หัวข้อ: พระที่ทำลายศาสนาพุทธ เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มีนาคม 28, 2011, 10:20:41 am พระที่ทำลายศาสนาพุทธ จริง ๆ แล้วเรียกว่าพระไม่ถูกครับ ต้องเรียกว่าพวกที่ไม่มีปัญญาจะทำมาหากินเลยมาอาศัยผ้าเหลืองเลี้ยงชีพดี กว่า ปัจจุบันนี้มีเยอะแยะมากครับ (ยาวไปหน่อย เนื้อหาจากหนังสือ พระอรหันต์กึ่งพุทธกาล ครับ) (http://statics.atcloud.com/files/entries/2/24836/images/1_display.jpg) ในครั้งพุทธกาล เมื่อคราวจะเกิดภิกษุณี พระพุทธเจ้าท่านทรงทำนายไว้ว่าพระพุทธศาสนาในยุคของพระองค์นั้นจะมีอายุสั้น ลงเหลือเพียง ๕,๐๐๐ ปี ปัจจุบันนี้ก็เลยยุคกึ่งพุทธกาลล่วงมาแล้ว สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันบอกกล่าวให้เห็นถึงความเสื่อมต่าง ๆ ทางด้านจิตใจของมนุษย์มากขึ้น ในขณะที่ความเจริญทางวัตถุเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ...ศาสนาเสื่อม หรือ คนเสื่อม พระพุทธศาสนา..ไม่เคยเสื่อม แต่จิตใจคนต่างหากที่เสื่อม ผู้ที่เข้าใจว่าหลักของพระพุทธศาสนาคืออะไรนั้น ย่อมจะเข้าใจดีว่า พระพุทธศาสนาคือความจริง และมีความเป็นอมตะ ทันยุคทันสมัย ไม่มีวันตาย แม้จะถึงกาลสิ้นยุคพระพุทธศาสนา แต่ความจริงแห่งพระพุทธศาสนายังคงอยู่รอถึงกาลเวลาแห่งยุคพระพุทธเจ้าองค์ ต่อมาได้ตรัสรู้เผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนอีกครั้ง ส่วนผู้ที่ยังไม่เข้าใจว่าพระพุทธศาสนาที่แท้จริงคืออะไร แก่นแท้ของพระพุทธศาสนาเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนอะไร อาจมองเห็นว่าศาสนาเสื่อม จากภาพต่าง ๆ ที่พบเห็นอยู่ในปัจจุบัน ข่าวต่าง ๆ ที่พบเห็นอาจทำให้คิดไปว่าศาสนาพุทธเสื่อมลง สามเณรเป็นตุ๊ดเป็นแต๋ว พระมั่วสีกา ค้ายาบ้า พระเมาเหล้า พระมีอิทธิพลประดุจมาเฟีย ฯลฯ (http://www.yumclip.com/wp-content/uploads/2011/01/1_display.jpg) ผู้ที่ทำให้คนมองว่าศาสนาเสื่อม คือ คนที่อาศัยผ้าเหลืองอยู่แต่ไม่ทำตนให้เหมาะสมกับเพศสมณะนั่นเอง ที่เป็นผู้ทำลายศาสนา ที่เห็นได้ชัดก็คือ โจรในคราบผ้าเหลือง หรือผู้ที่แต่งตัวเป็นพระ หรือผู้ที่ขาดจากการเป็นพระแล้ว เช่น พระขี้โกงขี้ขโมย พระเสพเมถุน หรืออวดอุตริมนุสธรรมว่าตนเองเป็นผู้วิเศษผู้มีอาคมแก่กล้า ล้วนแล้วแต่เป็นความผิดทางพระวินัยถึงขั้นปาราชิกแล้วทั้งสิ้น พระที่ปฏิบัติตนไม่สมกับการเป็นสมณะ ก็เป็นอีกประเภทหนึ่งที่กล่าวได้ว่าปฏิบัติตนผิดหน้าที่จนถือได้ว่าเป็นผู้ ทำลายพระพุทธศาสนาได้อีกทางหนึ่งเช่นกัน ดังเช่น (http://1.bp.blogspot.com/-bqZS-EM8I4E/TWJ5d85FU4I/AAAAAAAAAL8/SXsckuIlfKo/s320/14.jpg) ๑.