หัวข้อ: ใครคือ “คนกระจอก” ในสายพระเนตรของพระพุทธเจ้า เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กรกฎาคม 02, 2010, 08:52:11 pm :25: :25: :25: ใครคือ “คนกระจอก” ในสายพระเนตรของพระพุทธเจ้า สหธรรมิกทุกท่านครับ บังเอิญผมไปเจอข้อธรรมในพระไตรปิฎกที่น่าสนใจ ที่บอกว่าน่าสนใจก็คือ ผมเจอคำว่า “คนกระจอก” และ “บุรุษอาชาไนย” ผมแปลกใจมาก ไม่เคยคิดมาก่อนว่า ในพระไตรปิฎกจะมีสองคำนี้อยู่เลย ที่แปลกใจมากกว่า ก็คือ ความหมายของทั้งสองคำที่อยู่ในพระไตรปิฎก ต่างกับความหมายที่คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจและใช้กันอยู่ จะต่างกันอย่างไรนั้น ขอให้ทุกท่านพิจารณาได้ ณ บัดนี้ --------------------------------------------------- (http://gallery.palungjit.com/data/540/budhavx2.gif) ว่าด้วย “คนกระจอก” พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า คนกระจอกในโลกนี้มี ๓ ประเภท ประเภทที่ ๑. คนสมบูรณ์ด้วยเชาวน์ ไม่สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ ใช้ไม่ได้ - ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่านี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อนี้เรากล่าวว่าเป็นเชาวน์ของเธอ - และเมื่อเธอถูกถามปัญหาในอภิธรรม ในอภิวินัยก็แก้ได้ แต่ให้สำเร็จประโยชน์ไม่ได้ ข้อนี้เรากล่าวว่าไม่เป็นคุณสมบัติของเธอ - และเธอไม่ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ข้อนี้เรากล่าวว่าใช้ไม่ได้ ประเภทที่ ๒. คนสมบูรณ์ด้วยเชาวน์ สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ แต่ใช้ไม่ได้ - ภิกษุในธรรมวินัย ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อนี้เรากล่าวว่าเป็นเชาวน์ของเธอ - และเมื่อเธอถูกถามปัญหาในอภิธรรม ในอภิวินัยก็แก้ได้ และให้สำเร็จประโยชน์ได้ ข้อนี้เรากล่าวว่าเป็นคุณสมบัติของเธอ - แต่เธอไม่ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ข้อนี้เรากล่าวว่าใช้ไม่ได้ ประเภทที่ ๓. คนสมบูรณ์ด้วยเชาวน์ สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ และใช้ได้ - ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อนี้เรากล่าวว่าเป็นเชาวน์ของเธอ - และเธอเมื่อถูกถามปัญหาในอภิธรรม ในอภิวินัย ก็แก้ได้ และให้สำเร็จประโยชน์ได้ ข้อนี้เรากล่าวว่า เป็นคุณสมบัติของเธอ - และเธอได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ข้อนี้เรากล่าวว่าใช้ได้ของเธอ st12 st12 st12 ว่าด้วย “คนดี” พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า คนดีในโลกนี้มี ๓ ประเภท ประเภทที่ ๑. คนสมบูรณ์ด้วยเชาวน์ ไม่สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ ใช้ไม่ได้ - ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป เป็นอุปปาติกะจักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา ข้อนี้เรากล่าวว่าเป็นเชาวน์ของเธอ - และเมื่อเธอถูกถามปัญหาในอภิธรรม ในอภิวินัยก็แก้ได้ แต่ให้สำเร็จประโยชน์ไม่ได้ ข้อนี้เรากล่าวว่าไม่เป็นคุณสมบัติของเธอ - และเธอไม่ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ข้อนี้เรากล่าวว่าใช้ไม่ได้ ประเภทที่ ๒. คนสมบูรณ์ด้วยเชาวน์ สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ แต่ใช้ไม่ได้ - ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป เป็นอุปปาติกะจักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา ข้อนี้เรากล่าวว่าเป็นเชาวน์ของเธอ - และเมื่อเธอถูกถามปัญหาในอภิธรรม ในอภิวินัยก็แก้ได้ และให้สำเร็จประโยชน์ได้ ข้อนี้เรากล่าวว่าเป็นคุณสมบัติของเธอ - แต่เธอไม่ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ข้อนี้เรากล่าวว่าใช้ไม่ได้ ประเภทที่ ๓. คนสมบูรณ์ด้วยเชาวน์ สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ และใช้ได้ - ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป เป็นอุปปาติกะจักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา ข้อนี้เรากล่าวว่าเป็นเชาวน์ของเธอ - และเธอเมื่อถูกถามปัญหาในอภิธรรม ในอภิวินัย ก็แก้ได้ และให้สำเร็จประโยชน์ได้ ข้อนี้เรากล่าวว่า เป็นคุณสมบัติของเธอ - และเธอได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ข้อนี้เรากล่าวว่าใช้ได้ของเธอ @@@@@@ อุปปาติกะ [อุปะปาติกะ, อุบปะปาติกะ] น. ผู้เกิดผุดขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ อาศัยอดีตกรรม ได้แก่เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย, โอปปาติกะ ก็เรียก. (ป. อุปปาติก, โอปปาติก). st11 st11 st11 ว่าด้วย “บุรุษอาชาไนย” พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า บุรุษอาชาไนยผู้เจริญในโลกนี้มี ๓ ประเภท ประเภทที่ ๑. คนสมบูรณ์ด้วยเชาวน์ ไม่สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ ใช้ไม่ได้ - บุรุษอาชาไนยผู้เจริญในโลกนี้ กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ข้อนี้เรากล่าวว่าเป็นเชาวน์ของเธอ - และเมื่อเธอถูกถามปัญหาในอภิธรรม ในอภิวินัยก็แก้ได้ แต่ให้สำเร็จประโยชน์ไม่ได้ ข้อนี้เรากล่าวว่าไม่เป็นคุณสมบัติของเธอ - และเธอไม่ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ข้อนี้เรากล่าวว่าใช้ไม่ได้ ประเภทที่ ๒. คนสมบูรณ์ด้วยเชาวน์ สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ แต่ใช้ไม่ได้ - บุรุษอาชาไนยผู้เจริญในโลกนี้ กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ข้อนี้เรากล่าวว่าเป็นเชาวน์ของเธอ - และเมื่อเธอถูกถามปัญหาในอภิธรรม ในอภิวินัยก็แก้ได้ และให้สำเร็จประโยชน์ได้ ข้อนี้เรากล่าวว่าเป็นคุณสมบัติของเธอ - แต่เธอไม่ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ข้อนี้เรากล่าวว่าใช้ไม่ได้ ประเภทที่ ๓. คนสมบูรณ์ด้วยเชาวน์ สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ และใช้ได้ - บุรุษอาชาไนยผู้เจริญในโลกนี้ กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ข้อนี้เรากล่าวว่าเป็นเชาวน์ของเธอ - และเธอเมื่อถูกถามปัญหาในอภิธรรม ในอภิวินัย ก็แก้ได้ และให้สำเร็จประโยชน์ได้ ข้อนี้เรากล่าวว่า เป็นคุณสมบัติของเธอ - และเธอได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ข้อนี้เรากล่าวว่าใช้ได้ของเธอ เรียบเรียงมาจาก พระไตรปิฎก ฉบับธรรมทาน พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๕ อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฎฐก-นวกนิบาต ขฬุงคสูตร ข้อ ๒๒๖ --------------------------------------------------- (http://www.dhammajak.net/board/files/10_149.jpg) เพื่อนๆครับ หลังจากได้อ่านแล้ว เรามาสรุปกันหน่อยว่า คนกระจอก คนดี บุรุษอาชาไนย มีความหมายอย่างไร ตามที่พระพุทธเจ้าประสงค์จะให้เป็น สิ่งที่ทำให้ คนกระจอก คนดี และบุรุษอาชาไนย มีความหมายที่ต่างกัน ก็คือ เชาวน์ เชาวน์ของคนกระจอก คือ รู้ชัดตามเป็นจริงว่านี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เชาวน์ของคนดี คือ โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป เป็นอุปปาติกะจักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เชาวน์ของบุรุษอาชาไนย คือ กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ หลังจากพิจารณาเชาวน์ของแต่ละคนแล้ว ผมได้ข้อสรุปดังนี้ คนกระจอก หมายถึง โสดาบันปัตติผล หรือ สกทาคามีผล คนดี หมายถึง อนาคามีผล บุรุษอาชาไนย หมายถึง อรหันตผล เพื่อนๆเห็นด้วยกับผมไหมครับ @@@@@@ คราวนี้มาดูความหมาย (ในภาษาไทย) ที่เราๆท่านๆใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวัน ขอยกเอาความหมายใน พจนานุกรมอิเล็กทรอนิกส์ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ มาแสดงดังนี้ครับ กระจอก ว. เขยก (ใช้แก่ขา). (ข. ขฺจก ว่า ขาพิการ); (ปาก) ไม่สำคัญ, เล็กน้อย, เช่น เรื่องกระจอก, ต่ำต้อย เช่น คนกระจอก. คนดี น. คนที่มีคุณความดี, คนที่มีคุณธรรม. อาชาไนย ว. กําเนิดดี, พันธุ์หรือตระกูลดี; รู้รวดเร็ว, ฝึกหัดมาดีแล้ว, ถ้าเป็นม้าที่ฝึกหัดมาดีแล้ว เรียก ม้าอาชาไนย, ถ้าเป็นคนที่ฝึกหัดมาดีแล้ว เรียกว่า บุรุษอาชาไนย. (ป. อาชาเนยฺย; ส. อาชาเนย). --------------------------------------------------- ขอให้เพื่อนๆ เปรียบเทียบ ความหมายของคำว่า คนกระจอก คนดี บุรุษอาชาไนย ระหว่างความหมายในพระไตรปิฎก กับความหมายในพจนานุกรม ว่าเหมือนหรือต่างกัน อย่างไร :25: :25: :25: หัวข้อ: Re: ใครคือ “คนกระจอก” ในสายพระเนตรของพระพุทธเจ้า เริ่มหัวข้อโดย: หมวยจ้า ที่ กรกฎาคม 04, 2010, 02:20:26 am :58: :25:
|