หัวข้อ: ผู้ที่บรรลุธรรม ในช่วงที่พระพุทธเจ้า ทรงเผลแผ่พระธรรม นั้น เป็นพระอริยบุคคล เริ่มหัวข้อโดย: The-ring ที่ พฤศจิกายน 23, 2011, 11:05:51 am คือ ผมสงสัย ว่า ปัญจวัคคีย์ นั้นเคยเป็น พระอริยะบุคคลในกาลพระพุทธเจ้า องค์ ก่อนใช่หรือไม่ครับ
เช่นอาจจะได้เป็น พระโสดาบัน มาแล้ว 7 ชาติ เป็นต้น การเป็น พระโสดาบัน นั้น เป็น ที่ พระโสดาปัตติมรรค ใช่หรือไม่ครับ รอเป็นพระโสดาบันเต็ม จึงต้องตาย เกิด ตาย เกิด 3 ชาติ 7 ชาติ ครับ :s_good: :c017: :smiley_confused1: หัวข้อ: Re: ผู้ที่บรรลุธรรม ในช่วงที่พระพุทธเจ้า ทรงเผลแผ่พระธรรม นั้น เป็นพระอริยบุคคล เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ พฤศจิกายน 23, 2011, 11:39:03 am (http://teeravitgiveucom.ipage.com/blog/wp-content/uploads/2010/08/27.jpg) พระอัญญาโกณฑัญญะ เอตทัคคะในทางรัตตัญญู ฟังปฐมเทศนา พระพุทธองค์ ทรงประกาศพระสัพพัญญุตญาณแก่เหล่าปัญจวัคคีย์ โดยตรัสพระธรรมจักรกัปวัตนสูตร เป็นปฐมเทศนา ซึ่งเนื้อความในพระธรรมเทศนานี้ พระพุทธองค์ทรงตำหนิหนทางปฏิบัติอันไร้ประโยชน์ ๒ ทาง ที่บรรพชิตไม่ควรเสพ ฯลฯ ..................... เมื่อจบพระธรรมเทศนา ธรรมจักษุ คือ ดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากธุลีมลทิน เกิดขึ้นแก่โกณฑัญญะว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา” พระพุทธองค์ ทรงทราบว่า โกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม เป็นพระโสดาบันบุคคลในพระพุทธศาสนาแล้ว ที่มา http://www.84000.org/one/1/01.html (http://www.84000.org/one/1/01.html) พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ปฐมเทศนา [๑๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะพระปัญจวัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ที่สุดสองอย่างนี้อันบรรพชิตไม่ควรเสพ ฯลฯ ................................ ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลีปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระโกณฑัญญะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับเป็นธรรมดา. อ้างอิง เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ บรรทัดที่ ๓๕๕ - ๔๔๕. หน้าที่ ๑๕ - ๑๙. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=4&A=355&Z=445&pagebreak=0 (http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=4&A=355&Z=445&pagebreak=0) ดวงตาเห็นธรรม แปลจากคำว่า ธรรมจักษุ หมายถึงความรู้เห็นตามเป็นจริง ด้วยปัญญาว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา; ดู ธรรมจักษุ ธรรมจักษุ ดวงตาเห็นธรรม คือ ปัญญา รู้เห็นความจริงว่า สิ่งใดก็ตามมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวง ล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา; ธรรมจักษุโดยทั่วไป เช่น ที่เกิดแก่ท่านโกณฑัญญะเมื่อสดับธรรมจักร ได้แก่ โสดาปัตติมรรคหรือโสดาปัตติมรรคญาณ คือญาณที่ทำให้เป็นโสดาบัน โสดาปัตติมรรค ทางปฏิบัติเพื่อบรรลุผล คือความเป็นพระโสดาปัน, ญาณ คือความรู้เป็นเหตุละสังโยชน์ได้ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส โสดาปัตติผล ผล คือ การถึงกระแสสู่นิพพาน, ผลที่ได้รับจากการละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ด้วยโสดาปัตติมรรค ทำให้ได้เป็นพระโสดาบัน อ้างอิง พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) กรณีของพระโกณฑัญญะ ท่านสร้างบารมีมาเพื่อรู้ธรรมก่อนใคร ท่านไม่ได้เป็นอริยบุคคล(โสดาบัน)มาก่อน โสดาบันเต็มขั้นต้องเป็น "โสดาปัตติผล" เท่านั้น ตอบเท่านี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวมาคุยต่อ ไปหาอะไรใส่ท้องก่อน :49: หัวข้อ: Re: ผู้ที่บรรลุธรรม ในช่วงที่พระพุทธเจ้า ทรงเผลแผ่พระธรรม นั้น เป็นพระอริยบุคคล เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ พฤศจิกายน 23, 2011, 01:16:03 pm (http://download.buddha-thushaveiheard.com/images/All_page_04/Picture1-40/36_02.jpg) โสดาบัน ๓ (ท่านผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว, ผู้แรกถึงกระแสอันนำไปสู่พระนิพพาน แน่ต่อการตรัสรู้ข้างหน้า) ๑. เอกพีชี (ผู้มีพืชคืออัตตภาพอันเดียว คือ เกิดอีกครั้งเดียว ก็จักบรรลุอรหัต) ๒. โกลังโกละ (ผู้ไปจากสกุลสู่สกุล คือ เกิดในตระกูลสูงอีก ๒-๓ ครั้ง หรือเกิดในสุคติอีก ๒-๓ ภพ ก็จักบรรลุอรหัต) ๓. สัตตักขัตตุงปรมะ (ผู้มีเจ็ดครั้งเป็นอย่างยิ่ง คือ เวียนเกิดในสุคติภพอีกอย่างมากเพียง ๗ ครั้ง ก็จักบรรลุอรหัต) อ้างอิง องฺ.ติก.๒๐/๕๒๘/๓๐๒; องฺ.นวก.๒๓/๒๑๖/๓๙๔; องฺ.ทสก.๒๔/๖๔/๑๒๙/; อภิ.ปุ.