หัวข้อ: มูลเหตุการแขวนพระเครื่องของชาวพุทธ เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ตุลาคม 24, 2011, 11:19:20 am (http://upic.me/i/qo/2nbh3.jpg) มูลเหตุการแขวนพระเครื่องของชาวพุทธ เมื่อประมาณปี พ.ศ.2360 หรือก่อนหน้านั้น พุทธศาสนิกชนทุกภูมิภาคของประเทศ ต่างมีความเชื่อตรงกันว่า หากนำสิ่งพระเครื่ององค์เล็กๆเข้ามาเก็บไว้ภายในบ้าน ถือเป็นบาปอย่างมากและจะทำให้สมาชิกภายในครอบครัวต้องมีอันเป็นไปต่างๆนาๆ เหตุที่เป็นบาป เพราะภายในบ้านเป็นที่อยู่อาศัยของฆราวาส ซึ่งอาจจะมีการกระทำที่ไม่เหมาะสม อันเป็นการล่วงเกินหรือไม่เคารพต่อพระรัตนตรัย เช่น การเลี้ยงสังสรรดื่มสุราของมึนเมากันภายในบ้าน , การร่วมประเวณีของสามี-ภรรยากันภายในบ้าน , การทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมกันภายในบ้าน , การปีนป่ายซ่อมแซมบ้านในระดับที่ต้องอยู่สูงกว่าพระเครื่อง เป็นต้น ในยุคนั้น เมื่อมีการบูรณะปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุขึ้นภายในวัดครั้งใด ก็มักจะมีการพบพระเครื่องขนาดเล็ก ซึ่งคนในอดีตได้สร้างและบรรจุกรุไว้เพื่อสืบต่อพระพุทธศาสนา บรรจุอยู่ภายในพระเจดีย์บ้าง บรรจุอยู่ใต้ฐานชุกชีพระประธานในพระอุโบสถบ้าง นายช่างซึ่งทำการบูรณะ ก็จะนำเอาพระเครื่องทั้งหมดไปกองรวมกันไว้ตามโคนต้นไม้ภายในวัด แล้วก็ทำงานก่อสร้างต่อไปโดยที่ไม่มีใครสนใจใยดีกับพระเครื่องเหล่านั้นเลย ส่วนคนที่มาทำบุญที่วัด เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเดินผ่านโคนต้นไม้ซึ่งมีพระเครื่องขนาดเล็กกองอยู่ ก็จะยกมือไหว้แล้วเดินเลี่ยงออกไป ไม่มีใครกล้าแตะต้องพระเครื่องเหล่านั้น (เช่นเดียวกับที่เราเห็นศาลพระภูมิชำรุด หรือศาลเจ้าชำรุด ที่เขาเอามากองรวมกันตามริมถนนหรือโคนต้นไม้ เราก็จะพยายามเลี่ยงไม่เข้าไปแตะต้อง หรือยกมือไหว้อะไรทำนองนั้น) (http://www.itti-patihan.com/images/stories/buddha/buddha_3.jpg) ต่อมาในราวปี พ.ศ.2360 ที่สำนักกรรมฐานของสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) วัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) ธนบุรี ได้มีการใช้กุศโลบายในสอนกรรมฐานเบื้องต้น (พุทธานุสติ) โดยท่านได้จัดสร้างพระเครื่องขนาดเล็ก รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบชิ้นฟักสีขาว (หรือที่เรียกกันว่าพระสมเด็จอรหัง) แจกให้กับคณะลูกศิษย์ ทั้งที่เป็นพระภิกษุ สามเณร ฆราวาส อุบาสก-อุบาสิกา ซึ่งมาขอศึกษาเล่าเรียนกรรมฐานจากท่าน (คล้ายกับว่า พระเครื่องที่ท่านได้สร้างขึ้นมาแจกนั้น เป็นอุปกรณ์อย่างหนึ่งสำหรับใช้ประกอบการศึกษาเล่าเรียนกรรมฐาน) ซึ่งสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี วัดระฆัง ก็ได้รับแจกพระสมเด็จอรหังกับเขาด้วยเช่นกัน เพราะท่านก็คือหนึ่งในบรรดาลูกศิษย์ของสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) นั่นเอง (เกี่ยวกับสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) วัดราชสิทธาราม ธนบุรี : ภายหลังจากที่สมเด็จพระสังฆราช (มี) ได้สิ้นพระชนม์ลงแล้ว ในปี พ.