หัวข้อ: อยากทราบ เรื่อง คุณไสย กับ ไสยศาสตร์ เหมือนหรือ ต่างกันอย่างไร เริ่มหัวข้อโดย: sunee ที่ ธันวาคม 28, 2011, 01:29:11 pm อยากทราบ เรื่อง คุณไสย กับ ไสยศาสตร์ เหมือนหรือ ต่างกันอย่างไร
คุณไสย ฟังแล้วรู้สึกจะเป็นประโยชน์ ใช่หรือไม่คะ ขอบคุณมากคะ :c017: :c017: :c017: :88: :58: หัวข้อ: Re: อยากทราบ เรื่อง คุณไสย กับ ไสยศาสตร์ เหมือนหรือ ต่างกันอย่างไร เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ธันวาคม 28, 2011, 09:30:40 pm ไสย, ไสย- [ไส, ไสยะ-] น. ลัทธิอันเนื่องด้วยเวทมนตร์คาถาซึ่งเชื่อว่าได้มาจากพราหมณ์ เช่น ถูกคุณถูกไสย. ไสยเวท, ไสยศาสตร์ [ไสยะเวด, ไสยะสาด] น. ตําราทางไสย, วิชาทางไสย. ที่มา พจนานุกรมอิเล็กทรอนิกส์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ (http://www.kontatip.com/images/1132181106/%20_0001%20(2).jpg) เวทย์มนต์ - คาถาอาคม "ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องเอาด้วยกล ถ้าไม่ได้ด้วยกลก็ต้องเอาด้วยมนต์คาถา" ท่านทั้งหลายเคยได้ยินคำกล่าวนี้บ้างไหม บางคนอาจจะตอบว่าเคย บางคนอาจจะตอบว่าไม่เคย บางคนนั้นอาจจะตอบว่า จะเคยหรือไม่เคย ในปัจจุบันนี้โลกมนุษย์ได้พัฒนาเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าไปทุกๆด้านแล้ว โดยเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์และก็เทคโนโลยี สิ่งเหล่านี้ยังมีหลงเหลืออยู่อีกเหรอ งมงายไม่มีหรอก มีแต่พวกหลังเขาเท่านั้นแหละที่พูดและเชื่อกันอย่างนี้ ถ้าหากคนที่อยู่หลังเขาหรือบนเขา เขาพูดบอกกับคุณว่า ที่บนเขามีต้นไผ่และก็มีหน่อไม้ด้วย ถ้าหากคุณไม่รู้ไม่เคยไปก็จะต้องตอบว่า ไม่รู้ ไม่จริงโกหกใช่ไหม? หรือว่าเฉยๆ ตราบใดถ้าหากจิตใจของมนุษย์ยังมีความรัก มีความโลภ มีความโกรธและมีความหลงอยู่แล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่มีวันที่จะหมดไปจากโลกนี้ได้ มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นๆทุกๆวัน สิ่งเหล่านี้เรื่องเหล่านี้ก็เป็นศาสตร์อีกแขนงหนึ่ง ที่พวกเราๆท่านๆเรียกว่า " วิชาไสยศาสตร์ " เป็นศาสตร์อีกแขนงหนึ่งที่พราหมณ์เขาเรียนและศึกษากัน เรียกว่า " เรียนคัมภีร์ไตรเพทและเพทางค์ " วิชาเหล่านี้ในทางหรือหลักของพระพุทธศาสนานั้นไม่มีเลย แม้แต่พิธีกรรมต่างๆที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่มีและไม่ใช่ หลักทางพระพุทธศาสนาคือ การปฏิบัติบูชา ไม่มีบนบาลศาลกล่าวกราบไหว้อ้อนวอนขอ สาเหตุที่ต้องมีปนอยู่ในพระพุทธศาสนาก็เพราะว่า ก่อนที่องค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าประสูตรนั้น ในอินเดียมีศาสนาและลัทธิต่างเกิดขึ้นมากมาย มีการนับถือลัทธิและศาสนาของตนๆไปตามความเชื่อที่สืบทอดกันมา ในขณะนั้นศาสนาพราหมณ์มีความเจริญรุ่งเรืองและก็มีคนนับถือกันมาก แม้แต่พระราชบิดา พระราชมารดา เหล่าพระญาติของพระองค์ก็เป็นพราหมณ์ นับถือศาสนาพราหมณ์กันหมด พอพระพุทธองค์ประสูตรเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก็อยู่ในตระกูลพราหมณ์ หลังจากทีพระพุทธองค์ออกบวชแล้วก็ตรัสรู้บรรลุธรรม เป็นองค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธศาสนาเกิดขึ้น พระธรรมเกิดขึ้น พระสงฆ์เกิดขึ้น ออกประกาศเผยแผ่พระพุทธศาสนาและพระสัจธรรมไปทั่วทุกทิศ โดยพระองค์เองและพระอรหันต์สาวกทั้งหลาย ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์เอง ในระหว่างการออกเผยแผ่พระสัจธรรมนั้น หลังจากที่พราหมณ์เข้ามานับถือพระพุทธศาสนาแล้ว