สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

ดิฉันเห็นเพื่อน ๆ เวลาไปวัดด้วยกัน ชอบให้พระดูดวงให้
ที่จริงเรื่องดวง นี่มีจริงหรือไม่ ดูได้จริงหรือป่าว

และพวกที่ชอบฟันธง มีผิดบ้างไหม

ผมเชื่อเรื่องดวงครับ เพราะเก่ง แต่ไม่เฮง ก็ไม่รอดครับ ไม่เก่ง แต่เฮง ก็รอดครับ
อีกอย่างการเชื่อเป็นเพียงเรื่องการแนะนำ ถ้าแนะนำผมไปแก้บนอย่างนี้ อย่างนั้นถ้าเป็นเรื่องพอทำได้และดูไม่งมงายเกินไปผม ก็ทำตามครับ แต่ถ้าแนะนำปล่อยนก ปล่อยปลา ทำบุญอันนี้เป็นนิสัยอยู่แล้วครับจึงไม่เป็นเรื่องลำบาก

ในสมัยครั้งพุทธกาล มีการดูดวงปรากฏก็ตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะประสูติ มีพราหมณ์ 108 คนเข้าทำนายล้วนแล้วแต่ทำนายอยู่ 2 ประการ คือ1 เจ้าชายจะเป็นจักรพรรดิ์ที่ยิ่งใหญ่ 2.เจ้าชายจักเป็นพระพุทธเจ้า

 :angel: ;D

แต่ผมเชื่อเรื่องกรรมครับ ไม่มีอะไรใหญ่กว่ากรรม

 ;D ตอบได้ดี
ดวง กับ กรรม มีความเดียวกันหรือป่าว

หลายคนมักมองว่าเป็นดวง  แต่ผมว่าเป็นกรรม

           การดูดวง ทายใจ นั้น ดูได้ครับ แต่ขอให้ใช้วิจารณญาณกันซักหน่อย อย่าหมายให้โหรต้องฟันธงในเรื่อง

ของชะตา การวิเคราะห์ชะตาโดยโหรเป็นเพียงบ่งบอกเคล้ารางทิศทางชะตากรรมเท่านั้น ส่วนใหญ่แล้วเรานั่นเอง

ที่รู้การกระทำตนเอง ดังนั้นควรใช้การพินิจพิจารณาอย่างแยบคายไว้ด้วย การหมั่นประกอบกุศลอยู่เนืองๆเพื่อ

รักษาดวงจิตดวงใจมิซัดส่ายนอกลู่นอกทางเป็นการกำหนด "สัมมาทิฏฐิ" ให้กับเรือนชะตานั้นดีกว่า



         ในอดีตผมนั้นก็อาศัยการดูดวงชะตาราศีกำหนดการตัดสินใจ แต่ ณ ขณะนี้ละทิ้ง หันมาเชื่อกรรม ใส่ใจ

กับเรื่องทานกุศล ศีลภาวนา

ถามว่าเวลาดูดวง เชื่อหรือป่าวคะ ก็ตอบว่า 80% คือไม่เชื่อ คะ

อีก 20% นั้นเอาไว้ปลอบใจตัวเอง คร้า...

เรื่องของโหราศาสตร์ เป็น ศาสตร์ ที่มีมาก่อน พระพุทธศาสนา เป็นของศาสนาพราหมณ์

ความแม่น ก็มีคร้า... ถ้าผู้นั้น เรียนตามตำรา ที่แท้จริง ก็มีความแม่น ยิ่งเป็นพวกมีสมาบัติด้วย ก็ยิ่งแม่น

ครั้งพุทธกาล ผู้ที่แสดงความแม่น ก็คือ พระมหาอัญญาโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ

พระอัสสชิ เพราะเชื่อมั่นในคำทำนาย แม้กบิลดาบส ก็เหมือนกัน ก็ทำนายว่า เจ้าชายสิทธัตถะ ต้องเป็น

พระพุทธเจ้า ถึงกับร้องไห้ ที่ตนเองไม่มีชีิวิตอยู่ทันการตรัสรู้ นี่เป็นเรื่องของความแม่นในอดีต