พระผู้ตั้งตัวเองเป็นผู้วิเศษ พระอาจารย์ผู้สร้างเครื่องรางของขลังปลุกเสกวัตถุมงคลต่าง ๆ มอมเมาญาติโยม หลอกลวงประชาชน ที่กล่าวมานั้น ผมหมายความแตกต่างจากพระอาจารย์ในยุคอดีตที่ผ่าน ๆ มาซึ่งท่านเหล่านั้นเป็นของจริง เก่งจริง ท่านเมตตาสร้างให้ด้วยเจตนาดีจริง ไม่หวังผลตอบแทน ไม่มีพุทธพาณิชย์มาเกี่ยวข้องเหมือนปัจจุบัน พระอริยสงฆ์ผู้ที่เปี่ยมด้วยเมตตาบารมีในอดีต เช่น ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต หลวงปู่เกษม เขมโก พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ฯลฯ วัตถุมงคลของท่านอาจารย์ทั้งหลายนั้นล้วนแล้วแต่มีอานุภาพเต็มไปด้วยพระ พุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ทั้งสิ้น เพราะท่านทำให้ด้วยความเมตตา และบริสุทธิ์ใจ และเป็นที่น่าสังเกตุว่าพระอาจารย์ทั้งหลายนั้นโดยส่วนตัวของแต่ละองค์นั้น ท่านไม่อยากสร้างหรือเสกวัตถุมงคลเลย อาจเป็นด้วยเหตุ สืบทอดอายุพระพุทธศาสนาบ้าง แจกจ่ายทหารเพื่อเป็นขวัญกำลังใจยามรบทัพจับศึกบ้าง ศิษย์รบเร้าขอสร้างเพื่อทำประโยชน์และเป็นที่ระลึกบ้าง ท่านจึงเมตตาทำให้โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต เมื่อคราวเสร็จพิธีอธิษฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคลครั้งใหญ่ภายในพระอุโบสถวัด เทพศิรินทราวาสเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๓ นั้น ท่านชี้มือไปที่กองวัตถุมงคลภายในพระอุโบสถและกล่าวแก่ศิษย์และญาติโยม ในที่นั้นว่า “ทั้งหมดนี่...สู้ธรรมะไม่ได้” หรือท่านพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร แห่งสกลนคร ท่านก็ไม่สนใจการสร้างวัตถุมงคลใด ๆ เลย แต่ศิษยานุศิษย์ รบเร้าขออนุญาตสร้างด้วยเจตนาดี เมื่อสร้างแล้วถวายให้ท่าน ท่านก็เมตตาแจกจ่ายบรรดาพุทธศาสนิกชนที่เข้าไปขอท่าน แต่ถ้าหากมีพระภิกษุไปขอพระเครื่องจากท่านบ้าง ท่านจะไม่ให้ ท่านพระอาจารย์ฝั้นจะถามกลับมาว่า “จะเอาไปทำไม...คุณเป็นอะไร!!” และในการประกอบพิธีอธิษฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคลในแต่ละครั้งนั้น ไม่เคยเป็นที่ปรากฏว่าพระอริยเจ้าท่านใดในอดีตที่ผ่านมา ได้ทำการปลุกเสกวัตถุมงคลด้วยกิริยาอาการ หรือท่าทีที่ไม่สำรวม แปลกประหลาด เหมือนท่าทางของสัตว์ หรือมีการทรงเจ้าเข้าผีแต่ประการใดเลย ครูบาอาจารย์ในอดีตแต่ละองค์ล้วนเข้าฌานสมาธิด้วยกิริยาอาการอันสงบสำรวม ยิ่ง แต่ในยุคปัจจุบัน (ปี พ.