สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) => ข้อความที่เริ่มโดย: นิรตา ป้อมนาวิน ที่ มกราคม 27, 2012, 04:36:14 pm



หัวข้อ: ข้อดีของการไม่กินเนื้อสัตว์
เริ่มหัวข้อโดย: นิรตา ป้อมนาวิน ที่ มกราคม 27, 2012, 04:36:14 pm
 

เพราะเป็นการปฏิบัติเพื่อยึดเอาประโยชน์ทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายธรรม...การไม่กินเนื้อสัตว์เป็นทางก้าวหน้าของสัมมาปฏิบัติอย่างหนึ่ง ซึ่งได้ผลมาก โดยลงทุนทางวัตถุน้อยที่สุดแต่ให้ผลมากทางใจ

ข้อที่ ๑ เป็นการเลี้ยงง่ายยิ่งขึ้น  


(http://www.96rangjai.com/meat/images/dhp176.jpg)

เพราะพวกพืชผัก เป็นของหาง่ายในหมู่คนยากจนเข็ญใจ... ซึ่งมีการปรุงอาหารด้วยผักเป็นพื้น... นักกินผักย่อมไม่มีเวลาไปกระวนกระวายเพราะอาหารไม่ค่อยจะถูกปากถูกลิ้นนักเลย... ในขณะที่นักกินเนื้อมักต้องเลียบๆ เคียงๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งภัตตาหารเนื้อบ่อยๆ... ญาติโยมเสียไม่ได้ในท่าทีก็พยายามหามาถวายศรัทธา....

    ญาติโยมที่มีใจเป็นกลาง เคยปรารภกับข้าพเจ้าหลายต่อหลายครั้งว่า ...เขาสามารถจะเลี้ยงพระได้ถึง ๕๐ รูป โดยไม่รู้สึกลำบากอะไรเลย... หากเป็นอาหารที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อกับปลา....   แต่ที่ผ่านมาต้องฝืนใจทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อย่างมากๆ ไม่ใช่ว่าจะคิดว่า เนื้อมีราคาแพงกว่าผัก...แต่เป็นเพราะรู้ว่า...สัตว์ถูกฆ่าตาย... เพื่อการทำบุญเลี้ยงพระของเรามีอีกหลายคน  ทีแรกค้านว่าการทำอาหารมังสวิรัติวุ่นวายลำบาก แต่เมื่อได้ทดลองทำไป ๒-๓ ครั้ง... กลับสารภาพว่าเป็นการง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย เพราะบางคราวไม่ต้องไปติดไฟเลยก็มี ...

  ตัณหาของนักกินผักกับกินเนื้อมีความแตกต่างกันอย่างไร.... จะกล่าวในข้อหลังเฉพาะข้อนี้ขอจงทราบไว้ว่า ...

"คนกินเนื้อสัตว์ เพราะแพ้รสตัณหา
กินเพราะตัณหา ไม่ใช่เพราะเลี้ยงง่าย"
 

ข้อที่ ๒. เป็นการฝึกในส่วน "สัจธรรม"  

(http://www.96rangjai.com/meat/images/dhp010.jpg)

คนเราห่างไกลจากความพ้นทุกข์ก็เพราะมีนิสัยเหลวไหลต่อตัวเอง... สัจจะในการกินผักนั้นเป็นแบบฝึกหัดที่น่าเพลินบริสุทธิ์... ได้ผลสูงเกินกว่าที่คนไม่เคยทดลองจะคาดถึง ...พืชผักเป็นอาหารที่จะหล่อเลี้ยง "ดวงธรรมแห่งสัจจะ" ในใจของเราให้สมบูรณ์แข็งแรง

       ดังนั้น การฝึกกินผัก อาหารพืชผักจึงเป็นแบบฝึกหัดสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม... ที่ยอดเยี่ยมกว่าแบบฝึกหัดอย่างอื่นๆ เพราะแบบฝึกหัดบางอย่างค่อนข้างง่าย แต่บางอย่างก็ยากเกินจะฝึกทำให้ไม่สามารถนำมาเป็นเกมฝึกหัดประจำทุกๆ วัน แต่เราผู้ปฏิบัติธรรมต้องฝึกทุกวันจึงจะได้ผลเร็ว เหตุฉะนี้ การฝึกใจด้วยเรื่องอาหารอันเป็นสิ่งที่เราต้องบริโภคอยู่ทุกวันจึง เหมาะมาก อย่าลืมพระพุทธภาษิตที่มีใจความว่า ...
          "สัจจะเป็นคู่กับผ้ากาสาวพัสตร์"
 

ข้อที่ ๓.เป็นการฝึกในส่วน"ทมะ"ธรรม

(http://www.96rangjai.com/meat/images/dhp110.jpg)

"ทมะ" คือ การข่มใจให้อยู่ในอำนาจ คนเราเป็นทุกข์เพราะตัณหา อันได้แก่ ความอยากที่ข่มใจไว้ไม่อยู่ มีข้อพิสูจน์เฉพาะเรื่องผักกับเนื้อง่ายๆ เช่นข้าพเจ้าเคยเห็นชาวบ้านที่มาจากป่าดอนสูงๆ อุตสาห์หาบเอาพวกพืชผักลงมาแลกปลาแห้งๆ จากชาวบ้านแถบริมทะเลขึ้นไปกินทั้งๆ ที่ต้องเสียเวลาเป็นวันๆ ในขณะที่กลางบ้านของเขาก็มีอาหารพวกพืชผัก เผือก มัน ฟัก มะพร้าวฯลฯ อย่างอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งอาหารเหล่านี้ยังเป็นของสด สามารถบำรุงร่างกายได้มากกว่าปลาแห้งๆ และขึ้นราที่พวกเขาสู้อุตส่าห์ลงมาหามหิ้วขึ้นไปเก็บไว้กินเป็น ไหนๆดังนั้น… ผู้ที่ไม่มีการข่มรสตัณหาจักต้องเป็นทาสของความทุกข์ และถอยหลังต่อการปฏิบัติธรรม...
             เหตุนี้การข่มจิตด้วยเรื่องอาหารการกินจึงเหมาะมาก เพราะจะมีการข่มได้ทุกวัน การข่มจิตอยู่เสมอเป็นของคู่กับผ้ากาสาวพัสตร์ เช่นกัน....

      โปรดทราบ! ว่า...มันเป็นการยากยิ่งที่คนแพ้ลิ้นจะข่มตัณหา โดยพยายามเลือกกินแต่ผักจากจานอาหารที่เขาปรุงด้วยเนื้อ... และผักปนกันมาจงยึดเอาเกมกีฬาฝึกข่มจิต... ที่เป็นเครื่องชนะตนอันนี้เถิด...
         การเลี้ยงพระในงานต่างๆ... ข้าพเจ้าเคยเห็นเคยได้ยินเสียงเอ็ดตะโรเรียกเอาแต่อาหารเนื้อสัตว์...ส่วนอาหารผักล้วนดูเหมือนว่าเป็นการยากที่จะถูกเลือกกับเขา... มิหนำซ้ำยังเหลือกลับไปอีก.... แม้กระทั่งอาหารที่ปรุงระคนกันมาก็หายไปแต่ชิ้นเนื้อ...คงเหลือแต่ผักติดจานกลับไป...

      และยิ่งไปกว่านั้น ก็คือ...ควรรู้ไว้ด้วยว่าบรรดาพ่อครัวแม่ครัวและเจ้าภาพเขารู้ตัวก่อนด้วยซ้ำไป จึงปรุงอาหารเนื้อสัตว์ เอาไว้ให้มากกว่าอาหารผักหลายเท่านัก ทั้งนี้ก็เพราะตัณหาทั้งของฝ่ายแขกเหรื่อชาวบ้าน และฝ่ายบรรพชิตทั้งหลายร่วมมือกัน "แบ่งอิทธิพล"


ข้อที่ ๔. เป็นการฝึกในส่วน "สันโดษ"

 สันโดษ คือ ความพอใจเฉพาะสิ่งที่มีอยู่ตามฐานะของตน โดยทั่วไปชีวิตของผู้ออกบวชย่อมดำรงอยู่ด้วยอาหารชั้นเลว ทว่า ข้าพเจ้าเคยเห็นบรรพชิตบางรูป เว้นไม่ยอมรับอาหารจากคนจนเพราะเห็นว่าเลวเกินไป คือเป็นเพียงผักหรือผลไม้ชั้นต่ำ และถึงแม้จะรับมาก็เพื่อทิ้ง นี่เป็นตัวอย่างของผู้ที่ไม่เคยมีความสันโดษหรือถ่อมตนดังนั้น… การฝึกเป็นนักกินผัก กินอาหารอย่างง่ายๆ จะแก้ได้หมด... "สันโดษเป็นทรัพย์อย่างเอกของบรรพชิต"

ข้อที่ ๕. เป็นการฝึกในส่วน "จาคะ"

(http://www.96rangjai.com/meat/images/dhp234.jpg)

