย่างนั้น พระเจ้าข้า?”

พระราชาทรงตอบว่า “นายบ้าน”

@@@@@@@

มฆะจึงทูลว่า “ขอเดชะ พวกข้าพระองค์ไม่ได้เป็นโจร แต่พวกข้าพระองค์ชำระหนทางไปสวรรค์ของตนๆ จึงทำหนทางให้ราบเรียบ เที่ยวตัดรานกิ่งไม้ที่ควรตัดรานเสีย นายบ้านประสงค์จะชักนำพวกข้าพระองค์ในการทำอกุศล เมื่อพวกข้าพระองค์ไม่ทำตาม ก็โกรธ แล้วจึงมากราบทูลอย่างนั้น”

พระราชาทรงสดับถ้อยคำของมฆมานพ ก็เป็นผู้ถึงความโสมนัส ตรัสว่า “พ่อทั้งหลาย สัตว์ดิรัจฉานนี้ ยังรู้จักคุณของพวกเจ้า เราเป็นมนุษย์ ก็ไม่อาจรู้จัก จงอดโทษแก่เราเถิด”

แล้วได้พระราชทานนายบ้านพร้อมทั้งบุตรและภริยาให้เป็นทาส ช้างตัวนั้นให้เป็นพาหนะสำหรับขี่ และบ้านนั้นให้เป็นเครื่องใช้สอยตามสบายแก่มฆมานพและเพื่อน

มฆมานพและเพื่อนต่างมีใจผ่องใสโดยประมาณยิ่ง ผลัดวาระกันขึ้นช้างนั้นกลับถึงที่ชุมนุมของตน แล้วปรึกษากันว่า “พวกเราเห็นอานิสงส์แห่งบุญในปัจจุบันนี้ทีเดียว บัดนี้ พวกเราควรทำบุญให้ยิ่งขึ้นไป”

ต่างไต่ถามกันว่า “พวกเราจะทำอะไรกัน?” แล้วตกลงกันว่า “จักสร้างศาลาเป็นที่พักของมหาชนให้ถาวร ในหนทางใหญ่ ๔ แยก”

พวกเขาจึงสั่งให้หาช่างไม้มา แล้วเริ่มสร้างศาลาจนเป็นสาธารณประโยชน์ขึ้น

@@@@@@@

มฆมานพและเพื่อน ได้บำเพ็ญวัตตบท ๗ เหล่านี้ คือ
    (๑) บำรุงมารดาบิดา
    (๒) ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้เจริญในตระกูล
    (๓) พูดคำสัตย์
    (๔) ไม่พูดคำหยาบ
    (๕) ไม่พูดส่อเสียด
    (๖) กำจัดความตระหนี่
    (๗) ไม่โกรธ
ถึงความเป็นผู้ควรสรรเสริญอย่างนี้ว่า “ทวยเทพชั้นดาวดึงส์ เรียกนรชนผู้เลี้ยงมารดาบิดา มีปกติประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล กล่าวถ้อยคำไพเราะอ่อนหวาน ละวาจาส่อเสียด ประกอบในอันกำจัดความตระหนี่ มีวาจาสัตย์ ข่มความโกรธได้ นั่นแลว่า “สัปบุรุษ”

เมื่อมฆมานพและเพื่อนสิ้นชีวิต มฆมานพได้เกิดเป็นท้าวสักกเทวราชในภพดาวดึงส์ เพื่อนของเขาก็เกิดในภพดาวดึงส์เหมือนกัน แม้ช่างไม้เกิดเป็นวิศวกรรมเทพบุตรด้วย (ความพิสดารโดยละเอียดพึงอ่านได้ในธรรมบทเรื่องท้าวสักกะ)

มฆมานพและเพื่อน ทำสาธารณประโยชน์ด้วยความยินดี เปรียบดังการปิดทองหลังพระ ดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ตรัสไว้ จึงมีความยินดีในบุญเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเห็นอานิสงส์ของบุญที่ตนได้กระทำแล้ว ก็เกิดความบันเทิงยินดีในการทำบุญยิ่งขึ้นไปอีก ดำรงตนอยู่ในวัตตบท ๗ ได้อย่างมั่นคง

การปิดทองหลังพระที่ควรกระทำ จึงมีลักษณะดังพรรณนามาฉะนี้แล

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 171 มีนาคม 2558 โดย พระครูพิศาลสรนาท (พจนารถ ปภาโส) วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กทม.)


ขอบคุณ : https://mgronline.com/dhamma/detail/9580000024883 (https://mgronline.com/dhamma/detail/9580000024883)
เผยแพร่ : 3 มี.ค. 2558 09:33 | โดย : MGR Online