สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน => ข้อความที่เริ่มโดย: raponsan ที่ ธันวาคม 08, 2012, 06:43:27 am



หัวข้อ: วิปัสสนาบนหน้าข่าว : 'จิตสงบ' พบ 'ชีวิต'
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ ธันวาคม 08, 2012, 06:43:27 am

(http://www.komchadluek.net/media/img/size_photo_slide/2012/12/05/ghg5h8g8bichdif7bajd7.jpg)


วิปัสสนาบนหน้าข่าว : 'จิตสงบ' พบ 'ชีวิต' โดย...พระชาย วรธัมโม

      สมัยเรียน ม.๑ ในชั่วโมงแนะแนวคุณครูแจกกระดาษให้คนละ ๑ แผ่นพร้อมกับถามว่า
      ถ้าเปิดโอกาสให้นักเรียนตั้งคำถาม ๑ คำถาม นักเรียนจะถามว่าอะไร
      ตอนนั้นผู้เขียนตอบว่า “คนเราเกิดมาทำไม”

      คุณครูถามว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลังคำถามนี้หรือเปล่า ก็ตอบคุณครูไปตรงๆ ว่า ชีวิตมันยุ่งเหยิง พอจบ ป.๖ ก็ต้องจากเพื่อนเก่าๆ ที่สนิทกันเพื่อไปสอบเข้า ม.๑ ต้องเปลี่ยนโรงเรียนใหม่ ไปเจอกับระบบระเบียบที่เคร่งครัดไปจากเดิม ต้องเจอเพื่อนที่มีนิสัยแตกต่างไปจากเพื่อนตอน ป.๖ ต้องปรับตัวหลายอย่าง หนำซ้ำยังต้องเรียนแผนการเรียนที่ตัวเองไม่ชอบ อยากเปลี่ยนก็เปลี่ยนไม่ได้ อยากไปเรียนโรงเรียนที่ชอบก็ไม่ได้ไป

      คุณครูคงรู้สึกว่าเด็ก ม.๑ ไม่น่าถามอะไรซีเรียสจริงจังขนาดนั้น แต่คุณครูก็ยังอุตส่าห์ถามว่าในชีวิตชอบอ่านหนังสือธรรมะหรือเปล่า เพราะคนที่ตั้งคำถามว่า ‘เกิดมาทำไม’ มักถูกมองว่าเป็นคนสนใจธรรมะ
      ทั้งๆ ที่การตั้งคำถามนี้อาจจะไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับการสนใจหรือไม่สนใจธรรมะก็ได้
      แค่รู้สึกข้องใจเฉยๆ แค่นั้นเองว่าทำไมคนเราต้องเกิดมาเพื่อมาเจอกับความสับสนวุ่นวายบนโลกนี้ด้วย
      จึงตอบคุณครูไปตามความจริงว่าไม่ได้ชอบอ่านหนังสือธรรมะเลย

      หลังจากนั้นคำถามดังกล่าวก็ค่อยๆ จางหายไป
      เพราะมีอะไรๆ เปลี่ยนผ่านเข้ามาตลอดเวลาทั้งสุขและทุกข์
      จนทำให้ลืมคำถามคาใจนั้นไปในที่สุด


(http://www.komchadluek.net/media/img/size1/2012/12/05/9f6akhdaib95fhab68abf.jpg)

      ผ่านไป ๘ ปี ชีวิตของผู้เขียนก็หันเหเข้ามาบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา ทำให้ได้พบกับสิ่งแปลกใหม่ในชีวิต ก็คือพุทธศาสนาภาคปฏิบัติที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อน ต้องโกนหัว ต้องนุ่งห่มผ้าเหลือง ต้องถือศีลวัตรปฏิบัติ ๒๒๗ ข้อในแบบที่เราเองก็ไม่คุ้นเคย

       ต้องเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในวัด วันๆ ไม่ได้ไปไหน กิจวัตรประจำวันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการบิณฑบาต ฉัน สวดมนต์ ปฏิบัติสมาธิภาวนาแล้วก็จำวัตรในเวลาค่ำ เป็นวงจรชีวิตที่วนเวียนอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้เราอยู่ในภาวะที่สงบ เพียงระยะเวลาอันสั้นของการเข้ามาบวชก็หล่อหลอมให้จิตจนรู้สึกสงบไปโดยอัตโนมัติ
       เมื่อเทียบกับตอนเป็นฆราวาส ผู้เขียนก็เคยฝึกสมาธิภาวนาอยู่บ้างแต่จิตใจก็ไม่เคยเข้าถึงความสงบเลย
       คงเพราะตอนเป็นฆราวาสเราไม่ได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมและสถานะที่เอื้อให้จิตใจของเราได้สัมผัสกับความสงบนั่นเอง สิ่งแวดล้อมที่สงบกับศีลวัตรปฏิบัติที่มากขึ้นมีผลให้จิตสงบได้เหมือนกัน

