หัวข้อ: การภาวนาพุทโธเป็นบ่อบุญถึง ๔ บ่อ (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร) เริ่มหัวข้อโดย: นิรตา ป้อมนาวิน ที่ มีนาคม 12, 2012, 02:40:35 pm ธรรมโอวาท ของ พระวิสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร) วัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ (http://www.dhammajak.net/board/files/268_1257817159.jpg_145.jpg) การที่เรามานั่งภาวนา “พุทโธๆ” โดยการกำหนดลมหายใจเข้าออกอย่างเดี๋ยวนี้ จัดว่าเป็นบ่อบุญถึง ๔ บ่อ เหมือนกับเรายิงนกทีเดียวแต่ได้นกตั้งหลายตัว พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า การภาวนาเป็นมหากุศลอันเลิศ ที่ว่าเราได้บุญถึง ๔ บ่อนั้น คืออะไรบ้าง ประการที่ ๑ เป็น “พุทธานุสติ” เพราะขณะที่เรากำหนดลมและบริกรรมว่า “พุทโธๆ” นั้น เราได้น้อมเอา พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ เข้าไปไว้ภายในใจของเราด้วย พุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณนี้ เป็นสิ่งที่มีค่าสูงกว่าสิ่งอื่นใด เมื่อได้น้อมเขาไปในตัวเราแล้วก็เกิดความปีติ อิ่มเต็ม เย็นอกเย็นใจ ความเบิกบานสว่างไสวก็มีขึ้นในดวงจิตของเรา นี่นับว่าเป็นกุศลส่วนหนึ่งที่เราได้รับจากบ่อบุญอันนี้ ประการที่ ๒ เป็น “อานาปานสติ” เพราะลมหายใจที่เรากำหนดอยู่นี้ เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีชีวิต และมีสติตื่นอยู่ ไม่ลืม ไม่เผลอ ไม่ยื่นออกไปข้างหน้า ไม่เหลียวมาข้างหลัง ไม่คิดไปในสัญญาอารมณ์อื่นนอกจากลมหายใจอย่างเดียว มีความรู้อยู่แต่ในเรื่องของกองลมทั่วร่างกาย วิตก ได้แก่ การกำหนดลม วิจาร ได้แก่ การขยายลม เมื่อลมเต็มอิ่มและมีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา นิวรณ์ทั้งหลายที่เป็นข้าศึกของใจ ก็ไม่สามารถแทรกซึมเข้ามาทำลายคุณความดีของเราได้ จิตก็จะมีความสงบนิ่ง ไม่ฟุ้งซ่าน กระสับกระส่าย ไม่ตกไปอยู่ในบาปอกุศลอันใดได้ เป็นจิตที่มีอาการเที่ยงตรง ไม่มีอาการวอกแวกและไหลไปไหลมา มีแต่ความสุขอยู่ในลมส่วนเดียว นี้ก็เป็นกุศลส่วนหนึ่งที่เราได้รับจากบ่อบุญอันนี้ ประการที่ ๓ เป็น “กายคตาสติ” เป็น “กาเย กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน” ด้วย เพราะลมหายใจเป็นตัวชีวิต เป็นตัวกายใน เรียกว่า พิจารณากายในกาย (ธาตุ ๔ เป็นตัวกายนอก) คือเมื่อเราได้กำหนดลมเข้าไปในส่วนต่างๆ ของร่างกายทุกส่วนแล้ว เราก็จะมีความรู้เท่าทันถึงสภาพอันแท้จริงของร่างกาย อันประกอบด้วยธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ว่าเมื่อเกิดความกระเทือนระหว่างลมภายนอกกับธาตุเหล่านี้ แล้วได้มีอาการและความรู้สึกเป็นอย่างไร ร่างกายเคลื่อนไหว แปรเปลี่ยน ทรุดโทรม และเกิดดับอย่างไร เราก็จะวางใจเฉยเป็นปกติ เพราะรู้เท่าทันในสภาพธรรมดาเหล่านี้ ไม่หลงยึดถือในรูปร่างกายว่าเป็นตัวตน เพราะแท้จริงมันก็เป็นเพียงธาตุแท้ ๔ อย่างที่ผสมกันขึ้น และเมื่อพิจารณาแล้ว ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งปฏิกูลตลอดทั่วร่างกาย ตั้งแต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ฯลฯ ตลอดทั้งอวัยวะภายในทุกส่วน เห็นดังนี้แล้ว ก็จะเกิดความเบื่อหน่าย สลดสังเวชขึ้น ทำให้หมดความยินดียินร้ายในรูปร่างกาย ใจก็เป็นปกติ นี่ก็เป็นกุศลส่วนหนึ่งที่เราได้รับจากบ่อบุญอันนี้ ประการที่ ๔ เป็น “มรณานุสติ” ทำให้เรามองเห็นความตายได้อย่างแท้จริง ด้วยการกำหนดลมหายใจ เมื่อก่อนนี้เรานึกว่าความตายนั้นจะต้องมีอยู่กับคนไข้อย่างนั้น โรคอย่างนี้ แต่หาใช่ความตายอันแท้จริงไม่ แท้จริงมันอยู่ที่ปลายจมูกของเรานี่เอง มิได้อยู่ไกลไปจากนี้เลย ถ้าเลยออกไปจากปลายจมูกแล้วก็ต้องตาย ทั้งนี้ให้เราสังเกตดุลมที่หายใจเข้าออก ก็จะเห็นได้ว่า ลมนี้เลยจมูกออกไปแล้วไม่กลับเข้ามาอีก เราต้องตายแน่ หรือถ้าลมเข้าไปในจมูกแล้วไม่กลับออกมา ก็ต้องตายเหมือนกัน เมื่อเรามองเห็นความตายมีอยุ่ทุกขณะลมหายใจเข้าออกเช่นนี้ เราก็จะเป็นผู้ไม่ประมาท มีสติสัมปชัญญะอยู่กับตัวอยู่เสมอ ไม่เป็นผู้ลืมตาย หลงตาย เราก็จะตั้งอยู่ในความดีเสมอไป นี่ก็เป็นกุศลส่วนหนึ่งที่เราได้รับจากบ่อบุญอันนี้ คัดลอกเนื้อหาจาก พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร. แนวทางวิปัสสนากัมมัฏฐาน ๒. พิมพ์ครั้งที่ ๑. กรุงเทพฯ : ขุมทองอุตสาหกรรมและการพิมพ์, ที่มา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=39800 (http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=39800) |