พิธีกรรมต่างๆที่เขาเคยทำเคยมีอยู่แต่ดั้งเดิมนั้น จะให้เขาหยุดหรือเลิกทำหลังจากเข้ามานับถือพระพุทธศาสนาแล้ว พราหมณ์เขาก็ไม่ยอมแน่ เช่น เวลาพราหมณ์จะทำพิธีบูชายันต์ จะฆ่าสัตว์ประกอบพิธีบูชา พระองค์ก็ให้เปลี่ยนเป็นเอาไขมันของสัตว์ที่ตายเองแล้วมาเผาแทน ก็พัฒนาจนมาเป็นเทียนไขในปัจจุบัน อีกพิธีหนึ่งเป็นพิธีบำเรอไฟ พราหมณ์ก็จะเอาข้าวของเงินทองที่มีค่ามาเผาเพื่อบูชา พระพุทธองค์ก็บอกว่าต่อแต่นี้ไปถ้าทำพิธีนี้อีก ให้เอาเครื่องเทศของหอมมาเผาแทน เพราะเห็นว่าทรัพย์สินข้าวของเหล่านั้นมีค่าควรที่จะเอาไปทำประโยชน์อย่างอื่นมากกว่า ของหอมสมัยนั้นเรียกว่า กำยาน พัฒนามาเป็นธูปจนถึงปัจจุบันนี้ ปัจจุบันนี้ คำสอนและหลักปฏิบัติทางพระพุทธศาสนาก็ยังมีอยู่ ถึงแม้จะแยกแทบไม่ออกเลยว่าอะไรคือวิถีปฏิบัติแบบพุทธหรือแบบพราหมณ์ หลังจากที่พระพุทธองค์เสด็จเข้าสู่พระปรินิพพานแล้ว มหาวิทยาลัยนาลันทาถูกทำลาย ทำให้คัมภีร์วิชาต่างๆ ได้สูญหายกระจัดกระจาย บางทีก็จดจำสืบถอดเล่าสอนกันต่อๆมา ซึ่งในปัจจุบันนี้เรามักจะได้ยินเรียกกันเป็นสายๆเช่น สายเขมร สายมอญ สายแขก สายพม่า สายกะเหรี่ยง เป็นต้น ปัจจุบันนี้แม้แต่ทางทวีปที่เจริญแล้วเช่น ทางยุโรป อเมริกา ก็มีใช้ศาสตร์นี้มากขึ้นแล้ว ส่วนทางทวีปแอฟริกานั้นไม่ต้องพูดถึง มากกว่าและแรงกว่าของเขมรเสียอีก วิชาเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีอยู่กับชนพื้นเมืองเป็นส่วนมาก สิ่งที่จะประกอบกันเป็นวิชาไสยศาสตร์ได้นั้น จะมีสิ่งต่างๆที่ประกอบกันคือ ......... ๑. ตัวมนต์ ตัวคาถาอาคม ๒. ตัวพลังจิตของหมอผู้ทำ ตัวพลังจิตนี้จะได้มาจากการฝึกจิต ฝึกสมาธิ ๓. ตัวดวงจิตหรือดวงวิญาณของคนที่ตาย ส่วนใหญ่จะใช้ดวงจิตดวงวิญญาณของคนที่ตายโหงและตายท้องกลม(ตายมีลูกในท้อง) เพราะเวลาทำพิธีเสร็จของที่ทำจะแรงหรือเฮี้ยนมาก ๔.ตัววัตถุสิ่งของต่างๆ ที่สามารถมองเห็นและจับต้องได้สิ่งเหล่านี้มีความจำเป็นอย่างมากสำหรับศาสตร์นี้ โดยเฉพาะตัวดวงจิตดวงวิญญาณ เขาทำกันอย่างไร เมื่อหมอผู้ทำไสยศาสตร์ ได้รู้หรือเห็นการตายของคนไม่ว่าจะตายโหง ตายท้องกลมหรือแบบอื่นที่น่าสนใจของหมอแล้ว จะทำการเรียกตรึงสะกดวิญญาณนั้นไว้ ด้วยคาถาอาคมและพลังจิต หลังจากนั้นก็เอามาเก็บไว้ที่บ้าน ตำหนักหรือกุฏิของตน เรียกว่า "การเลี้ยงผี " หรือ " เลี้ยงพราย " เวลามีลูกค้าหรือคนที่เขาต้องการให้ทำของ ทำเกี่ยวกับวิชาไสยศาตร์ ก็จะใช้และบังคับให้วิญญาณนี้แหละไปทำงานให้ โดยการใช้มนต์และพลังจิตเพิ่มมากขึ้นเรียกว่า " การเติมของ " แล้ววิญญาณมนุษย์นี้ก็จะกลายร่างเป็นสัตว์ดิรัจฉานหรือที่เราเรียกว่า " ดิรัจฉานวิชา " สัตว์ที่กลายเป็นส่วนใหญ่จะเป็นพวกตระกูลลิงทั้งหลาย สุนัข ( ส่วนใหญ่จะเป็นสีดำ ) แมว พวกนก เป็นต้น พอกลายร่างแล้วจิตแท้จิตเดิมหรือจิตใต้สำนึกของวิญญาณนั้นจะถูกสะกดและควบคุม จะทำตามคำสั่งอย่างเดียว แล้ววิญญาณนี้จะถูกส่งไปแทรกร่างของคนอื่น บ้าน โรงงาน ร้านค้า สำนักงาน ฯลฯ ตามที่ผู้ว่าจ้างต้องการที่จะทำ ไม่ว่าจะเป็นชีวิต สุขภาพ ธุรกิจการงาน ครอบครัวมีปัญหา ฯลฯ (http://www1.g-pra.com/Auctions3/get_auc3_img.php?id=2241803) วิชาไสยศาสตร์นี้ เราเจอกันแทบทุกคนและแทบจะทุกวันก็ว่าได้ แต่เป็นพลังที่ไม่รุนแรงเพราะคนที่ให้ทำและเอามาใช้นั้น เขาไม่ได้มีแรงอาฆาตและพยาบาทอะไร เพียงต้องการแค่ให้คน ลูกค้าหรือแขกเข้ามาใช้บริการ มาอุดหนุนหรือกลับมาอีก ที่บริษัท ที่โรงงาน ที่ร้านค้า ที่สถานบริการของตน ฯลฯ จะอยู่ในรูปแบบของ นะเมตตามหานิยม ทำให้คนติดคนหลง