หัวข้อ: การอดอาหาร กันเป็น อาทิตย์เป็นเดือน จัดเป็นการปฏิบัติ ธรรม หรือคะ เริ่มหัวข้อโดย: sunee ที่ กรกฎาคม 06, 2012, 11:07:32 am คือไม่ทราบว่าจำผิดหรือไม่ ? ว่าพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงอดอาหาร แล้ว เห็นว่าไม่ใช่ทางสายกลาง พระองค์จึงกลับมาเสวยพระกระยาหาร ก่อน กาารตรัสรู้ ซึ่งิวิธีการอย่างนี้จัดเป็น อัตตกิลมถานุโยค คือการทรมานตนซึ่งไม่ใช่ทางสายกลางในการปฏิบัติ แต่ทำไมเดี่ยวนี้ทางพระและสำนักต่าง ๆ จึงกล่าวสรรเสริญวิธีการปฏิบัติอย่างนี้เป้นการปฏิบัติธรรม ภาวนาที่ควรนำเป็นตัวอย่าง เป็นผู้ปฏิบัติอย่างแท้จริง
โดยเฉพาะ ที่ดิฉันได้เจอ ถึงกับมีคำกล่าวว่า พระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ นั้นต้องเป็นพระผอม ๆ ส่วนพระที่ อ้วน ๆ นั้นเป็นพระที่ปฏิบัติ อะไรไม่ได้ ซึ่งการพูดอย่างนี้ ถูกหรือไม่คะ :a102: :a102: :a102: :c017: หัวข้อ: Re: การอดอาหาร กันเป็น อาทิตย์เป็นเดือน จัดเป็นการปฏิบัติ ธรรม หรือคะ เริ่มหัวข้อโดย: แพนด้า ที่ กรกฎาคม 07, 2012, 12:34:35 pm การอดอาหาร และ การบำเพ็ญแบบโยคี เป็นการเสริมตบะ แบบโยคี จัดเป็น อัตตกิลมถานุโยค เป็นการทำส่วนสุดสองประการ ทางสายกลางเท่านั้นครับ ที่ทำให้ถึงวิมุตติ และ เจริญได้ในวิมุตติ ครับ
:49: หัวข้อ: Re: การอดอาหาร กันเป็น อาทิตย์เป็นเดือน จัดเป็นการปฏิบัติ ธรรม หรือคะ เริ่มหัวข้อโดย: ธรรมะ ปุจฉา ที่ กรกฎาคม 07, 2012, 10:37:59 pm "พระที่ อ้วน ๆ นั้นเป็นพระที่ปฏิบัติ อะไรไม่ได้ " ใช่ก็ส่งสัยอยู่ว่าปฏิบัติอะไรไม่ได้ ก็แล้วอะไรละที่ว่า ปฏิบัติไม่ได้ ถ้างั้น แล้วพระที่ไม่อ้วนก็ปฏิบัติอะไร อะไรได้หมดเลยนะสิ งั้นคงจะแปลกดี เอางี้เลยนะจ๊ะ เอาคำภีร์มากางให้เราดู ถ้าจะให้เราเชื่อ โดยเฉพาะในสิ่งที่พระพุทธองค์สอน มีไหมสักครั้งที่ได้กล่าวไว้ ที่เกี่ยวกับกาย ที่ว่าจะทำให้ปฏิบัติไม่ได้ ที่เห็นมี ก็มีแต่ที่เกี่ยวกับใจ
ไม่รวมทำทานนะ เพราะต้องทำด้วยกาย หัวข้อ: Re: การอดอาหาร กันเป็น อาทิตย์เป็นเดือน จัดเป็นการปฏิบัติ ธรรม หรือคะ เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กรกฎาคม 11, 2012, 10:38:06 am (http://upic.me/i/ms/king2.jpg) หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (http://supawich.tarad.com/shop/s/supawich/img-lib/spd_20110809101935_b.jpg) สมเด็จเกียว วัดสระเกศ (http://www.dhammajak.net/board/files/_12_120.jpg) หลวงปู่สิม (http://www.dhammathai.org/webbokboon/data/imagefiles/R1802-4.jpg) หลวงปู่หล้ากราบนมัสการหลวงปู่เทสก์ (http://www.bloggang.com/data/zeri/picture/1247991411.jpg) หลวงพ่อปราโมทย์ พระคณาจารย์เหล่านี้(ตามภาพ) ล้วนมีชื่อเสียง มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย รูปร่างของทุกท่านบอกได้เลยว่า "ท่านไม่ผอม" ภิกษุใดมีรูปงาม จะสร้างเวรภัยให้กับตนเองและคนอื่น ตัวอย่างในสมัยพุทธกาลมีอยู่ เช่น พระมหากัจจายนเถระ เอตทัคคะในทางผู้อธิบายความย่อให้พิสดาร (http://statics.atcloud.com/files/entries/3/35511/images/1_original.jpg) พระเถระแปลงร่าง ดังที่กล่าวมาในตอนต้นแล้วว่าพระมหากัจจายนเถระ เป็นผู้มีรูปร่างสง่างามผิวเหลืองดุจทองคำสะอาดผ่องใจ เป็นที่ต้องตาถูกใจแก่ผู้พบเห็นทั่วไป จนกระทั่งมีเหตุการณ์วิปริตเกิดขึ้นแก่บุตรเศรษฐีคนหนึ่งในเมืองโสเรยยะ ชื่อว่า โสเรยยะ เหมือนชื่อเมือง ขณะที่เขานั่งบนยานพาหนะกับสหายเพื่อไปอาบน้ำพร้อมกับบริวารทั้งหลาย ได้เห็นพระเถระกำลังยืนห่มจีวร เพื่อเข้าไปบิณฑบาตในเมืองแล้วเกิดความพอใจ ในดวงจิตคิดอกุศลขึ้นว่า “งามจริงหนอ พระเถระรูปนี้ น่าจะเป็นภริยาของเรา หรือไม่ก็ขอให้ภริยาของเรามีสีผิวกายเหมือนพระเถระนี้” ด้วยอกุศลจิตคิดเพียงเท่านี้ ทำให้เพศชายของเขาหายไป กลายเป็นเพศหญิงไปทั้งร่างทำให้เขาอับอายเป็นอย่างมาก และโดยที่ไม่มีใครรู้เขารีบลงจากยานนั้นแล้วเดินตามกองเกวียนพ่อค้าไปยังเมืองตักสิลา และได้เป็นภริยาของลูกชายเศรษฐีในเมืองนั้น อยู่ร่วมกันจนมีบุตร ๒ คน แต่เดิมทีที่เขาอยู่ในเมือง โสเรยยะนั้น เขาก็มีภริยาอยู่แล้วและมีบุตรด้วยกัน ๒ คน เช่นเดียวกัน จึงปรากฏว่าเขาเป็นทั้งพ่อและแม่ หรือเป็นทั้งผัวและเมียในชาติเดียวกันนี้ (http://www.dmc.tv/images/casestudy/2548-02-15/2548-02-15-13.jpg) ต่อมา พระมหากัจจายนเถระ จาริกมายังเมืองตักสิลา โสเรยยะทราบแล้วจึงเล่าเรื่องราวของตนที่ผ่านมาให้สามีฟัง แล้วพากันไปกราบขอขมาโทษต่อพระเถระ เมื่อท่านทราบเรื่องโดยตลอดแล้วก็ยกโทษให้ และเพศหญิงก็หายไปเพศชายปรากฏขึ้นมาเหมือนเดิม เขาเกิดศรัทธาเลื่อมใสในพระเถระเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งเห็นว่าตนเองเป็นคนแปลกคือเป็นทั้งชายและหญิงในอัตภาพเดียวเท่านั้น และยังคิดว่าไม่ควรที่จะอยู่ครองเพศฆราวาสต่อไป จึงมอบบุตรทั้ง ๔ คนให้บิดามารดาเลี้ยงดูต่อไป ส่วนตนเองได้ขอบวชในสำนักพระเถระ และได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในกาลต่อมา พระมหากัจจายนะ นอกจากจะมีเรื่องของโสเรยยะแล้ว ยังมีเรื่องพระภิกษุเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เห็นพระเถระเดินมาแต่ไกลแล้วก็พากันกล่าวว่า “พระบรมศาสดาของพวกเราเสด็จมาแล้ว” แล้วพากันทำความเคารพกราบไหว้ ทั้งนี้ก็เพราะท่านมีรูปลักษณ์ละม้ายกับพระผู้มีพระภาคนั้นเอง พระเถระพิจารณาเห็นโทษเช่นนี้แล้ว จึงอธิษฐานจิตเนรมิตรร่างกายของท่านให้เปลี่ยนแปลงผิดแปลกไปจากเดิม ร่างกายที่เคยสง่างามก็ย่นย่อ ต่ำเตี้ย ท้องป่อง หมดความสวยงาม ดังที่พุทธศาสนิกชนนิยมสร้างรูปท่านไว้เป็นที่สักการบูชาในทุกวันนี้ _______________________________________ ที่มา http://84000.org/one/1/15.html (http://84000.org/one/1/15.html) ภาพจาก http://statics.atcloud.com/ (http://statics.atcloud.com/) และhttp://www.dmc.tv/ หัวข้อ: Re: การอดอาหาร กันเป็น อาทิตย์เป็นเดือน จัดเป็นการปฏิบัติ ธรรม หรือคะ เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กรกฎาคม 11, 2012, 10:56:34 am คือไม่ทราบว่าจำผิดหรือไม่ ? ว่าพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงอดอาหาร แล้ว เห็นว่าไม่ใช่ทางสายกลาง พระองค์จึงกลับมาเสวยพระกระยาหาร ก่อน กาารตรัสรู้ ซึ่งิวิธีการอย่างนี้จัดเป็น อัตตกิลมถานุโยค คือการทรมานตนซึ่งไม่ใช่ทางสายกลางในการปฏิบัติ แต่ทำไมเดี่ยวนี้ทางพระและสำนักต่าง ๆ จึงกล่าวสรรเสริญวิธีการปฏิบัติอย่างนี้เป้นการปฏิบัติธรรม ภาวนาที่ควรนำเป็นตัวอย่าง เป็นผู้ปฏิบัติอย่างแท้จริง การบำเพ็ญทุกขกริยาของพระพุทธเจ้านั้น ส่วนตัวเห็นว่า หากเอาเจตนาเพื่อจะค้นหาธรรมเป็นเกณฑ์แล้ว ผมถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง ส่วนพวกโยคี ฤาษี ชีไพรต่างๆ ตลอดจนพระธุดงด์บางรูป จำเป็นต้องอดอาหารเพราะอยู่ในป่าที่ห่างไหลจากหมู่บ้าน และบิณฑบาตรไม่ได้ ผมก็ถือว่าเป็นการบำเพ็ญตบะ(ความเพียรอันเป็นเครื่องเผาผลาญกิเลส) และขันติบารมี ส่วนเรื่องพระอ้วนนั้น เราจะถือเอารูปร่างเป็นตัวชี้วัดว่า "คนอ้วนเป็นคนมักมากในกามนั้น" ไม่ได้ พระดีหรือไม่ดี ต้องเอาสังโยชน์เป็นเครื่องวัด (ระดับของอริยะบุคคล) พระอริยะที่ดูรูปร่างภายนอกอ้วนนั้น ในปัจจุบันมีอยู่ บางองค์ที่อ้วน เพราะท่านอธิษฐานให้รูปร่างเป็นอย่างนั้น :25: |