สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) => ข้อความที่เริ่มโดย: ส้ม ที่ มีนาคม 18, 2012, 05:04:50 pm



หัวข้อ: เป็นชาวพุทธ ควรเชื่อเรื่อง เทวดา ผี วิญญาณ แบบไหนถึง จะถูกคะ
เริ่มหัวข้อโดย: ส้ม ที่ มีนาคม 18, 2012, 05:04:50 pm
เป็นชาวพุทธ ควรเชื่อเรื่อง เทวดา ผี วิญญาณ แบบไหนถึง จะถูกคะ

 เพราะเวลาคุยกับผู้ปฏิบัติธรรมด้วย กัน มักจะบอกว่า อย่าไปสนใจเรื่อง เทวดา ผี วิญญาณ กันเลยให้สนใจในปัจจุบัน ให้มาก บางท่านก็ปฏิเสธบอกว่า สิ่งเหล่านี้ไม่มีจริงเลยนะคะ

 เพื่อน ๆ คิดว่าเราควรจะเชื่อเรื่อง ของเทวดา นี้อย่างไรดีคะ

  :25: :c017:


หัวข้อ: Re: เป็นชาวพุทธ ควรเชื่อเรื่อง เทวดา ผี วิญญาณ แบบไหนถึง จะถูกคะ
เริ่มหัวข้อโดย: PRAMOTE(aaaa) ที่ มีนาคม 18, 2012, 09:17:13 pm
เอาแบบนี้ก็ได้ จะได้อบอุ่นหน่อยไม่เคล้งคว้าง จงเชื่อว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีจริง กฎแห่งกรรมมีจริง เกิดแก่เจ็บตายเรื่องจริง  31ภพมีจริง นรกมีจริง ผีเทวดามี ไปดูบทสวดธรรมจักร ในอนุสสติ7 ก็มีเทวตานุสสติ มรรคผลนิพพานคือของดี และยังมีครูผู้สอน คือพระอาจารย์กรรมฐาน ยังมีให้เห็นอยู่
กัลยาณมิตร ที่ควรเข้าหา ที่เป็น พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็คือครูผู้สอน ก็ยังมีจริง


หัวข้อ: Re: เป็นชาวพุทธ ควรเชื่อเรื่อง เทวดา ผี วิญญาณ แบบไหนถึง จะถูกคะ
เริ่มหัวข้อโดย: chatchay ที่ มีนาคม 19, 2012, 07:33:59 am
เป็นชาวพุทธ ควรเชื่อ ดังนี้ ครับ

  [181] ศรัทธา 4 (ความเชื่อ, ความเชื่อที่ประกอบด้วยเหตุผล - faith; belief; confidence)


       1. กัมมสัทธา (เชื่อกรรม, เชื่อกฎแห่งกรรม, เชื่อว่ากรรมมีอยู่จริง คือ เชื่อว่าเมื่อทำอะไรโดยมีเจตนา คือ จงใจทำทั้งรู้ ย่อมเป็นกรรม คือ เป็นความชั่วความดีมีขึ้นในตน เป็นเหตุปัจจัยก่อให้เกิดผลดีผลร้ายสืบเนื่องต่อไป การกระทำไม่ว่างเปล่าและเชื่อว่าผลที่ต้องการจะสำเร็จได้ด้วยการกระทำ มิใช่ด้วยอ้อนวอนหรือนอนคอยโชค เป็นต้น - belief in Karma; confidence in accordance with the law of action)

       2. วิปากสัทธา (เชื่อวิบาก, เชื่อผลของกรรม, เชื่อว่าผลของกรรมมีจริง คือ เชื่อว่ากรรมที่ทำแล้วต้องมีผล และผลต้องมีเหตุ ผลดีเกิดจากกรรมดี ผลชั่วเกิดจากกรรมชั่ว - belief in the consequences of actions)

       3. กัมมัสสกตาสัทธา (เชื่อความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน, เชื่อว่าแต่ละคนเป็นเจ้าของ จะต้องรับผิดชอบเสวยวิบากเป็นไปตามกรรมของตน - belief in the individual ownership of action)

