หัวข้อ: การบรรลุธรรมต้องบำเพ็ญสมาธิภาวนา อย่างเดียวใช่หรือไม่ เริ่มหัวข้อโดย: Akira ที่ มีนาคม 30, 2011, 07:50:35 am สงสัยว่าถ้าเราต้องการบรรลุธรรม ต้องเจริญสมาธิภาวนาอย่างเดียวใช่หรือไม่ ครับ
:67: :smiley_confused1: หัวข้อ: Re: การบรรลุธรรมต้องบำเพ็ญสมาธิภาวนา อย่างเดียวใช่หรือไม่ เริ่มหัวข้อโดย: suchin_tum ที่ มีนาคม 30, 2011, 11:11:05 am ไตรสิกขา 3 เรื่อง จึงจะเข้าถึงได้...1.ศิลสิกขา 2.สมาธิสิกขา 3.ปัญญาสิกขา ...ว่าไปตามลําดับ
หัวข้อ: Re: การบรรลุธรรมต้องบำเพ็ญสมาธิภาวนา อย่างเดียวใช่หรือไม่ เริ่มหัวข้อโดย: ธุลีธวัช (chai173) ที่ มีนาคม 30, 2011, 11:52:45 am สงสัยว่าถ้าเราต้องการบรรลุธรรม ต้องเจริญสมาธิภาวนาอย่างเดียวใช่หรือไม่ ครับ (http://1.bp.blogspot.com/_Go98nU21nk0/Sgd5DJDX8dI/AAAAAAAABoI/IDgbVyDcWAU/s320/Ariyamakka.gif) ศีลสิกขา นั้น ชำระกาย, วาจา สมาธิสิกขา นั้น ชำระจิต ปัญญาสิกขา นั้น เป็นสภาวะเกิดเองด้วยจิตที่หมดจด มิใช่สภาวะคิดปรุงด้วยผัสสะแห่งอายตนะใดใด http://sworraras.blogspot.com/2009_05_10_archive.html หัวข้อ: Re: การบรรลุธรรมต้องบำเพ็ญสมาธิภาวนา อย่างเดียวใช่หรือไม่ เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มีนาคม 30, 2011, 12:13:00 pm หลวงปู่ดูลย์ อตุลโล ได้กล่าวไว้ว่า ไอน์สไตน์เก่ง สามารถรู้ความจริงของธรรมชาติได้
แต่น่าเสียดาย ไอน์สไตน์ ไม่รู้นิพพาน เพราะ ไอน์สไตน์ ไม่รู้ "มรรค ๘" (มรรคมีองค์ ๘ มีในศาสนาพุทธเพียงศาสนาเดียว ขอให้เราภูมิใจได้เลย) ดังนั้น การบรรลุธรรม ต้องเริ่มที่ มรรคมีองค์ ๘ ก่อน หากเราจะย่อ มรรค ๘ ลงเหลือ ๓ ข้อ จะได้ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา จะย่อไตรสิกขาลงอีก จะได้ วิปัสสนากรรมฐาน กับ สมถกรรมฐาน หากยังไม่พอใจ จะย่อลงอีก จะเหลือแค่หนึ่ง คือ "การเจริญสติปัฏฐาน" พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า การเจริญสติปัฏฐานเป็นทางสายเอก เป็นเพียงทางเดียวเท่านั้น ที่จะเข้าถึงพระนิพพานได้ ขอให้คุณ Akira ศึกษาข้อธรรมต่างๆไปโดยลำดับ ไม่เข้าใจ ก็ถามได้ครับ ;) :58: :25: หัวข้อ: Re: การบรรลุธรรมต้องบำเพ็ญสมาธิภาวนา อย่างเดียวใช่หรือไม่ เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ มีนาคม 31, 2011, 07:08:19 am โอกาสการบรรลุธรรม มี 5 วาระ
การภาวนา เป็นวาระสุดท้ายซึ่งมีโอกาสมากกว่าทุกวาระ เจริญธรรม ;) หัวข้อ: Re: การบรรลุธรรมต้องบำเพ็ญสมาธิภาวนา อย่างเดียวใช่หรือไม่ เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ มีนาคม 31, 2011, 07:14:40 am บาลี วิมุตตายตนสูตร เป็นหลักธรรม ที่ควรสนใจเป็นพิเศษ คือ บอกให้รู้ว่า
