หัวข้อ: เป็นผู้หญิงในชาตินี้ ถ้าเราปรารถนา เป็นผู้ชายในชาติต่อไป เป็นไปได้หรือป่าวคะ เริ่มหัวข้อโดย: หมวยจ้า ที่ มิถุนายน 04, 2010, 10:05:53 pm สงสัย และน้อยใจ อยากจะบวชพระบ้าง แต่ติดเป็นผู้หญิง
ถ้าเราปรารถนา เป็นผู้ชาย ในชาติต่อไป เป็นไปได้หรือป่าวคะ มีพระสูตร บทไหนที่มีเรื่องผู้หญิง อธิษฐาน เป็นผู้ชายได้สำเร็จ :25: :91: :25: หัวข้อ: Re: เป็นผู้หญิงในชาตินี้ ถ้าเราปรารถนา เป็นผู้ชายในชาติต่อไป เป็นไปได้หรือป่าวคะ เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มิถุนายน 05, 2010, 04:07:09 pm เสียดาย...คนตายไม่ได้อ่าน
โดย ดังตฤณ (http://www.dungtrin.com/images/stories/news/thamsanae.gif) บทที่ ๓ - เหตุใดจึงเป็นหญิงเป็นชาย? ในบทก่อนเราทราบว่าจะมาเป็นมนุษย์เพราะทำกรรมอย่างไร แต่ความเป็นมนุษย์มีทั้งหญิงและ ชาย เหมือนกับสิ่งอื่นทั้งจักรวาลที่มีคู่ตรงข้าม คำถามคือในกรรมที่ทำให้เป็นมนุษย์เหมือนๆกันนั้น มีที่ ต่างตรงไหน กรรมจึงเลือกเพศให้กับเราเป็นอย่างนี้? ความต่างระหว่างชายกับหญิง ทุกคนทราบดีว่าหญิงชายต่างกัน แต่ถ้าถามว่าต่างกันอย่างไรล่ะ? คำตอบแรกที่คนส่วนใหญ่จะ นึกออกคือหญิงมีอวัยวะเพศอย่างหนึ่ง ชายมีอวัยวะเพศอีกอย่างหนึ่ง และที่คนส่วนใหญ่ขึ้นใจกันอย่างนี้ เหตุผลก็ตรงตัว คือเพราะอวัยวะเพศถูกใช้เป็นเครื่องตัดสินว่าต้องเรียกหญิงหรือชายนับแต่ออกจากท้อง แม่ ชาวโลกต่างให้ความสำคัญกับอวัยวะเพศ เอาอวัยวะเพศมาเป็นเกณฑ์แบ่งว่านั่นชายนี่หญิง แต่ น้อยคนจะทราบว่า ทารกในครรภ์มารดาเมื่อยังเป็นตัวอ่อนอยู่นั้น จะเริ่มต้นด้วยการมีอวัยวะเพศหญิง ก่อน แต่ถ้าเซลล์ของตัวอ่อนมีโครโมโซมเพศเป็นชาย อวัยวะเพศแบบชายจึงปรากฏยื่นออกมาภายหลัง ส่วนถ้าเซลล์ของตัวอ่อนมีโครโมโซมเพศเป็นหญิง อวัยวะเพศจะฝ่อตัวหายไปก่อนคลอด พูดให้ง่ายที่สุดคือ เมื่อกำเนิดเกิดกายนั้น ทุกคนเป็นหญิงเหมือนกันหมด! และถ้าถาม นักวิทยาศาสตร์ว่าเหตุใดอวัยวะเพศแบบชายจึงยื่นออกมา ก็จะได้คำตอบที่ชัดถ้อยชัดคำว่าเด็ก ‘บังเอิญ’ ได้รับโครโมโซม Y จากพ่อไปประกบคู่กับโครโมโซม X ของแม่ นี่คือคำตอบสุดท้ายจาก วิทยาศาสตร์ และหมายความว่าถ้าไว้ใจวิทยาศาสตร์ ณ วันนี้ เราจำเป็นต้องสรุปว่าจุดเริ่มต้นอันเป็น ที่สุดของสภาวะหญิงชายคือความบังเอิญ! ความต่างกันระหว่างร่างกายของชายกับหญิงนั้น ใช่ว่าจะมีแต่จุดเด่นที่อวัยวะเพศส่วนเดียว แม้แต่ส่วนที่ทุกคนมองไม่เห็นอย่างเช่นสมองก็มีความต่าง! เรื่องความต่างระหว่างสมองของสองเพศนี้ อยู่ในความสนใจของนักวิทยาศาสตร์มาหลายร้อยปีแล้ว กับทั้งยังคงต้องศึกษากันต่อไปเป็นร้อยๆปี เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่ามีรายละเอียดใดบ้างที่บ่งชี้ว่านั่นคือสมองชาย นี่คือสมองหญิง ทั้งในแง่ของ ขนาด คุณภาพ และวิธีการทำงาน มีการแยกแยะเปรียบเทียบเป็นส่วนๆอย่างละเอียดเลยทีเดียว ที่นักวิทยาศาสตร์สนใจความต่างระหว่างสมองหญิงกับชายก็เพราะเชื่อว่าถ้าเรารู้ชัดว่าอะไรเป็น อะไร ก็จะสามารถควบคุมจุดด้อยและจุดเด่นระหว่างเพศได้ นี่เป็นความเห็นของคนกลุ่มหนึ่งที่โน้มเอียง จะเชื่อว่าทุกความต่างกำเนิดขึ้นจากสมองก้อนเดียว หากเอาตามมุมมองของชาวพุทธ จะเห็นพระพุทธเจ้าตรัสไว้แบบรวบรัดเบ็ดเสร็จแล้ว นั่นคือ จิต เป็นนาย กายเป็นบ่าว ร่างกายเป็นเพียงปลายทาง ต้นทางอยู่ที่จิตซึ่งคิดก่อกรรม แม้ต่อไปวิทยาการจะ บอกได้ว่ามันสมองของแต่ละเพศผิดแผกแตกต่างกันเพียงใดบ้าง นั่นก็เป็นการเห็นผลของกรรมอย่าง หนึ่งเท่านั้น! มาว่ากันตามประสบการณ์ที่พบเจอง่ายๆแบบชาวบ้าน ขอให้ลองดูตัวอย่างเฉพาะบางข้อสังเกต ทางรูปธรรมอันเป็นที่ยอมรับทั่วไป เช่น ๑) ร่างกายหญิงอ้อนแอ้นอรชรเหมือนหยดน้ำ ร่างกายชายแข็งแรงหนักแน่นเหมือนต้นไม้ ๒) โดยธรรมชาติ หญิงจะลำบากในการเข้าห้องน้ำทุกวัน อย่างน้อยก็มากกว่าเพศชายที่ยืน