สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ มีนาคม 06, 2012, 10:31:36 am



หัวข้อ: ที่มาของคำว่า "พุทโธ โลเก อุปปันโน"
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มีนาคม 06, 2012, 10:31:36 am
(http://www.madchima.net/images/359_Slide4.jpg)

ที่มาของพระคาถา "พุทโธ โลเก อุปปันโน"

ถาม : วันนั้นที่หล่อสมเด็จองค์ปฐมที่วัดสระพัง เวลาหล่อพระเขาให้ท่องคาถาอะไรนะคะ ?

ตอบ : พุทโธ โลเก อุปปันโน แปลว่า พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก คาถานี้เกิดจากพ่อค้าที่เข้าไปในเมืองของ พระมหากัปปินะราชา สมัยก่อนนี้เวลาพ่อค้าไปค้าขายประเทศไหน ก็จะต้องเข้าไปแจ้งกับพระราชาก่อน ขออนุญาตเข้าไปทำการค้า คราวนี้ตัวเองเดินทางมาไกลหลายเมือง ก็จะได้ข่าวคราวต่างๆ มาด้วย

พอพระมหากัปปินะราชาถามพ่อค้าว่า มีข่าวคราวอะไรบ้าง ?
พ่อค้าก็ตอบว่า ข่าวที่สำคัญที่สุดก็คือ มี พระพุทธเจ้า เกิดขึ้นแล้วในโลก พระมหากัปปินะดีใจจนสลบไปเลย
   
    จึงเขียนหนังสือให้พ่อค้าเอาไปให้พระมเหสี บอกว่าให้เบิกเงินจากคลัง เอาเงินไปเลยสามแสนกหาปณะ แจ้งพระมเหสีด้วยว่าเราจะไปบวชแล้ว แล้วก็สอบถามว่าพระพุทธเจ้าอยู่ทางทิศไหน จึงขี่ม้ามุ่งหน้าไปหาพระพุทธเจ้า บรรดาข้าราชบริพารก็ขี่ม้าตามไปบวชหมดเลย

    ทางพ่อค้าก็เอาหนังสือที่มีลายพระหัตถ์ไปให้พระมเหสี พอพระมเหสีเห็นก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น
    พ่อค้าก็บอกว่าท่านแจ้งข่าวสำคัญให้พระราชาทราบ ว่ามีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก พระมเหสีเกิดปีติขนพองสยองเกล้า บอกว่าถ้าอย่างนั้นเราให้เธอหกแสนกหาปณะ สรุปแล้ว ๒ ประโยคได้ไปเกือบล้าน..!
    และพระมเหสีเด็ดขาดกว่าอีก พาพวกนางสนมบริวารตามไปอีก เพื่อไปบวชบ้าง

    พระมหากัปปินะควบม้าไป เจอแม่น้ำใหญ่ขวางหน้า เรือแพที่จะข้ามไปมันก็ไม่มี
    เพราะว่าท่านไปกะทันหันไม่มีใครจัดให้ ท่านก็ตั้งใจว่า ถ้าทิศเบื้องหน้านี้มีพระพุทธเจ้าอยู่จริง ก็ขอให้น้ำอย่าได้ท่วมเท้าม้าเลย แล้วก็ชักม้าลงน้ำไป
    ปรากฏว่าวันนั้นม้าวิ่งบนผิวน้ำได้ เพราะว่าท่านศรัทธาจริง พุทธานุภาพก็เลยคุ้มครองรักษาได้

    พระมเหสีก็เช่นกัน บอกว่า ถ้าทางนี้มีพระพุทธเจ้าอยู่จริงก็ขออย่าให้น้ำท่วมถึงข้อเท้าม้าเลย และม้าก็วิ่งบนผิวน้ำได้เช่นกัน พอพระมหากัปปินะไปถึง ได้ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าจบเดียวเป็น พระอรหันต์ เลย

    หลวงพ่อพระธรรมปริยัติเวที หรือ หลวงพ่อเจ้าคุณสุเทพ เจ้าคณะภาค ๑๕ เวลาหล่อพระท่านจะให้ภาวนาว่า พุทโธ โลเก อุปปันโน คือ พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้วในโลก ก็เลยกลายเป็นคาถาประจำตัว ถึงเวลาไปหล่อพระที่ไหนท่านก็จะใช้ พุทโธ โลเก อุปปันโน

    ส่วนอาตมานี้เวลาหล่อพระจะใช้บทว่า นะโม เม สัพพะพุทธานัง อุปันนานัง มเหสีนัง บทของ ภาณพระ

ถาม : แปลว่าอะไรครับ?
ตอบ : นะโม เม สัพพะพุทธานัง ขอความนอบน้อมของข้าพเจ้าจงถึงซึ่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งปวง    อุปปันนานัง มเหสีนัง ซึ่งอุบัติเกิดขึ้นแล้ว ประกอบไปด้วยศักดานุภาพอันใหญ่ยิ่ง

