หัวข้อ: การยกธรรม ในสมาธิ ทำอย่างไร คะ เริ่มหัวข้อโดย: nopporn ที่ กันยายน 08, 2012, 08:35:42 am การยกธรรม ในสมาธิ ทำอย่างไร คะ
ทดสอบด้วยตนเอง เมื่อจิตเป็น สมาธิ ( เหมือนนอนหลับ ) คือหยุดอยู่อย่างนั้น เพราะรู้สึกสบายใจ จึงหยุดอยู่อย่างนั้น ในขณะนั้นไม่มีสิ่งอื่นใดนึกถึง นอกจากคำว่า พุทโธ แต่ก็ไม่รู้สึกว่าเข้าถึงแก่นธรรมใด ๆ คะ จึงคิดว่าการยกธรรม ในสมาธิ ไม่ได้ทำง่าย ๆ คะ หรือ วิธีการยกธรรม มีขั้นตอน อันที่จริงเคยตั้งใจไว้ว่า เมื่อจิตเป็นสมาธิ แล้วจะยกธรรมคือ ทุกข์ ขึ้นตั้งแต่ ตอนนั้นนึกอะไรไม่ออก เหมือนจิตมันหยุดคิดคะ ขอท่านผู้รู้ช่วยแนะนำด้วยคะ :smiley_confused1: :c017: หัวข้อ: Re: การยกธรรม ในสมาธิ ทำอย่างไร คะ เริ่มหัวข้อโดย: Be-boy ที่ กันยายน 08, 2012, 07:28:17 pm ก็ต้องลองนึกดูนะครับ ว่า เรามีทุกข์ กับ สุข อย่างไร เป็นพื้นฐาน ก่อนนะครับ
คุยเป็นเพื่อนได้เท่านี้ครับ :coffee2: :s_good: หัวข้อ: Re: การยกธรรม ในสมาธิ ทำอย่างไร คะ เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ กันยายน 14, 2012, 12:54:40 pm (http://www.bloggang.com/data/teacherbik/picture/1239446840.jpg) หนูนพพร กำลังคุยเรื่องวิปัสสนา ใช่ไหมครับ ก่อนอื่นต้องแยกแยะ สมถะ กับ วิปัสสนาก่อน ลองอ่านบทความจาก "หนังสือวิธีสร้างบุญบารมี" ดูนะครับ ๒. วิปัสสนาภาวนา (การเจริญปัญญา) เมื่อจิตของผู้บำเพ็ญตั้งมั่นในสมาธิจนมีกำลังดีแล้ว เช่นอยู่ในระดับฌานต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นฌานในระดับใดก็ตาม แม้แต่จะอยู่แค่เพียงอุปจารสมาธิ จิตของผู้บำเพ็ญเพียรก็ย่อมมีกำลังและอยู่ในสภาพที่นุ่มนวล ควรแก่การเจริญวิปัสสนาต่อไปได้ อารมณ์ของวิปัสสนานั้น แตกต่างไปจากอารมณ์ของสมาธิ เพราะว่า สมาธินั้นมุ่งแต่ให้จิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง แต่อารมณ์เดียวโดยแน่นิ่งอยู่เช่นนั้น ไม่นึกคิดอะไร ๆ แต่วิปัสสนาไม่ใช่ให้จิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียวนิ่งอยู่เช่นนั้น แต่เป็นจิตที่คิดและใคร่ครวญหาเหตุและผลในสภาวธรรมทั้งหลาย และสิ่งที่เป็นอารมณ์ของวิปัสสนานั้น มีแต่เพียงอย่างเดียวคือ"ขันธ์ ๕" ซึ่งนิยมเรียกกันว่า "รูป - นาม" โดย รูปมี ๑ ส่วน นามนั้นมี ๔ คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ขันธ์ ๕ ดังกล่าวเป็นเพียงอุปาทานขันธ์ เพราะแท้จริงแล้วเป็นแต่เพียงสังขารธรรมที่เกิดขึ้นเนื่องจากการปรุงแต่ง แต่เพราะอวิชชา คือความไม่รู้เท่าสภาวธรรม จึงทำให้เกิดความยึดมั่นด้วยอำนาจอุปาทานเป็นตัวตนและของตน