ศ. ๒๕๕๐) ที่ผ่านมานั้น พระบางรูปคิดว่าตัวเองเป็นผู้มีพลังจิตสูงส่งอ้างตนเองเป็นผู้วิเศษ จะประกอบพิธีแต่ละครั้งต้องมีค่าจ้างสูงถึงหลักหมื่นหลักแสนเป็นผลตอบแทน ขณะประกอบพิธีกลัวจะดูไม่ขลังไม่ศักดิ์สิทธิ์สมค่าจ้าง จึงต้องออกท่าออกทางแปลก ๆ เหมือนท่าทางของสัตว์เดรัจฉานบ้าง ร่ายรำจับอาวุธให้ดูน่าเกรงขามบ้าง บางรายก็มีการใช้วาจาด่าทอ ใช้คำหยาบคายให้ดูว่าตนเองมีอำนาจบ้าง บางรายขนาดตั้วตัวเองเป็นผู้วิเศษ ผู้มีอาคมขลังแล้ว ยังต้องแขวนพระเครื่อง แขวนของขลังอีกเสียเต็มคอ ดูแล้วเหมือนคนบ้า มากกว่าพระสงฆ์ เห็นแล้วเป็นที่น่าอนาถใจยิ่ง เนื่องจากว่ายังมีผู้คนที่มีจิตใจอ่อนแอ ไม่รู้จักพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริงว่าเป็นอย่างไรอีกจำนวนมากที่ตกเป็น เหยื่อ หลงบูชากราบไหว้ คิดว่าสมณะปลอมเหล่านั้นเป็นผู้ทรงศีลเป็นผู้วิเศษจริง (http://www.komchadluek.net/media/img/size1/2009/11/14/5i99cjj76bjckjbej7f9f.jpg) ๒.พระดูหมอ-ใบ้หวย เป็นกิจวัตร ศาสตร์ทางด้านการดูดวง ทำนายโชคชะตาราศีนั้นมีอยู่จริง แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่กิจของสงฆ์ที่จะกระทำพร่ำเพรื่ออยู่เป็นนิจ นอกเสียจากเหตุผลอันจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น สังเกตุดูพระอริยเจ้าต่าง ๆ ถึงแม้ว่าท่านจะมีความรู้ในศาสตร์ด้านนี้อย่างแตกฉานแล้ว แต่ท่านก็ไม่เคยเอาวิชาเหล่านี้มาใช้ประโยชน์เพื่อหวังลาภสักการะใด ๆ เลย เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่หนทางแห่งการพ้นทุกข์ ไม่ใช่หน้าที่ของพระสงฆ์ (http://www.thaipr.net/dsppic/dsppic.aspx?filesid=1EAA471D362154EF5068BAE691B449C9) ๓.พระไม่ใช่ศิลปิน “ศาสนาพุทธนั้น ไม่ใช่ศาสนาที่ง้อให้คนมานับถือ” การเผยแพร่พระพุทธศาสนาเป็นการเชิญชวนให้มาพิสูจน์ให้รู้เห็นในพระธรรม พระอริยสงฆ์แต่ละองค์นั้น ท่านไม่เคยไปป่าวประกาศ หรือเรียกร้องให้ฝูงชนแห่มานับถือ ไม่บังคับจิตใจใคร แม้แต่พระพุทธเจ้าบรมศาสดาเอง ท่านก็แสดงธรรมเทศนาโปรดสัตว์แต่ละครั้งด้วยกิริยาอาการอันสำรวม กระชับได้ใจความ ถูกจริต ตรงใจ ชี้ทางสว่างให้เหล่าสัตว์โลกได้ปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ หน้าที่ของพระคือ ปฏิบัติตนตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อหลุดพ้นจากความทุกข์ เมื่อพบสัจธรรมที่แท้จริงแล้ว จึงเทศนาโปรดญาติโยม ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต พระอรหันต์ยุคกึ่งพุทธกาล แห่งวัดเทพศิรินทราวาส ท่านก็ไม่เคยขึ้นเทศน์เลยสักครั้ง แต่ท่านได้แสดงเทศน์กัณฑ์ใหญ่ที่สุด โดยการปฏิบัติตนอย่างยอดเยี่ยมให้ดูเป็นตัวอย่างว่าพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ พระแท้ ๆ ในพระพุทธศาสนานั้น เป็นเช่นไร มีญาติโยมเคยถามท่านว่า ทำไมท่านจึงไม่เทศนาโปรดญาติโยมบ้าง ท่านตอบเป็นปริศนาธรรมสั้น ว่า “อาตมาชื่อ...