       4. ตถาคตโพธิสัทธา (เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า, มั่นใจในองค์พระตถาคต ว่าทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ทรงพระคุณทั้ง 9 ประการ ตรัสธรรม บัญญัติวินัยไว้ด้วยดี ทรงเป็นผู้นำทางที่แสดงให้เห็นว่า มนุษย์คือเราทุกคนนี้ หากฝึกตนด้วยดี ก็สามารถเข้าถึงภูมิธรรมสูงสุด บริสุทธิ์หลุดพ้นได้ ดังที่พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญไว้เป็นแบบอย่าง - confidence in the Enlightenment of the Buddha)

       ศรัทธา 4 อย่างนี้ มีมาในบาลีเฉพาะข้อที่ 4 อย่างเดียว (เช่น องฺ.สตฺตก. 23/4/3; A.III.3 เป็นต้น) ว่าโดยใจความ ศรัทธา 3 ข้อต้น ย่อมรวมลงในข้อที่ 4 ได้ทั้งหมด
       อนึ่ง ในข้อ 3 มีข้อธรรมที่มาในบาลีคล้ายกัน คือ กัมมัสสกตาญาณ (ปรีชาหยั่งรู้ความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน - knowledge that action is one's own possession) เช่น อภิ.วิ. 35/822/443; Vbh.328.



พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พิมพ์ครั้งที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๔๖
http://84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=181 (http://84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=181)

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/72/3072/blog_entry1/blog/2007-07-09/comment/70331_images/4.jpg)


หัวข้อ: Re: เป็นชาวพุทธ ควรเชื่อเรื่อง เทวดา ผี วิญญาณ แบบไหนถึง จะถูกคะ
เริ่มหัวข้อโดย: whuchi ที่ มีนาคม 24, 2012, 07:35:36 pm
ภาพของนรก-สวรรค์ของแต่ละพื้นที่..แต่ละความเชื่อออกมาไม่เหมือนกันคงไม่แปลก
มันแปลกตรงที่..คนทั้งโลกแม้จะอยู่กลางป่าอเมซอนที่ติดต่อโลกภายนอกไม่ได้
ก็ยังมีความเชื่อในเรื่องนี้เหมือนกันหมด..

เคยไปนั่งคุยกับพรานป่าชาวกะเหรี่ยงแถวอำเภอสังขละบุรี..รับรองว่าใครได้ยินต้องด่าแกว่าบ้าแน่นอน
แกเล่าถึงอาถรรย์ของป่า...เสือสมิง..ผีโขมด..ปลาที่ส่งเสียงร้องได้เหมือนเด็ก
ผมฟังยังไม่เชื่อ..แต่มีตำรวจชายแดนเป็นคนยืนยัน..ก็เลยต้องเชื่อ
เพราะคนพวกนี้หากินอยู่กับป่ามาตลอดชีวิต..

เมื่อประมาณ 20 ปีมาแล้ว..ชนบทแถวบ้านผม
พระวัดใกล้บ้านเปิดไฟสว่างไสวทั้งวัด
เพราะถูกผีแม่ลูกอ่อนอุ้มลูกเดินไปเคาะประตูกุฏิทุกหลัง
แบบนี้ก็คงไม่แคล้วโดนข้อหาถูกสะกดจิตหมู่อีกตามเคย..

ของแบบนี้มันพิสูจน์กันได้ครับ..แถวอยุธยาหรือตามชนบทมีวัดเก่าแก่มากมายให้ลองพิสูจน์
ไปนั่งสมาธิคนเดียวทั้งคืนอาจจะได้ความรู้ในสิ่งที่สงสัยขึ้นมาบ้าง
แต่อย่าไปตั้งธงว่าผีมันจะต้องมาเป็นรูปร่างเหมือนคนแลบลิ้นปลิ้นตาเหมือนในหนัง
เก็บรายละเอียดให้หมด..ทั้งเสียง..กลิ่น..สัมผัสทางกาย..ดวงไฟ..หมอกควัน
แม้กระทั่งหากมองเห็นหมามานั่งจ้องหน้าเราโดยไม่ส่งเสียงเห่าก็อย่าไปเหมาว่ามันเป็นหมา
เพราะเราอาจเข้าใจผิด..???