คนเรา สามารถบรรลุธรรม ได้ถึง ๕ เวลา คือ เมื่อกำลัง ฟังธรรมอยู่, เมื่อกำลัง แสดงธรรมให้ผู้อื่นอยู่, เมื่อกำลัง สาธยายธรรมอยู่, เมื่อเพ่งธรรมอยู่, และ เมื่อพิจารณา ใคร่ครวญธรรมอยู่; นับว่า โอกาสมีมาก ในการบรรลุธรรม แต่พวกเรา พากันประมาทเสีย ไม่ฉวยเอาได้ แม้แต่ โอกาสเดียว.Aeva Debug: 0.0004 seconds. หัวข้อ: Re: การบรรลุธรรมต้องบำเพ็ญสมาธิภาวนา อย่างเดียวใช่หรือไม่ เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ มีนาคม 31, 2011, 07:16:23 am วิมุตติ หมายถึง ความหลุดพ้น ความเป็นอิสระ เป็นภาวะจิตที่สำคัญเป็นพื้นฐาน ภาวะความหลุดพ้นเป็นอิสระนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากปัญญา คือ เมื่อเห็นตามความเป็นจริง รู้เท่าทันสังขารแล้ว จิตจึงพ้นจากอำนาจครอบงำของกิเลส (ความโลภ ความโกรธ ความหลง) ลักษณะด้านหนึ่งของความเป็นอิสระ ในเมื่อไม่ถูกกิเลสครอบงำ ก็คือ การไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ที่เย้ายวนหรือยั่วยุ อย่างที่ท่านเรียกว่าอารมณ์เป็นที่ตั้งของราคะ หรือ โลภะ โทสะและโมหะ เพราะจิตปราศจากราคะ โทสะ โมหะแล้ว ทำให้ไม่หวั่นไหวกับสิ่งเหล่านี้ ยังเป็นหลักประกันให้ประกอบการงานอย่างสุจริตด้วย สามารถเป็นนายเหนืออารมณ์ วิมุตติประกอบด้วย 5 ประการ คือ
หัวข้อ: Re: การบรรลุธรรมต้องบำเพ็ญสมาธิภาวนา อย่างเดียวใช่หรือไม่ เริ่มหัวข้อโดย: arlogo ที่ มีนาคม 31, 2011, 07:33:51 am อริยบุคคล7ประเภท(ตามการบรรลุ)
พระไตรปิฎก : พระอภิธรรมปิฎก เล่ม 3 ธาตุกถา - ปุคคลปัญญัติปกรณ์ เอกกนิทเทส (การแบ่งอริยบุคคลออกเป็น 7 ประเภทในที่นี้ เป็นการแบ่งตามประเภทของการบรรลุธรรม ซึ่งต่างจากเรื่องอริยบุคคล 8 ประเภท ในหมวดวิปัสสนา (ปัญญา) ที่เป็นการแบ่งตามลำดับขั้นของกิเลสที่ละได้ - ธัมมโชติ) [๔๐] บุคคลชื่อว่าอุภโตภาควิมุต เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย (วิโมกข์ ๘ คือสมาบัติ ๘ ได้แก่สมาธิขั้นฌาน ๘ ขั้น คือ รูปฌาน ๔ + อรูปฌาน ๔ ดูเรื่องลำดับขั้นของจิต ในหมวดบทวิเคราะห์ ประกอบ - ธัมมโชติ) แล้วสำเร็จอิริยาบถอยู่ ทั้งอาสวะ(กิเลสที่นอนเนื่องในสันดาน - ธัมมโชติ) ของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่า อุภโตภาควิมุต (อุภโตภาควิมุต = การหลุดพ้นโดยส่วนสอง คือ หลุดพ้นจากความยินดีในรูปด้วยอรูปสมาบัติก่อน (ดูเรื่องสัญโยชน์ 10 ในหมวดวิปัสสนา (ปัญญา) โดยเฉพาะในหัวข้ออรูปราคะ ประกอบ) แล้วเจริญวิปัสสนาจนหลุดพ้นจากความยินดีในนามด้วยวิปัสสนาปัญญา ซึ่งทำให้เป็นพระอรหันต์ด้วยวิปัสสนาปัญญานี้ - ธัมมโชติ) [๔๑] บุคคลชื่อว่าปัญญาวิมุต เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ มิได้ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่ แต่อาสวะของผู้นั้นสิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้ เรียกว่า ปัญญาวิมุต (คือผู้ที่ไม่ได้ทำสมาธิจนถึงขั้นอรูปฌาน เจริญวิปัสสนาจนกระทั่งบรรลุเป็นพระอรหันต์ จึงหลุดพ้นจากความยินดีทั้งในรูปและนามด้วยวิปัสสนาปัญญา - ธัมมโชติ) [๔๒] บุคคลชื่อว่ากายสักขี เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย แล้วสำเร็จอิริยาบถอยู่ ทั้งอาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่า