๓๖/๔๗-๙/๑๔๗. ที่มา พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลธรรม พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ขอบคุณภาพจาก http://download.buddha-thushaveiheard.com/ (http://download.buddha-thushaveiheard.com/) (http://download.buddha-thushaveiheard.com/images/All_page_04/Picture1-40/37_03.jpg) พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาตร เสขสูตรที่ ๔ เมื่อยังไม่ถึง ยังไม่แทงตลอดวิมุตตินั้น เธอเป็นพระสกทาคามี เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป และเพราะราคะ โทสะ และโมหะเบาบาง มาสู่โลกนี้อีกคราวเดียวเท่านั้น แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ก็หรือว่าเมื่อยังไม่ถึงยังไม่แทงตลอดวิมุตตินั้น เธอเป็นพระเอกพิชีโสดาบัน เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป มาบังเกิดยังภพมนุษย์นี้ครั้งเดียวเท่านั้น แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ก็หรือว่าเมื่อยังไม่ถึง ยังไม่แทงตลอดวิมุตตินั้น เธอเป็นพระโกลังโกละโสดาบัน เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป ยังท่องเที่ยวไปสู่ ๒ หรือ ๓ ตระกูล (ภพ) แล้วจะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ก็หรือว่าเมื่อยังไม่ถึง ยังไม่แทงตลอดวิมุตตินั้น เธอเป็นพระสัตตักขัตตุปรมโสดาบัน เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป ยังท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์อย่างมากเพียง ๗ ครั้ง แล้วจะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ฯ อ้างอิง เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐ บรรทัดที่ ๖๑๙๙ - ๖๒๓๑. หน้าที่ ๒๖๔ - ๒๖๖. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=6199&Z=6231&pagebreak=0 (http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=20&A=6199&Z=6231&pagebreak=0) ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=528 (http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=20&i=528) ขอบคุณภาพจาก http://download.buddha-thushaveiheard.com/ (http://download.buddha-thushaveiheard.com/) จากเสขสูตรที่ ๔ จะเห็นว่า"พระสัตตักขัตตุปรมโสดาบัน" เกิดอีกไม่เกิด ๗ ชาติ ก็จะสิ้นกิเลส และถ้าถามว่า เป็นโสดาปํตติมรรค หรือ โสดาปัตติผล ก็ขอให้สังเกตคำว่า "เพราะสังโยชน์ ๓ หมดสิ้นไป" อธิบายก่อนว่า โสดาปัตติผลเท่านั้นที่ละสังโยชน์ ๓ ไ้ด้ ส่วนโสดาปัตติมรรคยังละไม่ได้ เพียงแต่อยู่บนทางที่จะละได้เท่านั้น ดังนั้นผู้ที่จะเกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ(แล้วสิ้นกิเลส) ก็คือ โสดาปัตติผล ประเภท"สัตตักขัตตุงปรมะ" :25: หัวข้อ: Re: ผู้ที่บรรลุธรรม ในช่วงที่พระพุทธเจ้า ทรงเผลแผ่พระธรรม นั้น เป็นพระอริยบุคคล เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ พฤศจิกายน 23, 2011, 01:41:51 pm (http://www.thatphanom.com/_files/news/2010_08_25_000059_l0ics0up.jpg) พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ ปัญจวัคคีย์ทูลขอบรรพชาอุปสมบท [๑๘] ครั้งนั้น ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ ได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า ขอข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบท ในสำนักพระผู้มีพระภาคพระพุทธเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ดังนี้ แล้วตรัสต่อไปว่าธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด. พระวาจานั้นแล ได้เป็นอุปสมบทของท่านผู้มีอายุนั้น. [๑๙] ครั้นต่อมา พระผู้มีพระภาคได้ทรงประทานโอวาทสั่งสอนภิกษุทั้งหลายที่เหลือจากนั้นด้วยธรรมีกถา. เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงประทานโอวาทสั่งสอนด้วยธรรมีกถาอยู่ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระวัปปะและท่านพระภัททิยะว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา. ฯลฯ .................................................. วันต่อมา เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงประทานโอวาทสั่งสอนด้วยธรรมีกถาอยู่ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทินได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระมหานามะและท่านพระอัสสชิว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา. ฯลฯ อ้างอิง เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ บรรทัดที่ ๔๔๖ - ๔๗๘. หน้าที่ ๑๙ - ๒๐. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=4&A=446&Z=478&pagebreak=0 (http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=4&A=446&Z=478&pagebreak=0) ขอบคุณภาพจาก http://www.thatphanom.com/ (http://www.thatphanom.com/) จากพระวินัยข้างต้น จะเห็นว่า ปัญจวัคคีย์ที่เหลืออีก ๔ คน ต่างก็ได้ดวงตาเห็นธรรม หรืออีกนัยหนึ่ง คือ ได้โสดาปัตติมรรค หรือ โสดาปัตติมรรคญาณ ถึงตรงนี้ ก็ตอบได้ว่า ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ คน ตอนที่ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ได้สำเร็จโสดาบันกันมาก่อน :25: |