หัวข้อ: บนเส้นทาง ''ธรรม'' และ ''ทำ'' พระพยอม กัลยาโณ วันนี้...กับ วิถีที่ยังคงเดิม เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กรกฎาคม 30, 2012, 09:40:10 pm (http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/cover/145025.jpg) บนเส้นทาง ''ธรรม'' และ ''ทำ'' พระพยอม กัลยาโณ วันนี้...กับ วิถีที่ยังคงเดิม “โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า” ...นี่เป็นธรรมะร่วมสมัยที่คนไทยคุ้นหูมานาน เป็นธรรมะร่วมสมัยที่ “พระพยอม กัลยาโณ เทศน์สอนคนทั่วบ้านทั่วเมืองมานาน ซึ่ง “พระนักเทศน์-พระนักพัฒนา” รูปนี้ วันนี้ท่านก็ยังคงเดิม... พระพยอม กัลยาโณ หรือ “พระราชธรรมนิเทศ” เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ท่านเป็นพระนักเทศน์ที่มีแบบฉบับเฉพาะ สามารถหยิบยกเหตุการณ์ ข่าวต่าง ๆ มาสะท้อนเป็นธรรมะ ให้คนได้มองเห็นธรรมจากเรื่องราวที่เกิดขึ้น อย่างได้รส ได้อารมณ์ ไม่น่าเบื่อ ซึ่งทุกวันนี้ท่านก็ยังคงเทศน์ให้ประชาชนฟังทุกวันอาทิตย์ ที่โบสถ์ธรรมชาติ เริ่มเวลา 13.00 น.เป็นต้นไป และนอกจากนี้ท่านยังเป็นพระนักพัฒนา ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ด้วยการจัดตั้ง “มูลนิธิวัดสวนแก้ว” ช่วยคนจนให้มีงานทำ รับบริจาคของเก่า ๆ นำมาซ่อมสร้างใหม่ แล้วขายนำเงินมาสร้างสิ่งต่าง ๆ ในทางสาธารณกุศล ชื่อ-นามสกุลเดิมของพระพยอมคือ พยอม จั่นเพชร เกิดเมื่อ 24 เม.ย. 2492 ที่ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี เป็นบุตรของ นายเปล่ง–นางสำเภา จั่นเพชร ด้วยความที่เกิดในครอบครัวที่ยากจน ทำให้ท่านไม่มีโอกาสได้ศึกษาในสายสามัญเหมือนคนอื่น ๆ ซึ่งเมื่อจบการศึกษาเบื้องต้น จากโรงเรียนสังวรพิมลไพบูลย์แล้ว ก็ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดสังวรพิมลไพบูลย์ เมื่อปี พ.ศ. 2502 และเข้ารับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดสังวรฯ ในปี พ.ศ. 2513 (http://118.174.34.195/images_upload_answer/200812161539171.jpg) จากนั้นได้ศึกษาทางพุทธศาสนา จนจบนักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก ที่วัดบางอ้อยช้าง จ.นนทบุรี และได้ไปจำพรรษา ไปเรียนรู้ธรรม อยู่กับ ท่านพุทธทาส ที่สวนโมกขพลาราม แล้วจึงกลับมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาและพัฒนาวัดสวนแก้ว “เราเกิดในครอบครัวที่ยากจน การใช้ชีวิตจึงไม่เหมือนกับเด็กทั่วไป ในวันที่โรงเรียนหยุดหรือช่วงเย็นหลังเลิกเรียน เราจะออกหางานพิเศษด้วยการรับจ้างดายหญ้าตามร่องสวน บางครั้งก็รับจ้างขึ้นต้นหมาก และเก็บมะพร้าวหล่น ซึ่งเพราะเป็นเด็กช่างคิด จึงใช้วิธีขึ้นต้นหมากวิธีลัด คือขึ้นต้นหนึ่งเสร็จแล้วก็จะโหนยอดหมากไปอีกต้นหนึ่ง โดยไม่ต้องเสียเวลาลงและขึ้นทุกต้น ทำให้ได้ค่าแรงเพิ่มขึ้น ในสมัยนั้นจะได้ค่าจ้างต้นละ 3-5 บาท ใครว่าจ้างให้ทำงานอะไรเราไม่เคยเกี่ยง เพียงแต่ขอให้ได้รับค่าตอบแทนที่ยุติธรรมก็พอ” พระพยอมเล่าย้อนอดีตในวัยเด็ก พร้อมทั้งเล่าว่า ก่อตั้งมูลนิธิวัดสวนแก้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 ด้วยวัตถุประสงค์ 3 ประการคือ เพื่อเผยแพร่ สงเคราะห์ พัฒนา สนับสนุนคนดีให้มีอาชีพ จะเน้นอยู่อย่างนี้ ตอนนี้ถามว่าทำอะไรอยู่บ้าง ก็ตามที่เขามีการวิจัยว่าคนไทยมีทุกข์ 3 เรื่อง เรื่องแรก...