       การที่จิตเปลี่ยนภาวะจากความสนุกสนานลิงโลดในภาคฆราวาส มาเป็นความสงบในแบบนักบวช
       ทำให้เกิดการสัมผัสความสุขภายในในแบบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับความสุขทางโลกที่เคยสัมผัสมา เกิดการรับรู้อย่างแจ่มชัดว่า
       ความสุขที่มีเหตุปัจจัยมาจากความสงบทางจิตนั้น เป็นความสุขที่ประณีต
       ไม่สามารถอธิบายผ่านตัวหนังสือ ให้คุณผู้อ่านที่ไม่เคยสัมผัสกับความสุขสงบชนิดนี้ให้เข้าใจได้
       แต่อยากอธิบายว่าเป็นความสุขภายในที่ทำให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า
       แท้จริงแล้วความสุขของชีวิตก็คือ 'จิตที่สงบ' นี่เอง
       โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสุขทางโลกที่เราเสพๆ กันอยู่เทียบกันไม่ได้เลย

       กับคำถามที่ว่า ‘คนเราเกิดมาทำไม’ ผู้เขียนพบแล้วว่า
       แท้จริงคนเราเกิดมาเพื่อทำให้ ‘จิตสงบ’ นี่เอง
       คนเรากว่าจะได้พบเจอกับความสงบทางจิต ก็ต้องติดข้องกับการดิ้นรนเรื่องปากท้อง
       และความอยากมากมายในชีวิตที่แทรกตัวเข้ามา
       บางคนเกิดมาไม่นานก็พบกับจิตสงบทันที
       บางคนกว่าจะพบจิตสงบก็ในบั้นปลายชีวิต
       แต่บางคนก็ไม่เจอและไม่เคยรู้เลยว่าจิตสงบคืออะไร


(http://www.komchadluek.net/media/img/size1/2012/12/05/fadb7ebd55fi9fgdg9jfb.jpg)
     
      เมื่อมองย้อนกลับไปตอน ม.๑ ผู้เขียนเข้าใจตัวเองมากขึ้นว่าเวลานั้นเรากำลังเจอ ความทุกข์ นั่นเอง ซึ่งเป็นข้อที่ ๑ ในอริยสัจ ๔ แต่เวลานั้นยังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจอริยสัจอีก ๓ ข้อที่เหลือ คือ สมุทัย นิโรธ และมรรค

      เรารู้สึกทุกข์เพราะมีหลายเรื่องที่ไม่ได้ดังใจหวังทำให้ชีวิตดูสับสนวุ่นวาย เมื่อเจออะไรที่ไม่สมหวังเยอะเข้าๆ จึงทนไม่ไหวเกิดความข้องใจสุดขีดว่าตกลงชีวิตนี้เกิดมาเพื่ออะไร เพื่อมาเจอกับความทุกข์เท่านั้นหรือ

      สมุทัย แปลว่า สาเหตุของทุกข์ คือจิตที่เข้าไปเกาะเกี่ยวยึดติดกับความคาดหวังต่างๆ นานา ยึดติดเพื่อน ยึดติดโรงเรียนเก่า คาดหวังกับแผนการเรียนที่อยากเรียน คาดหวังไปกับโรงเรียนในฝันที่ตัวเองอยากไปเรียน เมื่อจิตยึดติดกับความคาดหวังต่างๆ นานาเป็นไปไม่ได้ที่เราจะสมหวังไปเสียทุกเรื่อง เมื่อผิดความคาดหวังขึ้นมาจิตก็เสียศูนย์ มีการซัดส่ายไปตามความผิดหวังหลายเรื่องที่ประดังประเดเข้ามา

      นิโรธ แปลว่า ความดับไปแห่งทุกข์ คือภาวะจิตที่ไร้ทุกข์ มีแต่ความสงบ เวลานั้นผู้เขียนก็ยังไม่รู้จักว่าเป็นอย่างไร

      มรรค แปลว่า หนทางแห่งการดับทุกข์ คือ การฝึกจิตให้ละคลายจากการยึดติดต่างๆ นานา เมื่อจิตคลายความยึดติดไปเรื่อยๆ ก็จะกลายเป็นจิตที่อิสระ ซึ่งในเวลานั้นผู้เขียนก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าการฝึกจิตต้องทำอย่างไร