ปล่อยปัสสาวะตรงมุมปลอดตรงไหนก็ได้ ขอให้นึกถึงรถติดบนทางด่วน เราอาจเห็นชายใจไม่ต้องกล้า มากนักยืนเบียดกับปูนกั้นทาง ในขณะที่เราไม่รู้ความลับว่ามีหญิงจำนวนมากเพียงใด ยอมเบาะเปียกแต่ ไม่ยอมเอาหน้าไปขายกลางถนน พูดง่ายๆชายทำไม่น่าแปลกและไม่มีใครใส่ใจสน แต่หญิงทำอาจถูก มองด้วยยิ้มเย้ยว่าหน้าด้านผิดปกติและเอาไปบอกต่อกันอีกนานทีเดียว ๓) โดยธรรมชาติ หญิงจะมีเรื่องชวนหงุดหงิดและน่าเบื่อหน่ายทุกเดือน มีเลือดไหล มีกลิ่นเหม็น มีความชื้นแฉะควรแก่การรำคาญเป็นยิ่งนัก ในขณะที่ฝ่ายชายแห้งสบายไปตลอดชีวิต ๔) โดยธรรมชาติ หญิงที่ปรารถนาจะเป็นหญิงสมบูรณ์แบบเหมือนถูกกำหนดมาให้เจ็บตัวสาหัส ทั้งภาระหนักขณะอุ้มท้องเป็นเวลายืดเยื้อยาวนานถึง ๙ เดือน และทั้งความเจ็บปวดสุดขีดขณะคลอด บุตร ในขณะที่ฝ่ายชายเหมือนไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจากสนุกสนานขณะทำหน้าที่พ่อพันธุ์ เพียงข้อสังเกตข้างต้นก็คงทำให้ทุกคนยอมรับโดยดุษณีว่า หญิงเสียเปรียบชายในแง่ ธรรมชาติทางกายอย่างแน่นอน และถ้าเราทราบว่าร่างกายมนุษย์ทั้งหลายคือวิบากที่เคยทำ กรรมบางอย่างเป็นประจำในอดีตชาติ ก็ต้องสรุปว่ากรรมเก่าของหญิงนั้น ส่งผลให้เกิดภาวะไม่ น่าพึงใจเท่าใดนัก อย่างน้อยที่สุดก็ไม่น่าพึงใจเมื่อเทียบกับความเป็นชาย ผู้หญิงแม้สวยและทรงเสน่ห์ดึงดูดใจขนาดไหน หากถามเอาความรู้สึกจากใจแล้ว ส่วนใหญ่ก็พูด ตรงกันเป็นเสียงเดียวว่าอยากเกิดเป็นผู้ชาย หรือแม้พวกที่เรียกร้องสิทธิสตรีนั้น ให้เอาหัวใจมาพูดแล้ว อยากเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ก็ตอบอีกว่าอยากเป็นผู้ชาย พวกเธออาจได้สิทธิสตรีตามที่เรียกร้อง แต่จะไม่ มีทางขจัดปมด้อยเกี่ยวกับความเสียเปรียบทางสรีระไปได้เลย เว้นแต่จะมีใจผิดเพศ อยากผ่าตัดแปลง เพศให้รู้แล้วรู้รอด สิ่งที่ไม่น่าพึงใจย่อมเป็นวิบากของกรรมที่กระเดียดไปเข้าฝ่ายอกุศล ดังนั้นจึงควรสำรวจตามจริง ที่เห็นด้วยตาเปล่าโดยทั่วไป ว่าถ้าเอาเกณฑ์กิเลสคือโลภ โกรธ หลงมาเป็นตัวตั้งแล้ว เหล่าสตรีน่าจะมีความโน้มเอียงในการแสดงกิเลสแตกต่างจากชายอย่างไร ๑) เกี่ยวกับความโลภ ชายหญิงอาจโลภอยากรวยมากพอกัน แต่ฝ่ายหญิงจะคิดเล็กคิดน้อย มากกว่า ขณะที่ชายจะมองเป้าใหญ่ไปเลย ดังที่เคยมีคนกล่าวติดตลกไว้ว่าผู้ชายพร้อมที่จะจ่ายสองเท่า เพื่อสิ่งที่เขาต้องการเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่ผู้หญิงเต็มใจจ่ายสำหรับสิ่งที่กำลังลดราคาครึ่งหนึ่ง แม้ว่าเธอ ไม่ได้ต้องการมัน ๒) เกี่ยวกับความโกรธ ชายหญิงอาจโกรธแรงขั้นลืมตัวลงมือฆ่าแกงได้เหมือนกัน แต่ฝ่ายหญิง จะมีปมด้อยอยากเอาชนะมากกว่า คือคิดรักษาหน้า รักษาทิฐิไว้ด้วยอาการผูกใจเจ็บแรง ดังที่คู่ชีวิตส่วน ใหญ่คงเคยผ่านประสบการณ์ทำนองเดียวกันมา คือในทุกการโต้เถียง ผู้หญิงเป็นฝ่ายพูดคำสุดท้ายเสมอ หากฝ่ายชายหาญจะพูดต่อจากนั้น นั่นหมายถึงการตั้งต้นโต้เถียงกันใหม่ แต่ถ้าเป็นเรื่องงอนง้อขอคืนดีจะเป็นฝ่ายสนองรับ ไม่อยากเป็นฝ่ายเข้าหาเพื่อขอญาติดีก่อน ๓) เกี่ยวกับความหลงสำคัญผิด ฝ่ายหญิงจะยอมรับความจริงยากกว่าชาย เช่นว่าสังขารต้องโรย ราเป็นธรรมดา ธรรมชาติประจำเพศของฝ่ายหญิงจะทำให้สำคัญว่าตนต้องสวย ตนต้องผมดำ ตนต้องเต่งตึงอยู่เสมอ ส่วนฝ่ายชายนั้นแม้กังวลเกี่ยวกับเรื่องหัวล้านบ้างก็ไม่ถึงขนาดกลัดกลุ้มจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่ค่อยยอมเสียเงินแพงเกินเหตุเพื่อแลกกับการเอาผมดกดำคืนมา ในขณะที่ฝ่ายหญิงอาจยอมขายสมบัติทิ้งได้เพียงเพื่อแลกกับบางชิ้นส่วนที่เหี่ยวเฉาลงแล้ว แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนมีกิเลสทำนองนี้เหมือนกันหมด แต่พูดคลุมๆไปโดยรวมถึงธรรมชาตินิสัย ที่ฝังลึกอยู่ข้างใน สรุปได้ว่าในแง่โลภะ โทสะ โมหะนั้น วิสัยหญิงจะคิดมากหยุมหยิม ไม่อยากริเริ่มทำ เรื่องร้ายให้กลายเป็นดี รวมทั้งมีโอกาสเห็นผิดเป็นชอบด้วยอารมณ์ได้มากกว่าชาย มนุษย์เราจะเริ่มรู้ชัด ถึงความต่างระหว่างชายกับหญิงต่อเมื่อแต่งงานอยู่กินกันฉันผัวเมีย ช่องว่างระหว่างเพศจะปรากฏขึ้น ตั้งแต่ในมุ้งเลยทีเดียว (http://www.dhammathai.org/sounds/pic/kamnit280.jpg) กรรมที่ทำหน้าที่กำหนดเพศ ถ้าทุกคนยอมรับว่าวิสัยพื้นฐานของหญิงและชายเป็นดังที่กล่าวมาในหัวข้อก่อนจริง สิ่งที่ น่าสนใจคือถ้าหญิงไม่ปรับปรุงพื้นฐานดังกล่าวให้ดีขึ้น ก็มีแนวโน้มว่าคงจะต้องเป็นหญิงต่อไป ส่วนชายถ้าประพฤติตนย่อหย่อนลงจากวิสัยเดิม ก็มีแนวโน้มจะต้องเป็นหญิงเช่นกัน ดังที่ทราบจากบทก่อน พระพุทธองค์ตรัสว่าเราจะไม่เกิดเป็นมนุษย์ด้วยกรรมที่เกิดจากโลภะ โทสะ โมหะเลย พูดง่ายๆว่าต้องอาศัยกำลังบุญเป็นตัวนำมาสู่ภูมิมนุษย์ การทำบุญแต่ละครั้งนั้นคิด ง่ายๆก็คือการพยายามสลัดโลภะ โทสะ โมหะทิ้งจากใจนั่นเอง แต่การทำบุญก็อาศัยกำลังใจแตกต่างกัน หากใครมีประสบการณ์ทำบุญตามงานสาธารณะบ่อยๆ จะพบความหลากหลายของผู้คนที่มาทำบุญ เหมือนแต่ละคนมีแนวทางเฉพาะตัว ซึ่งถ้าถามว่าขณะให้ ทานจะมีลักษณะใดในคนเราที่ผิดแผกกันอย่างเห็นได้ชัด ส่วนใหญ่คงตอบว่ากิริยาท่าที ความมีหน้าใหญ่ให้มาก ความมีหน้าเล็กให้น้อย ทำทั้งยิ้มแย้ม ทำทั้งบูดบึ้ง มีความอ่อนน้อม มีความกระด้าง ออกอาการก้มหน้ากระมิดกระเมี้ยน ออกอาการอกผายไหล่ผึ่งอาจหาญ ทำอย่างเชื่องช้าซังกะตาย ทำอย่างรีบเร่งกระตือรือร้น ฯลฯ เหล่านี้คือกิริยาที่ทุกคนคุ้นตา และถ้าจะเดาหลายคนก็คงเดาว่าสิ่งที่เห็นด้วยตาเปล่าเหล่านี้เอง จะจำแนกผลบุญออกเป็นต่างๆ ความจริงอาการทางกายไม่ค่อยมีความหมายสักเท่าใดเลย ‘อาการทางใจ’ และ ‘วิธีคิด’ ต่างหาก ที่มีความหมาย และมีอิทธิพลกำหนดผลกรรมใหญ่กว่าอาการทางกายมากมายนัก จำแนกได้ต่างๆดังนี้ ๑) อาการทางใจ ที่เป็นฝักฝ่ายของชายจะหนักแน่น ศรัทธาแน่วแน่ในบุญที่ตัดสินใจทำแล้ว ไม่ หวั่นไหวโลเลกลับไปกลับมา ที่เป็นฝักฝ่ายของหญิงจะมัวมนขาดสมาธิ มีศรัทธาที่คลอนแคลนในบุญที่ ตัดสินใจทำแล้ว อาจกลับกลอกโลเล เดี๋ยวอยากทำ เดี๋ยวไม่อยากทำ เดี๋ยวจะอยากให้มาก เดี๋ยวอยากให้น้อย เป็นต้น ๒) วิธีคิด ที่เป็นฝักฝ่ายของชายจะคิดริเริ่มทำบุญด้วยตนเองไม่รอให้คนอื่นชักชวนก่อน กับทั้งไม่ คิดเล็กคิดน้อยหยุมหยิม ที่เป็นฝักฝ่ายของหญิงจะต้องรอเป็นฝ่ายถูกชักชวนจึงค่อยตามไปทำ กับทั้งคิด เล็กคิดน้อยได้สารพัดเรื่อง ร่างปัจจุบันจะเป็นชายหรือเป็นหญิงไม่สำคัญ ทุกคนมีสิทธิ์เกิดอาการทางใจและวิธีคิดที่ สอดคล้องหรือขัดแย้งกับเพศตนเสมอ ผลรวมจะเป็นกำลังบุญระดับหนึ่งที่ทำให้ ‘รู้สึก’ สัมผัสได้ ขอให้ ลองสังเกตดูตามจริงเถอะว่าคนที่มีอาการทางใจและวิธีคิดทำบุญอย่างชายเป็นประจำนั้น จะทำให้เรา รู้สึกได้ถึงความเข้มแข็งในภายในเยี่ยงบุรุษเพศ ส่วนคนที่มีอาการทางใจและวิธีคิดทำบุญอย่างหญิงเป็นประจำนั้นเป็นตรงข้าม จะทำให้เรารู้สึกได้ถึงความปวกเปียกในภายในเยี่ยงสตรีเพศไป คราวนี้มาถึงประเด็นสำคัญ วิธีคิดทำบุญเป็นอย่างไร วิธีคิดเรื่องทั่วไปก็มีแนวโน้มที่จะเป็น เช่นนั้น กล่าวคือถ้าใจคอหนักแน่นในการบุญ ก็จะมีใจคอหนักแน่น มีเหตุมีผล ไม่หวั่นไหวโอนเอน กลับไปกลับมาง่ายๆ จิตวิญญาณจะค่อยๆสั่งสมธาตุของความเป็นชายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนหญิงจะเป็น ตรงกันข้าม ฉะนั้นจึงสรุปได้ว่า กำลังของบุญที่หนักแน่นแบบชาย จะมีวิบากให้ได้ครองรูปชาย กำลังบุญที่ปวกเปียกแบบหญิง จะมีวิบากให้ได้ครองรูปหญิง อย่างไรก็ตาม การชั่งน้ำหนักกรรมเพื่อเลือกเพศเป็นเรื่องซับซ้อน ไม่ได้มีการทำทานเพียงแง่ เดียวที่ตัดสินได้ เรายังต้องเอาความประพฤติอันเกี่ยวเนื่องกับกามารมณ์มาเป็นเกณฑ์ชี้ชะตาด้วย ตามหลักธรรมชาตินั้น รูปหญิงกับรูปชายเมื่อเข้าใกล้กันจะมีพลังดึงดูดเข้าหากัน