      แล้วก็จะเอ่ยนามพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์ ตั้งแต่ ตัณหังกะโร มหาวีโร เมธังกะโร มหายโส สรณังกะโร โลกหิโต ทีปังกะโร ชุตินธโรฯ เป็นต้น

สนทนากับพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกันยายน ๒๕๕๔


ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard...?t=2894&page=4 (http://www.watthakhanun.com/webboard...?t=2894&page=4)
ขอบคุณภาพจาก http://www.gotoknow.org/blogs/posts/271907,http://www.thairath.co.th/ (http://www.gotoknow.org/blogs/posts/271907,http://www.thairath.co.th/)



(http://www.thairath.co.th/media/content/2011/10/22/211178/o4/420.jpg)

     
       พุทโธ โลเก อุปปันโน....พระพุทธเจ้าได้บังเกิดขึ้นในโลกเรานี้แล้ว
       ธัมโม โลเก อุปปันโน....พระธรรมเจ้าได้บังเกิดขึ้นในโลกเรานี้แล้ว
       สังโฆ โลเก อุปปันโน....พระอริยสงฆเจ้าได้บังเกิดขึ้นในโลกเรานี้แล้ว
   



หัวข้อ: Re: ที่มาของคำว่า "พุทโธ โลเก อุปปันโน"
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มีนาคม 06, 2012, 11:00:00 am

(http://khunsamatha.com/images/Y7388233-12.jpg)


พระมหากัปปินเถระ
เอตทัคคะในทางผู้ให้โอวาทภิกษุ

    พระมหากัปปินะ เป็นพระโอรสของพระมหากษัตริย์ผู้ครองนครภุกฎวดี ในปัจจันตชนบท มีพระนามเดิมวา “กัปปินะ” เมื่อพระราชบิดาทิวงคตแล้วได้ครอบครองราชย์สมบัติสืบต่อมา ได้พระนามใหม่ว่า “พระเจ้ามหากัปปินะ” มีพระอัครมเหสีพระนามว่า “อโนชาเทวี” ซึ่งเป็นพระราชธิดาของพระราชาผู้ครองนครสาคละ แห่งแคว้นมัททรัฐ
    พระเจ้ามหากัปปินะ มีพระราชหฤทัยใฝ่ต่อการศึกษาแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอโดยเฉพาะทรงฝักใฝ่ในการออกบวชเพื่อการบรรลุมรรคผลนิพพานอันเป็นคุณธรรมเบื้องสูง

    ทุก ๆ วันพระองค์จะส่งอำมาตย์ออกไปสืบข่าวจากทิศทั้ง ๔ ว่ามีข่าวอะไรบ้าง โดยเฉพาะข่าวเกี่ยวกับพระรัตนตรัย อำมาตย์เหล่านั้นออกจากพระนครไปไกล ๒-๓ โยชน์ทุกวัน ค่ำแล้วก็กลับมารายงานข่าวให้ทรงทราบ
    พระเจ้ามหากัปปินะ มีม้าอันเป็นพระราชพาหนะ ๕ ม้า คือ ม้าชื่อพละ ม้าชื่อพลวาหนะม้าชื่อปุปผะ ม้าชื่อปุปผวาหนะ และ ม้าชื่อสุปัตตะ โดยปกติพระองค์จะทรงม้าชื่อสุปัตตะ เป็นประจำ ส่วนม้าที่เหลือจะพระราชทานให้อำมาตย์หรือทหารใช้เป็นพาหนะไปสืบข่าวต่าง ๆ


    ทรงทราบข่าวพระรีตนตรัยเกิดขึ้นในโลก
    วันหนึ่ง พระองค์เสด็จประพาสราชอุทยานพร้อมด้วยอำมาตย์ และข้าราชบริพาร ๑,๐๐๐ คน ได้พบพ่อค้าที่เดินทางมาจากเมืองสาวัตถี รับสั่งให้เข้าเฝ้าถามข่าวสารจากเมืองสาวัตถุนั้น
    ครั้นเมื่อพ่อค้าได้กราบทูลว่า:-
    “ขอเดชะ ข่าวอื่นไม่มี แต่ในเมืองสาวัตถีนั้น บัดนี้ มีพระพุทธเจ้า มีพระธรรม และมีพระสงฆ์ เกิดขึ้นแล้วในโลก พระเจ้าข้า”