ตรึก” และเมื่อคราวที่ ดร.บุญยง ว่องวานิช ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดเทพศิรินทราวาส ได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับท่าน เจ้าคุณนรฯ หลายครั้ง เคยถามท่านอยู่ครั้งหนึ่งว่า “เขาว่ากันว่าท่านไม่เคยสอนธรรมะใคร เอาตัวรอดแต่เพียงผู้เดียว” ท่านเจ้าคุณนรฯ ได้อธิบายธรรมสั้น ๆ ว่า “ถ้ามีใครตกน้ำ กำลังจะจมน้ำตาย ถ้าเราคิดจะไปช่วยเขา เราต้องว่ายน้ำให้เก่งเสียก่อน จึงจะไปช่วยเขาได้ ถ้าว่ายน้ำไม่แข็ง เข้าไปช่วยเขา อาจถูกเขาฉุดหรือกอดจมน้ำตายได้ แม้พระพุทธเจ้าก็ทำเช่นนี้ พระพุทธองค์เข้าป่าศึกษาและปฏิบัติถึง ๖ ปี ตรัสรู้แล้วจึงออกมาสอนผู้อื่น” ครูบาอาจารย์ในอดีตและปัจจุบันหลาย ๆ รูปท่านได้เทศนาเผยแพร่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้อย่างดี น่าฟังและลึกซึ้ง ชี้หนทางแห่งการดับทุกข์ได้ แต่ในปัจจุบันนี้ได้มีการเทศนาสั่งสอนธรรมะแบบแปลก ๆ ขึ้นไปอีก ดังเช่นการแหล่บ้าง การร้องเป็นเพลงบ้าง คิดมุกตลกขำ ๆ มายิงกันให้ญาติโยมได้รับความสนุกสนานครื้นเครงปนธรรมะ คิด ๆ ดูอาจจะไม่ผิดอะไร แต่สำหรับมุมมองของผู้เขียนเอง เห็นว่าไม่สมควร พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ ไม่สมควรจะเอามาทำให้เป็นเรื่องตลก(จนมากเกินไป) ถ้าเรียกคนเข้าวัดเพื่อมาฟังธรรมด้วยความเคารพศรัทธา หรือด้วยความต้องการที่จะมาคลายทุกข์ด้วยการเอาธรรมะเป็นที่พึ่งไม่ได้ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเอาความบันเทิงรูปแบบอื่นมาเป็นสิ่งล่อใจ ถ้าท่านผู้อ่านคิดว่าผู้เขียนเองคิดมากเกินไป ผมก็ขอให้ข้อคิดแก่ท่านว่า เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของความผิดเพี้ยนแปลกประหลาดมาก ขึ้นกว่านี้อีกสิบเท่า ร้อยเท่าในอนาคตข้างหน้าก็ได้ ใครจะไปรู้ ปัจจุบันนี้ท่านคงจะเคยได้ยินบทสวดมนต์ที่กลายเป็นเพลงไปแล้ว ทำออกมาเป็นซีดีขายกันเกลื่อนตลาด ซึ่งในอดีตนั้นไม่เคยมี พระ..แปลว่า ผู้พระเสริฐ พระไม่ใช่ศิลปิน พระไม่ใช่นักแสดงตลกคาเฟ่ หน้าที่ของพระคือปฏิบัติตน ฝึกตน ไม่ใช่มีหน้าที่แต่งเพลง เล่าเรื่องตลก คิดมุกขำ ๆ เพื่อเอาไว้ใช้ดึงดูดเรียกญาติโยมเข้าวัด พระต้องมี ศีลาจารวัตร อันเป็นหลักประกันความเป็นปูชนียบุคคลของภิกษุที่สำคัญที่สุด (http://gallery.palungjit.com/data/543/medium/lpput01.jpg) ๔.