จากคุณ    : อารยัน
(http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y11875998/Y11875998-8.jpg)


หัวข้อ: Re: เป็นชาวพุทธ ควรเชื่อเรื่อง เทวดา ผี วิญญาณ แบบไหนถึง จะถูกคะ
เริ่มหัวข้อโดย: whuchi ที่ มีนาคม 24, 2012, 07:40:34 pm
ในพระสูตร พระไตรปิฏก มีกล่าวเรื่องนี้ เยอะมาก

   1.พระพุทธเจ้า ผจญมาร
   2.พระพุทธเจ้า พรหมอาราธนา
   3.พระโพธิสัตว์ ออกอภิเนษกรม
   4.พระพุทธเจ้า เสด็จขึ้นโปรดพุทธมารดา
   5.พระพุทธเจ้า เปิดโลก

  และยังมีอีกมาก แต่คิดไป คิดมา เรื่องเล่านี้ ที่บรรดาผู้มีปัญญามักจะปฏิเสธกัน แต่การที่ยังทำบุญ สร้างกุศลนั้นก้เป็นเพราะว่า เชื่อ เรื่องผลบุญ เสบียงบุญ ชาติต่อไปหรือไม่ ?

  อันนี้ มันเป็นเรื่อง ที่ต้องทำความเข้าใจ กันอย่างมากนะคะ ไม่ใช่ ปฏิเสธ ว่าไม่มี ไม่มี


   :08:

(http://www.komcome.com/vichakarn/uploads/openbudh1.jpg)


หัวข้อ: Re: เป็นชาวพุทธ ควรเชื่อเรื่อง เทวดา ผี วิญญาณ แบบไหนถึง จะถูกคะ
เริ่มหัวข้อโดย: whuchi ที่ มีนาคม 24, 2012, 08:25:08 pm
ถ้าเปรียบเทียบจำนวนคนที่มีประสบการณ์รู้เห็นนรกสวรรค์
กับจำนวนคนที่ที่รู้เห็นอนุภาคควากด้วยตนเองแล้ว

จากบันทึกรายงานของทั้งสองฝ่ายบอกได้เลยว่า
มันมีจำนวนที่ห่างไกลกันมากมายนักหรือจะเอาเทียบ

กับจำนวนของผู้ที่เคยไปถ่ายรูปโลกจากเขตอวกาศเพื่อพิสูจน์โลกกลม
มันก็ยังน้อยกว่าจำนวนผู้คนที่ได้รับรู้เรื่องความมีอยู่ของนรกสวรรค์

ซึ่งส่วนใหญ่จะบอกบรรยายลักษณะได้ใกล้เคียงกัน
การจะมาแย้งว่าทำไมนรกสวรรค์ของแต่ละศาสนาไม่เหมือนกัน

ก็เพราะว่าอาณาเขตของสวรรค์และนรกมันมีมากกว่าโลกเราเสียอีก
แต่ถ้ามาดูที่รายงานที่มีการทำวิจัยจดบันทึกประสบการณ์ชีวิตหลังความตาย

จากทุกสังคมศาสนาทั่วโลกจะพบว่านรกสวรรค์ของพวกเขาจะไม่ต่างกันมากนัก
คุณจขกท.ยังวนเวียนอยู่กับความไม่รู้ของตนเอง

โดยเอาความไม่รู้ของตนเองเป็นศูนย์กลาง
ไปตามทำนองว่าถ้าตนเองไม่รู้ไม่เห็นอะไรสิ่งนั้นก็ย่อมไม่มี

ถามหน่อยท่านไม่รำคาญความไม่รู้ของตนเองบ้างหรือไร
ถ้าผมบอกท่านว่าเทวดาผีเร่รอนผมเคยเห็นมาแล้ว

เหมือนกับคนจำนวนมากมายที่เขาเห็นกันจากบันทึกปากคำคนทั่วโลก
ซึ่งแน่นอนย่อมมีจำนวนคนเห็นผีเทวดานรกสวรรค์มากกว่าคนที่เห็นอนุภาคควากเสียอีก

และมากกว่าคนที่เห็นว่าโลกกลมด้วยตาตนเองเสียอีก
และในอนาคตผู้คนที่เห็นนรกสวรรค์ก็จะให้ปากคำเหมือนกับ