    พระเจ้ามหากัปปินะ พอได้สดับคำว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เท่านั้น ทั่วทั้งพระวรกายถูกปีติโสมนัสเข้าครอบงำอย่างท่วมท้น จนหลงลืมพระสติไปชั่วขณะ
    พอสติสัมปปชัญญะ กลับคืนมาแล้ว พระองค์ได้ตรัสถามซ้ำอีกถึง ๓ ครั้ง บรรดาพ่อค้ากราบทูลยืนยันเช่นเดิม จึงรับสั่งให้อำมาตย์เขียนพระราชสาสน์ ถึงพระชายา รับสั่งให้พระราชทานรางวัลแก่พ่อค้าจำนวน ๓ แสนกหาปณะ และขอสละราชสมบัติให้พระชายารับครอบครองสืบต่อไป

    ส่วนพระองค์เองพร้อมด้วยอำมาตย์ผู้ใกล้ชิดเหล่านี้ จะขอออกบวชอุทิศเฉพาะแต่พระผู้มีพระภาค ดังนี้แล้ว มอบพระราชสาสน์นั้นให้พ่อค้านำไปถวายแด่พระชายา แม้อำมาตย์เหล่านั้นก็เขียนจดหมายถึงภรรยาของตน ๆ ดุจเดียวกัน จากนั้นได้ติดตามพระมหากัปปินะ ออกจากพระราชอุทยานมุ่งสู่พระนครสาวัตถี

(http://www.bloggang.com/data/t/truthoflife/picture/1291270383.jpg)

    เสด็จออกผนวชพร้อมด้วยอำมาตย์
    เส้นทางเสด็จของพระเจ้ามหากัปปินะนั้น เต็มไปด้วยความยากลำบากทุรกันดารผ่านทั้งป่าและภูเขา โดยเฉพาะมีแม่น้ำใหญ่ ๓ สาย คือ แม่น้ำอารวปัจฉา แม่น้ำนีลวาหนา และแม่น้ำจันทภคา ขวางหน้าอยู่ ซึ่งแต่ละสายนั้น ทั้งกว้างและลึกมาก จะข้ามได้ก็ต้องอาศัยเรือหรือแพขนาดใหญ่ ซึ่งก็หาได้ยาก

    พระเจ้ามหากัปปินะ ทรงมีพระดำริว่า
    “ถ้าจะรอเวลาหาเรือหรือแพก็จะทำให้ล่าช้า เพราะความเกิดนำไปสู่ความแก่ ความแก่นำไปสู่ความเจ็บและความเจ็บนำไปสู่ความตาย ทุกลมหายใจเข้าออกย่อมนำไปสู่ความแก่และความตายทั้งนั้น เราไม่รู้ว่าความตายจะมาถึงเราเมื่อไร ดังนั้น เราออกบวชเพื่ออุทิศต่อพระรัตนตรัย ด้วยอานุภาพแห่งรัตนตรัยนั้น ขอให้น้ำนี้จงอย่าได้เป็นเหมือนน้ำเลย”

     ครั้นทรงมีพระดำริดังนี้แล้ว ทรงระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย มีพุทธานุสติ เป็นต้นแล้ว เสด็จลงสู่แม่น้ำพร้อมทั้ง บริวาร ๑,๐๐๐ คน ม้าทั้งหลายวิ่งไปบนผิวน้ำเหมือนกับวิ่งบนแผ่นดิน แม้แต่ปลายกีบม้าก็ไม่เปียกเลยสักนิดเดียว

    พระพุทธองค์ทรงรับเสด็จ
    เวลาใกล้รุ่งของราตรีนั้น พระบรมศาสดาทรงตรวจดูสัตว์โลก ได้ทอดพระเนตรเห็นพระเจ้ามหากัปปินะ พร้อมทั้งบริวาร ผู้ทรงสละราชสมบัติ ออกผนวชอุทิศเฉพาะพระรัตนตรัย ท้าวเธอพร้อมทั้งบริวารจักบรรลุพระอรหัตผลพร้อมทั้งปฏิสัมภิทาทั้งหลาย

    สมควรที่ที่เราตถาคตจักกระทำการต้อนรับเสด็จครั้นแล้ว พระพุทธองค์ทรงบาตรและจีวร เสด็จออกต้อนรับสิ้นระยะทาง ๑๒๐ โยชน์ ประหนึ่งว่าพระเจ้าจักรพรรดิ ทรงต้อนรับกำนันนายบ้าน ฉะนั้น ได้ประทับเปล่งพระรัศมีภายใต้ร่มต้นนิโครธ ณ ริมฝั่งแม่น้ำจันทภาคา