กายสักขี (คล้ายกับอุภโตภาควิมุต ต่างกันที่อุภโตภาควิมุตนั้นเจริญวิปัสสนาจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ แต่กายสักขีเจริญวิปัสสนาจนบรรลุเป็นอริยบุคคลขั้นต่ำกว่าพระอรหันต์ - ธัมมโชติ) [๔๓] บุคคลชื่อว่าทิฏฐิปัตตะ เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ความดับทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ อนึ่ง ธรรมทั้งหลายที่พระตถาคตประกาศแล้ว ผู้นั้นเห็นชัดแล้ว ดำเนินไปดีแล้วด้วยปัญญา อนึ่ง อาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่า ทิฏฐิปัตตะ (คล้ายกับปัญญาวิมุต ต่างกันที่ปัญญาวิมุตนั้นเจริญวิปัสสนาจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ แต่ทิฏฐิปัตตะเจริญวิปัสสนาจนบรรลุเป็นอริยบุคคลขั้นต่ำกว่าพระอรหันต์ โดยนับตั้งแต่โสดาปัตติผลบุคคลขึ้นไป ดูเรื่องอริยบุคคล 8 ประเภท ในหมวดวิปัสสนา (ปัญญา) ประกอบ - ธัมมโชติ) [๔๔] บุคคลชื่อว่าสัทธาวิมุต เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ความดับทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ อนึ่ง ธรรมทั้งหลายที่พระตถาคตประกาศแล้ว ผู้นั้นเห็นชัดแล้ว ดำเนินไปดีแล้ว ด้วยปัญญา อนึ่ง อาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา แต่มิใช่เหมือนบุคคลผู้เป็นทิฏฐิปัตตะ บุคคลนี้เรียกว่าสัทธาวิมุต (ต่างจากทิฏฐิปัตตะตรงที่ทิฏฐิปัตตะอาศัยปัญญาเป็นหลัก แต่สัทธาวิมุตอาศัยศรัทธาเป็นใหญ่นำปัญญาให้เกิดขึ้น - ธัมมโชติ) [๔๕] บุคคลชื่อว่าธัมมานุสารี เป็นไฉน ปัญญินทรีย์ของบุคคลใด ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลมีประมาณยิ่ง (ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล = โสดาปัตติมรรคบุคคล - ธัมมโชติ) บุคคลนั้นย่อมอบรมซึ่งอริยมรรคอันมีปัญญาเป็นเครื่องนำมา มีปัญญาเป็นประธานให้เกิดขึ้น บุคคลนี้เรียกว่า ธัมมานุสารี บุคคลผู้ปฏิบัติแล้ว เพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ชื่อว่าธัมมานุสารี บุคคลผู้ตั้งอยู่แล้วในผล ชื่อว่า ทิฏฐิปัตตะ (คือขณะแห่งโสดาปัตติมรรค เป็นธัมมานุสารี ขณะแห่งโสดาปัตติผลเป็นต้นไปจนถึงก่อนจะบรรลุเป็นพระอรหันต์ เป็นทิฏฐิปัตตะ - ธัมมโชติ) [๔๖] บุคคลชื่อว่าสัทธานุสารี เป็นไฉน สัทธินทรีย์ของบุคคลใดผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล มีประมาณยิ่ง อบรมอริยมรรคมีสัทธาเป็นเครื่องนำมา มีสัทธาเป็นประธานให้เกิดขึ้น บุคคลนี้เรียกว่า สัทธานุสารีบุคคล ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ชื่อว่าสัทธานุสารี ผู้ตั้งอยู่แล้วในผล ชื่อว่าสัทธาวิมุต (คือขณะแห่งโสดาปัตติมรรค เป็นสัทธานุสารี ขณะแห่งโสดาปัตติผลเป็นต้นไปจนถึงก่อนจะบรรลุเป็นพระอรหันต์ เป็นสัทธาวิมุต - ธัมมโชติ) หัวข้อ: Re: การบรรลุธรรมต้องบำเพ็ญสมาธิภาวนา อย่างเดียวใช่หรือไม่ เริ่มหัวข้อโดย: Jojo ที่ มีนาคม 31, 2011, 08:24:19 am การใคร่ครวญธรรม ทำอย่างไรคะ
:25: |