ทั้งนี้โดยไม่ จำเป็นต้องอาศัยกรรมสัมพันธ์เก่าแก่แต่ชาติปางก่อนมาช่วย ขอเพียงมีรูปชายกับรูปหญิงก็มีทวารให้ สามารถนำมาประกบประกอบกามกิจกันในทางใดทางหนึ่งได้หมด การมีเพศสัมพันธ์เป็นของน่าบาดใจ รู้ด้วยสัญชาตญาณโดยไม่ต้องให้ใครบอก เพราะเป็นวิถีทาง แห่งการครอบครอง หรือถึงยอดแห่งรสสัมพันธภาพระหว่างมนุษย์ โดยธรรมชาติจะมีใครเพียงคนหนึ่ง คนเดียวที่มีสิทธิ์ได้เสพรสดังกล่าว และใครคนนั้นก็เป็นผู้ที่ตกลงเป็นคู่ครองกัน เงื่อนไขง่ายๆเช่นนี้คือจุดเริ่มต้นของเกม ธรรมชาติอนุญาตให้มีกิจกรรมบาดใจกับคู่ครองที่ตกลง กันเป็นมั่นเป็นเหมาะ หากเกินกว่านั้นจะเกิดภาวะ ‘ไม่ปกติ’ ขึ้นมาทันที สัญญาณเตือนแรกคือความรู้สึก ผิดรุนแรง สัญญาณเตือนที่สองเมื่อฝืนทำไประยะหนึ่งไม่เลิกได้แก่ความรู้สึกมืดมนและการมองโลกในแง่ร้าย สัญญาณเตือนที่สามเมื่อยังขืนทำอยู่อีกได้แก่ความรู้สึกชาด้านและเหลือสำนึกผิดชอบชั่วดีน้อยลงทุกที ตรงนั้นอันตรายยิ่งแล้ว เพราะเมื่อทำบาปโดยปราศจากความละอาย ก็ย่อมก่อบาปได้ทุกชนิดโดยไม่รู้สึกว่าเป็นบาป เงาดำของกรรมจะห่อหุ้มจิตวิญญาณหนาทึบขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้แม้ด้วยตาเปล่า คือสีหน้าผู้ชุ่มด้วยบาปจะคล้ำหมองหาสง่าราศีไม่ได้เลย นั่นเป็นเรื่องของคนที่แพ้เกมกาม หลุดร่วงจากความเป็นมนุษย์ไปแล้วเกินครึ่งตัว สำหรับ วิญญาณที่มีศักยภาพพอจะเป็นมนุษย์ได้นั้น ต้องมีความละอายต่อบาป ไม่ละเมิดกฎธรรมชาติ ไม่ก่อ กิจกรรมบาดใจกับผู้อื่นที่มิใช่คู่ครอง แม้ว่าจะรู้สึกถึงแรงดึงดูดระหว่างรูปชายกับรูปหญิงเหมือนๆกับคนอื่น ก็สามารถยับยั้งชั่งใจได้ ฝืนข่มใจได้ และเลือกตัดสินใจที่จะไม่เอาบาปมาใส่ตัวได้ แม้เมื่อเลือกที่จะไม่ก่อกรรมทางกาเมแล้ว เรื่องก็ยังไม่ถึงที่สุด เพราะ ‘อาการทางใจ’ กับ ‘วิธีคิด’ ในการรักษาศีลข้อนี้จะเป็นตัวตัดสินว่าเมื่อเกิดเป็นมนุษย์สมควรจะได้เป็นชายหรือเป็นหญิง จำแนกได้ ดังนี้ ๑) อาการทางใจ ที่เป็นฝักฝ่ายของชายจะมีความมั่นคงเด็ดเดี่ยว ต่อให้อยากจนมันจุกอกแทบ ตายอย่างไรก็ไม่เอาแน่ๆ ส่วนที่เป็นฝักฝ่ายของหญิงจะปล่อยใจให้เกิดความวาบหวาม มีความโอนอ่อน ไปหากามารมณ์นอกขอบเขตได้เรื่อยๆ ๒) วิธีคิด ที่เป็นฝักฝ่ายของชายจะไม่มีความคิดแส่ส่าย ไม่ตรึกนึกด้วยความอยากลองของแปลก ใหม่ ไม่พยายามพาตัวเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม ส่วนที่เป็นฝักฝ่ายของหญิงจะมีความคิดแส่สายอยากลองของแปลกใหม่ คิดชั่งใจกับสถานการณ์ล่อแหลมอยู่เรื่อยๆ ขอย้ำว่าอาการทางใจและวิธีคิดข้างต้นนี้ ยังไม่เกินเลยออกมาเป็นการกระทำทางกาย เพราะถ้าเกินเลยออกมาเป็นการกระทำทางกาย โดยเฉพาะพวกที่ปล่อยตัวปล่อยใจบ่อยๆจนขาดความ ละอาย จะไม่มีสิทธิ์แม้มาถือกำเนิดเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ แถมเกี่ยวกับเรื่องวิธีคิดนิดหนึ่ง คือผู้หญิงบางคนอยู่กินกับชายดีๆแล้วคิดอยากติดตามสามีของ ตนไปทุกภพทุกชาติ อันนี้ก็มีสิทธิ์ทำให้เกิดเป็นหญิงไปเรื่อยๆได้เหมือนกัน เพราะความชอบใจและแรง อธิษฐานอันมีพลังหนุนจากความซื่อสัตย์ในสามีคนเดียวนั้น ย่อมส่งผลหนักแน่นตามปรารถนา หญิงที่ รักษาศีลข้อกาเมฯได้บริสุทธิ์ พิสูจน์ตัวโดยการไม่ประพฤติผิดแม้มีสถานการณ์ยั่วยุปานใด ย่อมเป็นผู้ไม่ มีเวรภัยในเรื่องทางเพศ ไม่เป็นผู้สับสนในการเลือกคู่ และจะเป็นอิสตรีที่มีเกียรติ คนเห็นแล้วคร้ามเกรง ไม่คิดดูถูก ไม่เห็นเป็นผู้น่ารังแกได้ตามใจชอบ จากกรณีสมัครใจเป็นหญิงนี้คงพอทำให้เห็นว่าจริงๆแล้วเป็นหญิงหรือเป็นชายใช่ว่าหมายถึงผิด หรือถูก เหนือกว่าหรือด้อยกว่าเสมอไป ภพหรือสภาวะนั้นเริ่มจากความคิด ใครติดอยู่กับภาวะแบบไหน ก็โน้มเอียงที่จะไหลเข้าไปรวมกับภาวะแบบนั้นไปเรื่อยๆ โดยมีทานและศีลเป็นเครื่องแบ่งชั้นวรรณะว่า ใครจะได้สุขสมตามปรารถนามากกว่ากัน (http://www.thainn.com/memberpost/upload/202.jpg) ผลของความด่างพร้อยและขาดทะลุของศีลข้อกาเมฯ กาเมสุมิจฉาจาร หรือการประพฤติผิดในกามนั้น ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสจะมุ่งเอาการมี เพศสัมพันธ์กับหญิงที่มารดาบิดารักษา หญิงที่พี่ชายพี่สาวรักษา หญิงที่ญาติรักษา หญิงที่ยังมีสามี หญิงที่ถูกซื้อตัวไว้ และหญิงที่ถูกจองตัวไว้แล้วด้วยเคริ่องหมั้นหมายเช่นแก้วแหวนหรือแม้ด้วยพวงมาลัยตามประเพณีท้องถิ่น มักมีข้อสงสัยเกิดขึ้นเสมอว่าอย่างไรเรียกว่าศีลด่างพร้อย อย่างไรเรียกว่าศีลขาดทะลุ ถ้าเจ้าของ เขาไม่รู้จะมีค่าเท่ากับไม่ได้ทำไหม? เผลอทำแบบตกกระไดพลอยโจนโดยไม่เจตนาไว้แต่แรกถือว่าใช่ ไหม? แค่ทำอะไรภายนอกเข้าข่ายไหม? ดูหนังโป๊เป็นบาปไหม? ฯลฯ ขอให้ใช้เกณฑ์คือความละอายต่อบาปเป็นเครื่องชี้ อวัยวะที่เกี่ยวข้องทางเพศนั้น ความจริงเริ่ม นับเอาตั้งแต่เนื้อหนังทีเดียว พูดง่ายๆว่าทุกตารางนิ้วมีผล หญิงชายไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวกันโดย ธรรมชาติ เว้นแต่จะเป็นเจ้าของกันและกัน หรือผู้เป็นเจ้าของยินยอมโดยดี ลองสังเกตสิ่งที่เรารู้อยู่แก่ใจ ว่าทุกสัมผัสนั้นล้วนต้องห้ามไปหมด หากแตะต้องบุคคลมี เจ้าของด้วยความกำหนัด ไม่ว่าจะอย่างไรก็เรียกว่าประพฤติผิดในกามทั้งสิ้น ส่วนจะเข้าขั้นด่าง พร้อยหรือขาดทะลุก็ขึ้นอยู่กับระดับความต้องห้ามของอวัยวะนั้นๆ ขอแสดงเกณฑ์คร่าวๆไว้เป็นประมาณ วัดเอาจากการใช้กำลังใจของคนทั่วไปในการทำผิดทาง กามดังนี้ ๑) หอมแก้ม ใจเขายินดีทางเพศ ใจเราไม่ยินดีทางเพศ นับว่าด่างพร้อยราวๆ 10% (คือรู้อยู่แก่ใจ ว่าเขาหอมด้วยความพิศวาสก็ยอมด้วยเงื่อนไขบางอย่าง ทั้งที่ใจจริงไม่ได้อยากเอออวย) ๒) หอมแก้ม ใจเขายินดีทางเพศ ใจเรายินดีทางเพศ นับว่าด่างพร้อยราวๆ 20% ๓) จูบปาก ใจเขายินดีทางเพศ ใจเราไม่ยินดีทางเพศ นับว่าด่างพร้อยราวๆ 50% (บางท้องถิ่น จูบปากกันแผ่วๆเพื่อกระชับสัมพันธ์ ถ้าต่างฝ่ายต่างไม่ยินดีทางเพศเลยจะไม่นับเข้าข่ายเลยเช่นกัน) ๔) จูบปาก ใจเขายินดีทางเพศ ใจเรายินดีทางเพศ ถือว่าหวิดๆจะขาดทะลุมาได้ 80% (มีฝรั่งเคย เปรียบเทียบไว้ว่าจูบปากคือการเคาะประตูบนเพื่อถามว่าประตูล่างพร้อมหรือยัง) ๕) เปลือยกายกอดจูบลูบไล้ตลอดจนหลั่งภายนอก ใจจะยินดีหรือไม่ยินดีหรือไม่ยินดีทางเพศ ก็ ฉิวเฉียดขาดทะลุมาได้เกิน 90% (บางคนรู้สึกว่าถ้าเพียงทำโอษฐกามยังไม่ผิดเต็มประตู เพราะไม่ใช่ เครื่องเพศทั้งสองฝ่าย ความรู้สึกจึงยังไม่เต็มร้อย ซึ่งก็ใช่ตามธรรมชาติ แต่พิจารณาด้วยว่าถ้าพระให้ หญิงอื่นทำ ตามวินัยสงฆ์จะต้องถูกสึกสถานเดียว ซึ่งก็แปลว่าโทษพอๆกับร่วมเพศแล้วเต็มที่) ๖) อวัยวะเพศเข้าถึงกัน ใจจะยินดีหรือไม่ยินดีทางเพศ ก็จัดว่าศีลข้อกาเมฯขาดทะลุแล้ว 100% (เว้นแต่จะเป็นการข่มขืนโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และฝ่ายถูกข่มขืนไม่มีความยินดีอยู่เลยตลอดการร่วม) พระพุทธเจ้ามักตรัสถึงผลของการประพฤติผิดในกาม (คือนับตั้งแต่ข้อแรกเป็นต้นมา) ว่าจะทำ ให้เป็นผู้ประสบภัยเวร ซึ่งแน่นอนว่าต้องเกี่ยวข้องกับแง่มุมของศีลข้อหนึ่งๆ เช่นตรัสว่า บุคคลผู้ ประพฤติผิดในกาม ย่อมประสบภัยเวรในชาตินี้บ้าง ในชาติหน้าบ้าง ย่อมโทมนัสบ้าง ภัยเวรใน ที่นี้ย่อมเกี่ยวกับเรื่องทางเพศนั่นเอง ความอยู่ไม่สุข ความวิปริตผิดเพศทั้งหลาย โดยมากมักไหลมาจาก เหตุคือทำกรรมว่าด้วยการประพฤติผิดในกามนี่แหละ แต่โทษานุโทษจะหนักเบา จะถูกร้อยรัดแน่นหนา แกะไม่ออกเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับระดับของการขาดความยับยั้งชั่งใจ ขอให้ดูตามจริง ผู้ลักลอบคบชู้มักมีอาการหมกมุ่นครุ่นคิด อัดอั้นตันใจ ไม่อิ่มไม่พอ อยากเลิกก็ อยากเลิก อยากเสพต่อก็อยากเสพต่อ สองจิตสองใจแล้วๆเล่าๆอยู่อย่างนั้น นี่เรียกว่าเสวยทุกข์ มีความ โทมนัส เป็นวิบากในชาติปัจจุบันเห็นทันตา