    พระเจ้ามหากัปปินะ ได้ทอดพระเนตรเห็นพระรัศมีนั้นแล้ว ทรงพระดำริว่า
    “แสงสว่างนี้ไม่ใช่แสงจันทร์ แสงอาทิตย์ หรือแสงสว่างจากเทวดาตนใดตนหนึ่ง จักต้องเป็นแสงสว่างแห่ง
พระบรมศาสดาอย่างแน่นอน” เมื่อทรงพระดำริดังนี้แล้ว เสด็จลงจากหลังม้าพร้อมทั้งบริวาร เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าตามสายแห่งพระรัศมีนั้น ถวายบังคมแล้วประทับนั่ง ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง
    พระพุทธองค์ทรงแสดงอนุปุพพิกถาให้สดับจบลงแล้ว พระราชาพร้อมทั้งบริวารได้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วกราบทูลขออุปสมบท พระพุทธองค์ได้ประทานด้วยวิธี เอหิภิกขุอุปสัมปทา


(http://www.dvdenjoy.com/images/1270567518.jpg)

    พระราชเทวีและภรรยาอำมาตย์ออกบวช
    พระนางอโนชาเทวี ได้รับข่าวสารจากพ่อค้าเหล่านั้น ตรัสซักถาม ได้ทราบความแน่ชัดทุกประการแล้ว เกิดศรัทธาอย่างแรงกล้าเช่นกัน ให้รางวัลแก่พ่อค้าเหล่านั้นแล้ว ชักชวนภรรยาอำมาตย์ทุกคนเสด็จออกบวช โดยทำนองเดียวกันกับพระราชสามี พระพุทธองค์ทรงรับเสด็จดุจเดียวกันกับพระเจ้ามหากัปปินะ และทรงบันดาลฤทธิ์มิให้สามีภรรยาเหล่านั้นเห็นกัน เพื่อมิให้เป็นอันตรายต่อการฟังธรรม

    เมื่อพระนางเสด็จมาถึงแล้วได้กราบทูลถามถึงพระราชสามีและหมู่อำมาตย์ พระบรมศาสดารับสั่งให้ประทับนั่งลงก่อนแล้วจะได้พบกัน ณ ที่นี้ เมื่อพระราชเทวีและหญิงเหล่านั้นประทับนั่งเรียบร้อยแล้ว
    พระพุทธองค์ทรงแสดงอนุปุพพิกถาให้สดับ
    เมื่อจบธรรมกถา พระราชเทวีและหญิงเหล่านั้นได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน
    ส่วนพระเจ้ามหากัปปินะ และภิกษุบริวารเหล่านั้น ซึ่งนั่งฟังอยู่ด้วยได้บรรลุพระอรหัตผลด้วยกันทั้งหมด
    พระพุทธองค์จึง ทรงคลายฤทธิ์ให้พระราชเทวีเห็นพระราชสามี และหญิงเหล่านั้นเห็นสามีของตน ๆ แล้วกราบทูลขอ บรรพชาอุปสมบท พระพุทธองค์รับสั่งให้ไปอุปสมบทในสำนักของนางภิกษุณีที่เมืองสาวัตถี และพระพุทธองค์ก็ทรงพาภิกษุเหล่านั้นเสด็จสู่กรุงสาวัตถี

    พระเจ้ามหากัปปินะเปล่งอุทาน
    พระเจ้ามหากัปปินะนั้น ไม่ว่าท่านจะอยู่ในที่พักหรือที่ใดก็ตามท่านมักจะเปล่งอุทานว่า
    “สุขหนอ สุขหนอ” อยู่เสมอ
    ภิกษุทั้งหลายคิดว่าท่านยังรำลึกถึงความสุขในราชสมบัติอยู่ จึงพากันไปกราบทูลพระบรมศาสดา พระพุทธองค์แม้ทรงทราบแล้ว แต่ก็รับสั่งให้พระเจ้ามหากัปปินะเข้าเฝ้า แล้วตรัสถามเหตุแห่งการเปล่งอุทานให้ได้ยินกันทั่ว ณ ที่นั้น

    เพื่อคลายความสงสัยแล้วตรัสว่า:-
    “ภิกษุทั้งหลาย พระมหากัปปินะบุตรของเรานี้ เปล่งอุทานอย่างนั้นเพราะปรารภอมตมหานิพพาน เป็นการเปล่งเพราะความเอิบอิ่มในธรรม”

    ได้รับยกย่องในตำแหน่งเอตทัคคะ
    ท่านได้รับมอบหมายจากพระบรมศาสดา ให้เป็นผู้ให้โอวาทแก่ภิกษุทั้งหลาย ซึ่งท่านก็ได้สนองพระบัญชาด้วยดี พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทางผู้ให้โอวาทภิกษุ

ที่มา http://www.84000.org/one/1/24.html (http://www.84000.org/one/1/24.html)
ขอบคุณภาพจาก http://khunsamatha.com/,http://www.bloggang.com/,http://www.dvdenjoy.com/i (http://khunsamatha.com/,http://www.bloggang.com/,http://www.dvdenjoy.com/i)