ถ้าหากพลังจิตของคนที่เข้าไปใช้บริการอ่อนก็จะถูกควบคุมได้ง่าย รู้สึกตัวเองว่าติดว่าชอบขึ้นมา จะอยู่ในรูปแบบของน้ำมนต์ บางครั้งพ่อค้าแม่ค้าหรือเจ้าของสถานบริการเขาก็ใช้พรมหรือใส่ลงไปในอาหาร ของกินของใช้นั้นเลย หลีกเลี่ยงได้ก็ให้หลีกเสีย โดยเฉพาะน้ำที่เราได้ยินกันติดหูว่า " น้ำพุทธมนต์ หรือ น้ำมนต์ " เสน่ห์ยาแฝก ก็เป็นเกี่ยวกับเรื่องความรักความใคร่ เรื่องของชู้สาว เรื่องของหนุ่มๆสาวๆ ที่ความรักไม่สมหวัง ก็ต้องใช้วิธีนี้ บางทีก็จะเป็นของให้กินเข้าไป บางที่ก็เป็นขี้ผึ้งหรือน้ำมันใช้ป้ายหรือทา บางทีก็ใช้พวกภูตพรายเข้าครอบงำจิต อีกอย่างก็คือพวก เครื่องรางของขลัง อยู่ในกลุ่มเมตตามหานิยม สิ่งนี้จะสังเกตุได้ง่ายกว่าที่เป็นน้ำมนต์เพราะ จะมีตัววัตถุสิ่งของต่างๆมาทำเป็นตัวหลักๆ ที่เชื่อว่าเป็นของมงคลทำให้เรามองเห็น เช่น ไม้ของต้นดอกรัก ไม้ของต้นมะยม ไม้กาฝาก ไม้งิ้วดำ ฯลฯ เอามาทำเป็นหุ่นกุมารทอง กุมารี รักยม นางกวัก ปลัดขิก ( ทำเป็นอวัยวะเพศชาย ) สาริกา เต่าหรือสัตว์ชนิดอื่น น้ำมัน ขี้ผึ้งสีนวด ผ้ายันต์ ตระกุด ฯลฯ แล้วแต่จะคิดแล้วแต่จะทำกันให้แปลกแหวกแนวออกไป แล้วก็ประกาศบอกสรรพคุณกันไปต่างๆนาๆ ลมพัดลมเพ หรือ ลมเพลมพัด ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดจากการฝึกฝนเล่าเรียนตำหรับตำราของหมอหรืออาจารย์ไสยเวทมากกว่า ทั้งมือใหม่และมืออาชีพ พอทำออกไปแล้วก็ไม่ได้เรียกกลับหรือถอนสิ่งที่ตัวเองได้ทำไป พลังหรือสิ่งเหล่านี้ก็จะล่องลอยไปทั่วในอากาศไม่มีทิศทาง ส่วนมากจะเป็นเวลาตอนกลางคืน ฉะนั้นถ้าหากไม่มีความจำเป็นอย่าออกนอกบ้านในเวลากลางคืน คนที่ถูกลมเพลมพัดมีทั้งอาการหนักและเบาอาการไม่เหมือนกัน อาการหนักก็ต่อเมื่อตัวอาจารย์หรือหมอไสยเวทย์ทำการเติมมนต์หรือเรียกของ คุณจะทรมานมากน้อยอยู่ที่เขาจะทดลองวิชาเขาอย่างไร แรงอาฆาต แรงพยาบาท แรงรักแรงสวาท แรงอิจฉาริษยา ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นสาเหตุไปสู่ความรุนแรงของวิชาไสยศาสตร์ ทำให้เกิดมี การว่าจ้าง กันขึ้น ความรุนแรงนี้ ก็เริ่มจากการตักเตือนก่อน ตามด้วยความรุนแรงขั้นเจ็บป่วยพิการ ครอบครัวแตกแยก การงานและการเงินมีปัญหา สุดท้ายก็ทำกันจนเกิดความเสียหายและเสียชีวิต จะเป็นพวก ยาสั่ง ปั้นหุ่น ฝังเข็ม ฝังตะปู เสกของเข้าตัว วัวกระทิง ฯลฯ ส่วนใหญ่แล้วจะใช้ภูตพรายหรือวิญญาณมากกว่า คนที่ถูกคุณไสยมนต์ดำนี้ จะมีอาการและความรุนแรงไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับหลายเหตุหลายปัจจัย แต่อาการในเบื้องต้นจะรู้สึกเวียนศีรษะ มึนงง ปวดศีรษะ บางรายก็เบื่ออาหาร ร่างกายจะซุบผอม เบ้าตาจะคล้ำรอบดวงตา เวลานอนจะฝันเห็นพวกซากผีน่าเกลียดหรือวิญญาณ ฝันเห็นพวกสัตว์ดิรัจฉานพวกตระกูลลิง หมาหรือหมาดำ สัตว์พวกนกเป็นต้น ร่างของคคุณ จิตของคุณจะถูกเบียดออกจากร่าง ทำให้จิตวิญญาณอื่นที่ถูกมนต์สะกดเข้ามาอยู่แทน ทำให้ตัวของเราเพ้อไม่มีสติคุมตัวเองไม่ได้ เจ็บป่วยทุกทรมาน สุดท้ายก็เสียชีวิตหรือไม่ก็ฆ่าตัวตาย อันที่จริงแล้วเรื่องเกี่ยวกับวิชาไสยศาตร์มนต์ดำนี้มีมาก ทั้งวิธีการและความรุนแรง ก็แตกต่างกันออกไป แล้วแต่ว่าอาจารย์คนไหน หมอไสยเวทย์คนไหนใครจะเล่าเรียนหรือได้รับการสืบถอดมาแบบไหนกัน แต่สิ่งเหล่านี้จะแอบแฝงอยู่ในรูปของ พระพุทธคุณ แอบอ้างให้มีความรู้สึกว่าเป็นของดี ของบริสุทธิ์ เราจะดูตรงไหนว่าสิ่งนั้นเป็นของที่ดี ให้ดูที่หมอหรืออาจารย์คนนั้นว่า ศีล เคร่งและบริสุทธิ์แค่ไหน ถ้าเป็นฆราวาสก็ศีล ๕ ถ้าเป็นพราหมณ์และแม่ชีก็ศีล ๘ ถ้าหากเป็นเฌรก็ศีล ๑๐ ส่วนพระก็ศีล ๒๒๗ ( ผู้ทรงศีลจะทำกิจเกี่ยวกับวิชาหรือพิธีกรรมเหล่านี้ไม่ได้เลย ) ทางที่ดีแล้วเราควรออกให้ห่างเอาไว้ดีที่สุด รูปถ่าย วัน-เดือน-ปีเกิด ของใช้ส่วนตัว ไม่มีความจำเป็นอย่าเอาให้ใครเด็ดขาดเพราะ มันจะเป็นตัวนำหรือเป็นสื่อให้กับดิรัจฉานวิชาเหล่านี้เข้าตัวของเรา เวลาได้ยินเสียงใครร้องทักหรือเรียกชื่อของเรา อย่าขานรับถ้าหากไม่เห็นตัว ถึงแม้จะเห็นตัวแล้วก็ให้แน่ใจก่อนเพราะสิ่งนั้นอาจเป็นอมนุษย์แปลงเป็นมาก็ได้ ถึงแม้อะไรมากระทบบ้าน ฝาบ้าน หลังคาบ้านก็อย่าทักเด็ดขาด ถ้าเป็นของวิชาที่เขาส่งมามันจะเข้าตัวเราทันที ตลอดเวลาที่ผ่านมาสิบกว่าปี ที่อาจารย์ได้ปฏิบัติธรรมและได้มารับรู้มีประสบการณ์และเรียนรู้เกี่ยวกับที่เขากระทำวิชาไสยศาสตร์มนต์ดำต่อกันและเห็นผู้ที่ถูกกระทำมามากพอสมควร อาจารย์ไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้เพราะ เราถือศีลปฏิบัติธรรมมุ่งสู่ความพ้นทุกข์และหลุดพ้น ก็ถือว่าอยู่ในสายขาว จึงทำการแก้ป้องกันและรักษา ให้กับผู้ที่มีเคราะห์กรรมเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้แต่เพียงอย่างเดียว ไม่รับทำของมนต์ดำหรือเสน่ห์ยาแฝก การทำลายล้าง การฆ่าด้วยวิชาไสยศาศตร์ ไม่มีหลักฐานทางโลกทิ้งไว้ให้ดำเนินคดีได้ ฉะนั้นจึงไม่มีวันที่จะหมดไปจากโลกนี้ มันมีมากและพัฒนาแฝงตัวไปพร้อมๆกับความเจริญทางวัตถุและเทคโนโลยีเหมือนเงาตามตัว ตราบใดที่จิตใจของคนไม่มีศีลและขาดหลักธรรม อาฆาตพยาบาทก็ทำของมนต์ดำใส่กัน อิจฉาริษยาก็ทำของมนต์ดำใส่กัน เกลียดกันก็ทำของมนต์ดำใส่กัน รักกันก็ทำของมนต์ดำใส่กัน แล้วคนที่อยู่ใกล้ตัวของเราละ จะรู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ใช้หรือเป็นผู้สืบทอดวิชาไสยศาสตร์มนต์ดำ ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก http://www.kontatip.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=234072 (http://www.kontatip.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=234072) หัวข้อ: Re: อยากทราบ เรื่อง คุณไสย กับ ไสยศาสตร์ เหมือนหรือ ต่างกันอย่างไร เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ธันวาคม 29, 2011, 12:21:29 pm พระฤาษีกับวิชาไสยศาสตร์ (http://www.jengsud.com/upload/pic/108534448.jpg) ไสยศาสตร์ ศาสตร์ทั้งหลายบนโลกนี้แบ่งแยกได้เป็น 2 ศาสตร์ใหญ่ๆคือ 1 พุทธศาสตร์ หมายถึง ศาสตร์แห่งการตื่น เปรียบได้กับความรู้หรือความเข้าใจและ การกระทำต่างๆที่สามารถแสดงและพิสูจน์ให้ผู้อื่นรู้จริงเห็นแจ้งชัดสามารถแสดงให้ผู้อื่นรับรู้และเข้าใจได้ทุกขั้นตอนอย่างเป็นหลักการ เช่น วิทยาศาสตร์ หรือ วิศวกรรมศาสตร์ เป็นต้น 2 ไสยศาสตร์ หมายถึง ศาสตร์แห่งการหลับ เปรียบได้กับความรู้หรือความเข้าใจและ การกระทำต่างๆที่ไม่สามารถพิสูจน์ให้ผู้อื่นรับรู้และเข้าใจได้อย่างเป็นหลักการทุกขั้นตอน แต่สามารถให้ผลลัพธ์ ให้คุณ แสดงผล และแสดงคุณของไสยศาสตร์ได้ตามความต้องการของผู้กระทำได้ และแม้ว่าไสยศาสตร์จะหมายถึงการ หลับใหล ก็ตามแต่ก็ หมายความว่าเป็นเพียงการหลับของร่างกายสังขารเท่านั้น โดยนัยยะ จริงๆก็คือเป็นการหลับเพียงร่างกายเท่านั้นแต่ “จิต” เป็นผู้ กระทำนั่นเอง ดังนั้น ไสยศาสตร์ จึงสรุปได้ว่าคือการกระทำให้สำเร็จได้ด้วยจิตโดยไม่สามารถพิสูจน์หรือแสดงขั้นตอนการกระทำหรือชี้แจงหลักการของความเป็นไปของการกระทำได้นั่นเอง (ยกตัวอย่างเช่น การฝังรูปฝังรอย