ศักดิ์ศรีของผ้าเหลือง อันเปรียบเสมือน ธงชัยแห่งพระอรหันต์ ศาสนาพุทธนั้นไม่ได้กำหนดมาตรการบังคับว่า ชายชาวพุทธทุกคนต้องบวชเป็นพระภิกษุ ดังนั้นการบวชเป็นพระ จึงไม่ใช่หน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ ไม่มีใครบังคับ ถือว่าผู้ที่จะเข้ามาสู่เพศบรรพชิตนั้นต้องสมัครใจบวชด้วยตนเองทั้งสิ้น ดังนั้นจึงควรที่จะปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับความเป็นสมณะผู้ครองผ้าเหลือง ไม่ควรปฏิบัติตนในลักษณะที่ไม่สำรวม ไม่ควรไปในที่อันไม่ควรไป จะเห็นได้อยู่เสมอ ๆ ที่พระภิกษุไปท่องเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ อันไม่ใช่กิจของสงฆ์ ไปเดินเลือกซื้อของตามห้างสรรพสินค้า ไปสวนสนุก หรือตลาดนัดที่มีผู้คนแออัด ในทางธรรมที่แท้จริงนั้นไม่มีข้ออ้างใด ๆ เลยที่จะมาแก้ตัวได้ถึงเหตุผลที่พระภิกษุบางรูปได้กระทำ เหตุผลที่ว่า ต้องไปทำธุระ พระก็อยากไปเดินห้าง เลือกซื้อสินค้าที่ต้องการบ้าง หนังสือ กระเป๋า ฯลฯ (http://statics.atcloud.com/files/entries/2/25016/images/1_display.jpg) หรืออยากไปพักผ่อน เปิดหูเปิดตา ท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ใช่กิจของสงฆ์ทั้งสิ้น ถ้าพระภิกษุรูปใดไม่สามารถหักห้ามใจที่จะไม่ไปท่องเที่ยว เดินห้าง ช้อปปิ้ง หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ทางโลกซึ่งไม่ใช่กิจของสงฆ์เสียแล้ว ท่านควรจะสึกหาลาเพศ ไปเป็นคนธรรมดาเสียก่อนจะถูกต้องกว่า (บางท่านบวชเพียงระยะเวลาสั้น ๆไม่กี่วันเท่านั้นก็สึกแล้ว ยังปฏิบัติไม่ได้เลย) จากนั้นท่านจะไปทำอะไร ที่ไหน ก็คงไม่มีใครติเตียน แต่ถ้าท่านยังบวชอยู่ในเพศสมณะ ก็ควรให้เกียรติผ้าเหลือง อันถือได้ว่าเป็นเครื่องแบบที่ศักดิ์สิทธิ์ มีเกียรติยิ่งกว่าเครื่องแบบใด ๆ ในโลกนี้ก็ว่าได้ ...อย่างไรน่ะหรือ ?... เครื่องแบบใด ๆ ในโลกนี้ล้วนแล้วแต่มีศักดิ์ศรีเทียบเท่าผ้ากาสาวพัสตร์ไม่ได้เลย เพราะเป็นเครื่องแบบของผู้ทรงศีลทรงธรรม ผู้เจริญ ผู้ประเสริฐ ผู้แสวงหาความหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง เป็นเครื่องแบบของสิ่งอันมีค่าควรเคารพสูงสุดในพระพุทธศาสนาคือ พระรัตนตรัย ความสำคัญพิเศษเหนือเครื่องแบบใด ๆ ในโลกนี้ อีกเรื่องก็คือ ตามปกติแล้วคนเราต้องเคารพกราบไหว้พ่อ แม่ ครู อาจารย์ หรือผู้ที่ควรเคารพ แต่ตราบใดเมื่อได้ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ เข้าสู่ร่มโพธิ์แห่งพระพุทธศาสนาแล้ว พ่อ แม่ ต้องไหว้ลูก ตา ยาย ต้องไหว้หลาน ครูบาอาจารย์ ต้องไหว้ศิษย์ในทันที