  ดังนั้น พราหมณ์ปุโรหิต จึงเป็นอาชีพ ที่มีมาคู่กับแผ่นดิน ไทยมาตลอดถึงปัจจุบัน

  ถ้าหันไปมอง พวก ซินแส ที่เก่ง  ๆ อย่าง จูกัดเหลียง ที่รู้ฟ้าจบดิน ถึงกับมีผู้กล่าวขานว่า เรียกฟ้า เรียกลม

ได้ และบรรดาปรมาจารย์ ผู้คิดค้นวิชา ผังดาว ต่างๆ มาคำนวณเป็นศาสตร์ เรียกว่า ฮวงจุ้ย นั้นก็ปรากฏใน

อำนาจของ วิชานั้น ๆ

  ถ้า ไปทาง โซนตะวันตก ก็มีพวกเก่ง ๆ ก็พวก ยิปซี และ พวกอินคา อินเดียนแดง นี่แหละที่เป็นที่ยอมรับ

ของบรรดา สาวกในเรื่องการตรวจดวงชะตา

  สำหรับของไทยเอง ก็มีเื่รื่อง การผูกดวงวางลัคนา และ คำนวณเลข 7 ฐาน ที่ถือว่าเป็นศาสตร์ที่ยอมรับว่า

ไม่ใช่ ก็ใกล้เคียง

  แต่อย่างไรเสีย วิชาโหราศาสตร์ นั้นก็เป็นวิชาของปุถุชน ถึงจะเก่งอย่างไร พระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้ยกย่อง

เพราะเป็นศาสตร์ ที่ทำให้คนหลับ เป็น ไสยศาสตร์ คร้า...
 :25:

อันนี้เกี่ยวกับ พวกลุงทางอ้อม นะครับ

จึงขอตอบในฐานะ ที่อยู่ชมรมโหราศาสตร์ ด้วย

---

ก่อนอื่นขอตอบว่า หมอดู นั้นไม่ใช่ หมอเดา นะครับ

 เพราะหมอดู ต้องเรียนศาสตร์ของ หมอดูมา เช่น การดูดวงแบบลัคนา การคำนวณชีวิตด้วยฐาน 7 เป็นต้น

ดังนั้นหมอดู ก็เพียงแต่ทำนายตามสิ่งที่เรียนมา ซึ่งจะแม่นมาก หรือ แม่นน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับภูมิที่เรียนมา

แต่จะเอามาเป็นสาระได้หรือไม่ ก็ขอตอบว่า 50% เอามาเป็นสาระไม่ได้ แต่อีก 50% อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ

ของนักธุรกิจ ระดับประเทศมากมาย อาทิถ้าคุณจะเปิดร้านทำธุรกิจอะไรสักอย่าง ถ้าคุณไม่มั่นใจคุณก็เดินเข้าไปหา

หมอดูที่เรานับถือ แล้วมอบวัน เดือน ปีเกิด เวลาตกฟากให้ เราก็จะได้คำปรึกษาเชื่อหรือไม่ครับ คำปรึกษาของ

หมอดูนั้นบางครั้ง ไม่มีราคาเพราะการดูดวงชะตาให้ ไม่ใช่ว่าจะต้องเก็บเงินทุกครั้ง ผมเองดูให้คนฟรีซะเป็นส่วน

ใหญ่ ส่วนคนไหนเขานึกขึ้นได้เขาก็นำกระเช้าบ้าง เงินบ้างมาให้ ดังนั้นบอกว่าอยู่เบื้องหลัง 50% ก็อย่างนี้

หมอดูช่วยคนมีความทุกข์ แก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ชู้ สาว ผัวทิ้ง เมียจาก โดยตั้งมั่นกับหลักธรรมของ

พระพุทธองค์ เป็นหลัก อันนี้คือ หมอดูมืออาชีพ จริง ๆครับจึงเ้ป็นที่นับถือแก่คนทั่วไป