คำให้การของคนทุกยุคที่ผ่านมา นรกสวรรค์ไม่ใช่จินตนาการส่วนตัว
อนุภาคควากยังอยู่ในระดับที่ต้องใช้ตรรกและจินตนาการมากกว่า

การมีประสบการณ์ตรงด้วยตนเองในเรื่องการเห็นนรกสวรรค์เทวดาเสียอีกนะครับ
ท่านจขกท.ไม่น่าเอาจุดด้อยของตนเองมาเป็นจุดแข็งที่จะไปรื้อเรื่องสำคัญแบบนี้

จากคุณ    : คนกรุงธน



(http://vleelavadee.com/home/images/stories/lovely/pharmalai_07%5B1%5D.jpg)


หัวข้อ: Re: เป็นชาวพุทธ ควรเชื่อเรื่อง เทวดา ผี วิญญาณ แบบไหนถึง จะถูกคะ
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มีนาคม 24, 2012, 10:01:57 pm

ฉลาดสุดสุด !!! ถึงพริกถึงขิง+++ สำหรับท่านที่ไม่เชื่อ นรก สวรรค์

เล่มที่ ๑๐ ชื่อทีฆนิกาย มหาวัคค์
เป็นพระสุตตันตปิฎก (เล่ม ๒)
ปายาสิราชัญญสูตร


สูตรว่าด้วยพระเจ้าปายาสิ
    เหตุการณ์เกิดขึ้นในแคว้นโกศล พระกุมารกัสสป พร้อมด้วยภิกษุสงส์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป จาริกไปในแคว้นนั้น แวะพัก ณ ป่าไม้สีเสียด อันตั้งอยู่ทิศเหนือของเสตัพยนคร . สมัยนั้น พระเจ้าปายาสิ (เป็นเพียงราชัญญะ คือพระราชาที่มิได้อภิเษก) ได้รับพระราชทานจากพระเจ้าปเสนทิโกศลให้ครอบครองเสตัพยนคร.

    พระเจ้าปายาสิมีความเห็นผิดเกิดขึ้นว่า โลกอื่นไม่มี สัตว์เป็นอุปปาติกะ (เกิดใหญ่โตขึ้นทันที เช่น เทพ) ไม่มี ผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี.

    เมื่อได้สดับกิตติศัพท์อันงามของพระกุมารกัสสป พราหมณ์คฤหบดีทั้งหลายก็พากันเดินทางไปหาเป็นกลุ่ม ๆ พระเจ้าปายาสิทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น ตรัสถามทราบความก็เสด็จไปด้วย เมื่อผู้ที่ไปกล่าวสัมโมทนียกถาปราศรัยตามสมควรแล้ว

พระเจ้าปายาสิก็ประกาศทิฏฐิของพระองค์ดังกล่าวแล้วแก่พระเถระ ซึ่งจะย่อคำโต้ตอบเป็นข้อ ๆ ดังต่อไปนี้:



พวกทำชั่วตายไปแล้ว ไม่มีใครมาบอกว่า “นรกมีจริง”
  ๑.พระเถระถามว่า ที่ทรงเห็นว่าโลกอื่นไม่มี เป็นต้นนั้น พระจันทร์พระอาทิตย์เป็นเทวดาหรือมนุษย์ ในโลกนี้หรือโลกอื่น. ตรัสตอบว่า พระจันทร์พระอาทิตย์อยู่ในโลกอื่น มิใช่เทวดาหรือมนุษย์ในโลกนี้.

     ตรัสเล่าว่า มีมิตรอำมาตย์ญาติสาโลหิตของพระองค์ที่ประพฤติชั่วมีประการต่าง ๆ เมื่อบุคคลเหล่านั้นเจ็บไข้ ซึ่งพระองค์เห็นว่าจะไม่หายแน่ ก็เสด็จไปหา และสั่งว่า

ถ้าไปตกนรก เพราะประพฤติชั่วตามคำของสมณพราหมณ์แล้ว ขอให้กลับมาบอก พวกเหล่านั้นรับคำแล้ว ก็ไม่มีใครมาบอกเลย. พระองค์จึงไม่เชื่อโลกอื่นมี.

