หัวข้อ: มนุษย์เราเอ๋ย...เกิดมาทำไม เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กุมภาพันธ์ 09, 2012, 01:02:16 am (http://i.kapook.com/bbin/23-7-53/meen3.jpg) ปลงสังขาร (มนุษย์เราเอ๋ย) มนุษย์เราเอ๋ย...............เกิดมาทำไม.................นิพพานมีสุข อยู่ไยมิไป...................ตัณหาหน่วงหนัก...........หน่วงชักหน่วงไว้ ผู้ไปมิได้.....................ตัณหาผูกพัน................ห่วงนั้นพันผูก ห่วงลูกห่วงหลาน.........ห่วงทรัพย์สินศฤงคาร.....จงสละเสียเถิด จะได้ไปนิพพาน...........ข้ามพ้นภพสาม..............ยามหนุ่มสาวน้อย หน้าตาแช่มช้อย..........งามแล้วทุกประการ.........แก่เฒ่าหนังยาน ล้วนแต่เครื่องเหม็น.......เอ็นใหญ่เก้าร้อย.............เอ็นน้อยเก้าพัน มันมาทำเข็ญใจ...........ให้ร้อนให้เย็น.................เมื่อยขบทั้งตัว ขนคิ้วก็ขาว.................นัยน์ตาก็มัว...................เส้นผมบนหัว ดำแล้วกลับหงอก.........หน้าตาเว้าวอก...............ดูน่าบัดสี จะลุกก็โอย..................จะนั่งก็โอย....................เหมือนดอกไม้โรย ไม่มีเกสร ....................จะเข้าที่นอน..................พึงสอนภาวนา พระอนิจจัง..................พระอนัตตา...................เราท่านเกิดมา รังแต่จะตาย................ผู้ดีเข็ญใจ.....................ก็ตายเหมือนกัน เงินทองเหล่านั้น...........มิติดตัวไป.....................ตายไปเป็นผี ลูกเมียผัวรัก................เขาชักหน้าหนี................เขาเหม็นซากผี เปื่อยเน่าพุพอง............หมู่ญาติพี่น้อง................เขาหามเอาไป เขาวางลงไว้................เขานั่งร้องไห้.................แล้วกลับคืนมา อยู่แต่ผู้เดียว................ป่าไม้ชายเขียว..............เหลียวไม่เห็นใคร เห็นแต่ฝูงแร้ง...............เห็นแต่ฝูงกา.................เห็นแต่ฝูงหมา ยื้อแย่งกัดกิน...............ดูน่าสมเพช...................กระดูกเราเอ๋ย เรี่ยรายแผ่นดิน.............แร้งกาหมากิน...............เอาเป็นอาหาร ตายแล้วก็พลัด.............พรากจากบริวาร............พรากจากลูกหลาน พี่น้องเผ่าพันธุ์..............เห็นแต่นกเค้า................จับเจ่าเรียงกัน เห็นแต่นกแสก..............ร้องแรกแหกขวัญ...........เมื่อตายเป็นผี ต้องพรากจากกัน..........มนุษย์เราเอ๋ย.................อย่าหลงนักเลย ไม่มีแก่นสาร.................อุตส่าห์ทำบุญ................ค้ำจุนเอาไว้ จิตใจเกษมสันต์.............ทันพระพุทธเจ้า.............จะได้เข้านิพพาน. นิพพานะปัจจะโย โหตุ (http://mahamodo.com/asupa/images/A/asupa207A.jpg) คัดลอกเนื้อหามาจาก หนังสือสวดมนต์-ไหว้พระ-สาธยายธรรม (แปล) ธรรมานุสรณ์แด่พระอาจารย์สุโข กตปุญโญ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=28&t=20792 (http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=28&t=20792) ขอบคุณภาพจาก http://i.kapook.com/,http://mahamodo.com/ (http://i.kapook.com/,http://mahamodo.com/) หัวข้อ: Re: มนุษย์เราเอ๋ย...เกิดมาทำไม เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กุมภาพันธ์ 09, 2012, 01:04:13 am http://www.youtube.com/watch?v=oNuIlE6llEQ#ws (http://www.youtube.com/watch?v=oNuIlE6llEQ#ws) http://www.youtube.com/watch?v=-8vCvavNYDo# (http://www.youtube.com/watch?v=-8vCvavNYDo#) หัวข้อ: Re: มนุษย์เราเอ๋ย...