จาคะ คือ การสละสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อความสงบ หรือ ความพ้นทุกข์ ...นักกินผัก ที่แท้จริงมีดวงจิตบริสุทธิ์ผ่องใส เกินกว่าที่จะมีใจนึกอยากในเรื่องจะบริโภคอาหารที่มีรสหลากหลาย... เพราะผักไม่ยั่วในการบริโภคมากไปกว่ากินเพื่ออย่าให้ตาย ซึ่งต่างไปจากเนื้อสัตว์ที่ยั่วให้ติดรสและมัวเมาอยู่เสมอ...
       ความอยากในรสที่เกินจำเป็นของชีวิต...ความหลงใหลในรส ความหงุดหงิด เมื่อไม่มีเนื้อที่อร่อยมาเป็นอาหาร ฯลฯ... เรื่องเหล่านี้ข้าพเจ้ารับรองได้ว่า ...ไม่มีดวงจิตของนักกินผักเลย.... ส่วนนักกินเนื้อนั้น ท่านจะทราบของท่านได้เองเป็นปัจจัตตัง เช่นเดียวกับธรรมะอย่างอื่นๆ


ข้อที่ ๖. เป็นการฝึกในส่วน "ปัญญา"

(http://www.96rangjai.com/meat/images/dhp065.jpg)

ปัญญา คือ ความรู้เท่าทันดวงจิตที่กลับกลอก การใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นโทษของการยึดมั่น... และให้ใจละวางความยึดมั่นในการกินอาหาร แบบฝึกหัดที่ยากและเป็นก้าวที่ใหญ่ของการปฏิบัติธรรมเช่นนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการฝึกบริโภคอาหารผัก ที่จะเป็นอารมณ์อันบังคับให้ท่าน ต้องใช้พิจารณาตัวเองอยู่เสมอทุกมื้อเพราะเนื้อทำ ให้หลงในรส ส่วนผักทำให้ยกใจขึ้นไป ซึ่งเหมาะแก่สันดานของสัตว์ผู้มีกิเลสย้อมใจจนจับแน่นเป็นน้ำฝาดมาแต่เดิม ปัญญาของท่านต้องรู้อยู่เสมอว่า ไม่ใช่จะไปนิพพานได้เพราะกินผัก เป็นแต่การกินผักจะช่วยขัดเกลากิเลสทุกๆ วัน...

    แท้จริงแล้วข้าพเจ้าไม่ได้มีความเห็นว่าฝ่ายที่จะช่วยขัดเกลาจิตใจต้องเป็นผัก... ความจริงอาจจะถือว่า ผักเป็นอาหารชั้นเลวหรือไม่ประณีตก็พอแล้ว... แต่เมื่อมาพิจารณาใคร่ครวญให้ดีแล้วมันมาตรงกับอาหารผัก เพราะจะทำอย่างไร เนื้อก็เป็นของชวนกินเพียงแต่ต้มเฉย ๆ พอได้กลิ่นมันก็ยั่วตัณหาอยู่ดี !...
           เพราะฉะนั้น ฝ่ายที่จะปราบตัณหา จึงกลายเป็นเกียรติยศของผักไป อาหารผักเป็นอาหารที่ข่มตัณหาได้ และมีแต่ความบริสุทธิ์จึงเหมาะสม สำหรับผู้ที่ระแวงภัย และตั้งอยู่ในความไม่ประมาทอยู่เสมอ...

       ผลดีในฝ่ายโลก... อาหารผักมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายยิ่งกว่าเนื้อสัตว์ หรือไม่ ?... เรื่องนี้วิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ก็บอกแก่เราชัดแจ้งอยู่แล้วว่า...อาหารผัก จะทำให้ผู้บริโภคมีกำลังแข็งแรงโรคน้อย ดวงจิตสงบ ช่วยให้ความกระหาย ในความอยาก ความโกรธ ความมัวเมา บรรเทาลงเป็นอันมาก


ขอขอบคุณเนื้อหาดีๆและภาพสวยๆจาก  96 แรงใจ  


หัวข้อ: Re: ข้อดีของการไม่กินเนื้อสัตว์
เริ่มหัวข้อโดย: P63 ที่ กุมภาพันธ์ 01, 2012, 08:46:28 pm
ถ้าเป็นฆราวาส หลีกเลี่ยงการบริโภคเนื้อสัตว์ได้ ก็ขอสนับสนุนและอนุโมทนา
แต่สำหรับพระภิกษุ พระพุทธองค์สอนให้พระภิกษุเป็นผู้กินง่าย อยู่ง่าย มิใช่หรือ
ลองดูคำตอบดีๆ จากหลวงพ่อพุธ ฐานิธย วัดป่าสาลวัน
http://www24.brinkster.com/thaniyo/answer13.html (http://www24.brinkster.com/thaniyo/answer13.html)

หมายเหตุ เว็ปที่อ้างอิงมาในตอนต้นกระทู้ เป็นคัมภีร์ของฝ่ายมหายานที่เน้นความเชื่อเรื่องการกินเจ

ดูกระทู้ที่เกี่ยวข้อง
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=6398.0 (http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=6398.0)