ที่นี้มาพูดถึง คนอีกพวกหนึ่งก็ใช้อาชีพ หมอดู แต่พวกผมเรียกคนพวกนี้ว่า หมอเดา ที่ตั้งโต๊ะใต้ต้นไม้ ใต้ซุ้ม

เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร อาศัยวาทะโน้มน้าวคน ประกอบกับตำราที่ซื้อมาอ่านเอง และโมเม ไปเองอย่างไม่มี

ประสพการณ์ พวกนี้เขาเรียกว่า หมดเดา ที่ทำให้คนพวกหมอดูตัวจริง เสียหาย จึงเป็นเหตุก่อตั้งชมรม

โหราศาสตร์ ขึ้นมาและจัดอบรมให้ฟรี เพื่อจะให้คนพวกนี้เข้ามาเรียนแล้วไปใช้วิชาให้ถูกต้อง ถูกเรื่อง ไม่พูด

ไปมั่ว ไม่มีหลักการ

---

    ตำราเกี่ยวกับ โหราศาสตร์ ที่ฟรี ๆ ที่ท่านสามารถ ดาวน์โหลดไปนั่งอ่านก็มีกันมากผมจะแนะนำให้ครับ

  เล่มนี้แนะนำให้อ่าน ผู้เขียน ๆ ไว้ดี
 เรื่องนี้เป็นงานเขียนจากประสบการณ์ในชีวิตโหราศาสตร์ของท่านอ.อรุณ ลำเพ็ญ ซึ่งใช้นามปากกาว่า "นายเถาวัลย์" หรือ "หมอเถา(วัลย์)" ในภายหลัง โดยมีคำยืนยันจากอ.พิศมัย นามะสนธิ บรรณาธิการนิตยสารพยากรณ์สาร ฉบับเดือนกรกฏาคม ๒๕๑๖ ความว่า

     เมื่อพยากรณ์สารประจำเดือนมิถุนายน ๒๕๑๖ ออกไปแล้ว ได้รับการติดต่อทั้งทางจดหมายและส่วนตัวหลายราย เกี่ยวกับเรื่องที่ลงไว้ในเล่นนั้นคือ

          1. เรื่องของ "หมอเถาวัลย์"
     หลายท่านเข้าใจว่าเป็นเรื่องที่เขียนโดย คุณประทีป อัครา เพราะสำนวนการเขียนเหมือนกัน
          ทั้งนี้ ขอยืนยันด้วยเกียรติของบรรณาธิการว่า เป็นคนละคนกัน
     หมอเถาวัลย์ เป็นผู้ที่บรรณาธิการเห็นว่ามีความรู้ในหลักวิชาโหราศาสตร์กว้างขวางมากผู้หนึ่ง จึงได้ขอร้องให้เขียนบทความเกี่ยวกับความรู้เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้สนใจในพยากรณสาร ซึ่งก็ได้รับความเอื้อเฟื้อด้วยดี และปรากฏว่าเรื่องของท่านได้รับความสนใจจากผู้อ่านทุกระดับชั้นด้วย

โปรดคลิ๊กที่ภาพ ถ้าต้องการดาวน์โหลด
(http://www.khaosod.co.th/news-photo/khaosod/2001/07/56123311p1.jpg) (http://www.suriyayatra.horasad.com/download/Horasad_The_Story.zip)

และสามารถตามไปโหลดได้ที่เว็บนี้ครับ

http://www.suriyayatra.horasad.com/download/ (http://www.suriyayatra.horasad.com/download/)

ที่นี้ เรื่อง การดูดวง นั้นสำหรับ ชาวพุทธ นั้นมีความสำคัญอย่างไรครับ ?

  สำหรับ ชาวพุทธ ที่เป็น ปุุถุชน ที่ยังไม่ได้เข้าสู่วิธีแห่ง พระอริยะบุคคล นั้นยังมีความสำคัญอยู่ครับ

เพราะเปรียบเหมือนชนที่ยังเขลาปัญญา ที่อุปปติสสะปริพาชก ถูก สํญชัยปริพาชก ถามว่าคนฉลาดกับ

คนโง่ อันไหนมีจำนวนมากกว่า นั่นแหละครับ คนพวกนี้ยังต้อง หนาว ต้องร้อน โดยไฟ คือ ราคะ โทสะ

โมหะ อยู่คนเหล่านี้ จำเป็นต้องมีที่ปรึกษา และควรจะพยากรณ์ตามความรู้ ไม่ใช่พูดมั่วไป ตามประเภท หมอเดา

  สำหรับ ชาวพุทธ ที่เป็น พระอริยะบุคคล ตั้งแต่ พระโสดาปัตติมรรค นั้น ไม่มีความจำเป็นแล้วครับ

เพราะเป็นพวกที่เข้าใจ ชีวิต ปิด อบาย เป็นผู้เข้ากระแสพระนิพพานแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ ศาสตร์

อื่น นอกจาก พุทธศาสน์ เท่านั้น ดังนั้นเราท่านก็จะเห็นว่า ใน จูฬศีล ขึ้นไป ในพรมหชาลสูตร พระพุทธเจ้าจะ

ทรงตรัสเรียกว่า ภิกษุ ( เพราะเป็นพระอริยะบุคคล ผู้เห็นภัยในวัฏฏะ ) นั้นไม่พึงประกอบเรื่อง โหราศาสตร์

เป็นต้น

   ดังนั้นถ้ามองตามมุม แล้ว ในวิชาทั้งปวง นั้นมีข้อดี ข้อเสีย ข้อเฉพาะบุคคลอยู่

   ถ้าผมจำไม่ผิด จะเห็นคุณ Nathaponson จะพูด ถึงเหรียญ มีสองด้าน ไม่ใช่เหรียญมีด้านเดียว นะครับ

  ใช้เป็นก็เกิดปัญญา ใช้ไม่เป็นก็เป็นเรื่องงมงาย

   เหมือนพระพุทธรูป มีคนบอกว่าเป็นเครื่องขวางธรรม ควรจะทำลายให้หมด

   แต่ที่ภาคเหนือ มีคุณยายเก็บตัวอยู่ในบ้าน 70 ปีด้วยโรคเรื้อน อาศัยการมองพระพุทธรูป และระลึกถึงพระ

 พุทธเจ้า มาตลอดชีวิตที่เก็บตัวอยู่กำลังใจ ที่ช่วยให้อดทนนั้น คุณยายบอกว่า เพราะเห็นพระพุทธรูปที่อยู่ใน

 บ้าน ดังนั้นควรมองคุณค่า ทางศิลปะ วัฒนธรรม และความเป็นศาสนาลงไปด้วยครับ

   เพราะพระศาสนา ไม่ใช่วัตถุทางจิตเท่านั้น แต่คนต้องสมบูรณ์ด้วย วัฒนธรรมทางกายด้วย

   มีคนมักพูด ว่าเป็นพระเป็นที่ใจ แล้วก็เที่ยวด่าพระรูปนั้น รูปนี้ ว่าไม่เป็นพระ ถ้าหากยึดเอาแต่ใจตามตัว

  พระสงฆ์ จริง ๆ ไม่มีครับ ศาสนาพุทธจริง ๆ ก็มีไม่ได้ พระพุทธเจ้า พระองค์ ตรัสว่า ธรรมจักร ของเราเดินแล้ว

 เพราะมี พระพุทธจ้า พระธรรม และ พระสงฆ์ ครับ

  คุยกัน .... เป็นเพื่อนนะครับ เรื่องนี้

     :25: :25: :25:

หมอดู คู่ กับ หมอเดา

พระแท้ คู่ กับ พระเทียม

จริง คู่ กับ ปลอม

สุข คู่ กับ ทุกข์

วาง คู่ กับ ปล่อยวาง

ธรรม คู่ กับ อธรรม

เมื่อมีสิ่งคู่ จึงมีปัญหา

หนทางแห่งการสิ้นทุกข์ มีเพียงสายเดียว เรียกว่า เอกยนมรรค อันประกอบด้วย องค์ 8 ประการ

เจริญพร

 ;)