การเจริญวิปัสสนาก็โดยมีจิตพิจารณาจนรู้แจ้งเห็นจริงว่า อันสภาวธรรมทั้งหลายอันได้แก่ขันธ์ ๕ นั้นล้วนแต่มีอาการเป็น พระไตรลักษณ์ คือ เป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ที่มา http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=6411.0 (http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=6411.0) ขอบคุณภาพจาก http://www.bloggang.com/,http://www.watsomanas.com/ (http://www.bloggang.com/,http://www.watsomanas.com/) (http://www.watsomanas.com/images/samati/st06.jpg) เหตุที่หนูนพพร ไม่สามารถยกขันธ์ ๕ ขึ้นมาพิจารณาได้ เนื่องจากจิตของหนูแข็งเกินไป ไม่นุ่มนวลและควรแก่การงาน เรื่องนี้ผมพูดได้เพียงหลักการเท่านั้น ในทางปฏิบัติหนูต้องให้ครูอาจารย์สอบอารมณ์กรรมฐาน อย่างไรก็ตามการปฎิบัติธรรม ทำได้ ๔ ทาง ตามบทความนี้ พระอานนท์แสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุภิกษุณีที่ พยากรณ์การบรรลุความเป็นพระอรหันต์ ( พูดว่าได้บรรลุ ) ในสำนักของเรา ย่อมมีทางเป็นไปได้อย่างใดอย่างหนึ่ง รวม ๔ ทาง คือ ๑. เจริญวิปัสสนา(ปัญญาอันเห็นแจ้ง) มีสมถะเป็นหัวหน้า มรรคเกิดขึ้นเมื่เจริญมรรคก็ละสัญโญชน์ (กิเลส ที่ร้อยรัดหรือผูกมัด) ได้ กิเลสพวกอนุสัย (แฝงตัวหรือนอนอยู่ในสันดาน) ย่อมไปหมด ๒. เจริญสมถะ(ความสงบใจ) มีวิปัสสนาเป็นหัวหน้า แล้วหมดกิเลส ๓. เจริญทั้งสมถะและวิปัสสนาคู่กัน แล้วหมดกิเลส ๔. มีจิตแยกจากความฟุ้งสร้านในธรรม(วิปัสสนูปกิเลส=เครื่องทำวิปัสสนาให้เศร้าหมอง เช่น สิ่งที่ทำให้หลงเข้าใจผิดมีแสงสว่าง เป็นต้น) จิตสงบตั้งหมั่น ในภายในมีอารมณ์เป็นหนึ่งแล้วหมดกิเลส. ที่มา http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/prasuttanta/13.4.html (http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/prasuttanta/13.4.html) เราสามารถจะเลือกทำสมาธิก่อน(ทำสมถะ) หรือทำวิปัสสนาก่อนก็ได้ สิ่งที่หนูนพพรทำ น่าจะเป็นข้อแรก คือ ทำสมาธิก่อนและพยายามที่จะทำวิปัสสนาตาม กล่าวกันว่า ข้อที่สี่เป็นแนว"ดูจิต" ของสายหลวงปู่ดูลย์หรือหลวงพ่อปราโมทย์ เรื่องวิปัสสนานี้ต้องให้กัลยาณมิตรช่วยสอบอารมณ์ และควรศึกษาเรื่อง โสฬสญานหรือญาน ๑๖ อีกอย่างอยากให้รู้ก็คือ ความรู้สึกนิ่งๆไม่ทุกข์ไม่สุข เป็นอุเบกขา ขณะทำสมาธิ ไม่ใช่วิปัสสนาและก็ไม่ใช่สมถะ สิ่งนี้เรียกว่า "อทุกขมสุขเวทนา" มีประโยชน์เพียงเอาไว้พักผ่อนเท่านั้น(คำสอนของพระอาจารย์) คุยหรือนี้แล้วรู้สึกอึดอัดครับ ขอคุยเท่านี้ :25: |