   พระเถระกล่าวว่า เปรียบเหมือนโจรที่ทำผิดราชบุรุษจับได้
   ก็นำตระเวนไปสู่ที่ประหารชีวิต โจรเหล่านั้นจะขอผัดผ่อนให้ไปบอกพวกพ้องก่อนจะได้หรือไม่
   ตรัสตอบว่า ไม่ได้.
   พระเถระจึงกล่าวว่า พวกที่ทำชั่วก็เช่นกัน ถ้าไปตกนรก ก็คงไม่ได้รับอนุญาตจากนายนิรยบาลให้มาบอก.



พวกทำดีตายไปแล้ว ไม่มีใครมาบอกว่า “สวรรค์มีจริง”
๒.ตรัสเล่าว่า พระองค์เคยสั่งคนที่ทำความดีว่า ถ้าตายไปสู่สุคติโลกสวรรค์ เพราะประพฤติดีตามคำของพราหมณ์แล้ว ขอให้กลับมาบอก. พวกนั้นรับคำ ก็ไม่มีใครมาบอกเลย พระองค์จึงไม่เชื่อว่าโลกอื่นมี.

   พระเถระทูลว่า เปรียบเหมือนคนตกลงไปในหลุมอุจจาระมิดศีรษะ
   พระองค์สั่งให้ราชบุรุษช่วยยกขึ้นจากหลุมนั้น เอาซี่ไม้ไผ่ปาดอุจจาระออก
   ทำความสะอาดหมดจดแล้ว นำพวงมาลัยเครื่องลูบไล้และผ้ามีราคาแพงมาให้นุ่งห่ม
   พาขึ้นสู่ปราสาท บำเรอด้วยกามคุณ ๕ บุรุษนั้นจะอยากลงไปอยู่ในหลุมอุจจาระอีกหรือไม่.


   ตรัสตอบว่า ไม่อยาก.
   ถามว่าเพราะเหตุไร.
   ตรัสตอบว่า เพราะหลุมอุจจาระไม่สอาด มีกลิ่นเหม็น ปฏิกูล.
 
   พระเถระทูลว่า มนุษย์ก็เป็นผู้ไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็น ปฏิกูล
   สำหรับเทวดาทั้งหลาย พวกทำความดีที่ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ จะกลับมาบอกอย่างไร.



พวกทำดีตายไปแล้ว ไม่มีใครมาบอกว่า “อยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์”
๓.ตรัสเล่าว่า พระองค์เคยสั่งคนที่ทำความดีว่า สมณพราหมณ์บางพวกกล่าวว่า ผู้ที่ทำความดีจะไปสู่สุคติโลกสวรรค์ ถึงความเป็นสหายของเทพชั้นดาวดึงส์ เมื่อท่านทั้งหลายไปเกิดเช่นนั้นแล้ว ขอให้กลับมาบอกด้วย พวกนั้นรับคำแล้ว ก็ไม่มีใครมาบอกเลย พระองค์จึงไม่เชื่อว่าโลกอื่นมี

    พระเถระทูลว่า ร้อยปีของมนุษย์เป็นคืนหนึ่งกับวันหนึ่งของชั้นเทพดาวดึงส์
    ๓๐ ราตรี เป็น ๑ เดือน , ๑๒ เดือน เป็น ๑ ปี , ๑ พันปีทิพย์เป็นประมาณแห่งอายุของเทพชั้นดาวดึงส์.
    ผู้ทำความดีที่ไปเกิดในที่นั้นคิดว่า อีกสัก ๒- ๓ วัน จะไปบอก พระเจ้าปายาสิ จะมาบอกได้หรือไม่.
[/color]

    ตรัสตอบว่า มาไม่ได้ เพราะข้าพเจ้าคงตายไปนานแล้ว
    แต่ก็ใครบอกแก่ท่านเล่าว่า เทพชั้นดาวดึงส์มีอายุยืนขนาดนั้น ข้าพเจ้าไม่เชื่อเลย.