แม้แต่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นพุทธมามกะทุกพระองค์ยังทรงกราบไหว้พระอริย สงฆ์ ไม่มีเครื่องแบบใด ๆ ที่ทรงคุณลักษณะวิเศษเช่นนี้ ฉะนั้นแล้วเมื่อท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ก็ควรปฏิบัติตนให้เหมาะสม สำรวม ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สมกับที่บุพการีของท่านผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูฟูมฟักท่านมาตั้งแต่แบเบาะ ได้ยกมือไหว้ท่าน อย่าทำตนให้สมกับ คำกล่าวของคนบางคน ที่ทำบุญใส่บาตรโดยไม่เลือกพระเลือกวัด แต่คิดในใจอยู่เสมอ ๆ ว่า “ถือว่า...ไหว้ผ้าเหลือง” ที่มา http://atcloud.com/stories/24836 (http://atcloud.com/stories/24836) หัวข้อ: Re: พระที่ทำลายศาสนาพุทธ เริ่มหัวข้อโดย: kobyamkala ที่ มีนาคม 29, 2011, 06:29:56 am อันนี้ตอบยากนะคะ เพราะเราไม่มีความสามารถอ่านใจพระคุณเจ้าได้ว่าท่านมีอำนาจิตจึงหรือไม่
คงต้องวิเคราะห์ กันนานคะ :13: หัวข้อ: Re: พระที่ทำลายศาสนาพุทธ เริ่มหัวข้อโดย: สาวิตรี ที่ มีนาคม 29, 2011, 10:40:52 am ความสำคัญของพระสงฆ์ ในเมืองไทย มีความสำคัญตามลำดับ
บางครั้งพระสงฆ์ก็ต้องมีความพยายาม เพื่อจะพัฒนาคน พัฒนาวัด พัฒนาสังคมให้เกิดความสงบร่มเย็น คนสมัยนี้ จิตใจเริ่มออกห่างจากพระธรรมกันมากขึ้นทุกวัน ๆ ถ้าพระสงฆ์เอาแต่นิ่งภาวนาส่วนตัวไม่มุ่งออก มาโปรดประกาศพระธรรมคำสั่งสอนแล้ว ศาสนาพุทธจะอยู่ในใจคนได้อย่างไร คิดถึงสมัยครั้ง พระพุทธกาล ตอนนั้นมีพระภิกษุ 61 รูปรวมพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าสั่งพระสาวก 60 รูปให้่ เดินทางประกาศพระศาสนา โดยให้ไปสายละองค์ ห้ามไปด้วยกัน ไปคนละทาง เพราะเหตุที่พระสาวกทั้ง 60 รูป ไปคนละทางพระพุทธศาสนา จึงมาถึงประเทศไทยกันอย่างนี้ ดังนั้น ถ้าพระสงฆ์เอาแต่ประพฤติด้วยส่วนตัวแล้ว ก็อนุโมทนาด้วยแต่ พระสงฆ์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่ก็บวชเรียน บวชตามธรรมเนียมกัน ดังนั้นบางรูปบางองค์เหล่านี้ก็มาช่วยสั่งสอนนำในด้านศีลธรรมกันบ้าง :67: หัวข้อ: Re: พระที่ทำลายศาสนาพุทธ เริ่มหัวข้อโดย: เจมส์บอนด์ ที่ มีนาคม 29, 2011, 10:44:28 am พูดถึงผู้เขียน เจตนามองที่ โลกุตตรธรรม อย่างเดียวหรือไม่
คนที่นับถือพระพุทธศาสนาในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ในยุคนี้ ไม่ได้ปรารถนา ใน พระนิพพาน ( เป็นพวกพุทธภูมิ ) พวกนี้เขาไม่สานใจเรื่องธรรมะขั้นสูงหรอกครับ ที่เขาต้องการก็เพียง ความสุขที่จะได้ จะมี จนถึงวันสิ้นชีวิต และก็ว่ากันใหม่ในชาติต่อไป :smiley_confused1: |