ที่ใช้วิธีนำเอาดินมาปั้นเป็นรูปคนสองคนแล้วนำมามัดเข้าด้วยกันเพื่อให้รักกันนั้นหากมองในทางไสยศาสตร์ก็คือวิชชาเสน่ห์ประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ยอมรับและใช้ได้ผลกันมานานนับร้อยๆปีแต่หากมองในแง่พุทธศาสตร์แล้วกลายเป็นเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้เลยว่าการที่นำดินสองกองมาปั้นเป็นรูปคนแล้วนำมาผูกกันจะเกี่ยวข้องอะไรกับการที่จะให้คนสองคนนั้นมารักกันได้ เป็นต้น) ไสยศาสตร์ยังแบ่งออกเป็นอีก 2 สาย คือ 1 ไสยวิชชา หมายถึงวิชาหรือพิธี,วิธี ที่ได้รับการสั่งสอน อบรมสั่งสอนหรือมอบให้(บางคนเรียกว่าครอบให้)ต่อๆกันมาแบ่งออกเป็น 1.1 วิชชาไสยขาว โดยทั่วไปหลักการของวิชชาไสยขาวจะต้องมีหลักการหรือหัวใจสำคัญคือต้องใช้ไปในทางช่วยเหลือผู้อื่นเท่านั้น 1.2 วิชชาไสยดำ หลักการโดยทั่วไปของวิชชาไสยดำจะแตกต่างจากวิชชาไสยขาวโดยสิ้นเชิงคือมุ่งเน้นสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นเป็นหลักสำคัญโดยไม่ต้องมีแรงจูงใจหรือหลักการใดๆทั้งสิ้น (ยิ่งมีผู้เดือดร้อนกับการกระทำของผู้เรียนวิชชาไสยดำมากเท่าไหร่พลังของผู้ที่ศึกษาของวิชชานี้ก็จะยิ่งแกร่งและแก่กล้าขึ้นมากเท่านั้น) 2 ไสยอวิชชา หมายถึงวิชาหรือพิธี,วิธี ที่คิดค้นขึ้นเองโดย ผู้ทำพิธี ซึ่งต้องอาศัยอำนาจของสิ่งที่ มีพลัง มีฤทธิ์ มีอาถรรพ์ นำมาเป็นปัจจัยหลัก (ในบางกรณีมักมีการ กล่าวอ้างว่าไสยศาสตร์ คือเดียรฉานวิชานั้น เป็นความเข้าใจที่ผิดๆเพราะคำว่าเดียรฉานแปลว่าสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังขนานกับพื้นซึ่งตรงข้ามกับคำว่านิรฉานซึ่งหมายถึงสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังตั้งฉากกับพื้น คำว่าเดียรฉานวิชาจึงอาจหมายถึงการด่าหรือต่อว่า ประณาม หยามเหยียดซะมากกว่า) (http://www.amulet1.com/showimg.php?img=topic&id=388) ครูบา อาจารย์ ไสยศาสตร์ คือผู้สั่งสอนและถ่ายทอดวิชชาไสยศาสตร์ให้สืบต่อตกทอดมารุ่นแล้วรุ่นเล่า หรือ อาจหมายถึงสิ่งอันทรงอานุภาพ ทรงศักดิ์ ทรงฤทธิ์ มีอำนาจในการประทานอำนาจเพื่อให้ผู้ที่ประกอบพิธีสามารถทำพิธีได้สำเร็จก็ได้ ครูบา อาจารย์ไสยศาสตร์ที่สำคัญๆมีหลายพระองค์ดังจะยกตัวอย่างพอสังเขปดังนี้คือ 1 องค์พระศุกกราอาจารย์(พระ-ศุก-กรา-อา-จา-ระ-ยะ) หรือฤาษีศุกร์ และอีกนามหนึ่งคือครูอสูร ผู้ซึ่งเป็นคุรุ หรือครูของเหล่าอสูร ยักษ์ ทั้งหลาย เป็นบุตรแห่ง(มหาฤาษีภฤคุผู้ทรงเป็นหนึ่งในเจ็ดมหาสัปตะฤาษีผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง7) ฤาษีศุกร์ เชี่ยวชาญในมนตรา วิชา ทุกแขนง ที่สันทัดเป็นพิเศษคือ การกำหนดปลุกฟื้นคืนชีพและการทำลายชีวิตศัตรูแบบช้าๆด้วยความทรมานด้วยสารพักศาตราและโรคา การกดดวงชะตาให้ตกต่ำไม่มีผู้ค้ำจุน หรือการทำลายฐานดวงให้ชีวิตพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก ในทางกลับกัน ก็เชี่ยวชาญในการแก้ไขเช่นเดียวกันด้วย พระฤาษีศุกร์ มีลูกศิษย์คนสำคัญๆยกตัวอย่างเช่น โสมเทพ(พระจันทร์) ราหู (พระราหู)เป็นต้น ฤาษีศุกร์ถือเป็นฤาษีที่อยู่ในศักดิ์ เทพฤาษี อันเป็นชั้นที่ 2 ของระดับชั้นของฤาษีเบื้องบน(ฤาษีแบ่งเป็นฤาษีเบื้องบนคือชั้นฟ้าและฤาษีเบื้องล่างคือชั้นดิน) ในชั้นที่แรกสุดของฤาษีชั้นฟ้าคือราชฤาษี ชั้นที่2คือเทพฤาษี ชั้นที่3คือพรหมฤาษี และชั้นสูงสุดคือมหาฤาษี 2 องค์พระฤาษีอังคีรส(พระ-อัง-คี-รส) หรือฤาษีพฤหัส และอีกนามหนึ่งคือคุรุเทพ เป็นคุรุหรืออาจารย์ของเหล่าเทพทั้งหลายยกตัวอย่างเช่น พระสุริยเทพ(พระอาทิตย์) องค์อมรินทราเทวาธิราชเจ้า(พระอินทร์)เป็นต้น เป็นฤาษีชั้นฟ้าในระดับเทพฤาษี เป็นบุตรของ(มหาฤาษี อังคีระสะ หนึ่งในมหาสัปตฤาษีผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง7) ฤาษีพฤหัส เป็นผู้เชี่ยวชาญในทุกแขนงมนตรา วิชา และที่ถนัดเป็นพิเศษคือวิชาในการ ให้สติปัญญา สร้างจิตสำนึกที่ดี เปลี่ยนแปลงแก้ไขความชั่วร้ายทั้งหลายให้กลายเป็นความดีงาม สร้างความรักความเข้าใจในสามีภรรยา และครอบครัว และองค์กรต่างๆ ได้เป็นอย่างดี 3 ฤาษีตาวัว หรืออีกชื่อหนึ่งคือฤาษีหน้าวัว พระนามที่จริงคือ พระนนทิ (พระ-นน-ทิ) นั่นเอง เป็นฤาษีในชั้นเทพ เป็นบริวารองค์สำคัญและยังเป็นพระราชพาหนะของ (องค์พระสดาศิวะมหาเทพ) เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องดนตรี การร้อง ฟ้อน รำ เต้น มีศิลปะในการพูดจา เจรจาได้น่าฟังเป็นที่น่าเชื่อถือและเป็นที่ยกย่อง อีกทั้งเป็นที่รักใคร่ของผู้อื่น มีเสน่ห์ ดึงดูดใจเพศหญิงเป็นอย่างดีในภาคนี้มีรูปร่างเป็นมนุษย์ นุ่งห่มหนังเสือดาวสีเหลือง ศีรษะ เป็นวัวหนุ่ม สีขาว สวมประคำหินสีดำ 4 ฤาษีหน้าเสือ หรือพระนามที่จริงคือ ท่านท้าว หิมวัต (หิม-มะ-วัต) เป็นฤาษีในชั้นเทพ เป็นพระราชบิดาของ(องค์พระแม่ปารวตีมหามาตาอุมาเจ้า) เป็นหนึ่งในคณะปติบริวารสำคัญ ของ องค์พระสดาศิวะมหาเทพ เป็นผู้เชี่ยวชาญในการปราบและกำราบศัตรูเก่งกาจในเรื่องการรบ และการปกครองบริวาร ควบคุมดูแลบริวารได้อย่างดีเยี่ยมในภาคนี้มีรูปร่างเป็นมนุษย์ นุ่งห่มหนังเสือโคร่งสีเหลือง ศีรษะเป็นเสือโคร่ง สวมประคำ รุทรากษะ 5 ฤาษีสุตะ เป็นฤาษีในชั้นดิน เป็นศิษย์เอกของ(มหาฤาษีวยาสะหนึ่งในคณะอาจารย์แห่งฤาษีชั้นฟ้าและชั้นดิน) ฤาษีสุตะเป็นผู้เชี่ยวชาญในการขับอ่านโศลก และแตกฉานเชี่ยวชาญในปุราณะ ทั้ง 27 ปุราณะโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระศิวะปุราณะซึ่งแบ่งออกเป็น 24,000 บาท แยกย่อยได้อีกเป็น 7 สัมหิตา (เรื่องราวโดยสังเขป) ฤาษีสุตะมีรูปกายเป็นชายในสังขารราว60-70ปี ผิวกายขาว ร่างกายทาด้วยขี้เถ้า ไว้เหนวดเครายาวเสมอ อก ผมยาวมุ่นเป็นมวย ผมเผ้าหนวดเคราเป็นสีดำสนิท นุ่งห่มผ้าสีเหลือง,ส้ม คล้องประคำ รุทรากษะ 6 ฤาษีกษิโรธ เป็นฤาษีในชั้นเทพฤาษี ถือได้ว่าเป็นเสมือนบิดาของ(องค์พระมหาลักษมีมาตาเทวีเจ้า ผู้เป็นพระชายาในพระมหาวิษณุผู้เป็นเจ้า) เป็นผู้สันทัดในเรื่องความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่ง ร่ำรวย ด้วยสมบัติ อันมากมาย ฤาษีกษิโรธ ภาคนี่มีรูปเป็นมนุษย์ ศีรษะเป็นพญานาค ผิวกายสุกสว่างเป็นสีขาว นุ่งห่มด้วยเสื้อผ้าเครื่องประดับล้ำค่าดั่งกษัตริย์เป็นสีขาว คล้องประคำไข่มุกสีขาว 7 ฤาษีศิลาท เป็นฤาษีในชั้นดิน เป็นบิดาของ(พระนันทิน หรืออีกนามหนึ่งคือ พระนันทิเกศวร ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะปติของ องค์พระสดาศิวะมหาเทพ) ฤาษีศิลาท เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับว่า มีบุตรอันยอดเยี่ยม และยิ่งใหญ่ เป็นอภิชาตบุตร อันหาที่เสมอเหมือนมิได้ ฤาษีศิลาท มีรูปกายเป็นมนุษย์ สูงใหญ่ผิวแดง หนวดเคราหนาสีดำสนิท แข็งแรง คล้องประคำรุทรากษะ นุ่งห่มผ้าสีเหลือง,ส้มผมยาวมุ่นเป็นมวย สีเทา (http://www.horasaadrevision.com/images/1101175827/scan0017111.jpg) (ภาพดวงพิชัยสงครามในอดีตตามลัทธิไสยศาสตร์ การคำนวณตำแหน่งดาวพระเคราะห์ไม่ถูกต้องตามหลักดาราศาสตร์) พิธีกรรมทางไสยศาสตร์ พิธีกรรมทางไสยศาสตร์ เกี่ยวกับการใช้เวทย์มนต์ เลขยันต์ที่เกี่ยวกับโหราศาสตร์นั้น มีหลายวิธี เช่น วิธีผูกดวงพิชัยสงครามขึ้นไว้สักการะบูชา รอบๆดวงชะตานั้น จะมีการลงยันต์พิชัยสงครามและคาถาล้อมรอบดวงชะตา