    พระเถระทูลว่า เปรียบเหมือนคนที่เสียจักษุแต่กำเนิด มองไม่เห็นอะไรเลย
    จึงกล่าวว่า สีดำ ขาว เขียว เหลือง แดง แสดไม่มี คนที่เห็นสีเช่นนั้นก็ไม่มี
    ดวงดาว พระจันทร์ พระอาทิตย์ไม่มี ผู้เห็นดวงดาว พระจันทร์ พระอาทิตย์ก็ไม่มี
    เพราะข้าพเจ้าไม่รู้ไม่เห็น สิ่งนั้นจึงไม่มีดังนี้ ผู้นั้นจะชื่อว่ากล่าวชอบหรือไม่.

    ตรัสตอบว่า กล่าวไม่ชอบ.

    พระเถระจึงทูลว่า พระองค์ที่ปฏิเสธเรื่องเทพชั้นดาวดึงส์ก็เป็นเช่นนั้น.
     สมณพราหมณ์บางพวกที่เสพเสนาสนะป่าอันสงัด ไม่ประมาท ทำความเพียร ชำระทิพยจักษุ
     มองเห็นโลกนี้โลกอื่นและสัตว์อุปปาติกะด้วยจักษุอันเป็นทิยย์ เหนือจักษุของมนุษย์มีอยู่.
     เรื่องของปรโลกพึงเห็นอย่างนี้ ไม่พึงเข้าใจว่าจะได้เห็นได้ด้วยตาเนื้อนี้.



  สมณพราหมณ์ที่มีศีลมีธรรม ถ้าเชื่อว่าตายแล้วจะไปสู่โลกหน้าที่ดีกว่า ทำไมไม่ฆ่าตัวตายเสียเลยล่ะ
๔.ตรัสเล่าว่า พระองค์เคยเห็นสมณพราหมณ์ที่มีศีลมีธรรมอันงาม ใคร่มีชีวิต ไม่อยากตาย
ใคร่ความสุข เกลียดทุกข์ จึงทรงคิดว่า

    ถ้าสมณพราหมณ์ผู้มีศีลธรรมอันงามเหล่านี้ รู้ตัวว่าตายไปแล้ว จะดีกว่าชาตินี้ ก็ควรจะกินยาพิษ เชือดคอตาย ผูกคอตาย หรือโดดเหวตาย แต่เพราะไม่รู้ว่าตายไปแล้วจะดีกว่าชาตินี้ จึงรักชีวิต ไม่อยากตาย ใคร่ความสุข เกลียดทุกข์

   ข้อนี้เป็นเหตุให้พระองค์ไม่ทรงเชื่อว่าโลกอื่นมี
   สัตว์อุปปาติกะ(เกิดเติบโตขึ้นทันที)มี
   ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วมี.

   พระเถระทูลเปรียบเทียบถวายว่าพราหมณ์คนหนึ่งมีภริยา ๒ คน
    คนหนึ่งมีบุตรอายุ ๑๐ หรือ ๑๒ ปี อีกคนหนึ่งมีครรภ์จวนคลอด.
    พราหมณ์นั้นถึงแก่กรรม มาณพผู้เป็นบุตรจึงพูดกับมารดาเลี้ยงว่า
    ทรัพย์สมบัติทั้งปวงนี้ ตกเป็นของข้าพเจ้าทั้งหมด ของท่านไม่มีเลย
    ขอท่านจงมอบความเป็นทายาทของบิดาแก่ข้าพเจ้า.

   
   นางพราหมณีผู้เป็นมารดาเลี้ยงตอบว่า เจ้าจงรอก่อนจนกว่าเราจะคลอด
   ถ้าคลอดเป็นชาย ก็จะได้ส่วนแบ่งส่วนหนึ่ง ถ้าเป็นหญิง แม้น้องหญิงนั้นก็จะต้องตกเป็นของเจ้า. [๒]

   แต่มาณพนั้นก็เซ้าซี้อย่างเดิม แม้ครั้งที่ ๒ แม้ครั้งที่ ๓ นางพราหมณีจึงถือมีดเข้าไปในห้อง ผ่าท้องเพื่อจะรู้ว่าเด็กในท้องเป็นชายหรือหญิง เป็นการทำลายตัวเอง ทำลายชีวิต ทำลายเด็กในครรภ์ และทำลายทรัพย์สมบัติ เพราะเป็นผู้เขลา แสวงหาสมบัติโดยไม่แยบคาย จึงถึงความพินาศ.

    สมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีธรรมอันดี ที่เป็นบัณฑิต ย่อมไม่ชิงสุกก่อนสุก ย่อมรอจนกว่าจะสุก สมณะพราหมณ์เหล่านี้ดำรงชีวิตอยู่นานเพียงใด ผู้อื่นก็ได้ประสบบุญมากเพียงนั้น และท่านก็ปฏิบัติเพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย. ฯลฯ

(ยังมีข้อโต้แย้งอีก ๕ ข้อ แต่พระกุมารกัสสป ก็ยกอุปมามาอธิบายได้หมด)
+++++++++++++++++++++++

    พระองค์ก็เช่นเดียวกัน ทรงหาโลกอื่นโดยวิธีที่ไม่ถูก.
    ในที่สุดได้แนะนำให้พระเจ้าปายาสิทรงสละความเห็นผิดนั้นเสีย.

    แต่พระเจ้าปายาสิทรงอ้างว่า ทรงสละไม่ได้ เพราะพระเจ้าปเสนทิโกศล และพระราชาในรัฏฐะอื่น ๆ ก็ทรงทราบกันทั่วไปว่า พระองค์มีความเห็นอย่างนี้ ก็จะพากันติเตียนได้. พระกุมารกัสสปเถระจึงยกอุปมา เพื่อจูงใจให้ทรงละความเห็นผิดนั้น ๆ

    แต่เมื่อยังไม่ทรงยอม ก็ยกอุปมาอื่นอีก โดยนัยนี้เป็นอุปมา ๔ ข้อดังต่อไปนี้:-

    ๑.เปรียบเหมือนพ่อค้าเกวียนหมู่ใหญ่ เดินทางจากภาคตะวันออกไปตะวันตก แล้วได้แบ่งกองเกวียนออกเป็น ๒ กอง กองละประมาณ ๕๐๐ เล่ม ให้ขบวนหนึ่งล่วงหน้าไปก่อน อีกขบวนหนึ่งจะตามไปภายหลัง ขบวนที่ล่วงหน้าไปก่อนถูกคนเดินทางสวนหลอกให้ทิ้งหญ้าทิ้งน้ำ เล่าว่าข้างหน้าฝนตกในทางกันดาร พุ้มไม้, หญ้า , ไม้ , และน้ำบริบูรณ์

    หัวหน้ากองเกวียนหลงเชื่อจึงพาพวกไปตายหมดสิ้น เพราะทิ้งหญ้าทิ้งน้ำแล้วก็หาน้ำและหญ้าข้างหน้าไม่ได้ พวกไปทีหลังไม่ยอมเชื่อคนหลอก ไม่ยอมทิ้งหญ้าทิ้งน้ำ จึงเดินทางข้ามทางกันดารโดยสวัสดี. แล้วเปรียบว่าพระองค์แสวงหาโลกอื่นโดยไม่แยบคาย จะพลอยให้คนที่เชื่อถือพากันถึงความพินาศไปด้วย เหมื่อนนายกองเกวียนคณะแรก.

    ๒.เปรียบเหมือนชายเลี้ยงหมูคนหนึ่ง ไปสู่หมู่บ้านอื่น เห็นคูถ ( อุจจาระ ) แห้ง ที่เขาทิ้งไว้เป็นอันมากก็คลี่ผ้าห่มออก เอาคูถแห่งใส่แล้วห่อทูลเหนือศีรษะมา ในระหว่างทางฝนตก คูถนั้นก็ไหลเลอะเปรอะไป คนทั้งหลายจึงพากันติเตียนว่าเป็นบ้า หรือไปแบกห่อคูถมาทำไม. เขาตอบกลับว่า ท่านต่างหากเป็นบ้าเพราะของที่แบกมานี่เป็นอาหารของหมู. พระองค์ก็เปรียบเหมือนอย่างนั้น ขอจงทรงสละความคิดเห็นผิดนั้นเสียเถิด.