ณ เวลานั้นถึงแม้ความทุกข์ของเด็ก ม.๑ จะไม่ได้รับการเยียวยาด้วยสมาธิภาวนา แต่เมื่อเวลาผ่านไปความทุกข์เหล่านั้นก็จางคลายเลือนหายไปเองเหลือไว้แต่ความทรงจำ เพราะเมื่อเวลาผ่านไปเด็กคนนั้นก็จบ ม.๓ มีการเปลี่ยนโรงเรียนใหม่อีกครั้ง ความทุกข์เก่าหายไปความทุกข์ใหม่เข้ามาแทนที่
       เมื่อโตขึ้น กิเลส ความต้องการ ความใฝ่ฝันก็เปลี่ยนรูปร่างหน้าตาไป
       ความทุกข์ก็มีพัฒนาการเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาไปตามการเติบโตของเรา
       แต่ความทุกข์ในวัยเด็กไม่สามารถทำให้ทุกข์ได้อีกต่อไป เพราะกิเลสและความต้องการของเราเปลี่ยนแปลงหน้าตาไป แล้วก็มีความทุกข์อันใหม่สัญจรเข้ามาเหมือนเดิม ใครหลายคนต่างก็ตกอยู่ในสังสารวัฏแห่งการเกิดดับของความทุกข์ลักษณะนี้เรื่อยมา และไม่สามารถค้นหาวิธีการดับทุกข์ที่ชะงัดได้สักที


(http://www.komchadluek.net/media/img/size1/2012/12/05/cdiacb6aajgjbhdb97ejk.jpg)
     
       วิธีการดับทุกข์ที่ชะงัดก็คือ การทำจิตให้สงบ
       เมื่อนั้นเราจะรู้เองว่า ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปตามหน้าที่ของมัน
       มีเพียงจิตใจของเราเท่านั้นที่เข้าไปยึดติด

      การทำจิตให้สงบไม่ได้หมายความว่า เราต้องละทิ้งการงานแล้วออกบวช
      จิตที่สงบมีได้ทั้งในเพศนักบวชและเพศฆราวาส
      นักบวชบางท่านบวชมานานแต่ไม่รู้จักจิตสงบก็เป็นไปได้
      ฆราวาสบางคนมีจิตที่สงบกว่านักบวชก็มี


      วิธีการทำจิตให้สงบเพียงแค่ เราจัดช่วงเวลาสั้นๆ ให้ชีวิตได้อยู่ในที่ๆ สงบหรือไปเรียนรู้กัมมัฏฐานที่วัด
      ที่นั่นเราอาจได้ลิ้มรสของจิตสงบว่าเป็นอย่างไร
      เราไม่จำเป็นต้องมีจิตสงบแบบถาวรในทันที เพียงแค่รับรู้ประสบการณ์จิตสงบแบบชิมลาง
      เพื่อเป็นจุดเปรียบเทียบให้เรารู้จักมากขึ้นว่า จิตสงบมีรสชาติเป็นความสุขที่ประณีตกว่าความสุขทางโลก
      เพื่อที่เราจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของความสุขอย่างโลกๆ ที่หมุนเวียนเปลี่ยนหน้ามาหลอกเราทุกเมื่อเชื่อวัน เพื่อที่เราจะได้มีจิตสงบแบบถาวรในที่สุด

      จิตสงบไม่ได้หมายความว่าต้องหันไปใช้ชีวิตในชนบทหรือใช้ชีวิตอยู่แต่ในวัดเท่านั้น แต่จิตที่สงบยังสามารถทำงานอยู่ในเมืองที่ยุ่งเหยิงได้ หากผ่านการฝึกฝนมาอย่างดีจิตสงบก็สามารถอยู่กับเราและไปกับเราได้ทุกๆ ที่ เพียงแต่ว่าเราควรจัดเวลาชีวิตให้มีช่วงเวลาฝึกปฏิบัติให้จิตได้รู้วิธีสงบอย่างชำนาญ

      จิตสงบยังเป็น ๑ ในมงคล ๓๘ ประการ และใช่ว่าจิตสงบจะมีในพุทธศาสนาเท่านั้น
      จิตสงบมีอยู่ในทุกศาสนา จิตสงบเป็นสิ่งสากลไม่ว่าชนชาติใดหรือศาสนาใดก็สามารถเข้าถึงจิตสงบได้
      ไม่มีใครเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์

      สำหรับผู้เขียนแล้วจิตที่สงบไม่ได้ให้คำตอบแค่ว่า ‘เกิดมาทำไม’ เท่านั้น
      แต่จิตสงบยังให้คำตอบที่กว้างขวางกว่านั้นมาก
      คำตอบที่กว้างกว่านั้นคืออะไร คุณผู้อ่านค้นหาได้ด้วยตนเอง...


ขอบคุณภาพข่าวจาก
www.komchadluek.net/detail/20121206/146473/วิปัสสนาบนหน้าข่าว:จิตสงบพบชีวิต.html#.UMJ4YKzjrRd (http://www.komchadluek.net/detail/20121206/146473/วิปัสสนาบนหน้าข่าว:จิตสงบพบชีวิต.html#.UMJ4YKzjrRd)