แต่ก็เป็นลัทธิไสยศาสตร์ที่ถูกตัดเป็นพุทธศาสตร์แล้ว กล่าวคือ คาถาที่ลงนั้นก็ลงด้วยอักขระพุทธคุณทั้งสิ้น เพียงแต่ถอดเป็นตาม้าหมากรุก หรือถอดเป็นกลบทที่เรียกว่า " อิ ติ ปิ โส 8 ทิศ " คาถา ฆะเตสิ ฯลฯ ในพระธรรมบทคาถา อะโจ ภะ ยะ สิ กะรา วาเต ฯลฯ ในคัมภีร์วชิรสาร และคาถาพระพุทธเจ้า 16 พระองค์ ซึ่งล้วนแต่เป็นคาถาที่ประพันธ์ขึ้นตามหลักพระพุทธศาสนาทั้งนั้น บางทีก็นำดวงชะตาที่ทำขึ้นนี้ บรรจุใส่ในใต้ฐานพระโพธิ์ปางห้ามสมุทร (แกะสลักด้วยไม้ศรีมหาโพธิ์) บรรจุใส่พระวันเกิด เพื่อหวังจะได้บังเกิดศิริมงคลแก่ดวงชะตา และถ้าจะออกรบจับศึกก็ทำเป็นตะกรุดติดตัวไป เพื่อให้มีชัยชนะในสงคราม จึงเรียกดวงชะตาที่ประกอบขึ้นทางโหราศาสตร์และไสยศาสตร์นี้ว่า " ดวงพิชัยสงคราม " แปลตามความหมายก็ได้ความว่า เป็นสิ่งที่ทำให้มีชัยชนะแก่ข้าศึกนั่นเอง ลัทธิทางพุทธศาสนา ได้ยกย่องปาฎิหารย์ไว้เป็น 2 ประการ คือ - อิทธิปาฎิหารย์ ฤทธิ์อันเป็นมหัศจรรย์ประการหนึ่ง - อนุสาสนีปาฎิหารย์ คำสอนอันเป็นมหัศจรรย์ประการหนึ่ง สำหรับอิทธิปาฎิหารย์นั้น พระพุทธเจ้ามิได้ทรงยกย่องเท่ากับอนุสาสนีปาฎิหารย์ แม้กระนั้นก็ยังทรงแต่งตั้งให้พระโมคคัลลานะเถระไว้เป็นยอดของพระภิกษุ ผู้มีฤทธิ์และอิทธิปาฎิหารย์ สามารถแสดงฤทธิ์เดชได้เป็นอัศจรรย์ (http://lanpanya.com/aphsara/files/2011/04/dsc05981.jpg) ตามทางในพุทธศาสนานี้ ที่แท้จริงก็ได้แก่สิ่งที่เราเข้าใจกันว่า ไสยศาสตร์ในปัจจุบันซึ่งผิดแผกไปจากไสยศาสตร์ในลัทธิพราหมณ์ และมีประโยชน์ที่สำคัญยิ่งต่อมวลพุทธศาสนิกชนทุกคน เพราะเป็นเครื่องน้อมนำให้มั่นคงในอานุภาพของคุณพระรัตนตรัย บันดาลให้หายจากความกลัวต่อภัยอันตรายต่างๆ มีคำของท่านโบราณจารย์ท่านกล่าวไว้ดังนี้ พุทธานุสสะติ อันว่าความตามระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้ามีคณานุภาพมากหลาย ห้ามกันเสียซึ่งความหวาดเสียวต่อภยันตรายต่างๆ มีพุทธภาษิตในธชัคคสูตร แสดงไว้ดังนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าความกลัวหรือความหวาดเสียว หรือขนพองสยองเกล้าเกิดแก่ท่านผู้ไปสู่ป่าก็ดี สู่โคนต้นไม้ก็ดี สู่เรือนเปลี่ยวก็ดี สมัยนั้นท่านทั้งหลาย พึงตามระลึกถึงเราอย่างนี้ว่า " อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิสัตถาเทวะมะนุสสานัง พุทโธภะคะวาติ " เมื่อท่านทั้งหลายตามระลึกถึงเราอยู่ ความหวาดกลัวหรือความหวาดเสียว หรือขนพองสยองเกล้าจักหายไป เพราะตถาคตเป็นอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีราคะ โทสะ โมหะ เป็นผู้ไม่กลัวไม่สะดุ้ง ไม่ตกใจ ไม่หนี ตามระลึกถึงพระพุทธคุณ หรือการภาวนาคาถา "อิติปิโส" มีคุณานุภาพตามที่ท่านได้กล่าวมานี้ ฉะนั้นท่านโหราจารย์แต่ปางก่อน ท่านจึงได้น้อมนำเอาพระคาถา "อิติปิโส" มาประกอบกับดวงชะตาจัดทำเป็นดวงพิชัยสงคราม เพื่อสร้างศิริมงคลและคุ้มครองป้องกันอันตรายให้แก่เจ้าชะตา และเมื่อถีงคราวดวงชะตาเข้าสู่เกณฑ์ร้าย ตามที่เรียกว่า ต้องฆาตทั้งลัคน์และจันทร์ ก็ได้น้อมนำเอาพระพุทธคุณ และพระปริตมาเป็นคาถาสวดปัดเป่า บรรเทาเคราะห์ให้หายไปตามนัยแห่งเรื่อง "อายุวัฒณกุมาร" ซึ่งได้ยกมากล่าวอ้างไว้นั้น เพราะความสำคัญดังนี้ ในหลักสูตรการเรียนโหราศาสตร์ ท่านจึงบรรจุหลักการเกี่ยวกับการใช้คาถาอาคม สำหรับปัดเป่าเคราะห์ร้ายที่จะบังเกิดขึ้น ในดวงชะตาหรือเพื่อส่งเสริมดวงชะตา ให้ประสบความเจริญรุ่งเรือง เข้าไว้ในหลักสูตรชั้นสูงของวิชาโหราศาสตร์ ซึ่งท่านที่จะผ่านการเป็นโหรครบถ้วนสมบูรณ์แบบ จำเป็นจะต้องเล่าเรียนให้รู้ไว้ เพราะเป็นวิชาการใช้คาถาอาคม เลขยันต์ หรือที่เรียกว่า "ไสยศาสตร์ " นั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้เกี่ยวพันกับวิชาโหราศาสตร์อยู่ตลอดไป อาทิเช่น จะทำดวงพิชัยสงครามขึ้นสักดวงหนึ่ง ถ้าปราศจากความรู้ในทางไสยศาสตร์แล้ว ก็ไม้สามารถที่จะจารึกอักขระมนต์ในแผ่นดวงได้เลย (http://a6.sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-ash2/41106_105649406158172_100539086669204_48956_4291775_n.jpg) ตามที่ได้กล่าวถึงไสยศาสตร์มาแล้วนี้ กล่าวเฉพาะเพียงผิวเผิน แต่ถ้าจะกล่าวลงไป ให้ลึกซึ้งถึงแก่นของความจริงแล้ว คำว่า "ไสย" นั้น แปลตามรูปศัพท์ว่า ประเสริฐ ฉะนั้น คำว่า ไสยศาสตร์ ก็คือ ศาสตร์อันประเสริฐ หรือวิชาอันประเสริฐนั่นเอง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากพลังสมาธิจิต ซึ่งจัดว่าเป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่ง แต่ในขณะนี้ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ตามหลักฟิสิกส์และเคมี ขอได้โปรดพิจารณาหลักการที่สำคัญในพระพุทธศาสนา จุดสำคัญอยู่ที่การอบรมสมาธิจิตเป็นหัวข้อใหญ่ ตามหลักพุทโธวาท ซึ่งทรงแสดงไว่ว่า "สะมาธิ ภิกเวถะ สะมาหิโต ยะถาภูตังประชานาติ" แปลความว่า ภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงยังสมาธิให้เกิด ชนผู้มีจิตเป็นสมาธิ ย่อมรู้ตามความเป็นจริง การอบรมจิตให้เป็นสมาธิ ตามหลักในพระพุทธศาสนา ดำเนินเป็นขั้นๆไป เริ่มตั้งแต่ฌาณก่อน เมื่อเจริญฌาณแก่กล้าแล้ว จึงเลื่อนอันดับเข้าถึงวิปัสสนาญาณ อันเป็นญาณอันดับต้นในวิชา 8 ประการ การที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงแสดงปาฎิหารย์ให้ปรากฎเห็นได้เป็นอัศจรรย์ ก็เพราะเหตุที่พระองค์ท่านทรงเพรียบพร้อมด้วยวิชา 8 ประการนี้ สมดังคาถาสรรเสริญถึงพระพุทธคุณที่ว่า "วิชชาจะระณะสัมปันโน" ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชา 8 และจะระณะ 15 วิชา 8 ประการ ตามที่กล่าวมา คือ 1 วิปัสสนาญาณ (ญาณอันนับเข้าไปในวิปัสสนา) 2 มโนยิทธิ (ฤทธิ์ทางใจ) 3 อิทธิวิธี (แสดงฤทธิ์ได้) 4 ทิพยโสต (หูทิพย์) 5 เจโตปริยญาณ (รู้กำหนดใจผู้อื่น) 6 ปุพเพนิวาสนุสสติ (ระลึกชาติได้) 7 ทิพยจักขุ (ตาทิพย์) 8 อาสวักขยญาญาณ (รู้จักกำจัดอาสวะให้สิ้นไป) วิชาทั้ง 8 ประการ เมื่อตรวจดูแล้ว ในข้อที่ 6 คือ ปุพเพนิวาสนุสสติญาณ การระลึกชาติได้ ทำให้นึกถึงวิชาโหราศาสตร์ โหราศาสตร์เป็นศาสตร์ที่สามารถใช้พยากรณ์เหตุการณ์ในปัจจุบันได้ สามารถจะพลิกฟื้นไปตรวจดูกรรมเก่าในอดีตชาติได้ และศาสตร์อันประเสริฐที่เกิดจากพลังทางสมาธิจิต หรือไสยศาสตร์นั้น ก็สามารถที่จะหยั่งรู้ถึงกรรมเก่าในอดีตชาติได้ ฉะนั้นศาสตร์ทั้งสองนี้ จึงเป็นสิ่งที่พัวพันกันอยู่ โดยมีท่วงทำนองความเป็นไปคล้ายคลึงกัน แตกต่างกันที่ว่า สามารถหยั่งพยากรณ์ลงไปได้ตื้นลึกกว่ากันเท่านั้น ซึ่งพอที่จะอนุมานได้ว่า โหราศาสตร์ คือ บันไดขั้นแรกของไสยศาสตร์นั่นเอง ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.horasaadrevision.com (http://www.horasaadrevision.com) http://www.ongtep.com/detail.php?id=51 (http://www.ongtep.com/detail.php?id=51) ขอบคุณภาพจาก http://www.jengsud.com/,http://www.amulet1.com/,http://www.horasaadrevision.com/,http://lanpanya.com/,http://a6.sphotos.ak.fbcdn.net/ (http://www.jengsud.com/,http://www.amulet1.com/,http://www.horasaadrevision.com/,http://lanpanya.com/,http://a6.sphotos.ak.fbcdn.net/) |