เกิดมาทำไม เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กุมภาพันธ์ 09, 2012, 01:10:36 am (http://www.pixpros.net/forums/attachment.php?attachmentid=1604&stc=1&d=1158752233)(http://www.pixpros.net/forums/attachment.php?attachmentid=1605&stc=1&d=1158752482) ทุกขอริยสัจเป็นไฉน แม้ชาติก็เป็นทุกข์ แม้ชราก็เป็นทุกข์ แม้มรณะก็เป็นทุกข์ แม้โสกะ ปริเทวะทุกข์โทมนัสอุปายาส ก็เป็นทุกข์ แม้ความประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ แม้ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ แม้อันนั้นก็เป็นทุกข์ โดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์ ฯ ที่มา มหาสติปัฏฐานสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค ขอบคุณภาพจาก http://www.pixpros.net/ (http://www.pixpros.net/) หัวข้อ: Re: มนุษย์เราเอ๋ย...เกิดมาทำไม เริ่มหัวข้อโดย: เสริมสุข ที่ กุมภาพันธ์ 09, 2012, 10:58:03 am อนุโมทนา ครับ หากใครมีสติเห็นธรรมตรงนี้ชัดเจน แจ่มแจ้ม ผมเชื่อว่า อาการที่ติดโลกธรรม 8 ประการก็จะเบาลงและเหนื่อยหน่ายต่อสังสารวัฏ
เดิมทีผมก็เชื่อมั่นว่าผู้ปฏิบัติธรรม จะสามารถฟันฝ่า ตรงส่วนนี้ได้โดยเฉพาะทีมกรรมฐาน มัชฌิมา ขอให้ทุกท่านได้เห็นแก่นสารของชีวิตกันจริง ๆ นะครับ จะได้คลายโมหะ ผูกว่านี่เป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวเป็นตนของเราลงกันให้ได้มาก ๆ นะครับ :25: :25: :25: หัวข้อ: Re: มนุษย์เราเอ๋ย...เกิดมาทำไม เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กุมภาพันธ์ 09, 2012, 11:09:58 am (http://www.dphoto.in.th/d/___________+_________+_______+_20_.jpg/94537/2) บทพิจารณาสังขาร สัพเพ สังขารา อะนิจจา. สังขารคือร่างกาย จิตใจ และรูปธรรม นามธรรม ทั้งหมดทั้งสิ้น มันไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไปมีแล้วหายไป. สัพเพ สังขารา ทุกขา. สังขารคือร่างกาย จิตใจ แลรูปธรรม นามธรรม ทั้งหมดทั้งสิ้น มันเป็นทุกข์ทนยาก เพราะเกิดขึ้นแล้ว แก่ เจ็บ ตายไป. สัพเพ ธัมมา อะนัตตา สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ทั้งที่เป็นสังขาร แลมิใช่สังขารทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ควรถือว่าเรา ว่าของเรา ว่าตัวว่าตนของเรา. อะธุวัง ชีวิตัง ชีวิตเป็นของไม่ยั่งยืน ธุวัง มะระณัง ความตายเป็นของยั่งยืน อะวัสสัง มะยา มะริตัพพัง อันเราจะพึงตายเป็นแท้ มะระณะปะริโยสานัง เม ชีวิตัง ชีวิตของเรามีความตายเป็นที่สุดรอบ ชีวิตัง เม อะนิยะตัง ชีวิตของเรา เป็นของไม่เที่ยง มะระณัง เม นิยะตัง ความตายของเรา เป็นของเที่ยง วะตะ ควรที่จะสังเวช อะยัง กาโย ร่างกายนี้ อะจิรัง มิได้ตั้งอยู่นาน อะเปตะวิญญาโณ ครั้นปราศจากวิญญาณ ฉุฑโฑ อันเขาทิ้งเสียแล้ว อะธิเสสสะติ จักนอนทับ ปะฐะวิง ซึ่งแผ่นดิน กะลิงคะรัง อิวะ ปะดุจดังว่าท่อนไม้และท่อนฟืน นิรัตถัง หาประโยชน์มิได้ (http://www.bodhiyalai.org/Bodhiyalai/plugins/content/mavikthumbnails/thumbnails/500x300-images-stories-Tibetan-Tibetan_Pic11.jpg) ที่มา http://www.larnbuddhism.com/grammathan/pitjarana.html (http://www.larnbuddhism.com/grammathan/pitjarana.html) ขอบคุณภาพจาก http://www.daomahalai.com/,http://img708.imageshack.us/ (http://www.daomahalai.com/,http://img708.imageshack.us/) หัวข้อ: Re: มนุษย์เราเอ๋ย...