ศ. 2363 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) ได้ทรงสถาปนาสมเด็จพระญาณสังวร (สุก) วัดราชสิทธาราม เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ แล้วโปรดให้แห่มาสถิตอยู่ ณ วัดมหาธาตุ กทม. สมเด็จพระญาณสังวร (สุก) จึงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 4 ของกรุงรัตนโกสินทร์ แต่ชาวบ้านก็ยังคงเรียกท่านว่า "สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ไก่เถื่อน" มาจนถึงทุกวันนี้) (http://variety.n108.com/uploads/article/196.jpg) นับจากนั้นเป็นต้นมา คติความเชื่อเดิมๆเรื่องการไม่นำพระเครื่องจากวัดเข้ามาเก็บไว้ภายในบ้านก็เริ่มเปลี่ยนไป โดยลูกศิษย์ฆราวาสของสมเด็จพระสังฆราช (สุก) ไก่เถื่อน เป็นผู้เริ่มนำพระสมเด็จอรหังที่ได้รับแจก พกติดตัวไปตามที่ต่างๆและนำเข้ามาเก็บไว้ภายในบ้าน เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจ (พุทธานุสติ) ทุกครั้งที่ได้เห็นพระสมเด็จอรหังก็จะนึกถึงพระรัตนตรัย หรือเวลาที่ชีวิตต้องประสบกับปัญหาและอุปสรรคต่าง เมื่อเห็นพระเครื่องซึ่งตัวเองได้พกติดตัวไว้ ก็จะได้ฉุกคิดถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แล้วแก้ไขปัญหาชีวิตเหล่านั้นอย่างมีสติไม่ประมาท เมื่อความคิดนี้แพร่หลายออกไป การพกพาพระเครื่อง หรือ การแขวนพระเครื่องไว้ในคอ จึงเริ่มเกิดขึ้นมาในยุครัตนโกสินทร์ ส่วนพระเครื่องที่ขุดได้จากกรุตามวัดต่างๆ ซึ่งแต่เดิมเคยกองอยู่ตามโคนต้นไม้ไม่มีใครกล้าแตะต้อง ก็เริ่มมีผู้มาหยิบเอาไปแขวนคอบ้าง เอาไปเก็บไว้ในบ้านของตนบ้าง เอาไปแจกจ่ายให้กับญาติมิตรบ้าง ทางวัดเก็บเอามาแจกให้กับผู้ที่มาทำบุญฟังธรรมที่วัดบ้าง จนพระเหล่านั้นหมดไปจากโคนต้นไม้ในที่สุด เมื่อสำนักกรรมฐานของสมเด็จพระสังฆราช (สุก) ไก่เถื่อน ได้ริเริ่มใช้กุศโลบายสร้างพระเครื่องแจก เพื่อโน้มนำจิตของผู้ที่เริ่มต้นศึกษากรรมฐาน ให้อยู่ในอารมณ์พุทธานุสติทุกครั้งที่ได้มองเห็นพระเครื่องนั้น สำนักอื่นๆโดยเฉพาะสำนักซึ่งแต่เดิมเป็นลูกศิษย์ของท่าน ก็ได้นำเอากุศโลบายนี้ไปทำบ้าง (เจริญรอยตามแบบอย่างของครูบาอาจารย์) ในสำนักกรรมฐานของตน เช่น ที่วัดระฆัง ธนบุรี สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ท่านก็ได้จัดทำพระสมเด็จผงสีขาว รูปทรงสี่เหลี่ยมชิ้นฟักขึ้นมา โดยมีพระสมเด็จอรหัง ซึ่งท่านได้รับแจกเมื่อครั้งที่ท่านได้ไปเรียนกรรมฐานกับสมเด็จพระสังฆราช (สุก) ไก่เถื่อน ที่วัดราชสิทธาราม มาเป็นต้นแบบในการสร้างพระเครื่องของท่านเช่นกัน และในปี พ.