ทุกข์ไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่มีที่ทำมาหากิน เพราะนายทุน นักการเมือง ฮุบที่ดินไว้หมด เก็งกำไรจนคนจนแย่ ขาดแคลน สอง...ทุกข์ไม่มีงานทำ สาม...ทุกข์ไม่มีเงินใช้ ก็เลย ตั้งใจว่าชาตินี้จะไม่สร้างโบสถ์ ไม่สร้างเจดีย์ มีเงินซื้อที่ดินตะพึด ตอนนี้ซื้อไว้ได้ 1,900 ไร่ แล้วสร้างงานสร้างอาชีพให้คนมีงานทำ ให้เขามีเงินใช้ ไม่ต้องไปขายยาเสพติด ไม่ต้องไปขายตัว ไม่ต้องเป็นโจรเป็นขโมย นี่คือวัตถุประสงค์ของมูลนิธิที่กำลังทำต่อเนื่อง (http://www.dailynews.co.th/sites/default/files/imagecache/620x245/photos/145025/0.jpg) “ตอนนี้งานชิ้นใหญ่ซึ่งสำคัญมากคือ ทางผู้ว่าฯ กทม. ให้เงิน 10 ล้าน และอาตมาคงหามาเพิ่มอีก เพื่อสร้างศูนย์อพยพ หรือบ้านพักคนเร่ร่อน หรือคนที่ไม่มีที่อยู่อาศัย คนพเนจร ถ้ามีภัยพิบัติ น้ำท่วม ไฟไหม้ แผ่นดินไหวก็จะไปอยู่สาขากบินทร์ฯ เพราะตอนนี้เราสร้างไปแล้ว 40% น่าจะรองรับคนได้ 1,000 คนเศษ ๆ ที่กบินทร์ฯมี 400 ไร่” “ตอนนี้มีคนอยู่ในการดูแลทั้งสิ้น 1,400 คน รวมได้ 9 สาขา กระจายกันไป เราไม่มีพ่อยก แม่ยก เอาขยะและของเหลือใช้มาเป็นแม่ยก มารีไซเคิลใหม่ นำเครื่องใช้ไฟฟ้าพังมาซ่อมแล้วขาย กระเบื้องเหลือปูบ้านมาทำใช้เอง ตอนนี้มีบริจาคเข้ามาจนกลายเป็นรายได้ที่หล่อเลี้ยง เป็นท่อน้ำเลี้ยงของโครงการ รายได้ปีละ 70-80 ล้านบาท เหลือเชื่อ ตอนนี้หนี้สินไม่มีแล้ว ก่อนนั้นเป็นหนี้ 80 กว่าล้าน พักนึงหมดหนี้แล้ว” เป็นคำบอกเล่าของพระนักพัฒนาแห่งวัดสวนแก้ว และกับ พระพยอม กัลยาโณ ในวันนี้ ท่านบอกว่า “หลายคนสงสัย ที่ผ่านมาอาตมาหายไปไหน เราไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่ไม่ค่อยมีข่าวขึ้นหน้า 1 มานานแล้ว ตอนนี้มีพระนักเทศน์อื่น ๆ ขึ้นมา แต่ ถ้าไม่เกิดกรณีเสื้อเหลืองเสื้อแดงขึ้นมา เขาก็แซงเรายาก พอเกิดเหลืองแดง หนังสือพิมพ์ถล่มอย่างเดียว ถล่มเพราะเราไม่มีสื่อตอนนั้น รัฐบาลก็ปลดผังรายการของอาตมาออกหมด เพราะกลัวว่าจะไปกระทบเขา กลัวไปเป็นกระบอกเสียงให้อีกฝ่ายหนึ่ง ตอนนั้นเราเลยถูกปิดไปโดยปริยาย คนก็หันไปบูม ท่าน ว.วชิรเมธี ท่านสมปอง ซึ่งท่านก็เก่งกันด้วย มีความสามารถดี ตอนเราดัง ๆ มีงานเข้ามามากมาย รับนิมนต์ปีละ 800-900 งาน ขาลงเหลือไม่ถึง 100 งาน ช่วงที่กำลังดังก็ดังสุดขีดเลย วันหนึ่งแย่งกันนิมนต์ บางทีวันละ 15 ราย รับไป 3 ราย บางวันรับ 5 รายก็เคย” (http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/576/29576/images/praphayom1003.jpg) “สงสารอาจารย์สุนีย์ นิมนต์ไปเทศน์งานมหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต แล้วไม่กี่วันเสื้อแดงเข้า 4 ทุ่มมาหาที่กุฏิ มาขอแคนเซิล เพราะผู้ปกครองนักศึกษาขู่ว่าถ้านิมนต์พระอาจารย์ไปเทศน์จะย้ายลูกไปเรียนที่อื่น” พระพยอมเล่าอีกว่า เวลาไปใต้ก็มีปัญหา บางอำเภอขึ้นป้ายตัวโต ๆ ว่าไม่เอาพระพยอม