      ๓.เปรียบเหมือนนักเลงสกา ๒ คนเล่นสกากัน คนหนึ่งย่อมกลืนลูกโทษที่มาถึงตัว [๔] .     (หมายถึงลูกสกาที่จะทำให้แพ้ ). อีกคนหนึ่งงบอกว่า ท่านชนะเรื่อยข้างเดียว ขอลูกสกาให้ข้าพเจ้าทำพิธีบ้าง . คนชนะจึงส่งให้ไป. นักเลงคนที่ ๒ จึงเอายาพิษทาลูกสกา. เมื่อเล่นครั้งที่ ๒ นักเลงสกาคนแรกก็กลืนลูกโทษที่มาถึงนั้นอีก ( และตายเพราะกลืนยาพิษเข้าไปด้วย) . พระองค์ก็เปรียบเหมือนนักเลงสกา ( ที่กลืนยาพิษไปกับลูกสกาด้วย) ของจงทรงสละความเห็นผิดนั้นเสียเถิด.

     ๔.เปรียบเหมือนชาย ๒ คนชวนกันไปยังชนบทเพื่อหาทรัพย์ ไปพบป่านในระหว่างทางก็ห่อป่านเดินทางไป ครั้นไปพบด้ายที่ทอจากป่าน คนหนึ่งเห็นด้ายมีราคากว่าก็ทิ้งป่านห่อด้ายไป อีกคนหนึ่งไม่ยอมทิ้ง ด้วยถือว่าแบกมาไกลแล้ว ผูกรัดไว้ดีแล้ว. โดยนัยนี้ไปพบผ้าเปลือกไม้. ผ้าฝ้าย , เหล็ก , โลหะ , ดีบุก ตะกั่ว, เงิน, ทอง คนหนึ่งทิ้งของเก่าถือเอาของใหม่ที่มีราคากว่า

     แต่อีกคนหนึ่งไม่ยอมทิ้ง ถือว่าแบกมาไกลแล้วผูกรัดไว้ดีแล้ว เมื่อกลับไปถึงบ้าน บุตร ภริยา เพื่อนฝูงแบกห่อป่าน ก็ไม่ชื่นชม แต่บุตร จริยาเพื่อนฝูงของผู้แบกห่อทองกลับมา ต่างชื่นชม. พระองค์จะเป็นอย่างผู้แบกห่อป่าน ขอจงสละความเห็นผิดนั้นสียเถิด.

      พระเจ้าปายาสิทรงเลื่อมใสในพระกุมารกัสสปเถระ สรรเสริญภาษิต ประกาศพระองค์เป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยเป็รนสรณะตลอดพระชนมชีพ แล้วทรงถามถึงวิธีบูชายัญ ซึ่งพระเถระก็ถวายคำแนะนำให้บูชาโดยไม่มีการฆ่าสัตว์ พระเจ้าปายาสิก็ทรงปฏิบัติตาม โดยให้มีการแจกทาน ( ทำงานสังคมสงเคราะห์) แล้วเพิ่มของที่ให้ดีขึ้นโดยลำดับ.



[๒.] พึงสังเกตว่า วัฒธรรมเกี่ยวกับการจัดมรดกตามคตินี้ หญิงไม่มีสิทธิอะไรในทรัพย์สินของบิดาเลย สุดแต่ชายผู้เป็นพี่จะจัด เพราะตัวเองตกอยู่ในฐานะที่พี่ชายจะใช้สอย หรือถือเอาเป็นภริยาได้ ( ถ้าเป็นน้องต่างมารดา)
[๔.]   แสดงว่าลูกสกาเป็นแบบลูกเต๋า ในอรรถกถาแก้ว่า เล่นด้วยลูกสี่เหลี่ยม ( ลูกเต่า ) ก็มี เล่นด้วยลูกขลุบ หรือลูกคลี ( คุล ) ก็มี การกลืนลูกสกา อาจเป็นเคล็ดให้ได้ชัยชนะเรื่อย ๆ

ที่มา หนังสือ "พระไตรปิฎก ฉบับสำหรับประชาชน ย่อความจากประไตรปิฎกฉบับภาษาบาลี ๔๕ เล่ม" โดยคุณสุชีพ ปุญญานุภาพ