เกิดมาทำไม เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2012, 10:10:24 am (http://www.romphosai.com/forums/attachments/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B5-%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2/6606d1180225382t-%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88-aaa-jpg) อภิณหปัจจเวกขณ์ ข้อที่พึงพิจารณาเนืองๆ ๕ ประการ ชราธัมโมมหิ ชะรัง อะนะติโต เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้ พะยาธิธัมโมมหิ พะยาธิง อะนะตีโต เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปไม่ได้ มะระณะธัมโมมหิ มะระณัง อะนะตีโต เรามีความตายเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้ สัพเพหิ เม ปิเยหิ มะนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว เราจักพลัดพรากจากของที่รัก ของชอบใจทั้งหลาย กัมมัสสะโกมหิ กัมมะทายาโท เรามีกรรมเป็นของๆตน เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ เรามีกรรมเป็นแดนเกิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ กัมมะปะฏิสะระโน ยัง กัมมัง กะริสสามิ เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมอันใดไว้ กัลยาณัง วา ปาปะกัง วา เป็นกรรมดีก็ตาม เป็นกรรมชั่วก็ตาม ตัสสะ ทายาโท ภะวิสสามิ เราจักต้องเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น เอวัง อัมเหหิ อะภิณหัง ปัจจะเวกขิตัพพัง เราทั้งหลายพึงพิจารณาเนืองๆอย่างนี้แล. (http://www.doohoon.com/smf/index.php?action=dlattach;topic=51342.0;attach=61157) อภิณหปัจจเวกขณ์ ๕ (ขยายความ จากพจนานุกรมพุทธศาตร์ ฉบับประมวลธรรม โดย ท่านพระธรรมปิฏก) ข้อที่สตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม คฤหัสถ์ก็ตาม บรรพชิตก็ตาม ควรพิจารณาเนืองๆ ๑. ชราธัมมตา ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ ๒. พยาธิธัมมตา ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา ไมล่วงพ้นความเจ็บป่วยไปได้ ๓. มรณธัมมตา ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ๔. ปิยวินาภาวตา ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เราจักต้องมีความพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น ๕. กัมมัสสกตา ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีกรรมเป็นของตน เราทำกรรมใด ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม จักต้องเป็นทายาท ของกรรมนั้น ข้อที่ควรพิจารณาเนืองๆ ๕ อย่างนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อละสาเหตุต่างๆ มี ความมัวเมา เป็นต้น ที่ทำให้สัตว์ทั้งหลายตกอยู่ในความประมาท และประพฤติทุจริตทางไตรทวาร กล่าวคือ :- ข้อ ๑ เป็นเหตุละหรือบรรเทาความเมาในความเป็นหนุ่มสาวหรือความเยาว์วัย ข้อ ๒ เป็นเหตุละหรือบรรเทาความเมาในความไม่มีโรค คือ ความแข็งแรงมีสุขภาพดี ข้อ ๓ เป็นเหตุละหรือบรรเทาความเมาในชีวิต ข้อ ๔ เป็นเหตุละหรือบรรเทาความยึดติดผูกพันในของรักทั้งหลาย ข้อ ๕ เป็นเหตุละหรือบรรเทาความทุจริตต่างๆ โดยตรง เมื่อพิจารณาขยายวงออกไป เห็นว่ามิใช่ตนผู้เดียวที่ต้องเป็นอย่างนี้ แต่เป็นคติธรรมดาของสัตว์ทั้งปวงที่จะต้องเป็นไป เมื่อพิจารณาเห็นอย่างนี้เสมอๆ มรรคก็จะเกิดขึ้น เมื่อเจริญมรรคนั้นมากเข้า ก็จะละสังโยชน์ทั้งหลาย สิ้นอนุสัยได้. พระคาถาดังกล่าว ควรพิจารณาอยู่เนืองๆเป็นอเนก เพื่อให้เกิดนิพพิทา ไม่ใช่เฉพาะเวลาสวดมนต์แต่อย่างเดียว จึงจักบังเกิดผลยิ่ง เป็นเครื่องรู้ เครื่องระลึก เครื่องเตือนสติ ให้ประกอบกรรมดี และไม่ใช่เพื่อการพิรี้พิไรรำพันโอดครวญ หรือไปกังวลถึงกรรมในอดีตที่ผ่านไปแล้ว ที่มา http://nkgen.com/357.htm (http://nkgen.com/357.htm) ขอบคุณภาพจาก http://www.romphosai.com/,http://www.doohoon.com/ (http://www.romphosai.com/,http://www.doohoon.com/) หัวข้อ: Re: มนุษย์เราเอ๋ย...เกิดมาทำไม เริ่มหัวข้อโดย: ธุลีธวัช (chai173) ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2012, 11:08:12 am (http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/220/4220/blog_entry1/blog/2007-10-03/comment/128086_images/57.jpeg)
ถามตัวเองว่า "เกิดมาทำไม ? " 1. ตามยถากรรม 2. ใช้หนี้กรรม 3. สร้างบารมี 4. ใข้หนี้กรรม และสร้างบารมี เลือก...ชีวิตนี้พินิจเอง.! http://www.oknation.net/blog/songforlife/2007/10/03/entry-1 หัวข้อ: Re: มนุษย์เราเอ๋ย...เกิดมาทำไม เริ่มหัวข้อโดย: ธุลีธวัช (chai173) ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2012, 11:30:52 am (http://www.dphoto.in.th/d/___________+_________+_______+_20_.jpg/94537/2)
ฤาชาย รูปสวยเย้ากมล ชายหมายยลเมถุนธรรม เกื้อเกลือกให้เขาช้ำ แท้ใจต่ำอัปรีย์ชน. ธรรมธวัช.! หัวข้อ: Re: มนุษย์เราเอ๋ย...เกิดมาทำไม เริ่มหัวข้อโดย: นิรตา ป้อมนาวิน ที่ กุมภาพันธ์ 11, 2012, 11:49:21 am อนุโมทนา สาธุ :25: :25: :25:
หัวข้อ: Re: มนุษย์เราเอ๋ย...เกิดมาทำไม เริ่มหัวข้อโดย: samapol ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2012, 12:50:05 am อ่านแล้วรู้สึก ว่าไม่อยากเกิด อีกเลยครับ
มานั่งพิจารณา ดูแล้ว กายนี้ก็ไ่่่ม่ฟัีงเรา ใจนี้ก็ควบคุมได้อยาก รู้สึกลำบาก ด้วยโลกธรรม ทั้ง 8 มานั่งนึกดูแล้ว รู้สึกเหน็ดเหนื่อยมาครึ่งชีวิต นี้ เพื่ออะไรกันแน่ เดี๋ยวไม่กี่วันฉันก็ต้องตายแล้ว แล้วถ้าตายแล้ว ยังต้องเกิดอีก ก็ต้องมาทุกข์อย่างนี้อีก เดี๋ยวก็ต้องทุกข์ กับ การเกิด การแ่ก่ การเจ็บ และ การตาย การพรัดพราก ความไม่สมหวัง เป็นต้น นึกไปนึกมารู้สึกเหน็ดเหนื่อย เสีย จริง ๆ แล้วต้องทำอย่างไร จึงจะไม่ต้องมาเกิดกันอีก นี่สิครับ ผมเองก็อยากทำ ตามนั้น.... :73: :d030: :) :25: หัวข้อ: เพ่ง "อสุภะ" วันละหน่อย จิตจะปล่อยวาง เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2012, 11:06:28 am (http://mahamodo.com/asupa/images/E/asupaE24.jpg) ดูกรราหุล เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยน้ำเถิด เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยน้ำอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้. ดูกรราหุลเปรียบเหมือนคนทั้งหลายล้างของสะอาดบ้าง ของไม่สะอาดบ้าง คูถบ้าง มูตรบ้าง น้ำลายบ้างน้ำหนองบ้าง เลือดบ้าง ลงในน้ำ น้ำจะอึดอัดหรือระอา หรือเกลียดของนั้นก็หาไม่ ฉันใด เธอจงเจริญภาวนาเสมอด้วยน้ำ ฉันนั้นแล เพราะเมื่อเธอเจริญภาวนาเสมอด้วยน้ำอยู่ ผัสสะอันเป็นที่ชอบใจและไม่ชอบใจ ที่เกิดขึ้นแล้ว จักไม่ครอบงำจิตได้. _______________________ พุทธพจน์จากมหาราหุโลวาทสูตร |