ส่วนการประสบเวรภัยนั้น วันหนึ่งอาจเผลอลักลอบมีชู้ในจังหวะที่เจ้าของเขากลับมา แบบที่ เรียกว่าจับได้คาหนังคาเขา ซึ่งเจ้าของก็จะบันดาลโทสะ ก่อให้เกิดการทำร้ายหรือการเข่นฆ่ากันดังที่เห็นข่าวเป็นประจำ พวกลักลอบเป็นชู้กันประจำมักไม่ค่อยรอด ทั้งที่นึกว่าหลบๆซ่อนๆกันรอบคอบเพียงใดข่าวสารอาจเดินทางไกลในชั่วพริบตาได้ นี่เป็นวิบากในปัจจุบันเช่นกันและเรื่องของหญิงชายนั้น แม้อยู่กินกันอย่างถูกต้องตามประเพณีก็ยังมีปากเสียงกันได้เรื่อยๆ ตามธรรมชาติของช่องว่างระหว่างเพศ แต่นี่ลักลอบได้เสียกันอย่างผิดๆ แน่นอนเมื่อโมโหโกรธามีปาก เสียงขึ้นมาย่อมทำให้เกลียดชัง คิดจองเวรกันได้หนักกว่าปกติ เพราะพื้นฐานจะมองกันและกันในทางต่ำ จึงขาดความเคารพ ขาดความรู้สึกอยากให้เกียรติกันอยู่แล้ว การคบชู้กันอาจก่อให้เกิดสายใยผูกพัน เพราะร่วมทำผิดมาด้วยกัน พอเจอกันในชาติใหม่ถ้าหาก เป็นมนุษย์ก็มักมีความกระสันใคร่อยากในทันทีที่เห็นกัน แต่มักมีอาการขนลุกระคนอยู่ด้วย เพราะบาป เก่ามาเตือนว่าสัมพันธ์ระหว่างกันมีความดึงดูดเข้าหาเรื่องสกปรก อีกอย่างหนึ่งเวลาที่เจอกันมักอยู่ใน จังหวะเวลาผิดๆ หรือมีเหตุการณ์ไม่ดีเป็นลางร้าย เมื่อทนความกำหนัดไม่ไหวแล้วสมสู่กัน ก็จะมีเหตุให้ ต้องทะเลาะเบาะแว้ง มีเหตุให้เกลียดชังกันอย่างรุนแรง หรือกระทั่งอยากฆ่าแกงกันด้วยความทนไม่ได้ ตัวอย่างของการเคยร่วมผิดประเวณีกันมา ที่ชัดหน่อยได้แก่ฝ่ายชายกลายเป็นหญิง มาเจอคู่ บาปเก่าที่ก็ยังคงเป็นหญิงอยู่ พบกันแล้วมีแรงดึงดูดให้พิศวาสกัน เกิดความใคร่อยากทันที กลายเป็น พวกหญิงรักหญิงชนิดจริงจัง รู้ทั้งรู้ว่าฝืนธรรมชาติ อยู่กันไปอยู่กันมาในที่สุดแรงกรรมเก่าย่อมผลักฝ่าย ใดฝ่ายหนึ่งให้คิดตีจากไปมีใหม่ และเมื่อนั้นเรื่องน่าเศร้าย่อมเกิดขึ้นได้ทุกรูปแบบ ความละอายต่อบาปมีมากน้อยเพียงใด ยังเป็นตัวกำหนดชี้ระดับความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นอีกด้วย ประเด็นนี้เริ่มต้นจากกฎทางใจของมนุษย์ที่ว่าถ้าทำบาปก็สมควรจะเกิดความละอาย เพราะเป็นมนุษย์ได้ ต้องมีความละอายต่อบาปเป็นพื้นฐาน ดังกล่าวแล้วในบทที่ ๒ ฉะนั้นนักเลงผู้หญิงที่ลักกินขโมยกินของคนอื่นโดยปราศจากความละอาย ก็สมควรได้รับผล สะท้อนของความไม่ละอายเลยเป็นความน่าอับอายถึงขีดสุด นั่นคือชาติต่อไปหากได้รูปกายเป็นชายก็จะมีใจเป็นกะเทยตั้งแต่จำความได้ ไม่ใช่มาชอบใจเป็นกะเทยด้วยกรรมใหม่เช่นแกล้งทำกระตุ้งกระติ้งจนติด สำหรับพวกเจ้าชู้ยักษ์ลักลอบร่วมประเวณีไม่เลือกลูกเขาเมียใคร แต่ยังเกิดความรู้สึกผิดชอบชั่ว ดี หรือกล้าทำกล้ารับอยู่บ้าง ไม่ใช่แค่เอาสนุกชั่วแล่น พวกนี้มักเกิดใหม่มีใจเป็นชายแต่กายเป็นหญิง ขอให้สังเกตว่าผู้หญิงหน้าตาน่ารักที่ออกแนวทอมบอยจะชอบหว่านเสน่ห์เล่นไปทั่ว นี่ก็เป็นนิสัยเก่าที่ เคยเจ้าชู้มามากนั่นเอง แต่ชาติที่รับผลกรรมนั้นมักเป็นอยู่ด้วยความไม่พอใจในเพศตน และรู้สึกว่าตนถูก เอาเปรียบทางเพศอย่างน่าโมโหเสมอ ส่วนที่มักเป็นประเด็นถามไถ่กันเสมอๆในหมู่ชาวพุทธที่เริ่มถือศีล ๕ คือดูรูปโป๊หรือหนังโป๊ผิด ศีลหรือไม่? อันนี้ถ้าจับหลักได้ว่ากาเมสุมิจฉาจารนับเอาการมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้มีเจ้าของเป็น สำคัญ ก็ต้องมองตามจริงว่าการเสพแค่ทางตานั้นไม่ผิด เพราะยังไม่ได้สมสู่ในหญิงผู้มีเจ้าของรักษา แต่ความหมกมุ่นในกามจนเกินเหตุย่อมทำให้สภาพวิญญาณเหมือนจมอยู่ในบ่อน้ำกามชุ่มโชก และความ หมกมุ่นในรูปสตรีจะทำให้จิตเคลื่อนไปอยู่ในภพของสตรีได้ เนื่องจากการมีราคะจัดเป็นตัวบั่นทอนกำลัง กุศล ทำให้จิตวิญญาณปวกเปียก อีกอย่างสื่อลามกในปัจจุบันก็มีหลายประเภทหลายระดับความรุนแรง ดังที่เป็นข่าวน่ากลัดกลุ้มของผู้ปกครองเวลานี้คือมีเกมยั่วยุขนาดปลุกปั่นให้เด็กกลายเป็นอาชญากรทาง เพศ มีเกมวางแผนข่มขืนผู้หญิง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ตอนเสพเข้าไปอาจจะยังไม่เข้าข่ายผิดศีล แต่ได้กระตุ้นให้เกิดแนวโน้มที่จะก่อการร้ายยิ่งกว่าผิดศีลธรรมดาเป็นไหนๆในอนาคต ทั้งหมดที่กล่าวมานี้อาจจำไว้ง่ายๆเพียงว่าเมื่อประพฤติผิดทางเพศ ย่อมมีแรงเหวี่ยงกลับมา เป็นเรื่องราวผิดๆทางเพศ และจะออกไปในทางภัยเวรรูปแบบต่างๆ เป็นสาเหตุหนึ่งของการเป็น ‘คู่เวร’ ที่แรกพบสบตาแล้วหวือหวาอยากกระทำการอันเป็นไปในทางด่วนได้ แล้วประสบอันตรายจากการอยู่ ร่วมกันในภายหลัง หรืออย่างเบาที่สุดก็คือทำให้ตกที่นั่งเสียเปรียบทางเพศ ซึ่งก็คือการได้รูปหญิงอันง่ายต่อการถูกรังแกนั่นเอง (http://www.dhammamongkol.com/backend/imagefile/0186_bk0001.jpg) บทสำรวจตนเอง เรามาสู่ความเป็นหญิงเป็นชายด้วยอาการทางใจและวิธีคิดในทางบุญ ชายเคยแข็งแรงกว่า จึงมี วิบากคือได้มาครองอัตภาพที่สบายกว่า ส่วนหญิงเคยอ่อนแอกว่า จึงมีวิบากคือได้มาครองอัตภาพที่ ลำบากกว่า แต่อาการทางใจและวิธีคิดในชาติปัจจุบันก็จะเป็นตัวกำหนดเช่นกันว่าคราวหน้าจะได้ครอง อัตภาพแบบไหน เพราะฉะนั้นจึงควรเร่งสำรวจตนเองเสียแต่วันนี้เพื่อให้อนาคตเป็นไปตามปรารถนา ๑) ในการทำทาน ตั้งแต่ให้อาหารสัตว์ ให้เงินคนยาก ตลอดไปจนกระทั่งถวายสังฆทาน โดยมาก เราเป็นฝ่ายริเริ่มคิดทำเองหรือต้องรอให้คนอื่นชักชวน? ๒) ขณะทำทาน เรามีความลังเลสองจิตสองใจหรือไม่ เช่นอยากให้มากแต่เกิดเสียดายของ หรือ นึกกำหนดวันเมื่อนั้นเมื่อนี้แล้วขี้เกียจขึ้นมาเฉยๆ เป็นโรคเลื่อนไปเรื่อย? ๓) ในการรักษาศีลข้อกาเมฯ เรามีปกติเป็นผู้คิดว่าจะหยุดอยู่กับคู่ครองคนเดียว หรือใจยังมีแส่ ส่ายไปหาคนอื่นเรื่อยๆ และถ้าหากยังไม่มีคู่ครอง เราคิดเอาลูกเขาหรือผัวเมียใครมาทำเรื่องน่าอดสูบ้าง หรือเปล่า? ๔) ขณะเกิดสถานการณ์ล่อแหลมและเป็นไปได้ที่จะละเมิดศีลข้อกาเมฯ เราปฏิเสธทันที หรือมี การชั่งใจจะเอาดีหรือไม่เอาดี? ในชีวิตมนุษย์หนึ่งๆ ทุกคนต้องเผชิญกับสถานการณ์พิสูจน์ใจเสมอว่าอยู่ในศีลในธรรมแค่ไหน ความมั่นคงแน่วแน่ในศีลเป็นของดี ไม่ว่าจะปรารถนาเป็นหญิงหรือเป็นชาย เมื่อสำรวจตนเองแล้ว ยอมรับตามจริงได้ว่ากรรมของเราในชาติปัจจุบันกระเดียดไปทางหญิง ก็อย่าเพิ่งนิ่งนอนใจว่าโทษสูงสุด คือต้องไปเป็นหญิง เพราะความอ่อนแอในศีลธรรมพาเราไปสู่อบายภูมิก่อนหน้านำมาเป็นมนุษย์ผู้หญิง ได้เสมอ ขอให้สังเกตว่าเมื่อทำทานรักษาศีลแบบชายไประยะหนึ่ง ใจคอจะหนักแน่นและคิดในวิสัยชาย มากขึ้นเรื่อยๆโดยไม่มีผลข้างเคียงเป็นการเบี่ยงเบนทางเพศ นี่เป็นสิ่งที่เราจะรู้สึกด้วยตนเอง และแม้ กายเป็นหญิงก็จะได้รับความยำเกรงเสมอชายผู้น่าเกรงใจคนหนึ่ง สรุป พระพุทธเจ้าตรัสว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม บทนี้คงเห็นได้ชัดขึ้น เพราะแม้แต่เพศก็ถูก กำหนดโดยกรรมของแต่ละคน สภาพความเป็นชายและความเป็นหญิงจัดเป็น ‘วิบาก’ ไม่มีการเลือกโดยบังเอิญเหมือนอย่างที่นักวิทยาศาสตร์บอก จิตวิญญาณไม่มีเพศ คือทางนามธรรมไม่มีใครเป็นชาย ไม่มีใครเป็นหญิง มีแต่กรรมทางการคิด การพูด การทำของแต่ละคนที่ ‘สมชาย’ หรือ ‘สมหญิง’ ถ้าน้ำหนักกรรมโดยรวมมีความสมชายก็ทำให้ เกิดรูปชาย ถ้าน้ำหนักกรรมโดยรวมไม่พอก็ได้รูปหญิง เมื่อเราเข้าใจว่าวิธีทำทานและรักษาศีลของแต่ละคนเป็นตัวกำหนดเพศในภพต่อไป ก็จะเห็น ตามจริงว่าชายไม่จำเป็นต้องเป็นชายเสมอไป หญิงไม่ต้องเป็นหญิงเสมอไป ชาตินี้ปฏิบัติตนโดยความ เป็นอย่างไร ก็เตรียมภาวะแห่งเพศในชาติใหม่โดยความเป็นอย่างนั้น ศีลตีกรอบจำกัดเราแค่ให้ประพฤติดีทางกายและวาจา แต่เมื่อสมัครใจยินยอมอยู่ในกรอบของ กายวาจานานเข้า ในที่สุดก็กลายเป็นใจจริงได้ คือแม้ความคิดชั่วร้ายทางเพศเกิดขึ้น ก็อ่อนกำลังลง เรื่อยๆเนื่องจากถูกขนาบ ถูกบีบให้ฝ่อตัวลงจนกระทั่งไม่ผุดเป็นความคิดออกมาเลย ฉะนั้นการกำหนดใจ แน่วแน่ว่าจะถือศีล งดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจารอย่างเด็ดขาด จะรักษาเราไว้บนเส้นทางปลอดภัยทางเพศไม่ว่าจะมีเหตุให้ต้องเป็นหญิงหรือเป็นชายก็ตาม__ หัวข้อ: Re: เป็นผู้หญิงในชาตินี้ ถ้าเราปรารถนา เป็นผู้ชายในชาติต่อไป เป็นไปได้หรือป่าวคะ เริ่มหัวข้อโดย: หมวยจ้า ที่ มิถุนายน 06, 2010, 11:08:30 am อ้างถึง ๑) ร่างกายหญิงอ้อนแอ้นอรชรเหมือนหยดน้ำ ร่างกายชายแข็งแรงหนักแน่นเหมือนต้นไม้ อ่านแล้ว ยังกะผู้หญิง เขียนเองเลย ถ้าไม่เห็นหน้า คุณดังตฤณ ขอบคุณ คร้า กับบทความ ดี ๆๆ อ่านแล้วทำให้ ฮึดอีกคร้ง :25: หัวข้อ: Re: เป็นผู้หญิงในชาตินี้ ถ้าเราปรารถนา เป็นผู้ชายในชาติต่อไป เป็นไปได้หรือป่าวคะ เริ่มหัวข้อโดย: ธุลีธวัช (chai173) ที่ มิถุนายน 06, 2010, 11:14:20 am :043: :25: :043: พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค (สักกปัญหสูตร):015:มีเรื่องอ้างถึงศากยธิดานามว่า "อุบาสิกาโคปิกา" :015:ในนคร "กรุงกบิลพัสดุ์" มีศากยธิดานามว่า โคปิกา ผู้มีจิตเลื่อมใสในพระรัตนตรัย วันหนึ่งนางนั้นได้ขวนขวายนำดอกไม้ไปเพื่อจะกราบพระธาตุเจดีย์ นางนั้นมีจิตตั้งมั่นในความปรารถนาที่จะเป็นชายด้วยเล็งเห็นถึงความคับแคบในอัตภาพแห่งหญิง ขณะที่นางเดินทางไปเพื่อจะกราบนมัสการพระธาตุเจดีย์นางก็ประสบอุบัติเหตุจากด้วยวิบากกรรมถึงแก่เสียชีวิตระหว่างทาง ด้วยอานิสงส์แม้เพียงมีใจตั้งมั่นน้อมระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย นางสิ้นชีวิตได้ไปอุบัติในดาวดึงสเทวโลก เป็นเทพบุตรนามว่า "โคปกเทพบุตร" อยู่ในฐานะบุตรแห่งพระอินทร์ :015:โคปกเทพบุตร ได้ให้โอวาทเตือนสติแก่คนธรรค์ ผู้มีศักดิ์ต่ำกว่าเทวดา ๓ ตน ที่ครั้งเมื่อเป็นมนุษย์นางได้บำรุงรักษาพระภิกษุ ๓ รูปด้วยข้าวน้ำและยารักษาโรค มีจิตตั้งมั่นในพระรัตนตรัย นางถึงทิพยสมบัติมีศักดามากตั้งอยู่ในฐานะบุตรแห่งพระอินทร์ในดาวดึงส์ แต่พระภิกษุทั้ง ๓ รูปประมาทในธรรมวินัยจึงได้ศักดิ์ต่ำเพียงผู้รับใช้เทวดาในสวรรค์ คนธรรค์ทั้ง ๓ มีเพียง ๒ ตนที่ได้สติตั้งมั่นละความกำหนัดหลงในกามคุณเห็นทุกข์และโทษมีความเพียรตั้งมั่นแล้วจิตได้ยกระดับแห่งภพภูมิไปสู่พรหมโลกชั้น "ปุโรหิตาภูมิ" เหลือคนธรรค์เพียง ๑ ตนที่ยังมิยอมละกำหนัดหลงในกามดำรงภพภูมิเดิมอยู่ :015:ท้าวสักกะ (พระอินทร์) ได้นำเรื่องราว โคปกเทพบุตรกับคนธรรค์ ๓ ตน มาตรัสถามพระผู้มีพระภาคเจ้าในถ้ำอินทสาละ ณ เวทิยกบรรพต ด้านทิศอุดรแห่งพราหมณคามชื่ออัมพสัณฑ์ อันตั้งอยู่ด้านทิศปราจีน แห่งพระนครราชคฤห์ ในแคว้นมคธ ฯ :015:ขอให้ความปรารถนานั้นตั้งมั่นอย่าเสื่อมคลายเถิด.....สวัสดีจ๊ะ :coffee2: (http://www.madchima.org/forum/index.php?action=dlattach;topic=640.0;attach=317;image) หัวข้อ: Re: เป็นผู้หญิงในชาตินี้ ถ้าเราปรารถนา เป็นผู้ชายในชาติต่อไป เป็นไปได้หรือป่าวคะ เริ่มหัวข้อโดย: หมวยจ้า ที่ มิถุนายน 06, 2010, 12:04:34 pm :08:
คุณธรรมธวัช ไม่แต่งกลอนให้เรื่องนี้ หน่อยหรือ คะ ปกติจะได้อ่านกลอน ทุกทีนี่คะ :25: หัวข้อ: Re: เป็นผู้หญิงในชาตินี้ ถ้าเราปรารถนา เป็นผู้ชายในชาติต่อไป เป็นไปได้หรือป่าวคะ เริ่มหัวข้อโดย: ธุลีธวัช (chai173) ที่ มิถุนายน 06, 2010, 09:17:14 pm :043: :25: :043: ครั้นจะกล่าวอ้างถึงหญิงโคปิกา นางศรัทธาหมายใคร่ได้รูปลักษณ์ชาย ด้วยเป็นหญิงแสนคับแคบมิสบาย ให้เหนื่อยหน่ายกายเป็นหญิงสิ้นศักดิ์ศรี ครั้งหนึ่งนางพร้อมไม้ดอกออกนอกเมือง มิขุ่นเคืองหมายกราบไหว้องค์เจดีย์ วิบากผลอกุศลตามถึงที่ ยักษิณีสิงสู่โคโผเข้าชน แม้ชีพวายได้กุศลผลเป็นเทพ ได้สุขเสพวิมานแก้วในบันดล เพราะศรัทธาจิตถึงพร้อมน้อมกุศล จึงหลุดพ้นเป็นเทพธรรค์ฉับพลันเอย. :015:ธรรมธวัช...! (http://www.madchima.org/forum/index.php?action=dlattach;topic=640.0;attach=313;image) |