เวลาไปบิณฑบาตก็เหมือนกัน ชาวบ้านบางฝ่ายที่คิดว่าอยู่ฝ่ายตรงข้าม ก็จะมาว่าอย่างนั้นอย่างนี้ “จริง ๆ เราไม่มีฝักใฝ่ เราเป็นพระ เราเป็นนักเทศน์ เราเป็นนักเขียน ที่ต้องเขียนตำรา เราต้องตำหนิใครได้สิ เราไม่มีปัญหาอะไร เราไม่มีการออกข่าว เราไม่มีกิจนิมนต์ เราก็มีงานทำของเราอยู่แล้ว” อย่างไรก็ดี พระพยอมบอกว่า ช่วงขาลงถ้ามองมุมดีก็ดี คือเขียนหนังสือได้ 7-8 เล่ม เมื่อก่อนไม่มีเวลา และเมื่อก่อนไม่เคยบิณฑบาต พอคนไม่นิมนต์ เช้าก็ไปบิณฑบาตได้ แล้วก็พิมพ์หนังสือแจก ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาไม่ค่อยมีกิจนิมนต์ คนก็ไม่มาที่วัดมาก วิถีชีวิตในแต่ละวันก็เปลี่ยน คือมีเวลาได้เขียนหนังสือ มีเวลาได้ปลูกต้นไม้มากมาย “วางไว้ว่าอาจจะขาลง 5 ปี แต่ตอนนี้ก็เริ่มฟื้นนิด ๆ แล้ว ญาติโยมที่มามักจะถามว่าทุกข์ไหม ตัวเองไม่ทุกข์นะ แต่จะทุกข์แทนคนอื่น อย่างพ่อค้าแม่ค้าที่ตามไปขายของตอนที่เราเทศน์ พอไม่มีเทศน์ก็ตามเราไปขายของไม่ได้ เขาก็ไม่ได้รายได้ เขาก็จะทุกข์” พระพยอมกล่าว และเมื่อถามท่านว่า มีการวางผู้สืบทอดเจตนารมณ์หรือยัง ท่านบอกว่า “อย่าไปหวัง อยู่ ณ ปัจจุบัน แล้วทำให้ดีที่สุด เรื่องอนาคตอย่าไปคาดหวัง อย่าไปห่วงใย...อดีตผ่านไปแล้ว แต่อนาคตยังไม่มา” http://www.youtube.com/watch?v=NdT8YTjaaqA#ws (http://www.youtube.com/watch?v=NdT8YTjaaqA#ws) เสียฟอร์ม เพราะ ข่าวลือ ช่วงน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ที่ผ่านมา พระพยอมบอกว่า ทางวัดสวนแก้วเสียหายหนัก ประมาณ 200 ล้านบาท ทุเรียน 400-500 ต้น ตายหมดไม่เหลือแม้แต่ต้นเดียว ต้นไม้ต่าง ๆ มังคุดที่กำลังตกลูก ก็ตายเกลี้ยง เจ้าหน้าที่มาสำรวจก็ให้มา 500,000 กว่าบาท ก็เอาตามได้ เพราะหากเอาเต็มจำนวนที่เสียหาย ถามว่าเงินคลังจะมีพอจ่ายหรือ ทุกคนก็ต้องคำนึงว่าความเสียหายเกิดจากธรรมชาติ ไม่มีใครที่จะสูญเสียทั้งหมด แต่ละคนก็ต้องรับผิดชอบตัวเองกันบ้าง “น้ำท่วมนาน 2 เดือน สูง 1.5-2 เมตร โชคดีที่เรากระจายความเสี่ยงไปไว้ 9 สาขา อพยพไปอยู่กบินทร์ฯ ระยอง จันทบุรี บุรีรัมย์ ฯลฯ ทั้งคนชรา เด็กกำพร้า วัวควาย ขนไปหมดเลย ขนตอนกำลังท่วม ทิ้งวัดเลย เพราะน้ำไฟถูกตัด...” “น้ำท่วมครั้งนี้ตกอับเลย วิกฤติที่สุดตั้งแต่ตั้งวัดมา โชคดีมีศูนย์เล็ก ๆ ช่วยหล่อเลี้ยง ตอนนี้อยากได้เครื่องมือทางการเกษตร อยากได้ปุ๋ย อยากได้พันธุ์ไม้ ไผ่กิมซุง มะม่วง ชมพู่ มะขามป้อมพันธุ์ใหม่ ๆ ถ้าได้มา ปลูกแล้วเดี๋ยวก็ฟื้นตัว มาขยายต่อยอดได้ต่อ...” พระนักเทศน์-พระนักพัฒนากล่าว และกับกระแสข่าวลือที่มีออกมาก่อนหน้านี้ ที่ว่า “ตอนวิกฤติน้ำท่วมพระพยอมเครียดถึงกับนั่งร้องไห้?” ท่านยิ้มอารมณ์ดี ก่อนจะปฏิเสธ และบอกว่า “ไม่จริง คนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นทุกข์ ถ้าเราเครียด คนอื่นก็ตายสิ... ลืออย่างนี้เสียฟอร์มหมดเลย!!”. ขอบคุณภาพข่าวจาก http://www.dailynews.co.th/article/392/145025 (http://www.dailynews.co.th/article/392/145025) http://118.174.34.195/ (http://118.174.34.195/) http://www.oknation.net/ (http://www.oknation.net/) |