สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

การตัดกรรม นี่วิธีอย่างไรบ้างคะ ที่จะไม่มีเรื่องผูกเป็นเวร กันในภพ ในชาติ ต่อไป

---

กรรมตัดรอน คำนี้ยังไม่เข้าใจความหมายคะ และ วิธีแก้กรรมตัดรอน คะ

เพื่อนสมาชิก ช่วยอธิบายหน่อยนะคะ

---

:c017:

การตัดกรรม เป็นเรื่องโดยตรงของพระพุทธศาสนาครับ

เพราะถ้าไม่ตัดกรรม ก็นึกดูครับ มันก็จะเป็นสูตรครับ เหมือนเขียนโปรแกรมเป็นลูบ

ยกตัวอย่างนะครับว่า

ชาตินี้ นาย ก ฆ่า นาย ข

ชาติต่อไป นาย ข ก็มาฆ่า นาย ก

ชาติต่อไป นาย ก ก็มาฆ่า นาย ข

และต่อไปเรื่อย ๆ ใช่ไหม่ครับ

ดังนั้น ถ้าจะมองให้ดีแล้ว พระพุทธศาสนา สอนให้ตัดกรรมครับ

โดยให้ผู้ที่มีชีวิตรู้ตัวอยู่ ในสังสารวัฏฏ์ ได้เห็น วิบาก คือ ผล กรรม และ ไล่ ไปจนเห็น วิบาก มีเหตุมาจาก กิเลส ดังนั้น กิเลส เป็นเหตุให้เกิด กรรม


ลูป ที่พระพุทธองค์ ทรงยกไว้ในชุดเล็กก็คือ กิเลส กรรม วิบาก

ลูป ที่พระพุทธองค์ ทรงยกไว้ในชุดใหญ่ก็คือ ปฏิจจสมุปบาท


อ่านเพิ่มเติมในหัวข้อนี้นะครับ

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=503.0 (http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=503.0)

กรรมตัดรอน นั้นสำหรับผมนั้นหมายถึง กรรมที่เราเคยประกอบไว้ในอดีต ที่ไม่ดี เมื่อเราจะได้สั่งสมกรรมดี
แต่ไม่ทันจะได้ประกอบ ก็ต้องมีอันเป็นไปก่อนครับ