ศ.2382 ก็เริ่มมีการจัดสร้างพระกริ่งปวเรศ โดยฝีมือช่างสิบหมู่หรือช่างหลวงขึ้นมาอีกด้วย จากนั้น สำนักวัดต่างๆในกรุงเทพและจังหวัดใกล้เคียง ก็เริ่มมีการจัดสร้างพระเครื่องขึ้นมาเกือบจะทุกสำนัก เพียงแต่วัตถุประสงค์ของการจะดสร้างนั้นอาจจะเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งจากเดิมเจตนาในการจัดสร้างก็เพื่อเป็นกุศโลบายในการฝึกกรรมฐานพุทธานุสติ (สร้างแจกฟรีไม่คิดมูลค่า) ในยุคต่อมาก็เริ่มมีการจัดสร้างพระเครื่องขึ้นเพื่อแจกแก่ลูกศิษย์ ในงานเฉลิมฉลองของพระเถระชั้นผู้ใหญ่และเจ้านายระดับสูง (สร้างแจกฟรีไม่คิดมูลค่า) ยุคต่อจากนั้นก็จะเป็นการจัดสร้างส่วนตัว หรือ สร้างเฉพาะในวงศ์ตระกูลของลูกศิษย์ (เป็นกรณีพิเศษ) ต่อจากนั้นก็เป็นยุคที่ทางวัดจัดสร้างพระเครื่องขึ้น เพื่อแจกในงานบุญต่างๆ เช่น งานบุญทอดกฐิน - ผ้าป่า (สร้างแจกฟรีไม่คิดมูลค่า) เรื่อยมาจนถึงยุคปัจจุบัน ที่ทางวัดจัดสร้างพระเครื่องขึ้น เพื่อหารายได้บำรุงเสนาสนะและถาวรวัตถุทั้งหลายภายในวัด (ทางวัดจะกำหนดมูลค่าของพระเครื่องที่จัดสร้าง) เป็นต้น. (http://webboard.mthai.com/upload_images_new/2007-06-15/328639.jpg) *** บางท่านบอกว่าคนไทยเอาพระห้อยคอมานานแล้ว *** ตอบ : นั่นเป็นกรณีพิเศษครับ อย่าว่าแต่คนที่เป็นทหารเลย แม้แต่ช้างที่ออกศึกก็ห้อยพระ , ม้าที่ออกศึกก็ห้อยพระ , หรือแม้แต่ธงรบ (ส่วนปลายคือยอดธง) ก็มีพระอยู่...พระเหล่านั้นมาจากไหน? 1.) สร้างขึ้นใหม่ในสดๆร้อนๆในตอนนั้น 2.) ไปหยิบเอามาจากพระเจดีย์ที่ชำรุดหรือพังทลายลงมา พอรบกันเสร็จ ก็สร้างพระเจดีย์ขึ้นมาแล้วทหารทุกนาย ก็เอาพระที่แขวนคอเป็นกรณีพิเศษนี้ไปบรรจุคืนไว้ในพระเจดีย์ ***(พระที่ทหารแขวนออกรบ เรียกกันว่า "พระชัย" ขนาดใหญ่กว่าพระกริ่ง , ส่วนพระที่คล้องคอช้าง - คล้องคอม้า เรียกว่า "พระหูไห" ขนาดใหม่กว่าพระชัย มีทั้งที่เป็นเนื้อดินเผาและโลหะ)*** ไม่มีใครกล้าเอาพระที่ตัวเองห้อยคอออกรบ มาแขวนคอต่อหรือเอาพระนั้นมาเก็บไว้ภายในบ้านกันหรอกครับ ศึกษาประวัติศาสตร์ให้ดีๆ ศึกษาให้ลึกๆก่อนนะครับ เพราะมันมีแง่มุมเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับอาถรรพ์ ปนอยู่กับพระที่ใช้สำหรับทำสงครามออกรบด้วย (คนโบราณถือว่าพระที่ใช้สำหรับออกรบ จะติดสิ่งอัปมงคลจากในสนามรบกลับมาด้วย จึงไม่มีใครกล้าเอาพระเครื่องเข้ามาเก็บไว้ภายในบ้าน) การแขวนพระของคนสมัยโบราณจึงมีลักษณะเฉพาะกิจจริงๆ ไม่ใช่แขวนกันปกติเป็นว่าเล่นเหมือนกับคนในสมัยนี้ และเจตนาของการแขวนพระก็เพื่อออกรบและชัยชนะ "ไม่ใช่เพื่อพุทธานุสติ" แต่เป็นเจตนาในเชิงคุ้มครองป้องกันภัยให้กับผู้ที่แขวนมากกว่า เมื่อไม่ใช่การเอาพระแขวนคอตามปกติทั่วไปของชาวพุทธส่วนใหญ่ แต่เป็นการแขวนพระเฉพาะกิจเฉพาะกลุ่ม (ชั่วครั้งชั่วคราวของกลุ่มทหาร) เป็นกรณีพิเศษเท่านั้น การเอาพระแขวนคอในยุคก่อนปี พ.ศ.2360 จึงขาดการยอมรับของประชาชนส่วนใหญ่ครับ...ตรงกันข้าม ประชาชนกลับหวาดกลัวอาถรรพ์ต่างๆนาๆในพระเครื่อง จนไม่มีใครกล้าเอาพระเครื่องเข้ามาเก็บไว้ภายในบ้านอีกต่างหาก คนสมัยก่อนเขาถือ ไม่เอาพระเครื่องเข้ามาเก็บไว้ในบ้านจริงๆครับ ท่านต้องกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ใหม่อีกครั้งซะแล้ว โดยเฉพาะเรื่อง "พระโคนสมอ" ว่าทำไมเขาถึงเรียกพระชนิดนี้ว่าพระโคนสมอ?...เพราะอะไรเอ่ย? "...ต่อเมื่อหลังจากเสียกรุงศรีฯแล้ว พระชุดนี้ถูกทิ้งร้างมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง มีผู้ที่เห็นคุณค่าจึงได้นำพระกลับมาบรรจุไว้ที่เมืองแห่งนี้ ด้วยเหตุที่ความเชื่อของคนในสมัยก่อนนั้นไม่นิยมที่จะนำพระเข้ามาเก็บไว้ในบ้าน จึงได้นำพระไปฝากไว้ที่วัดบ้าง บ้างก็บรรจุกรุตามวัดต่างๆ..."[/color] (http://xn--42cg1euab4ds2d4d0d.blogprathai.com/files/2009/07/pid.jpg) ที่มา โพสต์โดย ผู้สันโดษ http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=7e9940ace4055643 (http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=7e9940ace4055643) ขอบคุณภาพจาก http://upic.me (http://upic.me),http://www.itti-patihan.com,http://variety.n108.com,http://webboard.mthai.com,http://img130.imageshack.us,http://xn--42cg1euab4ds2d4d0d.blogprathai.com หัวข้อ: Re: มูลเหตุการแขวนพระเครื่องของชาวพุทธ เริ่มหัวข้อโดย: นิรมิต ที่ ตุลาคม 24, 2011, 11:53:31 am เป็นความสุข ของนักสะสม บูชา
เหมือนเป็นความชอบส่วนตัว ถ้าจะบอกว่า วัตถุเหล่านี้จะนำมาซึ่ง อะไร ? ก็ตอบได้ยาก แต่ความเชือในปัจจุบัน ( ไม่อิงอดีต ) ก็มี 1.ไว้เป็นเครื่องนำโชค ( โชคดี ) ป้องกันภัย ( แคล้วคลาด มหาอุต ) 2.ไว้เป็นของสะสม ไว้ดู เป็น อนุสสติ เช่น เทวตา จาคา พุทธ ธรรม สงฆ์ เป็นต้น 3. ไว้เป็นอาชีพ ยามอัตคัต ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง เงินเดือนแต่ละเดือน หมดไปกับเืรื่องเช่าพระ บูชา ประมาณนี้เกินครึ่งเดือนเลยครับ เคยถามว่า ทำไมต้องบุชามากมายปานนี้ เขาตอบว่า เอาไว้เป็นเสบียงทุนยามแก่ ( นี่คงคิดจะยึดอาชีพ ปล่อยพระ หลับเกษียณงานแน่ ) 4. ไว้เป็นเครื่องสนับสนุน การฝึกภาวนา อื่น ๆ ยังมีอีก อยู่ทีดุลย์ พินิจ ของผู้ที่มีศรัทธา มากน้อยเพียงไหน :25: :25: :25: หัวข้อ: Re: มูลเหตุการแขวนพระเครื่องของชาวพุทธ เริ่มหัวข้อโดย: สมภพ ที่ ตุลาคม 24, 2011, 11:57:48 am ยังมีกลุ่มที่ ทำลาย พระพุทธรูป อยู่ด้วยนะครับ ในปัจจุบัน
และกำลังเริ่มทำอย่างแพร่หลาย ด้วย ที่ทางบ้านผมนั้นทำอย่างกันเมามันส์ เรื่องพวกนี้ เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก เพราะเป็นเรื่องกระทบจิตใจของผู้มีวัตถุในเบื้องต้น :014: หัวข้อ: Re: มูลเหตุการแขวนพระเครื่องของชาวพุทธ เริ่มหัวข้อโดย: arlogo ที่ พฤศจิกายน 01, 2011, 09:43:27 am อยู่ที่ ศรัทธา และ สัมมาทิฏฐิ เป็นเครื่องชี้นำ นะจ๊ะ
เจริญธรรม ;) |