:015:บ้านเมืองมีกฏหมาย, สังคมมีกฏแห่งศีลธรรม-จารีต, วัฏฏสงสาร(เวียนว่ายตายเกิด)มีกฏแห่งกรรม ทุกการกระทำล้วนเป็นกรรมมีผลหนักเบาขึ้นอยู่ที่เจตนา หรือมิมีเจตนา(มีความไม่รู้-อวิชชา)ก็ยังมีผลสะท้อนเป็นทุกข์ "กรรม" ฟังดูง่ายแต่มีความละเอียดอ่อน คนสองคนกระทำต่อกันมีผลเป็นกรรมเดี๋ยวนั้นไม่ว่า ความรัก,ความโลภ,ความโกรธ,ความหลง ชื่อว่ากิเลส(ตัณหา-ความอยาก) มีจิตปรุงแต่งอารมณ์(สังขาร-ก่อภพ ชาติ ชรา มรณะ) เวียนวนเกิดดับ(อารมณ์แห่งจิต)นับไม่ได้
:015:การตัดกรรม "กรรม" ล้างไม่ได้ดี,ชั่ว,บาป,เลว ทุกการกระทำเรานั้นต้องรับผิดชอบทั้งหมด แม้เพียงคิดก็ผิดแล้ว เป็นหนี้ยังต้องใช้ หนี้กรรมเลี่ยงไม่ได้ แต่สามารถผลัดผ่อน ชิ่งหนีด้วยการกระทำกรรมดีได้บ้าง หรืออโหสิกรรมต่อกันซะก็หมดกรรม โดยปกติแล้วคนสองคนก็ไม่ใคร่อยากจะจองกรรมกันหรอกนะครับ แต่กฏแห่งกรรมมันจองมันผูกมันหน่วงก็เพราะเราอยู่ในวัฏฏะต้องเป็นไปตามกฏเกณฑ์ ถ้าไม่อยากอยู่ในกฏเกณฑ์นี้ก็ให้ปรารถนานิพพานแล้วทำไมไม่ไปนิพพานกันก็เพราะยังหลงเพลิดเพลินอยู่กับกามคุณอารมณ์ไม่แยบคายในวิถีแห่งปัญญา ซึ่งต้องมาเรียนรู้ศึกษาหาแนวทางในธรรมในภาวนามีทานศีลเป็นบาทฐานเพื่อเป็นแรงส่ง  
:015:"กรรม" สามารถตัดได้ด้วย "ศีล" ศีลเป็นองค์คุณที่ระงับต่อกรรมดังคำที่ว่า "หยุด คือตัวสำเร็จ" หยุดคือหยุดกรรมไม่ต่อยอด หลายท่านอาจจะรู้สึกต่อใครอย่างจริงจังยากจะตัดใจ นั่นคือสภาวะของสัญญากรรมที่หน่วงติดมาเป็นอุปนิสัยสันดาน ดังนั้นการรักษาศีลจึงมีความสำคัญ เมื่อทุกข์ใจประสบปัญหาให้ขุ่นเคืองใจในวิถีการดำรงอยู่หลายท่านอาจจะคิดเพียงแค่ใส่บาตรระลึกถึงพระสงฆ์ แต่หากความทุกข์นั้นหนักหนาสาหัสควรที่จะรักษาศีลระงับสำรวมกาย,วาจา,ใจ ซึ่งก็เพียงนี้สำหรับบุคคลทั่วไป ส่วนการอโหสิกรรม-ยกเลิกการจองกรรมต้องอาศัยสภาวะจิตที่ปกติไม่มีนิวรณ์ ซึ่งต้องใช้การภาวนาปรับระดับจิตใจให้รู้เข้าใจในสภาวะที่ปล่อยวางได้กล่าวคือมีจิตตั้งมั่นที่พร้อมจะให้อภัย ซึ่งต้องใช้เวลา


 
 
:015:กรรมตัดรอน ก็คือ "อุปฆาตกกรรม" ที่สามารถให้ผลเดี๋ยวนั้นในช่วงจังหวะชีวิตให้ผลดีก็ดีเลย ถ้าชั่วก็ทุกข์ทันทีอยู่ที่ผลบุญที่กระทำ เช่นได้ทำบุญใหญ่สร้างสถานปฏิบัติธรรมสืบธรรมกรรมฐานหรือได้ทำบุญกับพระอริยะเจ้า กรรมชั่วที่กระทำเช่น อนันตริยกรรม(ฆ่าพ่อ,ฆ่าแม่,ฆ่าพระอริยเจ้า,ทำร้ายพระพุทธเจ้า,สร้างความแตกแยกในสงฆ์ (เปลี่ยนศาสนา)) ครุกรรม(ตัดเศียรพระ,ทำลายศาสนสถาน,ลอบวางเพลิง,ทุจริตขายชาติ ฯลฯ)
:015:ทั้งหมดที่กล่าวมาเพียงบอกกล่าวพูดคุยให้เข้าใจระดับหนึ่งขอให้ดำเนินชีวิตอย่าได้ประมาท หากระลึกได้ให้แก้ไขทันทีอย่ารอ เพราะเราทุกคนมีความตายเป็นเบื้องหน้าอย่าประมาทในกุศลคนโง่มีอยู่อีกมากที่ไม่แลธรรมชีวิตก็ย่ำอยู่กับทุกข์กรรมเป็นเหยื่อแห่งกิเลสตัณหาให้สับดุจเนื้อบนเขียงน่าอนาจใจกับคนพวกนี้ให้เขาใช้กรรมอยู่ในโลกแห่งความมืดบอดไปก่อน.....สวัสดี

                                                                                                       :coffee2:

 :25: :25: :25:

กรรม ๑๒ (การกระทำที่ประกอบด้วยเจตนาดีก็ตาม ชั่วก็ตาม, ในที่นี้หมายถึงกรรมประเภทต่างๆ พร้อมทั้งหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการให้ผลของกรรมเหล่านั้น)

หมวดที่ ๑ ว่าโดยปากกาล คือ จำแนกตามเวลาที่ให้ผล

๑. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม (กรรมให้ผลในปัจจุบันคือในภพนี้)

๒. อุปปัชชเวทนียกรรม (กรรมให้ผลในภพที่จะไปเกิดคือในภพหน้า)

๓. อปราปริยเวทนียกรรม (กรรมให้ผลในภพต่อๆไป)

๔. อโหสิกรรม (กรรมเลิกให้ผล ไม่มีผลอีก)

หมวดที่ ๒ ว่าโดยกิจ คือจำแนกการให้ผลตามหน้าที่

๕. ชนกกรรม (กรรมแต่งให้เกิด, กรรมที่เป็นตัวนำไปเกิด)

๖. อุปัตถัมภกกรรม (กรรมสนับสนุน, กรรมที่เข้าช่วยสนับสนุนหรือซ้ำเติมต่อจากชนกกรรม)

๗. อุปปีฬกรรรม (กรรมบีบคั้น, กรรมที่มาให้ผล บีบคั้นผลแห่งชนกกรรมและอุปัตถัมภกกรรมนั้น ให้แปรเปลี่ยนทุเลาลงไป บั่นทอนวิบากมิให้เป็นไปได้นาน)

๘. อุปฆาตกกรรม (กรรมตัดรอน, กรรมที่แรง ฝ่ายตรงข้ามกับชนกกรรม และอุปัตถัมภกกรรม เข้าตัดรอนการให้ผลของกรรม ๒ อย่างนั้น ให้ขาดไปเสียทีเดียว เช่น เกิดในตระกูลสูง มั่งคั่ง แต่อายุสั้น เป็นต้น)
 
หมวดที่ ๓ ว่าโดยปากทานปริยาย คือ จำแนกตามความยักเยื้องหรือลำดับความแรงในการให้ผล
 
๙. ครุกกรรม (กรรมหนัก ให้ผลก่อน ได้แก่ สมาบัติ ๘ หรือ อนันตริยกรรม)
 
๑๐. พหุลกรรม หรือ อาจิณณกรรม (กรรมทำมากหรือกรรมชิน ให้ผลรองจากครุกกรรม)

๑๑. อาสันนกรรม (กรรมจวนเจียน หรือกรรมใกล้ตาย คือกรรมทำเมือจวนจะตาย จับใจอยู่ใหม่ๆ ถ้าไม่มี ๒ ข้อก่อน ก็จะให้ผลก่อนอื่น)

๑๒. กตัตตากรรม หรือ กตัตตาวาปนกรรม (กรรมสักว่าทำ, กรรมที่ทำไว้ด้วยเจตนาอันอ่อน หรือมิใช่เจตนาอย่างนั้นโดยตรง ต่อเมื่อไม่มีกรรมอื่นให้ผลแล้วกรรมนี้จึงจะให้ผล)

กรรม ๑๒ หรือ กรรมสี่ ๓ หมวดนี้ มิได้มีมาในบาลีในรูปเช่นนี้โดยตรง พระอาจารย์สมัยต่อมา เช่น พระพุทธโฆษาจารย์ เป็นต้น ได้รวบรวมมาจัดเรียงเป็นแบบไว้ภายหลัง.


ที่มา  พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลธรรม (ป.อ.ปยุตโต)
Vism.601; Comp.144.     วิสุทธิ.๓/๒๒๓; สังคห.๒๘

---------------------------------- 

 น้องนีย์ขอรับ หากมีเวลาช่วยไปอ่านบทความในห้อง "เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม"

 สักนิด ห้องนั้นมีบทความดีๆเยอะ

 สำหรับ เรื่องกรรมตัดรอน ผมจะขยายความให้ในโอกาสต่อไป

 ขอให้ธรรมคุ้มครอง       :49: