ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - หมวยจ้า
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 12
161  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ขอทานในประเทศอินเดีย... เมื่อ: ธันวาคม 28, 2010, 07:44:31 am


ถ้า อาชีพ แปลว่า การงานที่ทำเพื่อหาเลี้ยงชีพ
ขอทานในอินเดีย น่าจะเรียกว่าเป็นอาชีพได้เหมือนกัน
เพราะมีมากมายเหลือเกิน สวัสดิการที่ไม่ทั่วถึง
ประชากรที่ไม่มีการควบคุม
การเกิดในชนชั้นที่ต่ำต้อย ต้องรอคอยเศษเสี้ยวจากผู้ใจบุญ
งานบุญใหญ่ๆ ขอทานเรียงรายหลายกิโล
จูงลูกเล็กเด็กแดงมารอคิว..หนูหิว
เพียงเพื่อให้ท้องอิ่ม...

สุขแล้วอย่าลืมแบ่งปัน...นะคะ

จบแบบไม่แฮปปี้นัก แต่นี้คือด้านหนึ่งของชีวิตที่เดลีค่ะ

ขอบคุณที่มา
http://www.painaima.com/webboard/viewTopic.php?id=402
162  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วิวาห์ภารตะอลเวง แต่งแล้วถึงรู้สามีเป็นผู้หญิง เมื่อ: ธันวาคม 28, 2010, 07:43:13 am

วิวาห์ภารตะอลเวง แต่งแล้วถึงรู้สามีเป็นผู้หญิง



หญิงชาวอินเดียอยู่กินกับ "สามี" มานาน 1 ปี ถึงได้ตาสว่างว่าที่แท้ผัวตัวดีเป็นชะนีนี่นา

          ข่าวกัลกัตตาเทเลกราฟรายงานสถานการณ์แปลกประหลาดนี้ว่าเกิดขึ้นกับ มินาตี คาตัว หญิงวัย 26 ปีจากเมืองรูร์เคลา ที่หน้ามืดตามัวยอมร่วมหอลงโรงกับ สิตากันต์ รูเทรย์ วัย 28 ปี โดยที่ครอบครัวของเธอก็พลอยเห็นดีเห็นงามด้วย

          "เขาทำให้ทุกคนในครอบครัวฉันประทับใจจนพวกเขาเห็นชอบกับการแต่งงาน" เธอว่า ตามจารีตประเพณีอินเดีย ผู้ชายจะเป็นฝ่ายได้รับสินสอดจากฝ่ายหญิง ซึ่งสิตากันต์ก็ได้ทั้งรถยนต์ยี่ห้ออินดิคา เครื่องทอง และเงินสดอีกมากกว่า 16,000 บาท

           หลังแต่งกันแล้ว มินาตีเริ่มผิดสังเกตว่าสามีตัวดีไม่ยอมร่วมหลับนอนด้วย และพยายามหลีกเลี่ยงการถูกเนื้อต้องตัวโดยอ้างว่าได้ให้สัตย์อธิษฐานไว้ เธอพยายามหาคำตอบเพื่อยืนยันเพศที่แท้จริงของสามีอยู่หลายครั้ง แต่ก็ล้มเหลวเรื่อยมา กระทั่งวันหนึ่ง "ขณะที่เขาอาบน้ำอยู่ ฉันดันจนประตูห้องน้ำเปิดออก แล้วสิ่งที่กลัวที่สุดก็เป็นความจริง เขาเป็นผู้หญิง" ตำรวจอินเดียในท้องที่ยืนยันเรื่องที่เกิดขึ้นและบอกว่ากำลังสอบสวนคดีนี้
163  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ถ้าเราตั้งใจ เพื่อการไม่กลับมาเกิดในชาตินี้แล้ว จะสามารถลุถึงเป้าหมายได้หรือ.... เมื่อ: ธันวาคม 28, 2010, 07:34:26 am
ถ้าเราตั้งใจ เพื่อการไม่กลับมาเกิดในชาตินี้แล้ว จะสามารถลุถึงเป้าหมายได้หรือไม่คร้า...

ต้องการถามว่า จะมีโอกาสสำเร็จตามที่ตั้งใจวางไว้หรือป่าวคร้า..

ถ้ามิฉะนั้น ควรทำอย่างไรที่จะ สามารถ ทำให้ประสพความสำเร็จให้ได้คร้า...


 :25: :25: :25:
164  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ขอคำแนะนำ เรื่องการวางใจพื้นฐาน ในชีวิตประจำวันด้วยคะ เมื่อ: ธันวาคม 28, 2010, 07:31:52 am
เนื่องในวาระที่จะเปลี่ยนปีนี้ ขอพระอาจารย์ ช่วยชี้นำวิธีการวางใจพื้นฐาน

เพื่อการภาวนา ด้วยคะ

 :25: :25: :25:
165  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / เห็นภาพแล้ว น้ำตาหยดแหมะ ( ไมมีคำกล่าวได้ที่จะกล่าวได้นอกจากคำว่า ....) เมื่อ: ธันวาคม 27, 2010, 03:52:22 am
หญิงเหล็กเหยื่อไฟไหม้ซานติก้า พร้อมต่อสู้กับโชคชะตาที่พลิกผัน รัตนา แซ่ลิ้ม (Woman's Story)

          ย้อนกลับไปในคืนเค้าท์ดาวน์สู่ปี 2009 กับเหตุการณ์ไฟไหม้ซานติก้า ผับดังย่านเอกมัย ที่ยังคงเป็นความทรงจำฝังลึกในใจหลายต่อหลายคน ภาพคนเจ็บและตายนับร้อย เสียงหวอยังดังก้องในจิตใจของผู้เคราะห์ร้ายเสมอมา เราขอไว้อาลัยให้กับเหตุการณ์ครั้งนี้ เชื่อได้ว่าคงไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น ถือเป็นอุทาหรณ์สอนใจได้เป็นอย่างดี

          รัตนา แซ่ลิ้ม(จิ๊บ) หญิงสาวหน้าตาดี วัย 29 ปี เธอเป็นเหยื่ออีกคนหนึ่งในเหตุการณ์ไฟไหม้ซานติก้าครั้งนั้น ชีวิตจิ๊บถูกเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ชีวิตพลิกผันดิ่งลงสู่จุดต่ำสุด จากหญิงสาวหน้าตาสะสวยทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว เป็นเสาหลักที่คอยดูแลทั้งคุณแม่และลูกสาววัย 8 ปี หลังเหตุการณ์นั้นทำให้เธอต้องสูญเสียมือขวาไปตลอดชีวิต แถมสภาพร่างกายของจิ๊บกลับเปลี่ยนแปลงไป ไม่เหลือเค้าโครงความสวยดังเดิม แต่โชคดีที่จิตใจของจิ๊บยังยิ้มได้ และพร้อมก้าวเดินต่อไปในโลกของความเป็นจริง เพราะเธอไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา...

ช่วยเล่าย้อนไปถึงเหตุการณ์ไฟไหม้ซานติก้าในวันนั้นนิดนึงค่ะ

          เหตุการณ์วันนั้นเกิดขึ้นหลังเค้าท์ดาวน์สู่ปี 2009 มีการจุดไฟเย็นในร้านค่ะ หลังจากพ้นเค้าท์ดาวน์ปุ๊บ เราก็ออกมายืนหน้าร้านเพื่อจะดูพลุสักพักนึง แล้วก็ย้อนกลับไปข้างในอีกรอบ โดยที่ไม่รู้ว่ากำลังจะเกิดไฟไหม้ ตอนนั้นแฟนพยายามจะจับมือเราพาออกไป แต่พอดีมันมีคนวิ่งผ่านมือเราเลยหลุดออกจากกัน พอหันหน้ากลับไปดูตรงหน้าเวทีไฟก็ไหม้แล้ว จากนั้นไฟข้างในร้านก็ดับ รู้สึกตกใจมาก ด้วยความที่คนแน่นมาก เบียดกันจนเราไม่สามารถหนีได้ เพราะว่ามันเป็นครั้งแรกของการไปซานติก้า จึงไม่รู้ทิศทางว่าต้องออกทางไหน โดนดันไปเรื่อย ๆ จนถึงกลางร้าน

          ตอนนั้นรู้สึกว่าแน่นหน้าอกเหมือนกำลังจะตาย มันร้อนมาก หายใจไม่ออก แต่ยังพอมีสติอยู่บ้างเลยลงไปนั่ง ทำให้มีอากาศหายใจได้บ้างเล็กน้อย หลังจากนั่งอยู่สักพักเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตายแล้ว อยู่ ๆ ก็เลยนึกถึงแม่กับลูกได้ จึงพยายามลุกขึ้นอีกครั้ง แล้วก้าวข้ามกระจกออกมาเอง จากนั้นก็สลบ มารู้สึกตัวอีกทีตอนนอนอยู่ที่โรงพยาบาลคามิลเลียนแล้วค่ะ

วินาทีที่โดนไฟไหม้ตอนนั้นรู้สึกอย่างไรบ้างคะ

          จิ๊บไม่ได้โดนไฟครอกทั้งตัว โดนไอความร้อนอย่างเดียวเลยค่ะ แต่มันก็ลึกเข้าไปถึงระดับ 3 ยังจำความรู้สึกได้ว่าเหมือนไก่ย่าง ร้อนระอุและทรมานมาก ความจริงผิวเรามันบางมากด้วย วันนั้นจิ๊บใส่เสื้อสายเดี่ยว ช่วงที่รู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว โชคดีที่เรายังมีสติลงไปนั่ง ถึงไม่ได้โดนไฟครอกโดยตรง แต่ความร้อนที่มันระอุไหม้ลงไปถึงผิวชั้นใน รู้สึกทรมานที่สุดในชีวิต หายใจเข้าไปมันทั้งแสบมันทั้งร้อน สู้ไม่ไหว เหมือนจะตายในวินาทีนั้น

ขอบคุณที่มาจาก Fwd mail
และ เว็บ
http://www.fwdder.com/out.php?d=http%3A%2F%2Fatcloud.com%2Fstories%2F91397%2Fgoto_link
166  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ไม่อยากให้มีเรื่อง อย่างนี้เกิดขึ้นในสังคมอีก เลยคร้า... เมื่อ: ธันวาคม 27, 2010, 03:44:20 am
สาววัย 23 ทะเลาะกับแฟนหนุ่ม เกิดน้อยใจโดดตึกชั้น 6 ร่างถูกรั้วเหล็กด้านล่างเสียบมิดด้าม ก่อนทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตที่ ร.พ.

(26ธ.ค.)สน.ห้วยขวาง รับแจ้งเหตุมีหญิงสาวพลัดตกจากอาคารลงมาถูกเหล็กแหลมเสียบอาการสาหัส เหตุเกิดบริเวณอาคารไนซ์แมนชั่น 3 ปากซอยประชาราษฏร์บำเพ็ญ 20 แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ เป็นอาคารสูง 8 ชั้น ที่บริเวณรั้วบ้านที่ติดอยู่กับแมนชั่นดังกล่าวเจ้าหน้าที่พบร่างของ น.ส.กรอง กาญจน์ ฟองมณี อายุ 23 ปี สภาพอยู่ในลักษณะยืนเท้าลอยจากพื้น บริเวณชายโครงใต้แขนซ้ายถูกเหล็กรั้วแหลมยาวที่ติดไว้สำหรับกันขโมยเสียบจน มิดเป็นที่น่าสยดสยอง โดยมีนายอำนาจ โชติพันธุ์ อายุ 24 ปี แฟนหนุ่ม พยายาม ช่วยเหลือประคองร่างเอาไว้ เจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต๊กตึ๊งต้องรีบใช้เครื่องตัดถ่างตัดเอาทั้งเหล็กแหลม และร่างผู้บาดเจ็บออก ก่อนนำตัวส่งรพ.เปาโลเมมโมเรียล สะพานควาย แต่ภายหลังจากที่แพทย์พยายามทำการช่วยชีวิตน.ส.กรองกาญจน์ได้ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตในเวลาต่อมา

จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ น.ส.กรองกาญจน์ผู้ตายกับนายอำนาจ แฟนหนุ่ม พร้อมเพื่อนสาวอีก 1 คนไปเที่ยวกันที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่งย่านรัชดาซอย 4 จากนั้นก็กลับมาที่ห้องพักเลขที่ 603 ชั้น 6 ของแมนชั่นที่เกิดเหตุ แต่ หลังจากนั้นผู้ตายกับแฟนหนุ่มก็ทะเลาะมีปากเสียงกันจนผู้ตายน้อยใจ เดินออกไปที่ระเบียงพร้อมกับขู่ว่าจะกระโดดตึกฆ่าตัวตาย ทำให้แฟนหนุ่มกับเพื่อนของผู้ตายต้องเข้าไปเกลี้ยกล่อมโดยที่ไม่คิดว่าผู้ ตายจะกระโดดระเบียงลงไป แต่ระหว่างที่กำลังเกลี้ยกล่อมกันอยู่นั้น ผู้ตายก็ปีนระเบียงก่อนจะกระโดดลงไปต่อหน้าต่อตา เพื่อนและแฟน หนุ่มของผู้ตายพยายามจะเข้าไปช่วยแต่ก็คว้าตัวเอาไว้แต่ไม่ทัน ทำให้ผู้ตายถูกเหล็กแหลมเสียบได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเชิญตัวแฟนหนุ่มและกับเพื่อนของผู้ตายมาสอบปากคำอย่าง ละเอียดอีกครั้งเพื่อหาสาเหตุการฆ่าตัวตายในครั้งนี้ต่อไป

ที่มา
http://news.sanook.com/990865-%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B9%81%E0%B8%9F%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%996-%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%87.html

167  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หนังสือสัญญาการเป็นภรรยา ...ของผู้ชายที่ ( !! ) เมื่อ: ธันวาคม 24, 2010, 08:18:49 am
168  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คิวจองกฐินพระราชทานวัดปากน้ำยาวถึงปี พ.ศ.2950 ประธานปีนี้ต้องจองล่วงหน้าถึง 36 ป เมื่อ: ธันวาคม 24, 2010, 08:10:08 am
คิวจองกฐินพระราชทานวัดปากน้ำยาวถึงปี พ.ศ.2950 ประธานปีนี้ต้องจองล่วงหน้าถึง 36 ปี

รายงาน ข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พระครูพิทักษ์วรานุรักษ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เปิดเผยว่า  จากการตรวจสอบรายนามพุทธศาสนิกชนที่มาจองเป็นประธานพิธีถวายผ้าพระกฐินพระ ราชทานที่วัดปากน้ำ พบว่ามีผู้ที่มีจิตศรัทธามาจองเป็นประธานไปจนถึงปี พ.ศ.2950

ทั้งนี้ มีการจองเป็นประธานล่วงหน้าไปถึง 397 ปี โดยประธานในการถวายผ้าพระกฐินพระราชทานประจำปี 2553 นี้ คือ น.ส.ชูชีพ กาญจนวัฒน์ ได้จองล่วงหน้านานถึง 36 ปี และได้มีพิธีในการถวายผ้าพระกฐินพระราชทานไปแล้วในวันที่ 7 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา มีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ เป็นประธานในพิธี โดยสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ระบุว่า ทุนทรัพย์ที่ได้จะใช้ในการสร้างพระมหาเจดีย์มหารัชมงคลต่อไป

ขณะ เดียวกัน การดำเนินการขอพระราชทานผ้าพระกฐินจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาทอดถวายพระสงฆ์ที่จำพรรษานั้น ได้เริ่มดำเนินการมาหลังจากพระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) อดีตเจ้าอาวาสวัดปากน้ำมรณภาพไป 2 ปี คือตั้งแต่ปี พ.ศ.2504 จนถึงปัจจุบันก็เป็นปีที่ 49 แล้ว

เรียบเรียงข่าวโดย Mthai News
169  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / รู้้มาก พูดมาก ก็ใช่ว่าจะดี เพราะคุณอาจจะเผลอทำร้ายน้ำใจใครบางคนอยู่ก็ได้... เมื่อ: ธันวาคม 24, 2010, 08:05:33 am


ก่อนอื่น หากตั้งผิดหมวด ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยนะครับ

เพียงแต่อยากจะแบ่งปันประสบการณ์ให้ทุกท่านได้รับรู้เท่านั้นเอง เพราะหมวดนี้น่าจะตรงจุดมากกว่า

เรื่องมันเริ่มจากตรงที่ว่า...

ผมไปเดินซื้อของที่โลตัส พระราม2 ตามปกติ (วันพุธที่ 29 ตุลาคม เวลาประมาณ 6โมงเย็น ไม่เกิน1ทุ่ม)

พอซื้อเสร็จ ก็เอาของไปฝาก แล้วก็ขึ้นชั้นสองไปนั่งกินข้าวที่ฟู๊ดคอร์ทด้านบน

นั่งกินซักแป๊บ ก็มีชายคนนึงเดินมานั่งที่โต๊ะข้างๆผม แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ

เพราะกำลังเมามันส์กับข้าวมันไก่ตรงหน้า

อีกซักประมาณ2นาที ก็มีเด็กผู้ชายคนนึงมานั่งกับเค้า คาดคะเนจากสายตา ก็คงไม่เกิน ม.2-3

แต่ผมก็ยังไม่สนใจ เพราะน้ำแกงในถ้วยยังไม่หมด ตั้งหน้าตั้งตาซดต่อไป

แต่บทสนทนาของทั้งสองก็ลอยมาเข้าหูโดยไม่ตั้งใจ ไม่รู้ว่าแถวนั้นมันเงียบ หรือคู่นั้นเขาพูดดัง

ซึ่งจับใจความได้ประมาณนี้

พ่อ: เป็นไงบ้างลูก ใกล้จะเปิดเทอมแล้วนะ เตรียมตัวรึยัง?

ลูก: ก็ไม่เป็นไง แล้วพ่อเรียกผมออกมาหาทำไม?

พ่อ: อ๋อ นี่ไง พ่อซื้อiPod ที่ลูกอยากได้มาให้แล้วนะ

ลูก: เหรอ?? อย่างพ่อน่ะเหรอจะซื้อiPodให้ผมได้ มีเงินรึไง ของปลอมมากกว่ามั้ง

ผมก็คิดในใจ "อ้าว ไอ้เด็กเวรนี่ ดูมันพูดเด่ะ" แต่ผมเห็นสีหน้าคุณพ่อเริ่มแป้วแล้วอ่ะนะ

พ่อ: พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เห็นคนขายเขาบอกว่าใช่ ก็น่าจะใช่ล่ะนะ

ลูก: ไหน เอามาให้ผมดูหน่อย

งวดนี้ ผมอดที่จะไม่หันไปมองไม่ได้ เพราะอยากรู้ว่า ใครที่จะเป็นคนหน้าแหก

แต่พอเห็นลายกล่องโผล่ออกมาจากถุง ผมก็รู้สึกสงสารคุณพ่อขึ้นมาจับใจ

พอไอ้เด็กคนนั้นเปิดกล่องดู มันก็ทำตาขวางใส่พ่อมันทันที

ลูก: นี่มันของปลอม!!! พ่อไม่รู้จักiPodรึไง มันใช่แบบนี้ซะที่ไหน!!! ผมเคยเห็นรุ่นพี่เปิดให้ดูในเว็บพันทิปบ่อยๆ หน้าตามันต้องไม่ใช่แบบนี้!!! (อ้าว เวร พาดพิงๆ)

พ่อ: พ่อขอโทษ...พ่อไม่รู้จริงๆ พ่อก็แค่เห็นลูกอยากได้ พอเลยซื้อให้ แต่ว่า มันก็ฟังเพลงได้นะ ดูหนังก็ได้ อย่างที่ลูกต้องการเลยไง

แล้วคุณพ่อก็พยายามหยิบเครื่องมากดนู่นกดนี่ให้ไอ้คุณลูกดู ว่ามันก็ใช้ได้อย่างที่บอก

แต่ไอ้คุณลูกก็ยังไม่เลิกรา

ลูก: พ่อซื้อมาเท่าไหร่?

พ่อ: พะ...พันห้า

ลูก: ของจริงน่ะเป็นหมื่น อย่างพ่อไม่มีปัญญาซื้อให้ผมได้หรอกน่ะ ถ้าจะเรียกผมออกมาแค่นี้ คราวหลังไม่ต้อง เสียเวลาเล่นเกมกับเพื่อน!!!

แล้วไอ้คุณลูก มันก็ลุกขึ้นปึงปัง แล้วเดินกระแทกโต๊ะหายไปเลย แล้วผมได้ยินมันพูดตอนเดินผ่านผมไป

"โด่เอ้ย มีปัญญาซื้อแค่ของเก๊ ยังจะมีหน้าเอามาให้อีก" ดูมัน...

ผมหันมาดูคุณพ่อ ที่กำลังบรรจงเก็บของทั้งหมดใส่กล่อง พร้อมกับน้ำตาที่กำลังเอ่อ และเท่าที่ผมสังเกตดู

ลักษณะของคุณพ่อคนนี้ คงจะไม่ได้มีเงินทองมากมายนัก เพราะฉะนั้นเงิน1,500 ก็แปลว่ามันเยอะมาก

แล้วดูลูกชายทำกับเขาสิ เฮ้อ~

เรื่องทั้งหมดก็มีแค่นี้แหละครับ แต่ประเด็นที่ผมอยากจะเสนอ มันอยู่ตรงที่ว่า

ถึงเราจะรู้มากหรือเชี่ยวชาญแค่ไหน ก็ไม่ควรไปทำให้ความรู้สึกหวังดีของคนอื่นต้องเจ็บปวดเลยนะครับ

ยังไง คนที่เขา"ไม่รู้" ก็แปลว่าเขา"ไม่รู้จริงๆ"

ขอบคุณที่ทนอ่านนะครับ ^^
 
170  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ภาษิตไทย วันนี้ "วัวสันหลังหวะ" เมื่อ: ธันวาคม 22, 2010, 08:16:14 am


ขอบคุณวัวที่สันหลังยังไม่หวะ จาก http://helvetica.exteen.com
171  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ปลาหมอตายเพราะปาก เมื่อ: ธันวาคม 22, 2010, 08:14:21 am


ตา

หู มีหน้าที่ฟังอย่างเดียว ธรรมชาติให้ มา ๒ หู

จมูก มีหน้าที่ดมกลิ่นอย่างเดียว ธรรมชาติให้มา 2 รู

แต่ปาก มีหน้าที่ถึง 2 อย่างคือ ทั้งกินและพูด
  ธรรมชาติกลับให้มาเพียงปากเดียว แสดงว่า ธรรมชาติต้องการให้คนดูให้มาก ฟังให้มาก แต่ให้พูดน้อยๆ ให้มีสติคอยระมัดระวังปากให้มากนั่นเอง”
จากถ้อยคำที่น่าขบคิดข้างต้นนี้ บอกให้รู้ถึงความสำคัญของปาก ๒ อย่างคือ

๑. หน้าที่พูด

๒. หน้าที่กิน ซึ่งปากต้องทำเป็นประจำทุกวัน ถ้าหากวันหนึ่งๆ ไม่ได้ทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะรู้สึกอึดอัดมิใช่น้อย โดยเฉพาะคนทั่วๆ ไปที่ไม่เคยอบรมตนมาก่อน ถ้าไม่ได้พูดไม่ได้กินเป็นวันๆ ก็แทบจะเป็นบ้าไปเลยก็ได้ หน้าที่ทั้ง ๒ ต่างก็มีความสำคัญ เพียงแต่หน้าที่กินสำคัญกับตนเอง ส่วนหน้าที่พูดสำคัญทั้งกับตนและคนอื่น
หน้าที่กิน ปากของคนเรายังถือว่าเป็นนายของอวัยวะบางส่วนในร่างกาย ดังคำยืนยันในธรรมนิติว่า “อวัยวะ ๕ ส่วน คือ มือ เท้า ศีรษะ หลัง และท้อง ต้องยอมคำนับ และคอยรับใช้ปากทุกเมื่อ” เช่น มือคอยป้อนข้าว เท้าคอยเดินหา ศีรษะหลังท้องพร่องสักครา ก็เรียกหาปากวานขานให้ทำ ปากใช้ลำเรียงอาหารเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกายให้มีเรี่ยวแรงมีกำลังในการทำงาน ในการดำรงชีวิตอยู่ต่อไป ถ้าหากเราลำเรียงสิ่งไม่ดีเข้าไปก็ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมาหรืออาจถึง แก่ชีวิตก็เป็นได้ หรือถ้าบริโภคอาหารที่ดีแต่มากเกินเข้าไป ก็จะทำให้อึดอัดหรือเป็นสาเหตุแห่งโรคฮิตในปัจจุบันคือโรคอ้วนตามมาก็ได้ ดังนั้น เพื่อสุขภาพกายที่สมบูรณ์ทางออกที่ดีก็ต้องยึดหลัก โภชเนมัตตัญญุตา คือความเป็นผู้รู้จักประมาณในการบริโภค ไม่เห็นแก่ปากแก่ท้องจนเกินไป

หน้าที่พูด ซึ่งเป็นหน้าที่ที่มีอิทธิพลยิ่งทั้งต่อคนพูดและคนฟัง และจะได้นำมาเจียระไนให้รู้ว่ามันมีประโยชน์และมีโทษต่อชีวิตอย่างไรบ้าง โบราณสอนนักสอนหนาและยังจัดอันดับปากไว้เป็นอันดับหนึ่ง ดังที่ว่า...ปากเป็นเอก เลขเป็นโท หนังสือเป็นตรี ชั่วดีเป็นตรา... เพราะผู้มีปากเป็นเอก ก็คือผู้เป็นยอดของนักสื่อสารที่ดี มีวจีไพเราะ พูดเสนาะโสต เหมือนสุภาษิตไทยที่ว่า "พูดดีเป็นศรีแก่ปาก" นั่นเอง รองลงมาก็คือ เลขเป็นโท หมายถึงกระบวนการทำงานยังถือว่าเป็นรองการพูดจา อันดับต่อมา หนังสือเป็นตรี มีวิชาความรู้ดีก็ยังเป็นรองการพูด คือถึงจะเป็นคนมีความรู้สูง แต่ถ้าปากไม่ดีเสียแล้ว ย่อมหวังความเจริญในชีวิตได้ยาก อันดับสุดท้าย ชั่วดีเป็นตรา หมายถึงผลสัมฤทธิ์ของงานที่ดีและไม่ดี จะเป็นสิ่งเดียวที่ตราไว้ให้อนุชนคนรุ่นหลังได้กล่าวขานชื่นชมหรือประณาม
พระพุทธศาสนาบอกว่า ปากของคนเรานั้นมีอยู่ ๓ รส คือ เหม็น, หอม, และหวาน คนปากเหม็น เรียกว่า “คูถภาณี” ได้แก่ผู้ที่มีปกติพูดปดมดเท็จจนคนทั้งหลายเกลียดชัง ไม่เชื่อถือถ้อยคำ ยิ่งพูดยิ่งทำลายตนเอง คนปากหอม เรียกว่า “ปุบผภาณี” ได้แก่คนที่พูดจริง พูดคำสัตย์ ไม่โกหกพกลมแม้เป็นเรื่องเข้าข้างตนเองจนคนนิยมเชื่อถือถ้อยคำ คนปากหวาน เรียกว่า “มธุรภาณี” ได้แก่คนที่พูดไพเราะเพราะพริ้งนิ่มนวลชวนฟัง รื่นหู ดูดดื่ม จับใจ ฟังไม่รู้จักเบื่อ สุนทรภู่ บรมครูกวีของไทยได้ประพันธ์ถึงปากไว้อย่างจับใจว่า “อันรสปากหากหวานก็หวานเด็ด บอระเพ็ดก็ไม่มากเหมือนปากขม มีดว่าคมก็ไม่มากเหมือนปากคม รสหวานขมก็ไม่มากเหมือนปากคน”
นักปราชญ์ถึงกับยกย่องปากว่าเป็นยอดอาวุธ อาวุธใดๆ ในโลกนี้จะวิเศษเลิศล้ำไปกว่าอาวุธปากเป็นไม่มี เราจะใช้พูดให้คนเป็นหรือให้คนตายก็ได้ ดังกวีที่ว่า “อาวุธใดในพิภพไม่ลบปาก ถึงน้อยมากฟันฟาดขาดเป็นสิน จะเป็นตายดีร้ายจะขายกิน ในโลกสิ้นสามภพจบเจรจา”

คำพูดหรือวาจาของคนเรานั้น เป็นเสมือนดาบสองคม ถ้ารู้จักพูดก็สามารถทำศัตรูให้เป็นมิตรได้ ขณะเดียวกันถ้าไม่รู้จักพูดก็สามารถทำมิตรให้เป็นศัตรูได้ในชั่วพริบตาเช่น กัน อีกประการหนึ่ง คนเราจะประสบความสำเร็จได้รับความเจริญก้าวหน้าในชีวิตก็เพราะอาศัยวาจาที่ ดีจากปาก แต่ก็เพราะวาจาชั่วที่ออกจากปากเพียงคำเดียวบางครั้งแม้แต่ชีวิตก็ยากจะ รักษาไว้ได้ หรือไม่รู้จักสำรวมระวังปากพูดมากเกินไปไม่รู้จักกาลเทศะ ก็อาจนำพาตัวให้ฉิบหายได้ ดังเรื่องลูกหงส์กับเต่า เรื่องมีอยู่ว่า ในอดีตกาลมีเต่าอาศัยอยู่ในสระแห่งหนึ่งในหิมวันตประเทศ ลูกหงส์ ๒ ตัว ก็ไปเที่ยวหากินอยู่แถวนั้น ได้รู้จักกัน ลูกหงส์จึงชักชวนให้เต่าไปเที่ยวในถ้ำทองที่ภูเขาจิตตกูฏ เต่าฉงนใจว่าจะไปยังถ้ำทองบนภูเขาจิตตกูฏได้อย่างไร ลูกหงส์บอกว่าจะพาไปเอง แต่ขอให้เต่าระวังปาก อย่าพูดเป็นเด็ดขาด เต่าด้วยความอยากไปจึงตอบตกลงว่า แค่นี้เรื่องจิ๊บจ๊อย ลูกหงส์จึงให้เต่าคาบไม้ตรงกลาง ส่วนลูกหงส์คาบปลายไม้ตัวละข้าง บินไปในอากาศ เด็กชาวบ้านเห็นเข้าก็ตะโกนบอกกันว่า “หงส์หามเต่าๆ” เต่ารู้สึกคันปากมุมมิมๆ ก็เลยลืมตัวทั้งลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับลูกหงส์เสียสนิท จึงอ้าปากตะโกนตอบเด็กไปว่า “กงการอะไรของพวกเองว่ะ” แค่นั้นแหละเต่าก็หลุดร่วงจากท่อนไม้ ลอยละลิ่วปิวละล่องตกลงที่ท้องสนามหลวงในพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าพาราณสี กระดองแตกแยกเป็น ๒ ส่วน ตายสนิท

เรื่องนี้ชี้ให้เห็นชัดว่า การพูดไม่ถูกกาลเทศะมีแต่ให้โทษ เหมือนเต่าที่ต้องตายเพราะพูดไม่ถูกเวลา ดังนั้น พระพุทธศาสนาจึงเตือนให้ระวังว่า “วาจาย สํวโร สาธุ ระวังปากไว้ได้นั่นแหละดีที่สุด” และยังเป็นมงคลอันสูงสุดแก่ชีวิตอีกด้วย การนำเรื่องปากมาฝากไว้เป็นข้อคิดสะกิดใจเพื่อทุกท่านจะได้ระวังปากมากขึ้น อย่างน้อยๆ ก็ได้รักษาศีลข้อ ๔ ซึ่งตอนนี้สังคมไทยหรือสังคมโลกต่างขาดแคลนคนพูดคำสัตย์จริงกันทั้งนั้น ระวังปลาหมอจะตายเพราะปาก ปลาหมอมันพูดไม่ได้ แต่มันผุดขึ้นมาพ่นน้ำเหมือนเย้ยว่า กูอยู่นี่ๆ คนหาปลาจึงจับมันได้ ปลามีชีวิตยืนยาวอยู่ได้ก็เพราอาศัยปากเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็เพราะปากนั้นเอง ปลาจึงต้องติดเบ็ดเสียชีวิตโดยง่าย ในโลกนี้จึงไม่มีอะไรที่เย็นชื่นเหมือนการแย้มพรายของปากคนดี ขอยืนยันด้วยบทกวีนี้ส่งท้ายก็แล้วกันว่า อันแก่นจันทน์เย็นชื่นในพื้นโลก แสงเดือนโกรกเย็นนั้นกว่าจันทน์หลาย ปากคนดีแช่มชื่นเมื่อแย้มพราย เย็นมากมายกลบเกลื่อนซึ่งเดือนเพ็ญ...
172  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นู๋ชัดอวดผี : ผีเปรต ( เรื่องของพวก ผี และ เปตร แบบไม่เคยได้อ่าน ) เมื่อ: ธันวาคม 22, 2010, 08:04:04 am
นู๋ชัดอวดผี : ผีเปรต


----- Forwarded Message ----
From: ☼นายชัดเจน..คาโอกิ☼
To: ; ; ; noolex
Sent: Tue, December 21, 2010 4:05:54 PM
Subject: [noolex] นู๋ชัดอวดผี : ผีเปรต

ผีเปรตในตำนานผีไทยกล่าวไว้ว่า มีอยู่ 12 ตระกูลใหญ่ๆ ใครอยากจะทราบรายละเอียดต้องไปดูในคัมภีร์ว่าด้วยเรื่องเปรตโดยเฉพาะนิรยกถา อันเป็นคัมภีร์ว่าด้วยเรื่องเปรตโดยเฉพาะหรือดูจากจารึกการเปรียญ ณ วัดพระเชตุพนฯ และหาอ่านได้จากประชุมศิลาจารึกวัดพระเชตุพนฯ เล่ม 1 ซึ่งคัดลอกและถ่ายทอดมาโดยย่อ ดังนี้

หิมวนตปปเทเส วิชาติเปโต นาม เปตวิสโย กาลครั้งหนึ่งยังมีประเทศแห่งหนึ่งในป่าหิมพานต์ชื่อว่าวิชาตประเทศ ตั้งอยู่เบื้องบนแห่งนรกขึ้นมาอันเป็นที่อยู่แห่งเปรตทั้งหลายมีมหิทธกาเปรต เป็นอธิบดีแก่เปรตทั้งปวง และตระกูลเปรตนั้นมีอยู่ 12 ตระกูล คือ
1. วันตาสาเปรตตระกูล
2. กูณปขาทเปรตตระกูล
3. คูถขาทเปรตตระกูล
4. อัคคิชาลมุขเปรตตระกูล
5. สุจิมุขเปรตตระกูล
6. ตัณหาชิตาเปรตตระกูล
7. นิชฌามกเปรตตระกูล
8. สัตตังคาเปรตตระกูล
9. ปัพพตังคาเปรตตระกูล
10. อัชครังคาเปรตตระกูล
11. เวมานิกเปรตตระกูล
12. มหิทธิกาเปรตตระกูล

นอกจากเปรต 12 ตระกูลนี้ ยังมีเปรตอีก 19 จำพวก ได้แก่
1. สุจิโลมา คือ เปรตผู้มีขนเป็นเข็ม
2. ขุรโลมา คือ เปรตผู้มีขนเป็นกรด
3. เอกปาทา คือ เปรตผู้มีเท้าข้างเดียว
4. อเนกปาทา คือ เปรตผู้เท้ามาก
5. เอกหตถา คือเปรตผู้มีมือข้างเดียว
6. อเนกหตถา คือ เปรตผู้มีมือมาก
7. เอกเจตตา คือ เปรตผู้มีจักษุข้างเดียว
8. อเนกเนตตา คือ เปรตผู้มีจักษุมาก
9. ได้แก่ เปรตจำพวกที่กินมลทินครรภ์เป็นอาหาร
10. ได้แก่ เปรตจำพวกขนหยักเยื่อทูลศีรษะไว้เป็นนิตย์
11. ได้แก่ เปรตจำพวกกายยาว 25 เส้น นอนกลิ้งอยู่ดุจแผ่นศิลา
12. ได้แก่ เปรตจำพวกตัวจมอยู่บนภูเขาเพียง สะเอว ไฟไหม้อยู่
13. ได้แก่ เปรตพวกไถนาอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน
14. ได้แก่ เปรตจำพวกมีกายสูง มีกลิ่นตัวเหม็นยิ่งนัก
15. ได้แก่ เปรตจำพวกมีพืชเป็นเหล็กเป็นเปลวเพลิงรัดศีรษะอยู่
16. ได้แก่ เปรตจำพวกมีร่างกายผอม และเปลือยกายอยู่ตลอดเวลา
17. ได้แก่ เปรตจำพวกรูปชั่วตัวผอม สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ศีรษะกลั้วไปด้วยฝุ่น
18. ได้แก่เปรตจำพวกดำดุจตอไฟไหม้ และ
19. ได้แก่ เปรตจำพวกสูงเท่าลำตาล มีแต่หนังหุ้มกระดูก

เปรตไม่สมประกอบ 4 ชนิด
1. ได้แก่ เปรตชนิดที่มีรูปร่างไม่สมประกอบ ร่างกายซูบผอมอดโซ
2. ได้แก่ เปรตชนิดที่มีรูปร่างพิการ เช่น กายเป็นอย่างร่างของมนุษย์ แต่ศีรษะเป็นอย่างสัตว์ดิรัจฉาน เช่น ตัวเป็นคนหัวเป็นนกกาบ้าง...เป็นสุกรบ้าง...เป็นสุนัขบ้าง
3. ได้แก่ เปรตชนิดที่มีรูปร่างพิกล เสวยกรรมกรณ์ (รับกรรม รับอาญา) อยู่ตามลำพังด้วยอำนาจบาปกรรมที่ได้กระทำเอาไว้สมัยเมื่อยังมีชีวิตอยู่บน โลก มนุษย์
4. ได้แก่ เปรตชนิดที่มีรูปร่างอย่างมนุษย์ปกติ แม้เป็นผู้เสวยก็มีวิมานอยู่แต่ในราตรีต้องออกจากวิมานไปเสวยกรรมจนกว่าจะ รุ่งเช้าเรียกว่า วิมานนิกเปรต

เปรต เป็นผีจำพวกหนึ่ง ซึ่งเคยทำบาปสร้างกรรมเอาไว้สมัยเมื่อยังมีชีวิตอยู่ครั้น ตายลงแล้วก็ต้องมารับผลกรรมตามที่ได้สร้างไว้ทำให้ต้องมีความเป็นอยู่ อย่างอดอยากผอมโซ ชอบส่งเสียงร้องหรือปรากฏตัวให้ชาวบ้านเห็นเพื่อขอส่วนบุญให้ช่วยทำบุญอุทิศ ส่วนกุศลไปให้บ้างเพราะอดอยากหิวโหยซะเหลือเกิน

โดยทั่วไปคนส่วนใหญ่เข้าใจว่า เปรตเป็นผีชนิดหนึ่งที่มีลำตัวสูง บ้างว่าสูงเท่าลำตาล สูงเท่าต้นตาลหรือยอดตาล บ้างว่าสูงเท่าเสาชิงช้าวัดสุทัศน์ บ้างว่าสูงเท่ายอดธง หากเป็นสมัยนี้คงต้องเปรียบเทียบให้เห็นภาพกันใหม่ว่า สูงกว่าตึกห้าชั้น หรือสูงเท่ากับคอนโดมิเดียมริมน้ำอะไรทำนองนี้ สรุปใจความก็คือ เปรตเป็นผีที่มี รูปร่างสูงมาก จนมีคำพูดติดปากล้อใครที่ตัวโย่งๆว่า ....สูงยังกับเปรต แต่เนื่องจากกรรมหรือการกระทำในทางที่ชั่วร้ายมีแตกต่างกันไป เมื่อตายแล้วจึงได้เกิดเป็นเปรตชนิดต่างๆกัน เช่น คนที่ชอบดุด่าตบดีพ่อแม่ผู้มีพระคุณ จะต้องไปเกิดเป็นเปรตจำพวกที่มีปากเท่ารูเข็ม มือโตเท่าใบพายหรือใบตาล อดอยากและหิวโ หยอยู่เป็นนิตย์ ลองคิดดูว่าหากใครเกิดมามีปากเท่ารูเข็ม เวลาจะกินข้าวต้องเอายัดเข้าปากไปทีละเมล็ดมันจะทรมานทรกรรมขนาดไหน เป็นคำขู่หรือเตือนสติของคนโบราณ ให้ลูกหลาน มีความกตัญญูู ให้การเลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่ชราและไม่ทำร้ายทั้งร่างกายจิตใจใครขืนเป็นอย่าง ที่ว่ารวมทั้งพวกเกกมะเหรกเกเร ชาวบ้านก็จะพากันด่าประณามว่า...ไอ้เปรต คนที่ชอบฆ่าเป็ดฆ่าไก่ ตีไก่ เชือดหมู เชือดวัว อยู่เป็นอาจิณ เวลาตายไปแล้วอาจต้องไปเกิดเป็นเปรตประเภท ตัวเป็นคนหัวเป็นไก่ หรือหัวเป็นหมู ตามแต่ผลกรรม ใครทำกรรมเอาไว้อย่างไรก็จะได้ผลกรรมอันนั้นตอบสนอง ฉะนั้นเปรตอาจมีอยู่หลายชนิดหลายจำพวก ใครอยากเห็นก็ลองดูรูปปั้นเปรตชนิดต่างๆ ได้ที่วัดไผ่โรงวัว จังหวัดสุพรรณบุรี
เปรตมีที่อยู่อาศัยแตกต่างกันไปตามประเภทและเผ่าพันธ์รวมทั้งคติความเชื่อ ที่บอกต่อหรือสืบทอดกันมา บางตำราว่าอาศัยอยู่ตามวัดคอยปรากฏตัวหลอกหลอนหรือแสดงร่างให้เห็นเพื่อขอ ส่วนบุญ บ้างว่าอยู่ตามท้องทุ่งตามทางเปลี่ยวใครไปเที่ยวดึกๆ กลับบ้านคนเดียวเดินผ่านศาลาวัด หรือตามทางแยกอาจเจอเปรตเดินตามหลังมาส่งถึงบ้าน หรือเดินเป็นเพื่อนมาตลอดทาง ซึ่งหากเจอเปรตก็ไม่ต้องตกอกตกใจอะไร วิ่งลูกเดียว หรือหากว่ามีเปรตและผีชนิดใดก็ตามขวางหน้าเราอยู่ โบราณว่าอย่าวิ่งหันหลังกลับ เพราะจะโดนมันดักหน้า ให้วิ่งไปข้างหน้าหรือวิ่งฝ่าไปเลย แต่ถ้าจะให้ดีกลางค่ำกลางคืนนอนอยู่บ้านสบายที่สุด...ว่ามั๊ย...

เปรตกินอะไรเป็นอาหารคงไม่ ต้องบอก เพราะไม่รู้เหมือนกันนอกจากมีความเชื่อกันว่า เวลาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว พวกเปรตก็จะมารับ ส่วนบุญจากลูกหลานได้กินอิ่มหมีพีมันไปมื้อหนึ่งคราวหนึ่ง ไม่อย่างนั้นก็อดอยากหิวโหย นอกจากพวกอาหารคาวหวานแล้ว บางทีลูกหลานจะถวายเสื้อผ้าเครื่ง อนุ่งห่มแก่พระสงฆ์ด้วย เพื่อให้ผีญาติๆ ของตนไม่ต้องโป๊หรือเปลือยกายล่อนจ้อน ใครจะศรัทธาแก่กล้าถึงขนาดถวาย ซาวด์อเบาท์ หรือโทรทัศน์ วีดีโอ ซีดี. ก็ตามถนัดไม่ผิดกติกาอันใด หากไม่มีญาติหรือ ลูกหลานคอยทำอุทิศส่วนกุศลไปให้พวกเปรตเหล่านี้จะหิวโหย ร้องโหยหวล เสียงร้องของเปรตไม่มีใครยืนยันได้ว่าไพเราะเพราะพริ้งขนาดไหน นอกจากในบางตำรา บอกไว้ว่า มันส่งเสียงร้องดังกรี๊ดๆ เป็นเสียงหวิวหวีดฟังแล้วชวนวังเวง วิเวกวิโหวเหว คนล่ะอย่างกับที่พวก วัยรุ่นกรี๊ดกร๊าดเวลาเจอดารายอดนิยมหรือตอนดูคอนเสิร์ตหลังหมอชิต ว่ากันว่าที่เสียงมันดังกรี๊ดๆ ก็เพราะเกิดจากแรงดันของลมจากท้องผ่านช่องปากที่เล็กเท่า รูเข็ม เลยกลายเป็นเสียงอย่างที่บอก แบบนี้พวกเปรตที่มีหัวเป็นไก่ก็อาจจะร้องเสียง เอก-อี้-เอ้ก-เอ้ก ก็ได้ล่ะมั้ง ถ้าใครทำบุญหากจะอุทิศก็ขอให้กล่าวหรือออกน ามพวกผีไม่มีญาติ หรือบรรดาผีๆ ทั้งหลายรวมทั้งคุณผีเปรตด้วย เพื่อที่จะได้ไม่หิวโหยร่างกายผอมโซจนน่าสงสาร

หลังจากที่ถูกพระพันวษาสั่งประหารชีวิต นางวันทองได้กลายเป็นผีเปรตที่ไม่มีหัวหรือเปรตหัวขาด วันหนึ่งนางทราบข่าวว่าพระไวยวรนาถลูกชาย กำลังจะไปรบกับผู้เป็นพ่อคือขุนแผน เปรตนางวันทองกลัวพ่อกับลูกจะต้องฆ่ากันเอง พลอยเป็นบาปกรรมติดตัวกันไปเปล่าๆ ก็เลยออกมาห้ามทัพ โดยแปลงกายเป็นสาวงามนั่งเล่นอยู่บนชิงช้า เพราะรู้ว่าพระไวยฯ นั้นชีกอเหมือนพ่อนั่นแหละพระไวยฯ ไม่ทราบความนัย จีบสาวงามที่ได้พบ แม้เธอจะบอกว่าเป็นแม่ หรือนางวันทอง พระไวยฯ ก็ไม่ยอมเชื่อจนนางต้องแปลงเพศกลับเป็นเปรตอย่างเดิมเพื่อให้เห็นแจ้ง ประจักษ์ ว่ากันว่า เปรตนอกจากจะมีรูปร่างผอมโซจนเห็นโครงกระดูกทุก ซี่และมีความสูงชนิดผีฝรั่งอายแล้ว มันยังสามารถ แลบลิ้นได้ยาวเท่ากบความสูงของตัวเองอีกด้วย อะไรจะเว่อร์ปานนั้น
เปรต น่าจะเหมือนผีธรรมดาสามัญทั่วไปคือ กลัวพระ กลัวเครื่องรางของขลัง ลองเจอเข้าเป็นเผ่นกระเจิง เพราะผีกับพระไม่ถูกกัน เหมือนงูกบเชือกกล้วยยังไงยังงั้น แต่สำหรับ ผีเปรตมีท่านผู้รู้แนะนำว่า หากใครเจอระหว่างทางหรือเจอที่ไห นก็แล้วแต่ ให้รีบบอกว่า...ไปที่ชอบๆ...หรือไปผุดไปเกิดซะเถอะ แล้วจะอุทิศส่วนกุศลไปให้ เท่านี้ผีเปรตและผีทั้งหลาย ก็จะเลิกตอแย หายตัวแว๊บ..ไปเลย แ ล้วก็อย่าลืมทำตามสัญญา เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะเจออีกเป็นรอบที่สอง เพราะคุณผีเขามาทวงส่วนกุศลนั่นแหละ

ผีเปรต หรือชาวอีสานเรียกว่า ผีเผด เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เอ๊ย..ไม่ใช่ เกิดหรือถือกำเนิดขึ้นตามผลกรรมที่เคยได้กระทำเอาไว้ สมัยเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ตำราโบราณกล่าวว่า เวลาที่เปรตตัวเดิมจะพ้นจากกรรมได้ไปผุดไปเกิด จะมีเปรตตัวใหม่ มารับตำแหน่งแทนดังมีเค้ามาจากนิทานพระมาลัยเรื่องหนึ่ง ดังนี้

ยังมีมานพหนึ่งคนหนึ่งชื่อว่า มิตตวินทุ อยากจะไปเที่ยวทะเลกับพ่อค้าสำเภาจึงเคี่ยวเข็ญเอาเงินทองจากมารดาซึ่งเป็น แม่ม่ายใจบุญ ด้วยความเป็นห่วงลูกชายมารดาก็ขัดขวาง มิตตวินทุปกติเป็นคนเกกมะเหรกเกเรอยู่แล้ว จึงโกรธจนลืมตัวถีบแม่จนล้มแล้วหนีไปเที่ยวทะเลจนได้ แต่ผลกรรมตามทันทำให้เรือแตก มิตตวินทุว่ายน้ำไปขึ้นฝั่งที่เกาะแห่งหนึ่งอันเป็นที่อยู่ของพวกเปรต แต่ชายหนุ่มกลับมองเห็นกงจักรที่หมุนคว้างผ่าศีรษะของพวกเปรตเหล่านั้นเป็น ดอกบัวซึ่ง ประดิษฐ์เป็นมาลาสวมใส่ไว้อย่างสวยงาม..เห็นเลือดที่ไหลย้อยมาตามตัวเป็น สังวาลสายสร้อย เห็นพวกเปรตที่กำลังร้องครวญครางยกมือยกไม้ชักดิ้นชักงอด้วยความเจ็บปวดเป็น การร้องรำทำเพลงอย่างมีความสุข มิตตวินทุจึงเอ่ยปากขอพวกเปรตรู้ ว่ามีผู้มารับกรรมหรือรับ

ช่วงต่อ แสดงว่าพวกตนได้พ้นจากกรรมที่เคยกระทำเอาไว้แล้วก็ดีใจ รีบยกให้อย่างไม่ลังเล จึงเป็นที่มาของคำพังเพยไทยที่ว่า "เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นสองโพดำเป็นสเปโต..." อะไรทำนองนี้แหละ

ในพจนานุกรมฉบับต่างๆ กล่าวถึงเปรตพอรวมความได้ว่าเป็นสัตว์พวกหนึ่ง เกิดในอบายภูมิ แปลว่า แดนแห่งความทุกข์เป็นผีเลวจำพวกหนึ่ง มีหลายชนิด รูปร่างสูงโย่งยังกับลำตาล ผมยาว คอยาว ผอมโซเพราะอดอยาก ปากเท่ารูเข็ม..... สงสัยจะหมายถึงเข็มเย็บผ้ามากกว่าเข็มเย็บกระสอบ มีมือโตเท่าใบตาล กินเลือดและหนองเป็นอาหาร ร้องเสียงดังกรี๊ดๆ ไม่ใช่กรี๊ดกร๊าด ส่วนในหนังสือไ ตรภูมิพระร่วง พรรณนาเกี่ยวกับเปรตเอาไว้ว่า บางจำพวกอยู่ในมหาสมุทร บนยอดเขา ตามไหล่เขา แต่บางจำพวกก็อยู่ในปราสาท มีช้างม้าเป็นข้าทาส บางจ ำพวกเวลาข้างแรม เป็นเปรต เวลาข้างขึ้นเป็นเทวดา ฯลฯ อันนี้แล้วแต่บุญกรรมที่ได้กระทำเอาไว้

ทางภาคใต้ มีผีอยู่ชนิดหนึ่ง เรียกว่า 'ผีหลังกลวง" เป็นผีที่มีรูปร่างลักษณะอย่างค น แต่ข้างหลังเป็นรูกลวงสามารถมองเห็นเครื่องในประเภทตับไตใส้พุงได้หมด มีหนอนยั๊วเยี๊ย เวลาใครก่อไฟผิงอยู่กลางแจ้ง ผีหลังกลวงจะทำทีเข้ามาขออาศัย ด้วย แล้วหลอกหลอนโดยการแสดงให้เห็นอวัยวะภายในจากหลังที่กลวง บางทีมันแกล้งวานเด็กๆ เกาหลังให้ แล้วหลอกให้เห็นอวัยวะภายในหรือหลังที่กลวงซึ่งมีกิ๊งกือเต็มไปหมดผีพวกนี้ ไม่ทำร้ายใคร แต่จะหลอกหลอนให้ตกใจกลัว
173  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชวนไปดูดวงจันทร์ กับ นาซ่า เมื่อ: ธันวาคม 22, 2010, 08:00:18 am




ภาพเด็ด: นาซ่า เผยภาพ มุมหนึ่งของดวงจันทร์

Mthai news: 20 ธ.ค.เว็บไซต์เดลี่เมล์ รายงานภาพดวงจันทร์ที่สามารถบันทึกได้จากองค์การนาซ่า NASA’s Lunar Reconaissance Orbiter (LRO) ซึ่งการบันทึกภาพดังกล่าว ถือว่าประสบผลสำเร็จ เนื่องจากได้เห็นภาพภูมิประเทศที่ซับซ้อน และเป็นประโยชน์สำหรับการศึกษาดวงจันทร์ได้ในอนาคต

ทั้งนี้ ข้อมูลใหม่นี้ ทำให้เราทราบว่า พื้นผิวของดวงจันทร์มีลักษณะภูมิประเทศที่ขรุขระ มีความซับซ้อน และมีสีเขียวสว่างไสว แสดงถึงลักษณะภูมิประเทศที่แตกต่างจากอีกซีกหนึ่งของมัน

ศาสตราจารย์  Gregory Neumann หนึ่งในผู้สำรวจกล่าวว่า ภาพที่บันทึกได้ เป็นประโยชน์แก่นักวิทยาศาสตร์เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการอ้างอิง และการศึกษาสำรวจพื้นผิวดวงจันทร์ในอนาคตด้วย

โดย Mthai news

ภาพ: AP
174  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ต้อนรับปีใหม่บีทีเอสเดินรถถึงตี2 เมื่อ: ธันวาคม 22, 2010, 07:56:57 am


นายอาณัติ อาภาภิรม กรรมการ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ผู้ให้บริการรถไฟฟ้า บีทีเอส แจ้งว่า บริษัทฯ จะขยายเวลาให้บริการเดินรถไฟฟ้าตั้งแต่เวลา 24.00 น. ของวันศุกร์ ที่ 31 ธ.ค. 2553 ถึง 02.00 น. ของวันเสาร์ที่ 1 ม.ค. 2554 เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่ต้องการเดินทางไปฉลองเทศกาลแห่งความสุขใน สถานที่ต่าง ๆ ที่อยู่ในเส้นทางของรถไฟฟ้า และบริเวณใกล้เคียง ซึ่งในปีนี้บริเวณลานจอดรถหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ สี่แยกราชประสงค์ จะมีการจัดงาน เคานท์ดาวน์ ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งประชาชนสามารถเดินทางไปร่วมงานดังกล่าวด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอส โดยลงที่สถานีสยาม สถานีชิดลม หรือ สถานีราชดำริ นอกจากนี้ เพื่อความรวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ บริษัทฯ จะจัดเตรียมบัตรโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอส ประเภทรายวัน ราคาใบละ 120 บาท ไม่จำกัดระยะทาง และจำนวนเที่ยว คือเริ่มตั้งแต่เวลา 06.00 น. ของวันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม 2553 ถึง 02.00 น. ของวันเสาร์ที่ 1 มกราคม 2554 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ฮอตไลน์ บีทีเอส โทรศัพท์ 0-2617-6000.

ที่มา
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=354&contentID=111189
175  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เข้มงวดการต่อเติมรถกระบะ เมื่อ: ธันวาคม 22, 2010, 07:55:46 am
ดร.วิชิต พันธุ์อำไพ เขียนเรียกร้องให้กรมการขนส่งทางบก เข้มงวดการต่อเติมรถกระบะ พิจารณาครับ
       
ประเทศไทยดูเหมือนจะเป็นประเทศเดียวในโลกที่ปล่อยให้ใช้รถกระบะแบบไม่มีข้อ จำกัด ทั้งนี้ก็เพราะเราให้ความสำคัญด้านเศรษฐกิจ จึงเห็นมีการนำรถประเภทนี้ดัดแปลง หรือต่อเติมกันอย่างแพร่หลาย ตั้งแต่ติดตั้งเบาะที่นั่งและหลังคาผ้าใบที่ปราศจากการยึดเหนี่ยวใด ๆ ไปจนถึงต่อเติมเป็นรถบรรทุกอย่างถาวร แต่เดิมมาเราเห็นมีรถกระบะไม่กี่ยี่ห้อ ส่วนใหญ่มีขนาดตัวถังที่ใกล้เคียงกัน มีการต่อเติมในลักษณะคล้ายกัน ไม่กว้างหรือสูงจนเกินไป ผิดจากปัจจุบันที่บางรุ่นบางยี่ห้อมีขนาดกะทัดรัดลง มีตัวถังหรือกระบะที่แคบกว่าเดิม
       
ประเด็นก็คือรุ่นกระบะแค็บเหล่านี้บางคันได้ดัดแปลง เป็นรถบรรทุกอย่างเต็มรูปแบบ สูงเท่ากับหรือสูงกว่ารถรุ่นที่มีช่วงล้อกว้างกว่า อันเป็นการทำให้เสถียรภาพของรถต่ำลงขณะเข้าทางโค้ง หรือเมื่อมีลมมาปะทะด้านข้าง มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมากขึ้นหลายเท่าตัว ผมเห็นว่ากรมการขนส่งทางบกควรเข้มงวดให้มากกว่านี้
       
อีกฉบับจากคุณสุเทพ ศรีราม สอบถามเกี่ยวกับสัญลักษณ์จราจร พิจารณาครับ
       
เรื่องมีอยู่ว่า ก่อนถึงสามแยกประเวศมีช่องจราจรอยู่ 3 ช่อง ช่องที่ 1 ให้เลี้ยวซ้าย ช่องที่ 2 ให้ตรงไป ช่องที่ 3 ให้เลี้ยวขวา นี่คือป้ายบอกทางที่อยู่ด้านบน แต่ที่พื้นถนนช่องกลางกลับมีลูกศรเลี้ยวขวาได้ ผมขับรถบรรทุกไปถึงก่อนไฟแดงมีรถจอดข้างหน้าเต็มหมด มองไม่เห็นสัญลักษณ์ที่พื้นถนน ขับตามป้ายด้านบนเลยโดนตำรวจจับ
       
ฝากถามสำนักการจราจรและขนส่งว่าให้ดูป้ายจราจรด้านบนหรือที่พื้นถนน ในการเดินรถให้ถูกช่อง
       
เพิ่มเติมคุณสุเทพ นานมาแล้ว ผมเคยโดนตำรวจเรียกลักษณะนี้ แถวซอยศูนย์วิจัย เลียบถนนพระราม 9 ก็ขับตรงมา เรื่อย ๆ อยู่ ๆ ก่อนถึงปากซอยลูกศรมาชี้บังคับให้เลี้ยวเข้าซอย ทั้งที่ความเป็นจริงมีรถเลี้ยวไม่กี่คัน เกือบทั้งหมดจะตรงไป พอเขียนลงไป รุ่งขึ้น กทม. รีบมาแก้ไขให้ตรงกับความเป็นจริง
       
อยากฝากต่อ กทม. จะทำป้าย ขีดสีตีเส้น หรือสัญลักษณ์บนถนน ต้องทำให้ตรงกับสภาพการจราจรที่เป็นจริง แยกเดียวกันก็ต้องทำให้เหมือนกันด้วย จะได้ไม่มีใครตกเป็นเหยื่อ.


ไฟเหลือง
failuang@dailynews.co.th
176  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คิดค้น'เครื่องเขย่าเลือด'ราคาถูกช่วยวงการแพทย์ เมื่อ: ธันวาคม 22, 2010, 07:54:10 am
คิดค้น'เครื่องเขย่าเลือด'ราคาถูกช่วยวงการแพทย์

จากการทำงานของหน่วยงานรับบริจาคโลหิตถือว่าเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญและ บุคลากรในหน่วยงานต้องปฏิบัติงานอย่างหนัก เพราะต้องมาตรวจเช็กน้ำหนักของโลหิตที่แสดงบนเครื่องชั่งน้ำหนัก และต้องมาเขย่าถุงโลหิต เพื่อไม่ให้โลหิตแข็งตัว และต้องคอยตรวจเช็กผู้บริจาคโลหิตว่าเกิดการผิดปกติในการบริจาคโลหิตหรือไม่ เช่น ผู้บริจาคมีอาการผิดปกติ โลหิตออกน้อย เป็นต้น ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้ของหน่วยรับบริจาคโลหิตอย่างเช่น เครื่องเขย่าเลือดพร้อมชั่งน้ำหนักที่มีอยู่ ส่วนใหญ่นำเข้าจากต่างประเทศเข้ามาช่วยในการทำงาน แต่ราคาของเครื่องดังกล่าวยังมีราคาค่อนข้างสูงมาก
   
นายณรงค์ อภยานุกูล และนายวินัย สุขแก้ว สองนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย มองเห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้น จึงได้มีแนวคิดที่จะสร้าง เครื่องเขย่าเลือดพร้อมชั่งน้ำหนักอัตโนมัติที่มีราคาถูกลงขึ้น
   
โดย นายณรงค์ อภยานุกูล และนายวินัย สุขแก้ว สองนักศึกษาผู้คิดค้นเครื่องเขย่าเลือด กล่าวว่า ได้เห็นหน่วยรับบริจาคเลือดเคลื่อนที่ ไปให้บริการรับบริจาคเลือดในจุดต่าง ๆ ของจังหวัด จะเห็นได้ว่า จะต้องมีเจ้าหน้าที่มายืนเขย่าถุงเลือดที่ได้รับบริจาคเป็นการเสียเวลา ด้วยเครื่องเขย่าเลือดที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนั้น มีราคาสูงมากซึ่งต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศ หากเราสามารถที่จะทำได้เอง และประสิทธิ ภาพที่สามารถใช้งานได้เหมือนกัน น่าเป็นสิ่งที่ดี จึงได้คิดประดิษฐ์เครื่องเขย่าเลือดพร้อมชั่งน้ำหนักอัตโนมัติ
   
“เครื่องเขย่าเลือดมีน้ำหนักของตัวเครื่อง ประมาณ 3 กิโลกรัม กว้าง 35 เซนติเมตร ยาว 32 เซนติเมตร สูง 23 เซนติเมตร การทำงานของเครื่องนำเอาเทคโนโลยีของไมโครคอนโทรลเลอร์มาเพิ่มประสิทธิภาพ ของเครื่องชังน้ำหนัก เป็นตัวประมวลผล และสั่งการควบคุม โดยการใช้มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงในการขับเคลื่อน เพื่อให้ถุงโลหิตสามารถเขย่าไปมาได้ ตัวยาที่อยู่ในถุงผสมกับเลือดที่ได้รับบริจาค เพื่อป้องกันการแข็งตัวของเลือด”
   
นักศึกษาวิศวกรรมไฟฟ้าทั้ง 2 รายกล่าวอีกว่า วิธีใช้งานเครื่องจะต้องทำการเลือกขนาดของถุงเลือดก่อน การทำการชั่งน้ำหนักมี 2 ขนาด คือ ขนาด 350 มิลลิลิตร และขนาด 450 มิลลิลิตร จุดเด่นของเครื่องคือ ผู้บริจาคเลือดรู้สึกผิดปกติสามารถกดปุ่มเรียกฉุกเฉินได้จากตัวเครื่องกรณี ที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้เฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด จะมีเสียงเตือนเมื่อเลือดไหลช้ากว่าปกติค่าของการนับเวลาตั้งเอาไว้ให้มีการ นับจาก 0-15 นาที การแสดงผลของหน้าจอ มี 2 บรรทัด 16 ตัวอักษร บรรทัดแรกแสดงค่าน้ำหนักของถุงเลือดที่ได้จากการชั่งน้ำหนัก ต่อด้วยขนาดของถุงเลือดที่ทำการเลือกเอาไว้ บรรทัดที่สองแสดงเวลาที่ใช้ในการชั่งวัดน้ำหนักของถุงเลือด เพื่อความสะดวกและรวดเร็วต่อบุคลากรที่รับบริจาคโลหิตและตัวผู้บริจาคโลหิต เอง
   
“จากการนำเครื่องเขย่าเลือดพร้อมชั่งน้ำหนักอัตโนมัติ มาทดลองใช้กับผู้ที่มาบริจาค ณ หน่วยคลังเลือด มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้รับการตอบรับจากเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานว่า เครื่องที่นำมาทดลองมีประสิทธิภาพการทำงานและคุณสมบัติเหมือนกันโดยเครื่อง ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันที่มีราคาสูงกว่าต้นทุนที่ได้ประดิษฐ์มาใช้ทดสอบ”
   
นายพิทักษ์ สถิตวรรธนะ อาจารย์สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า ที่ปรึกษาชิ้นงานเครื่องเขย่าเลือดพร้อมชั่งน้ำหนักอัตโนมัติ กล่าวว่า ได้ให้โจทย์ไปกับนักศึกษานำเสนอโครงงานที่สามารถนำมาใช้งานได้จริง ไม่ว่าจะนำมาใช้ในหน่วยงานภายในและภายนอกก็ตาม เพื่อเป็นการนำองค์ความรู้ที่ตนเรียนมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ชุมชนและ สังคม เช่นเดียวกับเครื่องเขย่าเลือดพร้อมชั่งน้ำหนักอัตโนมัติชิ้นนี้ที่นักศึกษา ได้ประดิษฐ์ขึ้นมาเป็นการช่วยลดรายจ่ายการซื้อ เครื่องเขย่าเลือดในโรงพยาบาลต่าง ๆ ซึ่งมีราคาที่สูงมาก
   
นับเป็นนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีอีกขั้นของเด็กไทยที่นำความรู้มาใช้อย่างสร้าง สรรค์และเกิดประโยชน์ต่อสังคม ที่หลายฝ่ายควรให้การสนับสนุน ซึ่งไม่ใช่พฤติกรรมห่าม ๆ อย่างวัยโจ๋ที่ชอบอ้างศักดิ์ศรีสถาบันมาตีรันฟันแทงกันอย่างบ้าคลั่ง โดยไม่เกิดประโยชน์กับบ้านเมืองแม้แต่นิดเดียว!.


ไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล
177  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / "เนคเทค" เผยผลสำรวจผู้ใช้เน็ตปี 53 พบคนไทยใช้บรอดแบนด์มากขึ้น เมื่อ: ธันวาคม 22, 2010, 07:51:29 am
"เนคเทค" เผยผลสำรวจผู้ใช้เน็ตปี 53 พบคนไทยใช้บรอดแบนด์มากขึ้น แถมนิยมเช็คอีเมล์ผ่านมือถือ

เมื่อเวลา 13.30 น. วันนี้ (21 ธ.ค.) ที่โรงแรมเซ็นจูรี่พาร์ค กรุงเทพฯ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  เปิดเผย "ผลการสำรวจกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2553" ซึ่งมีผู้ร่วมเข้าตอบแบบสอบถามทั้งหมด 14,067 คน โดยเป็นการสำรวจผ่านอินเทอร์เน็ต ระหว่างเดือน ส.ค.-ต.ค. 2553 พร้อมมีคำถามพิเศษเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้แอพพลิเคชั่นสำหรับอุปกรณ์เคลื่อน ที่ โดยสรุปผลการสำรวจที่น่าสนใจได้ดังนี้

ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่เข้ามาตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอายุ 30-39 ปี โดยเป็นกลุ่มที่ทำงานแล้วมากกว่ากลุ่มที่มีอายุระหว่าง 20-29 ปีเหมือนปีที่ผ่านมา ขณะที่รูปแบบในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้เปลี่ยนไปจากปีก่อนที่ผู้ตอบแบบ สอบถามส่วนใหญ่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านสายแลน ( LAN) ของที่ทำงานและสถานที่ศึกษา เป็นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านเอดีเอสแอล (ADSL) คิดเป็น 52.1% ซึ่งแสดงถึงความต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่เพิ่มขึ้น ส่วนพฤติกรรมการเข้าใช้งานอินเทอร์เน็ตไม่แตกต่างจากปีก่อน คือ เข้าใช้งานอินเทอร์เน็ตในช่วงเวลา 20.01 น.-24.00 น. มากที่สุดคิดเป็น 37.3% โดยส่วนใหญ่ยังใช้งานอินเทอร์เน็ตจากที่บ้านและที่ทำงาน ขณะที่กิจกรรมที่ทำบนอินเทอร์เน็ตมากที่สุดยังเป็นรับ-ส่งอีเมล์ คิดเป็น 27.2% ค้นหาข้อมูล 26.1% ติดตามข่าว 14.1% และอี-เลิร์นนิ่ง 8.2%

สำหรับปัญหาที่พบจากการใช้งานอินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่ยังเป็นปัญหาเรื่องของ ไวรัส 40.2% รองลงมาคือความล่าช้าในการรับ-ส่งข้อมูล 36.4% และอีเมล์ขยะ 24.2%

ดร.พันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้อำนวยการเนคเทค กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มการใช้งานอินเทอร์เน็ตปีหน้า ความนิยมของการใช้แอพพลิเคชั่นบนอุปกรณ์เคลื่อนที่จะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาอุปกรณ์สื่อสารให้มีความทันสมัยและรองรับการใช้งาน แอพพลิเคชั่นที่มีความหลากหลาย โดยเฉพาะกระแสของเครื่องโทรศัพท์สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ๆ และแท็บเล็ต พีซี ที่กำลังได้รับความสนใจทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยข้อมูลที่สำรวจสามารถนำไปใช้ในการดำเนินการนโยบายบรอดแบนด์แห่งชาติได้

จากข้อมูลของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) พบว่า จำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ช่วงไตรมาสสองของปี 2552 มีทั้งสิ้น 64.1 ล้านราย ส่วนสถิติของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ไอทียู) ประมาณการณ์ว่าในปี 2553 จำนวนผู้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วโลกจะมีประมาณ 5.3 พันล้านคนหรือประมาณร้อยละ 78 ของประชากรโลก

ส่วนคำถามพิเศษเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้แอพพลิเคชั่นของผู้ใช้โทรศัพท์ เคลื่อนที่ของคนไทย พบว่าร้อยละ 60 ยังใช้บริการเสริมในส่วนส่งข้อความสั้น (เอสเอ็มเอส) เป็นหลัก ส่วนการใช้บริการจีพีอาร์เอส (GPRS) ในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพิ่มสูงขึ้น จากความนิยมของผู้บริโภคในการเข้าเครือข่ายสังคมออนไลน์ เช่น ทวิตเตอร์ และเฟซบุ๊ก ซึ่งกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามจาก "การสำรวจกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2553" ระบุว่า ใช้แอพพลิเคชั่นผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบสมาร์ทโฟนมากที่สุดถึงร้อยละ 91.6 ที่เหลือเป็นการใช้งานผ่านอุปกรณ์นำทางผ่านดาวเทียม (จีพีเอส) การใช้งานผ่านอุปกรณ์คอมพิวเตอร์พกพา การใช้งานผ่านเครื่องแปลภาษา และการใช้งานผ่านเครื่องอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์

โดยประเภทของแอพพลิเคชั่นที่ผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือนิยมใช้งานมากที่สุด คือรับ-ส่งอีเมล์ คิดเป็น 33.5% สังคมออนไลน์ 20.2% ท่องเว็บไซต์ 20.2% และติดตามข่าว 11.5% เป็นต้น ส่วนปัญหาของการใช้งานที่พบ 42.3% ระบุราคาแพง และ 19.9% ระบุไม่สามารถใช้ได้บางพื้นที่

ทั้งนี้ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาจากการสำรวจของเนคเทค พบว่ามีผู้ตอบเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และผู้ตอบแบบสอบถามมีแนวโน้มเป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นหลัก ส่วนใหญ่จบปริญญาตรี มีอาชีพพนักงานบริษัท พนักงานรัฐและรัฐวิสาหกิจ โดยพบว่าผู้ที่มีประสบการณ์ในการใช้อินเทอร์เน็ตน้อยกว่า 2 ปีมีจำนวนลดลงเรื่อย ๆ ขณะที่การใช้บรอดแบนด์ของผู้ตอบแบบสอบถามมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก 33% ในปี 2547 เพิ่มเป็น 70% ในปี 2553.

ที่มา
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=316&contentID=111279
178  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เหี้ยม ฆ่าเผานั่งยางเด็ก ม.5 ดับสยอง 2 ศพ ( ยะลาอีกแล้ว เมืองใดไร้ธรรมอำไพ... ) เมื่อ: ธันวาคม 22, 2010, 07:49:37 am
เหี้ยม ฆ่าเผานั่งยางเด็ก ม.5 ดับสยอง 2 ศพ ตำรวจคาดหักหลังกันเอง ตร.เร่งล่าตัวคนร้ายมาดำเนินดดี


เมื่อ เวลา 09.30 น. วันที่ 21 ธ.ค. ร.ต.ท. วริศร มัจฉา ร้อยเวร สภ.เบตง จ.ยะลา ได้รับแจ้งมีคนถูกฆ่าเผานั่งยางอยู่ริมถนนสายด่านพรมแดนไทย – มาเลเซีย บ้านกาแป๊ะฮูลู ติดกับกุโบร์ เขตเทศบาลเมืองเบตง หลังรับแจ้งจึงพร้อมด้วย นายดลเดช พัฒนรัฐ นายอำเภอเบตง พ.ต.ท.เชษฐ์วิทย์ นีระฮิง ผบ.ร้อย.ตชด.445 ร.อ.ปิยะพงษ์ พรดา ผบ.ร้อย.ม.4 ฉก.ยะลา 16 (พัน.ม.138) และ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเบตง หน่วยกู้ชีพเบตง รุดไปตรวจสอบยังจุดเกิดเหตุพบมีดพร้า เข็มขัด รองเท้า ถูกไฟไหม้บริเวณพื้นถนนมีร่องรอยคล้ายมีการต่อสู้กันใกล้กันมีผู้เสียชีวิต 2 ราย ถูกไฟไหม้ดำเป็นตอตะโก

เบื้องต้นทราบว่าผู้ตายคือ นายเฉลิมฤทธิ์ นันต๊ะฤทธิ์ หรือแจ๊ค อายุ 17 ปี อยู่บ้านเลขที่ 75 / 24 ม.7 ต.ยะรม อ.เบตง จ.ยะลาเป็นนักเรียนชั้น ม.5โรงเรียนแห่งหนึ่งในเบตง ส่วนอีกศพคือ นายนวัชชา  สิริ รัชกุลหรือโจอี้ อายุ 15 ปี อยู่บ้านเลขที่ 43 / 11 ถ.คงคา อ.เบตง จ.ยะลา จากการสอบสวน นางจันทร์เพ็ญ นันต๊ะฤทธิ์ แม่ของผู้ตายให้การว่านายเฉลิมฤทธิ์ ได้ออกจากบ้านไปตั้งแต่คืนวันที่ 20 ธ.ค.โดยมีเพื่อนชื่อนายนวัชชาห รือโจอี้มารับและไม่ได้กลับมาบ้านจนกระทั่งมา พบกลายเป็นศพแล้ว

ด้าน พ.ต.ท.โสภณ สายสุรีย์ สว.สส.สภ.เบตง เปิดเผยว่า ผู้ตายทั้ง 2 รายอาจมาพบใครบริเวณนี้แล้วตกลงอะไรบ้างอย่างไม่ลงตัวและถูกไล่ทำร้ายจนมี การต่อสู้กันซึ่งคนร้ายมีไม่ต่ำกว่า 4 คนรุมทำร้ายด้วยอาวุธมีดแต่ทั้ง 2 คนยังไม่เสียชีวิต คนร้ายจึงลากผู้ตายมายังจุดที่พบศพแล้วใช้มีดเชือดคออย่างเหี้ยมโหดก่อนจะ จุดไฟเผาซ้ำ เพื่ออำพรางไม่ให้รู้ว่าผู้ตายเป็นใคร คาดว่าเป็นการหักหลังผลประ โยชน์กันเอง หรืออาจจะเป็นการพนันบอล อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่จะเร่งสืบสวนหาข้อเท็กจริงและติดตามตัวคนร้ายมา ดำเนินคดีตามขั้นตอนต่อไป.
179  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เณรใจเหี้ยมแทงหลวงปู่ร่างพรุน ภายในวัดควนสีนวล ม.7 ต.นาข้าวเสีย อ.นาโยง จ.ตรัง เมื่อ: ธันวาคม 22, 2010, 07:47:54 am
เมื่อ เวลา 00.15 น. วันนี้ (21 ธ.ค.) ร.ต.อ.ปรีชา  หาสังข์  ร้อยเวร  สภ.นาโยง จ.ตรัง  เปิดเผยว่า  เมื่อเวลา 21.30 น.วันที่ 20 ธ.ค. ที่ผ่านมา


ได้ รับแจ้งเหตุมีพระภิกษุสงฆ์ถูกสามเณรภายในวัดควนสีนวล ม.7 ต.นาข้าวเสีย อ.นาโยง จ.ตรัง  ใช้อาวุธมีดปลายแหลมแทงได้รับบาดเจ็บอาการสาหัส  เหตุ เกิดที่กุฎิภายในวัด หลังรับแจ้งจึงรีบเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพบเพียงกองเลือดอยู่บนพื้นภาย ในกุฎิ  ส่วนผู้บาดเจ็บทราบว่ามีพลเมืองดีช่วยกันนำส่งโรงพยาบาลตรัง ทราบชื่อคือ  พระรื่น  แกล้วกล้า อายุ 65 ปี เป็นพระลูกวัด  จากการตรวจสอบบาดแผลเบื้องต้นพบว่า  มีบาดแผลถูกแทงด้วยอาวุธมีดปลายแหลมเข้าที่บริเวณไหปลาร้าด้านซ้าย จำนวน 1 แผลหน้าผากด้านซ้าย จำนวน 1 แผล  แขนด้านขวา จำนวน 3 แผล  ขาอ่อนด้านขวา จำนวน 2 แผล  หน้าแข้งด้านขวา จำนวน 1 แผล  ใต้รักแร้ด้านขวา จำนวน 1 แผล  และราวนมด้านขวาทะลุปอด จำนวน 4 แผล  รวมทั้งหมด 13 แผล 

สอบถามพระครูวรจันทโชติ  เจ้าอาวาสวัดควนสีนวล  กล่าวว่า  ก่อนเกิดเหตุพระรื่นได้นั่งต่อรูปจิ๊กซออยู่ภายในกุฎิ  ต่อมาสามเณรเอ็ม (นามสมมุติ) อายุ 13 ปี ซึ่งบวชเรียนภายในวัดเดียวกันมาได้ประมาณ 1 เดือน  ก็ได้เดินเข้ามานั่งเล่นโทรศัพท์ของพระรื่นภายในกุฎิโดยพลการ  และระหว่างนั้นสามเณรเอ็มก็ได้แอบโอนเงินจากโทรศัพท์พระรื่นเข้าโทรศัพท์ของ ตัวเอง เป็นเงินจำนวน 100 บาท   เมื่อพระรื่นทราบจึงได้ต่อว่าแล้วไล่ให้ลงจากกุฎิ  พร้อมกับสั่งห้ามไม่กลับเข้ามาอีก  จึงทำให้สามเณรเอ็มไม่พอใจ คว้าอาวุธมีดปลายแหลมที่วางอยู่ใกล้ๆกระหน่ำแทงพระรื่น จนล้มฟุบบนพื้นก่อนวิ่งหลบหนีไป

ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ  สันนิษฐานว่า  สามเณร เอ็มคงจะมีความโกรธแค้นพระรื่นมานาน  และเมื่อมาเจอเหตุการณ์ดังกล่าวก็ได้เกิดโทสะ  ใช้อาวุธมีดปลายแหลมกระหน่ำแทงพระรื่นจนได้รับบาดเจ็บก่อนวิ่งหนีไป  อย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เตรียมเรียกตัวสามเณรเอ็ม  เพื่อที่จะนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=419&contentID=111336
180  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / ร่วมเป็นเจ้าภาพทองเหลือง กิโลกรัมละ ๕๐๐ บาท วัดพระพุทธบาทตากผ้า เมื่อ: ธันวาคม 21, 2010, 12:40:43 am

ร่วมเป็นเจ้าภาพทองเหลือง กิโลกรัมละ ๕๐๐ บาท

ติดต่อบริจาคได้ที่ พระครูพุทธิญาณโสภณ เจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทตากผ้า
วัดพระพุทธบาทตากผ้า อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน
โทร. ๐๕๓-๐๐๕- ๒๐๐, ๐๘๑-๗๐๖-๕๔๑๒

ชื่อบัญชี
“วัดพระพุทธบาทตากผ้า”
ธนาคาร กรุงไทย สาขาป่าซาง เลขบัญชี ๕๑๑-๑-๙๘๗๙๙-๑

คณะศรัทธาต่างประเทศ ร่วมบริจาคได้ที่
America First Credit Union
Acct: ๒๑๗๔๘๐๒ - ๕
Name: Phrakhru Phutthiyansopho

ที่มา

http://www.phrabat.com/
181  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / ประวัติ ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ เมื่อ: ธันวาคม 21, 2010, 12:33:39 am




ระสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ช่วงแรกประมาณ 1 เดือนก็จะเคลื่อนศพของครูบาธรรมชัยมาทำความสะอาดโดยใช้น้ำและน้ำยาวาสลี นเช็ดที่สรีระของครูบาธรรมชัย ต่อจากนั้นก็จะเป็น 3 เดือนทำครั้ง 6 เดือนทำครั้ง และ 1 ปี ทำครั้งหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้ศพเกิดเน่าเปื่อย จนปัจจุบันนี้สรีระของครูบาธรรม
ชัย ไม่ต้องทำความสะอาดอีกเลยเวลาผ่านไป 20 ปี สภาพศพเริ่มแข็งกลายเป็นดินแข็งคงสภาพเดิมไว้ทุกอย่าง สรีระของครูบาธรรมชัย จากสีขาวเหลืองก็กลายเป็นสีน้ำตาลเข้มและดำในที่สุดจนทุกวันนี้ อีกนานไปสภาพศพก็จะกลายเป็นหินไปในที่สุด

ในวันที่ 30 ธ.ค. นี้ จะเป็นวันครบรอบการมรณภาพของครูบาธรรมชัย ครบ 20 ปี ทางวัดจะได้ทำบุญสวดสืบชะตา-เสริมสิริมงคลแก่คณะศิษย์และศรัทธา บำเพ็ญกุศลครบรอบการมรณภาพ 20 ปี เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อบุพการี โดยจะอาราธนาพระเถรานุเถระ 60 รูป มาสวดธัมมนิยาม พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ศรัทธาประชาชนได้กราบนมัสการสรีระของครูบาธรรมชัย



อ่านต่อได้ที่นี่คร้า..

http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=travelaround&date=03-12-2007&group=6&gblog=4
182  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สำหรับพวกทำงาน ออฟฟิส คร้า... อย่าลางานหลายวัน นะคะ มิฉะนั้น จะเป็นอย่างนี้ เมื่อ: ธันวาคม 21, 2010, 12:27:13 am
สำหรับพวกทำงาน ออฟฟิส คร้า...
อย่าลางานหลายวัน นะคะ มิฉะนั้น จะเป็นอย่างนี้






ดูคลาย เครียดภาพดึกคร้า...
 :93:
183  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / สิ่งลี้ลับ จาก ท. เลียงพิบูลย์ เมื่อ: ธันวาคม 21, 2010, 12:20:34 am

สิ่งลี้ลับ
โดย ท.เลียงพิบูลย์

จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๔

โลกเรานี้ยังมีสิ่งที่ประหลาดมหัศจรรย์ลี้ลับอีกมากมาย แม้ปัจจุบันนี้ความเจริญทางวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าเพียงไร แต่ความลี้ลับมหัศจรรย์ในเรื่องวิญญาณและอภินิหาร ก็ยังเหมือนม่านลี้ลับกั้นระหว่างโลกมนุษย์กับโลกวิญญาณไม่ให้มีการติดต่อ ถึงกันได้สะดวก ทางวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถจะหาหลักฐานในสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อคลี่คลายให้เด็ดขาดลงไปว่า จะปฏิเสธหรือว่ามีจริง ยังคงทิ้งปัญหาไว้เหมือนเส้นผมบังภูเขา ข้าพเจ้าเองไม่เคยเจอในสิ่งที่ไม่มีเหตุผลมาก่อน เพราะเป็นเรื่องเหลวไหลอย่างลมๆ แล้งๆ หาหลักความจริงไม่ได้

เมื่อวัยรุ่น ผู้ใหญ่หรือพวกเพื่อนเล่าเรื่องผีเรื่องสางให้ฟัง ข้าพเจ้าไม่เคยนึกเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงจังอะไร ผิดกับพวกพี่น้อง เธอว่าผีมีจริงอย่างฝังหัว แต่เมื่อได้ประสบกับตัวเอง ครั้งแรกก็เกิดความสงสัยไม่แน่ใจว่า สิ่งลี้ลับในโลกมนุษย์เรานี้มีจริงหรือไม่ ยังไม่ควรจะตัดสินสิ่งใดง่ายๆ แต่เมื่อได้ประสบการณ์ซ้ำๆ กันหลายครั้ง จึงมาคิดดูว่าที่ไม่เชื่อนั้นก็ถูก เพราะยังไม่เคยประสบการณ์ ในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประหลาดมหัศจรรย์มาก่อน และที่เชื่อก็ถูก เพราะได้ประสบมาด้วยตนเองซ้ำๆ หลายครั้ง ฉะนั้นการเชื่อหรือไม่เชื่อจึงเป็นธรรมดาที่ถูกทั้งสองฝ่าย ไม่เป็นปัญหาอะไรมากนัก

บัดนี้ ข้าพเจ้ามีความสนใจที่จะเรียนรู้ศึกษาในสิ่งลี้ลับ ซึ่งหาหลักวิชาไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงอยากรู้อยากเห็นอยากพิสูจน์ด้วยของจริง มีปัญญาชนหลายท่าน บางท่านก็มีตำแหน่งสูง บางท่านก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ชื่อก้อง แต่เมื่อได้ประสบการณ์ด้วยตนเองในปาฏิหาริย์ก็พูดไม่ออก ต้องเก็บความรู้สึกนิ่งไว้ในใจเพราะคนที่รู้เห็นประสบการณ์มีน้อย คงได้เล่าสู่กันฟังในหมู่เพื่อนฝูง แม้แต่ในหมู่เพื่อนฝูงก็ต้องระวัง เพราะบางท่านก็ไม่สนใจ ซ้ำร้ายกลับขัดคอหาว่างมงาย ถอยหลังเข้าคลอง

ฉะนั้น การเล่าสู่กันฟังก็ต้องหลีกเลี่ยงการโต้คารมของผู้ไม่สนใจ ข้าพเจ้าจึงมีเพื่อนฝูงและท่านที่เคารพนับถือ คอยชักชวนให้ข้าพเจ้าได้ไปพบเห็นสิ่งมหัศจรรย์ บางครั้งก็ต้องเดินทางไกลไปต่างจังหวัด บางครั้งกลางดึกก็โทรศัพท์มาชักชวนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ติดตามไปด้วยใจสมัครอยากรู้อยากเห็น อยากศึกษา ยอมอดหลับอดนอนตลอดรุ่ง แต่ก็รู้สึกว่าได้รู้ได้เห็นเหดุการณ์คุ้มค่าของเวลาที่เสียไป นี่ก็เป็นเพราะข้าพเจ้าสนใจ จึงได้มีเพี่อนฝูงคอยชักนำให้พบเหตุการณ์อันสูงค่าตามความรู้สึกในชีวิต

และก็อดคิดไม่ได้ หากข้าพเจ้าไม่สนใจและคอยขัดคอเยาะเย้ยหาว่างมงาย ก็คงจะไม่มีเพื่อนฝูงคนใดเขาอยากจะมาชักชวนไปประสบในสิ่งประหลาดเหล่านี้ เป็นแน่ และก็อดนึกไม่ได้ว่า เมื่อแม่บ้านของข้าพเจ้าได้เข้าไปฟังธรรมที่วัดวันพระ มีเพื่อนฝูงคอยชักจูงไปฟังธรรมที่นั้นที่นี่ไปนั่งวิปัสสนาอาจารย์นี้เป็น ต้น ล้วนแต่ผู้มีศีลธรรมชักจูงไปในทางดีทั้งสิ้น

และมานึกดูหากว่า ข้าพเจ้ามีนิสัยเป็นอันธพาลมาชักชวนให้ไปประพฤติชั่วเช่นเดียวกัน และถ้าข้าพเจ้าเป็นโจรก็คงมีพวกโจรชักชวนแนะนำไปปล้น เพราะเห็นว่ามีนิสัยเหมือนกัน นี่ก็เห็นจะเข้าบทกฎแห่งกรรมได้ ข้าพเจ้าอยากจะเล่าเรื่องที่ได้ทราบมา บางทีท่านอาจพิจารณาดูด้วยใจเป็นกลางก็คงจะได้ความรู้ใน เรื่องนี้บ้างไม่มากก็น้อย

บ่ายวันหนึ่งในปี พ.ศ. ๒๕๐๘ ข้าพเจ้าได้มีโอกาสพบกับท่านผู้สูงศักดิ์ สูงทั้งความรู้โบราณคดีในประวัติศาสตร์และทางโลก บ่ายวันนั้นข้าพเจ้าได้มีโอกาสสนทนากับท่าน ทำให้ข้าพเจ้าได้รับความรู้จากท่านอีกมากมาย จึงคิดว่าเมื่อได้พบกับท่านผู้มีคุณธรรมสูงนั้น ย่อมจะมีแต่ได้ผลกำไรในชีวิต ทำให้จิตใจมีความสบายขึ้น ตอนหนึ่งข้าพเจ้าได้ถามท่านถึงเรื่องโลกมนุษย์และโลกวิญญาณ จะมีทางติดต่อกันได้ทางใด และข้าพเจ้าก็เล่าเรื่องประสบการณ์ในชีวิตหลายครั้งให้ท่านฟัง ท่านก็กรุณาเล่าเรื่องชีวิตประสบการณ์ของท่านให้ทราบว่า

เมื่อครั้งท่านได้อยู่ในต่างประเทศพร้อมด้วยญาติ ต่อมาโลกกำลังตกอยู่ในยามวิกฤตกาล ชาติมหาอำนาจหลายประเทศอยู่ในความวิปริต ประชาชนชาวโลกต่างก็หวาดหวั่นภัยสงครามโลกจะเกิดขึ้น ยากที่จะหาผู้ใดที่มีจิตใจปกติ ไม่สะดุ้งสะเทือนในสถานการณ์ของโลกกำลังปั่นป่วนเช่นนี้ ท่านและญาติได้อยู่ห่างไกลจากประเทศชาติที่รัก ห่างไกลบ้านเกิดเมืองนอน ยามปกติก็มีความคิดถึงมากพออยู่แล้ว แม้เมื่อยามโลกปั่นป่วนเช่นนี้ย่อมจะทวีความคิดถึงบ้านมากขึ้น ความเป็นห่วงประเทศชาติและญาติพี่น้อง ความว้าเหว่และความวิปโยคจะเกิดขึ้น เรื่องเช่นนี้ถ้าไม่ได้ประสบกับตัวเองแล้ว ก็ยากที่จะเข้าถึงในความรู้สึกในส่วนลึกของผู้อื่น

ท่านเล่าว่าตอนกลางคืนก่อนนอน ท่านได้สวดมนต์และขอให้วิญญาณบรรพบุรุษที่เคารพอย่างสูง ขอให้ช่วยป้องกันภัยภยันตราย อย่าให้เกิดขึ้นแก่พวกเราเลย คืนหนึ่งท่านฝันแปลกประหลาดมาก ท่านเห็นล้นเกล้าในหลวงรัชกาลที่ ๖ เสด็จมายืนข้างเตียงซึ่งท่านนอนตะแคงดูด้วยความรู้สึกประหลาดใจ ในหลวงรับสั่งว่า “ไม่ต้องวิตกทุกข์ร้อน ในเรื่องเหตุการณ์ของโลก แล้วจะดีไม่มีภัย ฉันไม่เคยบอกอะไรที่ไม่จริง”

ท่านนอนตัวเเข็งขนลุกทั้งตัว เมื่อลืมตาขึ้นก็ยังเห็นพระองค์ในหลวงกำลังเสด็จออกจากที่นั้น ท่านมองดูด้วยความตะลึง เห็นทรงพระราชดำเนินห่างออกไป พระวรกายค่อยๆ โปร่งแสงค่อยๆ จางหายไป เวลานั้นเป็นเวลาสางๆ แสงเงินแสงทองจับท้องฟ้าสว่างพอที่จะมองเห็นลายมือ ท่านเห็นล้นเกล้าอย่างชัดเจนทั้งเวลาหลับและเวลาตื่น จำติดตาว่าทรงฉลองพระองค์คอปิดกระดุมห้าเม็ดแบบไทย ทรงผ้าหางกระรอกพร้อมทั้งถุงน่องรองพระบาท แต่มิได้ทรงพระมาลา สิ่งที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ก็คือ ท่านได้เห็นทั้งหลับและตื่นแล้ว

(มีต่อ)
 

new
บัวบานเต็มที่



เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 533

   
ตอบ เมื่อ: 15 ส.ค. 2004, 11:29 am    
เช้าวันนั้นพ่อแม่ ครัวกลับจากตลาด จึงไปถามว่าซื้อได้อะไรมาบ้าง เขาตอบว่าได้เครื่องในหมูมา จึงได้ขอเครื่องในส่วนหนึ่งแล้วปรุงเป็นโจ๊ก (อับโจ๊) เมื่อเสร็จแล้วใส่ปิ่นโตสามชั้น มีองุ่น แอปเปิ้ลใส่ภาชนะอะลูมิเนียมไปถวายท่านรัตน ซึ่งเป็นพระสงฆ์ลังกาและอยู่ไม่ห่างไกลจากที่อยู่นัก พระสงฆ์ชาวลังกาองค์นี้ท่านเคร่งและปฏิบัติศาสนกิจด้วยความบริสุทธิ์เป็นที่ น่าเคารพยิ่ง และให้คนนำไปถวาย

บอกกับท่านว่าขอให้อุทิศส่วนกุศลนี้ถวายล้นเกล้ารัชกาลที่ ๖ ของเมืองไทยด้วย เมื่อกรวดน้ำแผ่ส่วนกุศลแล้ว ก็ได้อธิษฐานจิตว่าหากทุกสิ่งที่เห็นทั้งหลับและตื่นเป็นความจริงแล้ว ขอให้เกิดนิมิตให้ประจักษ์เหตุการณ์ให้รู้ว่าโลกทั้งสองนี้เชื่อมโยงต่อกัน ได้ และการนิมิตนี้ขอให้เกิดขึ้นกับผู้อื่นที่ไม่รู้ ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้เลย เพื่อสิ้นสงสัยทีอาจจะเกิดอุปาทานนำเอาไปคิดว่าเป็นมายาภาพ

ฉะนั้นหากจะเกิดนิมิตใดๆ ขึ้นก็ขอให้เกิดภายใน ๓ วันนี้และท่านได้ทำใจให้ลืมเสีย หลังจากได้อธิษฐานจิตแล้ว ๓ วันต่อมาเวลาเช้า น้องสาวของท่านอยู่อีกตึกหนึ่งไม่รู้เรื่องเลย เที่ยวตามหา และบอกว่ามีเรื่องประหลาดมหัศจรรย์จะรีบเล่าให้ฟังเพราะกลัวช้าไปจนลืมเสีย คือ เมื่อเช้ามืดได้ฝันเห็นในหลวง รัชกาลที่ ๖ เสด็จลงมาจากในวังหลวงทางประตูต้นสน ทรงพระดำเนินมายังแพที่เราอยู่ หน้าตำหนักแพท่าราชวรดิษฐ์ เราเฝ้าอยู่ด้วยกันในแพนั้น

ในหลวงรับสั่งว่า “ฉันหิว มีอะไรกินบ้าง ?” น้องเหลือบเห็นปิ่นโตอาหารอะลูมิเนียมตั้งอยู่ข้างๆ แพ จึงหยิบมาเปิดดูเห็นเป็นโจ๊กเครื่องในหมู ก็ตักใส่ชามซึ่งตั้งอยู่ข้างๆ พร้อมช้อนนำขึ้นไปถวาย เมื่อในหลวงได้เสวยหมดชามแล้วก็ยื่นชามคืนมารับสั่งว่า “อร่อยดี ขออีกชาม” น้องก็รีบตักถวายอีก ๑ ชาม เมื่อเสวยเสร็จก็รับสั่งว่า “อยากรู้ไหมใครเป็นคนทำ คนนั้นแน่ะ เขาทำให้ฉันกิน !” พลางชี้พระหัตถ์มาที่พี่ซึ่งหมอบอยู่ห่างๆ

เมื่อน้องตื่นขึ้นมาก็ประหลาดใจ รีบติดตามมาแก้ฝันแต่เช้า เมื่อท่านได้ยินเช่นนั้นก็ขนลุกซู่ขึ้นมาทันที นึกในใจว่าสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ยังมีอยู่ในโลกนี้อีกมาก นี่ก็แสดงว่า โลกมนุษย์กับโลกของวิญญาณนั้นสามารถจะเชื่อมต่อกันได้ในบางครั้งบางคราวดอก กระมัง ? นี่เรื่องหนึ่งในหลายเรื่องที่ท่านได้กรุณาเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง หากมีเวลาข้าพเจ้าคงจะหาโอกาสเขียนมาให้ท่านผู้สนใจจะได้อ่าน ได้คิดถึงโลกที่ยังมีความลี้ลับมหัศจรรย์อีกมากมาย ที่มนุษย์รุ่นวิทยาศาสตร์เจริญก้าวหน้ายังไม่ได้รู้

ในชีวิตของข้าพเจ้าเองก็เคยประสบการณ์ในสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ เริ่มครั้งแรกเมื่อข้าพเจ้าอยู่ในวัยอายุยังไม่ครบยี่สิบ ครั้งนั้นจนบัดนี้ยังจำได้ติดหูติดตา หมายถึงได้ยินทั้งเสียงที่พูด ได้เห็นทั้งรูปร่าง และได้ถูกต้องด้วยการสัมผัส ครั้งนั้นข้าพเจ้าได้ขับขี่รถจักรยานหรือจะเรียกทับศัพท์ว่า ไบซิเคิลร์ ซึ่งสมัยนั้นหาคำไทยยังไม่เหมาะภายหลังเรียกว่า รถถีบ จำได้ว่าข้าพเจ้าขับขี่รถจักรยานออกจากถนนสี่พระยาเลี้ยวซ้ายเข้าถนนเจริญ กรุง เวลานั้นห้างไวท์อาเว อยู่ตรงมุมถนนสี่พระยาเป็นตึกสองชั้น

พอหักแฮนด์เดิ้ลหรือมือเลี้ยวก็พอดีตะเกียบหน้าหักตรงโคนที่มีลูกปืนหลุดขาด ไปพร้อมกับล้อหน้า ข้าพเจ้าเสียหลักคะมำหัวตำทิ่มลงมาแผ่อยู่บนพื้นถนนไม่ทันรู้ตัว เคราะห์ดีเมื่อถึงพื้นถนนไหล่ลงก่อนหัว เพราะมือเท้าลงไปก่อนจึงพ้นจากอุบัติเหตุคอหัก แต่ข้อมืองอไหล่เป็นแผลเลือดไหล ข้อมือขวาก็ไปครูดกับถนนซึ่งโรยด้วยอิฐด้วยหินเลือดไหลโทรม เสื้อผ้าขาดเปื้อนละอองฝุ่น ต้องนอนแผ่หลาอยู่กลางถนน ผู้คนแตกตื่นมามุงดู เพราะนานๆ จะพบคนนอนวัดถนนให้ดูสักครั้งหนึ่ง

ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนตัวตลก ไม่รู้จะวางหน้าอย่างไรถูก ได้แต่ยิ้มแห้งๆ หัวเราะไม่ออก พยายามยืนตัวลุกขึ้นมอง เห็นแขนซ้ายตอนข้อมือโก่งงอก็ตกใจ พยายามจับนวดบีบให้มันเหยียดตรง ซึ่งก็ได้ผล แต่มันก็ไม่เจ็บเห็นจะยังชาอยู่เพราะเพิ่งจะถูกใหม่ๆ ข้าพเจ้าพยายามรวบรวมกำลัง เก็บล้อที่หลุดออกไปจากตัวรถมารวมกันแล้ว แข็งใจเรียกรถลากคันใหญ่ ให้เจ๊กลากรถ ช่วยเอาจักรยานหรือรถถีบใส่รถเจ๊ก

ไม่ต้องพูดถึงราคา อยากจะไปให้พ้นๆ ฝูงคนที่มุงดู เมื่อขึ้นรถเจ๊กได้ก็ให้รีบลากไปเร็วๆ เพราะนึกอายที่มาเป็นตัวตลกให้คนดูกลางถนน เคราะห์ดีที่สมัยนั้นยังไม่มีรถยนต์มากมายเหมือนในปัจจุบันนี้ มิฉะนั้นก็คงไม่เป็นตัวเป็นตนอยู่จนบัดนี้เป็นแน่ เมื่อขึ้นรถลากรถเจ๊กมาถึงบ้าน พ่อแม่เห็นสารรูปแล้วตกใจ จัดแจงชำระบาดแผลใส่ยา

แต่แขนที่โก่งนั้นไม่สามารถจะดัดให้ตรงได้ แม่ได้ให้คนรีบไปตามหมอผันซึ่งเมื่อก่อนอยู่แถวบ้าน ต่อมาก็ย้ายไปอยู่ทางถนนสุรวงศ์ หน้าบ้านเจ้าพระยาพิชัยญาติ ข้าพเจ้าเรียกแกว่า ลุงผัน แกเป็นหมอที่รักษาต่อแขนต่อกระดูกด้วยน้ำมันมนต์มีชื่อเสียงในทางไสยศาสตร์ ผู้หนึ่งในสมัยนั้น เมื่อลุงผันได้รู้เรื่องก็รีบนั่งรถเจ๊กมาถึงบ้าน แล้วก็รีบตรวจดูแขนของข้าพเจ้าที่โก่งงอ แล้วใช้น้ำมันนวดและเป่าด้วยเวทมนตร์คาถาแขนที่โก่งก็ค่อยๆ เหยียดออกได้บ้างยังไม่ปกติเหมือนเดิม ลุงผันก็บอกว่า

“นี้เป็นหลานชายนะ ลุงจึงได้มา ถ้าเป็นคนอื่น ลุงจะไม่มา เพราะลุงไม่สบายมาก ที่ลุงมานี่ก็ฝืนสังขารเพราะห่วงหลาน ลุงจะต้องรีบกลับแล้วจะมาใหม่” ลุงผันกราบลาผู้ใหญ่ของข้าพเจ้ากลับขึ้นรถลากไปทันที

คืนนั้นข้าพเจ้าหลับๆ ตื่นๆ เพราะปวดแผลที่ไหล่และที่ข้อมือ แต่แล้วพอตอนเช้ามืด ข้าพเจ้าก็เห็นลุงผันเปิดมุ้งโผล่หน้าเข้ามา แล้วถามว่า

“เป็นยังไงบ้างหลานชาย ลุงเป็นห่วงจึงมาดู”

ข้าพเจ้ายื่นแขนที่กำลังปวดตุบๆ ขอให้ลุงผัน แกบีบแขนที่ยังโก่งอยู่พักหนึ่ง แล้วก็เป่าลมตั้งแต่ข้อศอกจดปลายนิ้ว ๓ ครั้ง การปวดตุบๆ ก็หาย แขนที่โก่งก็เกือบจะปกติอย่างเดิม ข้าพเจ้าดีใจมาก ลุงผันบอกว่า “อีก ๒-๓ วันก็จะหายเป็นปกติ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องตกใจ ลุงไปก่อนนะ”

พูดแล้วลุงผันก็ผลุบหน้าออกจากมุ้งที่ข้าพเจ้านอน ข้าพเจ้านึกในใจว่าลุงผันนี่เก่งจริงๆ เป่าแล้วหายปวด แขนที่โก่งก็แทบดูไม่รู้ว่าโก่ง พอสว่างดีข้าพเจ้าก็นอนอยู่ไม่ได้ ลุกขึ้นล้างหน้า เช้าวันนั้นรู้สึกสดชื่น อาการเจ็บป่วยเกือบไม่รู้สึก เห็นแม่เตรียมข้าวใส่ขันไว้ใส่บาตรพระตอนเช้า แล้วข้าพเจ้าบอกแม่ว่า

“แม่จ๋า เมื่อตอนเช้ามืดนี้ลุงผันแกมาเป่าแขนและบีบนวดให้ ดูซิจ๊ะแม่ แขนที่โก่ง ถ้าไม่สังเกตเกือบจะมองไม่รู้แล้ว และก็ไม่ปวดด้วย” พูดพลางข้าพเจ้ายื่นแขนชูให้แม่ดู รู้สึกว่าแม่สะดุ้ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมากพูดแต่เพียงว่า “เมื่อหายก็ดีแล้วลูก”

ในวันนั้นแต่พอใกล้เพล ก็มีคนมาจากบ้านลุงผันบอกว่า ลุงผันได้ตายเสียแล้วเมื่อคืนนี้ หมดลมเมื่อตอนเที่ยงคืน ข้าพเจ้าแทบไม่เชื่อหู เพราะตอนเช้ามืดข้าพเจ้ายังได้ยินลุงผันพูดด้วยหูและเห็นหน้าลุงผันด้วยตา แม้เวลานั้นเราจะมีตะเกียงน้ำมันก๊าด ใช้แก้วครอบไขขึ้นลงให้หรี่และให้กว้าง ได้แขวนไว้ข้างฝาห้องก็ดี

ข้าพเจ้ารู้ตัวดีว่าตาไม่ฝาด และก็ไม่ได้หลับไม่ได้ฝันเพียงแต่คล้ายมึนๆ หัว งงๆ แต่สติยังดีความรู้สึกปกติ ซ้ำลุงผันยังได้จับแขนบีบนวดตั้งแต่ข้อมือถึงข้อคอก และคลึงลำแขนของข้าพเจ้า ทั้งยังเสกคาถาแล้วเป่าลมลงที่แขนเย็นวาบหลายครั้ง ทุกอย่างเหมือนคนธรรมดา แต่แม่ข้าพเจ้าสงสัยอยู่แล้วว่าทำไมประตูบ้านยังไม่เปิด ถ้าเป็นคนจะเข้ามาในบ้านได้อย่างไร นั่นคือ “วิญญาณที่เป็นห่วง”

เรื่องนี้ข้าพเจ้าเคยเล่าให้เพื่อนๆ ฟังมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เขียนขึ้น เพราะเพื่อนๆ รู้แล้ว แม้จะเขียนก็ขาดความตื่นเต้น แต่เมื่อมาเขียนเรื่อง “สิ่งลี้ลับ” ก็เห็นว่าควรจะเขียนเรื่องนี้ไว้ด้วย เพราะยังมีผู้ที่ไม่ทราบอีกมาก ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องเกิดขึ้นกับตัวข้าพเจ้าเองแต่ข้าพเจ้าก็ไม่ประสงค์ จะให้ท่านเชื่อ เพราะท่านไม่ได้ประสบแก่ตัวท่านเอง แต่ผู้เคยประสบการณ์มาแล้ว ก็ไม่มีอะไรจะสงสัยอีกมันเป็นเรื่องลี้ลับที่แปลกประหลาด แม้จะเกิดขึ้นเมื่อครั้งข้าพเจ้าวัยรุ่นอยู่จนถึงปัจจุบันข้าพเจ้ายังจำได้ คล้ายกับเพิ่งจะเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ เพราะเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับผู้ใดแล้วยากที่จะลืมได้

จบ >>>>>
184  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / กฏแห่งกรรม :: ตายเพราะคำสาบาน เมื่อ: ธันวาคม 21, 2010, 12:19:33 am
กฏแห่งกรรม :: ตายเพราะคำสาบาน

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 28 เมษายน 2549 09:25 น.



เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงของชายหญิงคู่หนึ่ง ฝ่ายชายเป็นนายทหาร เป็นคนเรียบง่าย ร่าเริง มองโลกในแง่ดี มีเมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เข้าได้กับคนทุกระดับ จึงเป็นที่รักของทุกคน ซึ่งเรียกเขาว่า ‘กะปุกกะปุย’ ส่วนเธอ ‘จริยา ประโคน’ จบจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รับราชการอยู่ในฝ่ายปกครองของหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่ง

เขาเป็นลูกชายคนที่สองของกำนันที่มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ คนหนึ่งที่ทุกคนต่างก็ให้ความศรัทธา เคารพยกย่อง และมีฐานะทางการเงินเข้าขั้นเศรษฐีเมืองไทยคนหนึ่ง เขามีความเป็นลูกผู้ชายที่ใครจะมาลบเหลี่ยมไม่ได้เลยแม้แต่น้อย มีความทรนง เป็นตัวของตัวเอง และรักศักดิ์ศรีเทียบเท่าชีวิต บ้านของเขาไม่ได้อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ มากนัก เขาได้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) ซึ่งสมัยนั้นยังตั้งอยู่ที่ถนนราชดำเนินกลาง

ส่วนจริยาเป็นสาวน้อยน้ำหนักแค่ 33 กก. เท่านั้น จึงเป็นคนที่คล่องแคล่ว กร้าวแกร่ง และไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ชอบแต่งกายด้วยชุดกางเกงยีนส์ เสื้อยืดเป็นประจำ

กะปุกกะปุยกับจริยาควงกันเที่ยวอยู่หลายปี ตั้งแต่ยังเรียนหนังสือ จนกระทั่งเขาเรียนจบและได้เลื่อนยศเป็นนายร้อยโท รับราชการในเขตอีสาน ซึ่งขณะนั้นเต็มไปด้วยภัยจากคอมมิวนิสต์คุกคาม ส่วนเธอก็ได้มารับตำแหน่งในอีสานเช่นกัน ต่างคนต่างทุ่มเทกับการทำงาน จึงห่างเหินไม่ได้ติดต่อกันนานเป็นปีๆ คงมีแต่จดหมายติดต่อกันเท่านั้น และเธอก็ได้ส่งขนมนมเนยไปให้เขาอย่างสม่ำเสมอ

แต่แล้วสิ่งที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น จู่ๆ มีผู้ชายร่างคมสันคนหนึ่ง แต่งกายด้วยชุดฝึกทหาร เปื้อนไปด้วยฝุ่นลูกรังสีแดงติดกรังตั้งแต่หัวจดเท้า และผมยาวจดลำคอ ขี่รถจักรยานยนต์คันใหญ่มาหาเธอ เมื่อถอดหมวกออก เธอก็จำได้ทันทีว่าเป็นเขา คนที่เธอห่วงใยอยู่เสมอนั่นเอง

เขาเล่าให้ฟังว่าเพิ่งได้รับคำสั่งให้มารับราชการ ในอำเภอแห่งหนึ่งในจังหวัดที่เธออยู่นั่นเอง ซึ่งเป็นพื้นที่สีชมพู ดินแดนผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิตส์ มีกฎห้ามว่าคนในไม่ให้ออกคนนอกไม่ให้เข้า ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยนั่นเอง เขาจึงจำต้องอดทนใส่ชุดเก่าชุดเดิมออกมาจากหมู่บ้านนั้น แต่หลังจากอาบน้ำ สระผม เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เขาก็มารับเธอไปดูหนัง ไปหาอาหารอร่อยๆ รับประทานกัน แล้วก็จะกลับเข้าฐานในเวลาไม่เกิน 2 ทุ่มตามกฎ เป็นอย่างนี้ประจำแทบทุกวัน เว้นวันที่ต้องนำกำลังออกซุ่มโจมตี หรือว่าเข้าเวรรักษาการณ์เท่านั้น

เขาเป็นทั้งเพื่อนและเป็นทั้งน้องที่ดี มีปัญหาคับข้องใจอย่างไรจะหันหน้าปรึกษา ช่วยกันแก้ปัญหาและให้ความช่วยเหลือตามอัตภาพ สำหรับเธอแม้จะเป็นสาว แต่เลือกคบคน เขาเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวที่เธอให้ความสนิทชิดชอบ ให้ความไว้วางใจอย่างเต็มที่ คบกันมาหลายปีจนเขาได้รับพระราชทานยศนายพันตรี

มีอยู่วันหนึ่งที่เธอไปเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เมื่อครบกำหนดก็จะต้องกลับบ้าน ขณะนั้นค่ำแล้ว ฟ้าครึ้มด้วยฝน และเริ่มมีฝนตกปรอยๆ เขาก็ขับรถจี๊ปไปรับ ระหว่างทางฝนก็ตกหนักอย่างลืมหูลืมตาไม่ขึ้น จนทั้งคู่เปียกปอน เขาจึงเลี้ยวรถพาเข้าโรงแรมใหญ่แห่งหนึ่ง เพื่อหลบฝน เวลานั้นเขาสั่งเครื่องดื่มมาดื่มจนเมาและกอดเธอไว้แนบอก พร้อมกับสารภาพว่ารักเธอมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนนายร้อย และขอแต่งงาน

เธอจึงงงงันไปหมด ทำอะไรไม่ถูก มือไม้ไม่รู้ว่าจะวางตรงไหน เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีผู้ชายมาบอกรัก จึงได้ตอบไปว่าไม่เชื่อว่าเขาจะรักเธออย่างชู้สาว เพราะเขาเจ้าชู้ มีสาวๆ หน้าตาดีๆ มากมาย จะมารักคนแก่อย่างเธอทำไม และจะให้เชื่อได้อย่างไรว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง เขาตอบว่า

“อะไร ? ไม่เชื่อใจหรอกหรือ 3-4 ปี ที่ยอมลงทุนไว้ผมยาวประบ่า ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าฝุ่นดินลูกรัง หัวฟู ฝุ่น เกาะเต็มหัวหนาเตอะ เสี่ยงตายถึง 45 กิโล ฝ่าหลุมฝ่าบ่อฝ่าความตายจากผู้ก่อการร้าย มาหาอย่างสม่ำเสมอ ไม่เคยขาด แล้วอย่างนี้ยังไม่เชื่อใจเขาหรือ”

แรกๆ เธอก็ยอมรับว่าเห็นใจอยู่บ้างเหมือนกัน แต่เพราะความเป็นผู้หญิงต้องไว้ตัว จึงดุไปว่าเธอเพิ่งจะออกมาจากห้องวิปัสสนา ซึ่งถือว่าไปทำบุญอันยิ่งใหญ่มาใหม่ๆ จะมาพูดพล่อยๆ พูดเล่นๆ สนุกๆ ได้อย่างไรกัน คำพูดออกมาแต่ละคำนั้นศักดิ์สิทธิ์ และจะต้องเป็นไปตามปากพูด ทันใดนั้น !! โดยไม่คาดคิด เขาพนมมือไหว้ต่อหน้าสายฟ้าที่กำลังร้องครืนๆ ส่งเสียงเปรี้ยงปร้างและสายฝนที่กำลังเทลงมาอย่างหนัก และพูดว่า

หากเขาพูดไม่จริง ทรยศมีหญิงอื่น ทำให้เธอเจ็บปวด เสียใจ ผิดหวัง ก็ขอให้ฟ้าผ่าตาย !!

ไม่นานทั้งคู่ต่างคนก็ต่างห่างกันไประยะหนึ่งด้วยภาระหน้าที่การงาน จริยาทราบว่าเขารับตำแหน่งเป็นรองผู้การทหารบก และขลุกอยู่กับงานที่ทำเพื่อความเจริญก้าวหน้า ส่วนเธอก็ย้ายเข้ามารับราชการที่กระทรวงในกรุงเทพฯ ต้องเรียนรู้ระบบงาน ตลอดจนเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อให้ ทันกับยุคสมัย เธอกับเขาจึงแทบไม่ได้ติดต่อกันเลย จนเกือบลืมกันเสียสนิท

กระทั่งวันหนึ่งเพื่อนรักของเขา ซึ่งไปเรียนต่อหลักสูตรสำคัญทางด้านทหารเพิ่มเติมพร้อมกันที่ประเทศอังกฤษ ถึงแก่กรรมด้วยโรคหัวใจวาย ญาติๆ นำศพมาทำพิธีในเมืองไทย เขาก็ร่วมนำศพกลับมาด้วย ทำให้ทั้งคู่ได้กลับมาพบกันอีกครั้งหนึ่ง เขาก็ยังเป็นคนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง หลังจากรับประทานอาหารค่ำด้วยกัน เขาขับรถมาส่งเธอที่บ้าน แสดงทีท่าอาลัยอาวรณ์ สั่งเสียร่ำลาไม่ยอมไปสักที บอกว่าไม่ไปเรียนต่ออีกแล้ว ขออยู่ทำงานที่เมืองไทยเพราะทิ้งงานไปนาน และเห็นว่าเธอกำลังเดือดร้อน สุขภาพก็ไม่สู้ดี จะขออยู่เป็นกำลังใจคอยให้การช่วยเหลือ

แต่แล้วเขาก็หายหน้าไปพักใหญ่ๆ มีเพียงการพูดคุยทางโทรศัพท์และติดต่อกันทางจดหมาย อยู่มาวันหนึ่ง เขาขับรถมารับเธอไปรับประทานข้าวข้างนอกบ้านเหมือนเคย แต่ครั้งนี้เขาทำให้เธอตัวชา เสียใจ และเสียความรู้สึกมาก เขาบอกว่าเพื่อนที่ทำงานกับเธอและคบกันมาเกือบ 10 ปีแล้ว ไปไหนก็ไปด้วยกัน สนิทกันเป็นอย่างดี ไปหาเขาถึงที่ทำงาน ด้วยความที่เขาเป็นสุภาพบุรุษและเห็นว่าเป็นเพื่อนสนิทของเธอ จึงให้การต้อนรับเป็นอย่างดี แต่เขาเองก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มีเลือดเนื้อ มีความรู้สึกเหมือนกัน และด้วยอำนาจสุราพาไป ขาดความยับยั้งชั่งใจ ความเหงาว้าเหว่ จึงขาดสามัญสำนึกที่ดีและถูกต้อง เขาจึงมีอะไรกับผู้หญิงคนนี้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจเลยแม้แต่น้อย เขารู้สึกเสียใจ และขอให้เธออโหสิกรรมให้เขาด้วย

เธอไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่ฝืนยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ครั้นเมื่อกลับมาถึงบ้านเธอจึงร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร และด้วยความที่ได้ผ่านการปฏิบัติธรรมมาบ้างแล้ว ทำให้เธอสามารถประคองจิตให้สงบได้ในที่สุด

เวลาผ่านไปได้เดือนเศษๆ ที่เธอกับเขายุติการติดต่อกัน เพื่อนรักคนนั้นของเธอ ก็มาถามว่าทำไมไม่เห็นเธอไปงานศพเขา ซึ่งขณะนี้ได้เผาเรียบร้อยแล้ว เธอได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตกใจ จึงได้โทรศัพท์ไปสอบถามเพื่อนสนิทของเขา ที่ช่วยกันเล่าให้ฟังว่า เขาได้รับคำสั่งให้นำกำลังไปเสริมที่ชายแดนด้านเขมร

ขณะนั้นฝนตก หนักไม่ลืม หูลืมตา จึงได้สั่งทหารให้กางเต็นท์ เพื่อเข้าไปหลบฝน เมื่อทหารกางเต็นท์เสร็จเขาก็ไปยืนพิงเสาเหล็กของเต็นท์ ขณะนั้นเองก็เกิดฟ้าผ่าเปรี้ยงเต็มแรงลงมายังเสาเหล็กเปียกน้ำที่เขายืนอยู่ ทำให้เขาถึงแก่ความตายทันที ตัวดำเป็นตอตะโกโดยไม่ทันได้ร้องสักคำเดียว !! เธอไม่นึกไม่ฝันเลยว่า คำสาบานของเขาที่มีต่อเธอจะกลายเป็นเรื่องจริง !!

กรรม ก็คือการกระทำทั้งทางกาย และทางใจ เมื่อประพฤติผิดศีล ผิดธรรม และสร้างบาป ซึ่งจะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม กรรมย่อมส่งผล ทำกรรมใดก็ได้รับผลเช่นนั้น ตอบสนองตามโทษานุโทษที่กรรมจะเป็นผู้กำหนดเช่นกัน
185  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อย่าสุ่มสี่สุ่มห้าเปลี่ยนพื้นสำเร็จกับพื้น หล่อกับที่ พัง แน่นอน เมื่อ: ธันวาคม 21, 2010, 12:15:48 am
ร้อย พันปัญหาในงานก่อสร้าง เล่ม
โดย

อย่าสุ่มสี่สุ่มห้าเปลี่ยนพื้นสำเร็จกับพื้นหล่อกับที่ พัง แน่นอน

เป็น เรื่องที่น่าเศร้าไม่น้อยเลย ว่าผู้รับเหมาบ้านเราหลายคนทำให้เกิดอาคารวิบัติ โดยรู้เท่า ไม่ถึงการณ์ โดยการ เปลี่ยนแปลง แบบวิศวกรรมโครงสร้าง ของพื้น จากพื้นหล่อกับที่ธรรมดา ไปเป็นพื้นสำเร็จ เพื่อการทำงาน ที่ง่ายกว่า… และบางทีก็เปลี่ยนจาก ระบบพื้นสำเร็จ ไปเป็นพื้นหล่อกับที่ ยามที่หาพื้นสำเร็จ ตามแบบไม่ได้ โดยมักจะบอกกับเจ้าของอาคารว่า… "เหมือนกัน"

ธรรมชาติ ของพื้นทั้งสองระบบนี้แตกต่างกันมาก และทำให้อาคารของท่านพังลงมาได้ง่าย ๆ … หากลองวิเคราะห์ถึงพื้นฐาน ของการรับแรงในคานดู จะเห็นได้ถึงความแตกต่าง อย่างเด่นชัด พื้นสำเร็จ เป็นการวางแผ่นพื้น ลงบนคานสองด้าน คือหัวและท้าย สมมุติว่าพื้นทั้งผืนนั้น ขนาด 6 x 6 เมตร รวมเป็นพื้นที่ 36 ตร.ม. ต้องการให้รับน้ำหนักได้ ตร.ม. ละ 200 กก. ทำให้จะต้องรับน้ำหนักได้ = 36 x 200 = 7,200 กก. และน้ำหนัก 7,200 กก. นั้นจะถ่ายลง บนคานหัวท้าย สองข้าง คานหัวท้าย จะแบ่งน้ำหนักกัน รับตัวละ = 7,200/2 = 3,600 กก. โดยที่คานด้านข้าง อีกสองตัว อาจจะไม่ได้รับแรงกดอะไรเลย ทำหน้าที่เป็นตัวยึดเท่านั้น…. เมื่อเปลี่ยนพื้นสำเร็จ เป็นพื้นหล่อกับที่ การถ่ายน้ำหนัก จะถ่ายลงยังคานทั้ง 4 ตัว (ด้าน) ทำให้คาน แต่ละตัว ต้องรับน้ำหนัก = 7,200/4 = 1,800 กก. คานด้านข้างทั้งสอง ที่ออกแบบ ไม่ให้รับน้ำหนักอะไรเลย ก็ต้องมารับน้ำหนัก 1,800 กก. ทำให้คานนั้นหักได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ามีพื้นต่อเนื่อง ทางด้านข้างอีก คานที่ไม่ได้ออกแบบมา ให้รับน้ำหนัก อาจจะต้องรับน้ำหนักถึง 3,600 กก. ทีเดียว ส่วนคานด้านหัวท้าย ออกแบบมาให้รับน้ำหนัก 3,600 กก. กลับมีน้ำหนักลงเพียง 1,800 กก. ซึ่งอาจจะทำให้ เกิดปัญหาอื่น ๆ ต่อเนื่องได้

ทำนอง เดียวกัน หากเปลี่ยนพื้นหล่อกับที่ธรรมดามาเป็นพื้นสำเร็จ คานที่ออกแบบหัวท้าย รับเฉลี่ย 4 ส่วน ต้องมารับเฉลี่ยเพียง 2 ส่วน ก็จะรับน้ำหนักมากไป และจะเกิดการวิบัติได้ (ออกแบบไว้รับได้ 1,800 กก. ต้องมารับ 3,600 กก.)


186  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คำ โกหก หน้าตายของผู้ชาย โต้เรื่อง คุณแมนแมน โพสต์ซะหน่อย เมื่อ: ธันวาคม 21, 2010, 12:12:37 am
 คำ โกหก หน้าตายของผู้ชาย

   1. "ชีวิตนี้ผมจะไม่ขอรักใครอีกนอกจากคุณ" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 90 คน)
          * ใครได้ยินคำนี้อย่าหลงดีใจ เพราะเค้าสามารถรักคนใหม่ได้เมื่อต้องเลิกกันไปแล้ว
   2. "เธอจะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมรักมากที่สุด" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 85 คน)
          * แม้เค้าจะแทงกั๊กประมาณว่าถึงจะมีกิ๊กใหม่ในอนาคต เค้าก้อไม่สามารถรักเท่าที่รักเธอ ฟังดูก้ออาจจะเป็นไปได้แหะ
   3. "เราจะอดทนเป็นแฟนกันจนแต่งงานในอนาคต" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 95 คน)
          * เค้าพูดด้วยความรู้สึกแบบเด็กๆที่ยังไม่ได้ผ่านสารพัดร้อยล้านเหตุการณืท ี่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ซึ่งอาจทำให้ความรักสะดุดเมื่อไหร่ก้อได้
   4. "ผมไม่เคยยอมใครขนาดนี้มาก่อน" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 83 คน)
          * ถ้าเค้าเป็นคนที่นิสัยยอมคน เค้าก้อจะยอมกับผู้หญิงทุกคนนั่นแหล่ะ
   5. "สิ่งที่ผมทำลงไป ผมพยายามทำดีที่สุดแล้ว" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 78 คน)
          * ถ้าเกิดเค้าได้พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว ต่อให้ผูหญิงคนนั้นหูหนวกหรือตาบอดยังไงก้อต้องรู้สึกได้
   6. "ก้อผมเป็นของผมหยั่งงี้มานานแล้ว" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 79 คน)
          * เค้าพูดเพื่อให้เธอยอมรับนิสัยห่วยแตกของเค้า โดยอ้างความเป็นตัวของตัวเอง
   7. "ให้อภัยผมเถอะ ผมจะไม่ได้ทำอีกแล้ว" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 65 คน)
          * ธรรมดาที่เค้าจะต้องพูดเพื่อใหการอภัยโทษป้องกันชะตาขาด และเธอเชื่อหรอว่าเค้าจะไม่พูดคำนี้อีกและอีกๆๆๆๆ
   8. "ไม่รักผมไม่เป็นไร ขอแค่ให้ผมได้รับเธอก้อพอ" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 83 คน)
          * แค่เธอแสดงให้เห็นว่ายังไงเธอก้อไม่มีวันรักเค้าได้จริงๆ ขี้คร้านจะรีบเด้งตัวเองจากไปภายในไม่กี่วัน พร้อมด้วยคำนินทาเธออีกก้อนใหญ่
   9. "คิดถึงจนทนไม่ไหวแล้ว ออกมาเจอกันหน่อยนะ" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 88 คน)
          * เค้าอาจจะถวิลหาเธอจริงๆแต่ไม่ได้รุนแรงถึงกับจะลงแดงตายเหมือนเธอเป็นยา เสพย์ติดของเค้าขนาดนั้น
  10. "ทำไม ผมเลวจนเธอไม่ไว้ใจได้เลยหรอ" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 71 คน)
          * เมื่อมีความไม่พอใจต่อการกระทำของเค้าในทุกกรณี เค้าจะต้องรีบปกป้องตัวเอง เพื่อแตะเบรคความคิดของเธอ
  11. "ขอนอนกอดเฉยๆก้อพอ" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 89 คน)
          * 89 คนนั้นหมายถึงการกอดในครั้งแรกที่ใกล้ชิดตัวกันมากขนาดนั้น แต่จะพุ่งพรวดถึง 95 คนทันที ในการกอดครั้งต่อไป
  12. “ผมรักนะเลยอยากให้เธอเป็นของผม” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 95 คน)
          * เพราะถ้ารักจริงทำไมต้องขอเอาเปรียบเราด้วย รักแล้วไม่หน้าด้านขออะไรๆ เรื่องนี้ไม่ได้หรือไง
  13. “เธอคนนั้นเป็นแค่เพื่อนจริงๆ” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 65 คน)
          * ไม่มีทางซะหรอกที่เมื่อมีผู้หญิงมากิ๊ก แล้วเขาจะปฏิเสธเจ้าหล่อนเป็นแค่เพื่อน
  14. ”ผู้หญิงคนนั้นเค้ามาชอบผมเอง” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 51 คน)
          * ฟังแล้วน่าภูมิใจที่พ่อตัวดีมีเสน่ห์เหลือร้าย แต่ช้าก่อนเพราะเพลงของปานนำมาใช้ได้กับคำโกหกคำนี้เสมอ “ตบมือข้างเดียว ไม่ดัง”
  15. “เพื่อนมันลากผมไป ผมอยากไปกับมันซะที่ไหนเล่า” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 95 คน)
          * ถ้าไม่อยากไปจริงๆ แม้เค้ามาฉุดยังไงก้อไม่ยอม ดังนั้นถ้าเค้าไม่ถูกเพื่อนเอาปืนจ่อหัว อย่าไปเชื่อว่า เค้าไม่อยากไปเฮกับเพื่อน
  16. “ผมไม่ว่างจริงๆ อยากเจอเธอจะตายไป” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 85 คน)
          * คำว่าไม่มีเวลาว่างของเค้าก้อคือไม่อยากไปเจอเธอนั่นเอง และที่มันไม่ว่างเพราะว่าหายไปเฮกับเพื่อนๆ หรือกิจกรรมที่เร้าใจกว่าของเค้า
  17. “ไม่มีทางที่ผมจะเห็นเพื่อนสำคัญมากกว่าเธอ” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 51 คน)
          * ซึ่งเป็นที่รู้ๆกันดีอยู่ว่าคำพูดผู้ชายจะพูดกับผู้ร่วมแก๊งว่า”เฮ้ย กรูน่ะไม่เคยเห็หญิงสำคัญกว่าเพื่อนอยู่แล้ว”
  18. “มีอะไรเราต้องไม่ปิดบังกันทุกเรื่อง” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 64 คน)
          * แม้จะรักกันปานหายใจปอดเดียวกัน แต่เชื่อเหอะว่าทุกคนบ่อมมีความลับของตัวเองบ้าง และผู้ชายไม่มี วันคายความลับของตัวเองออกมาอย่างแน่นอน
  19. “ถ้าวันไหนต้องเลิกกัน ผมยังจะห่วงเธอเหมือนเดิม” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 95 คน)
          * มันไม่มีทางจะเป็นไปได้อยู่แล้ว อย่างน้อยที่สุดก้อไม่มีทางว่าจะห่วงใยกันได้เท่าเดิม

พ่อ สระอู
ยามเมือซาตาฮ้ายเฮ็ดอันใดกะปี้ป่น     ตั้งแต่ตดอยู่ก้นยังโงโค้งขึ่นใส่ดัง พี่น้องเอ้ยยย

fwd mail
187  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ความเชื่อ ที่ น่างทึ่ง....... เมื่อ: ธันวาคม 20, 2010, 08:12:21 am


188  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เวรกรรมไม่มีที่สิ้นสุด แม่ป่วยทางจิต คว้านทองลูกตัวเอง เมื่อ: ธันวาคม 20, 2010, 08:05:38 am


กรรมอะไรหนอ ที่ทำให้ชีวิตน้อย ๆ ต้องดับไปอีก

คนเราเกิดมาแล้ว มาฆ่าตัวตาย ใช้ชีวิตที่มีเหลืออยู่น้อยนี้ อย่างไม่คุ้มค่า

 :smiley_confused1:
189  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ถ้ำเกลือ ที่แรกในเอเชีย ภูมิแพ้ หมดห่วง ถ้ำเกลือเพื่อสุขภาพ ใจกลางกรุงเทพ เมื่อ: ธันวาคม 20, 2010, 08:01:07 am
ถ้ำเกลือ ที่แรกในเอเชีย
ภูมิแพ้ หมดห่วง ถ้ำเกลือเพื่อสุขภาพ ช่วยได้
ใจกลางกรุงเทพ ที่แรกในเอเชีย



   
     Salt Cave Bangkok at The Manor 39 หรือ ถ้ำเกลือเพื่อสุขภาพ แห่งแรกในประเทศไทย ในซอยสุขุมวิท 39 และแห่งแรกในเอเชีย อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับ คนที่เป็นโรคภูมิแพ้ หรือโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ อาทิเช่น หอบ หืด, หลอดเลือดอักเสบเรื้อรัง, หลอดลมตีบ, ถุงลมโป่งพอง, อาการไอที่เกิดจากการสูบบุหรี่ ทั้งสูบโดยตรงและได้รับควันจากผู้อื่น, คออักเสบ, ไซนัสอักเสบ, อาการแพ้ฝุ่นและละอองเกสร, อาการเครียดและอ่อนเพลียเรื้อรัง, หายใจขาดลม แน่นหน้าอก ฯลฯ


 
     จากแนวความคิดของผู้บริหาร The Manor 39 ที่เล็งเห็นถึงคุณสมบัติของเกลือ “Pharma Salt “ ที่ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตยา  ในเรื่องของการฆ่าเชื้อและลดการอักเสบ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และส่งผลดีต่อผู้ที่มีปัญหาทางด้านระบบทางเดินหายใจ อีกทั้งข้อมูลจากการวิจัยของต่างประเทศผ่านทาง CNN และ BBC ในเรื่องของถ้ำเกลือเพื่อสุขภาพที่เกิดขึ้นแล้ว ในรัสเซีย , โปแลนด์ , อังกฤษ ประกอบกับแหล่งกำเนิดเหมืองเกลือ ในประเทศโปแลนด์ ที่วิจัยมาแล้วว่า ผู้ที่ทำงานในเหมืองเกลือและได้รับอณูเกลือนั้นไม่เป็นโรคภูมิแพ้ หรือโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ

 

   
     ถ้ำเกลือเพื่อสุขภาพ  “Salt Cave” จึงเกิดขึ้นในประเทศไทย โดยผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ และโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ สามารถเข้าไปใช้บริการในถ้ำเกลือ แล้วสูดไอเกลือ “Pharma Salt” ที่มีอณูเกลืออยู่ภายในถ้ำ เพียงแค่ 45 นาที เสมือนเราไปนั่งอยู่ริมทะเล 3 วัน และภายในถ้ำเกลือนอกจากอณูเกลือที่ลอยอยู่ในบรรยากาศแล้ว ส่วนผนัง และพื้น ก็เต็มไปด้วยเกลือสินเถาว์บริสุทธิ์ ส่งผลให้มีประจุลบช่วยในเรื่องการดูดซึมแบคทีเรียหรือเชื้อโรคที่มีอยู่ใน ระบบทางเดินหายใจและประจุลบยังส่ง ผลช่วยทำให้ผ่อนคลายอีกด้วย  “Pharma Salt” เป็นเกลือแห้งที่มีความบริสุทธิ์ 100 %ไม่มีส่วนผสมของไอโอดีนและแป้งมัน ซึ่ง ใช้ในอุตสาหกรรมผลิตยา ผู้ที่ใช้บริการจะรู้สึกดีขึ้นได้ตั้งแต่ครั้งแรกและจะรู้สึกอาการของโรค ภูมิแพ้ หรือโรคระบบทางเดินหายใจทุเลาต้องใช้บริการอย่างน้อย  5 ครั้งขึ้นไป

 

 
สอบถามรายละเอียดได้ที่ 
โทร 02 662 5519 ทุกวัน หรือ www.saltcavebangkok.com
190  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ภาษิตจีน เมื่อ: ธันวาคม 20, 2010, 07:54:21 am
191  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทึ่ง!โยคีอินเดียอดอาหาร70ปียังรอด ทหารตื่นเต้นจองตัวทำวิจัยหากลยุทธ์ยังชีพ เมื่อ: ธันวาคม 20, 2010, 07:49:49 am
ทึ่ง!โยคีอินเดียอดอาหาร70ปียังรอด ทหารตื่นเต้นจองตัวทำวิจัยหากลยุทธ์ยังชีพ (ไทยโพสต์)



           วงการแพทย์อินเดียตื่นตะลึง! เจอโยคีบำเพ็ญพรตงดกินอาหารและน้ำมานาน 70 ปียังอยู่สบายดี ทั้งที่มีอายุถึง 83 ปีแล้ว

           บรรดาแพทย์เสนารักษ์ร่วม 30 คนได้เฝ้าดูอาการของนักพรตปราลาด จานี ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นเวลา 3 สัปดาห์ ในโรงพยาบาลเมืองอาห์เมนาบัดทางภาคตะวันตก

           มีการติดตั้งกล้อง 2 ตัวในห้องสังเกตอาการ และมีตากล้องอีกคนคอยถ่ายภาพเคลื่อนไหวขณะท่านโยคีเดินไปไหนมาไหน

           หมอจะสแกนทั่วร่างกาย ตรวจสมอง เช็กหัวใจ "ผลการศึกษาในกรณีนี้จะช่วยให้เราได้ความรู้เกี่ยวกับการอยู่รอดของมนุษย์ที่ไม่กินอาหารและน้ำ" นายแพทย์ จี. ลาวาซาฮากัน หัวหน้าทีม บอกกับนักข่าว

           คุณหมอบอกว่า โยคีจานีเปิดเผยว่าท่านได้รับพลังงานจากการทำสมาธิ แต่ทหารไม่สามารถทำสมาธิได้ แม้กระนั้นเราก็ยังอยากรู้เกี่ยวกับตัวท่านและร่างกายของท่าน

           "เราอาจได้ความรู้เกี่ยวกับกลยุทธ์ในการอยู่รอดในช่วงที่เกิดภัยพิบัติ เหตุการณ์ร้ายแรงต่าง ๆ และเวลาไปสำรวจนอกโลก เช่น บนดวงจันทร์ หรือดาวอังคาร"

           ตั้งแต่การตรวจนี้ได้เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา โยคีท่านนี้ยังไม่ได้กินหรือดื่มอะไรเลย และไม่ได้เข้าห้องน้ำด้วย

           นักพรตผู้นี้นุ่งห่มผ้าสีแดง สวมสร้อยลูกประคำ เป็นคนพื้นเพรัฐคุชราฐ ท่านอ้างว่าตัวเองได้รับการประสาทพรจากพระแม่เจ้าองค์หนึ่งเมื่อตอนอายุ 8 ขวบ ทำให้สามารถยังชีพได้โดยไม่ต้องกินอะไรเลย
192  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ใช้หนังสือปลูกต้นไม้ ( ไม่รู้จะมีพิษจากหมึกพิมพ์ หรือป่าว ) เมื่อ: ธันวาคม 20, 2010, 07:47:28 am







193  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ที่มาของชื่อเดือน ทั้ง 12 เดือน เมื่อ: ธันวาคม 20, 2010, 07:44:28 am
ที่มาของชื่อเดือน ทั้ง 12 เดือน

...สมัยก่อนปีหนึ่งๆ มี 355 วัน แต่มีแค่ 10 เดือน


March หรือ มีนาคม เป็นเดือนแรกของปี ก็เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งคำว่า March นั้นมี
ที่มาจากชื่อของเทพเจ้าแห่งสงครามที่ชื่อว่า Mars เนื่องจากว่าชาวโรมันน่ะทำสงคราม
กันบ่อยนั่นเอง


April หรือ เมษายน มาจากภาษาละตินที่มีความหมายว่า "เปิดรับ" เนื่องจากผลผลิตที่หว่านไปในช่วงเดือนมีนาคมจะมาได้ผลเดือนนี้


May หรือ พฤษภาคม มาจากชื่อของเทพเจ้าแห่งการเจริญเติบโต ที่มีชื่อว่า Maia เพราะพวกโรมันเชื่อว่า Maia จะช่วยคุ้มครองพืชพันธุ์ ให้เติบโตอุดมสมบูรณ์ดี


June หรือ มิถุนายม เป็นชื่อที่ตั้งเป็นเกียรติแก่ เทพเจ้า Juno ราชินีแห่งสรวงสวรรค์และการแต่งงาน อาจเป็นได้ว่า ชาวโรมันแต่งงานกันมากในเดือนนี้ เพราะเป็นช่วงที่อุดมสมบูรณ์

July หรือ กรกฎาคม ไม่ได้ตั้งชื่อตามเทพเจ้าหรือฤดูกาล แต่มาจากชื่อของจักรพรรดิ์ผู้ยิ่งใหญ่ Julius Caesar

August หรือ สิงหาคม ก็ตั้งชื่อตามหลานชายของ Julius ที่ชื่อ Caesar Augustus เพราะว่าเขาอยากมีชื่อเสียงเหมือน Julius บ้าง จึงตั้งชื่อเดือนนี้ โดยใช้ชื่อของเขา เดิมทีเดือนสิงหาคมมีแค่ 30 วันซึ่งน้อยกว่าเดือนของ Julius แต่ Augustus เพิ่มวันให้เดือนของตน โดยเอาวันจากเดือนกุมภาพันธ์มาหนึ่งวัน เพื่อให้ตนเท่าเทียมกัน Julius


September หรือ กันยายน มาจากคำภาษาละตินว่า Septem ซึ่งแปลว่า '7' และเดือนนี้ก็เป็นเดือนที่ 7


October หรือ ตุลาคม ก็มาจากคำภาษาละตินที่แปลว่า '8' ซึ่งคือคำว่า Octo


November หรือ พฤศจิกายน ก็มาจากคำที่แปลว่า '9' คือคำว่า Novem นั่นเอง

December หรือ ธันวาคม ก็แน่นอนมาจากคำว่า Decem ที่แปลว่า '10' งัย


January หรือ มกราคม ถูกเพิ่มมาทีหลังพร้อมกับเดือน กุมภาพันธ์ คำว่า January มาจากชื่อของเทพเจ้า Janus ซึ่งเป็นเทพ 2 หน้า หน้าหนึ่งมองไปในอดีต อีกหน้ามองไปสู่อนาคต ซึ่งเป็นช่วงที่คนเราต้องมองย้อนสิ่งที่ตนทำ และมองไปข้างหน้าเฝ้ารอคอยปีใหม่


February หรือกุมภาพันธ์ มาจากคำภาษาละตินที่แปลว่า 'ชะล้าง' ซึ่งเป็นเดือนที่ คนต้องชะล้างตัวเองให้สะอาดรอรับปีใหม่....
194  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หูทำให้รอดชีวิต ( เรื่องนี้เป็นที่ดวงด้วยหรือป่าว ) เมื่อ: ธันวาคม 20, 2010, 07:42:46 am


เมื่อ 6 พ.ค. หนังสือพิมพ์จูเถียนเมโทรโปลิส นิวส์ รายงานเหตุการณ์ระทึกขวัญ ตี๋น้อยวัย 6 ขวบ พลัดตกหน้าต่างของแฟลตชั้น 8 ในเมืองยี่จาง มณฑลหูเป่ย โชคดีเหลือเชื่อที่ศีรษะติดอยู่ระหว่างเส้นเหล็ก โดยมีใบหูช่วยคั่นอยู่

ตี๋น้อยรายดังกล่าวมีชื่อว่า หมิงหมิง ช่วงเกิดเหตุ คุณตาเห็นว่าหลานหลับอยู่ จึงปล่อยทิ้งไว้ในห้อง เข้าใจว่าช่วงที่ตี๋น้อยตื่นขึ้นมาไม่เห็นใคร จึงมาชะโงกหน้าหาตา ทำให้พลัดหลุดออกมาจากลูกกรง เพื่อนบ้านได้ยินเสียงเด็กร้องไห้จ้า จึงโผล่ออกมาดูแล้วรีบโทร.แจ้งหน่วยกู้ภัย ส่วน ชาวบ้านด้านล่างพากันมุงดูอย่างหวาดเสียว

หวัง เสิ่น เจ้าหน้าที่กู้ภัย กล่าวภายหลังช่วยเด็กด้วยการง้างเหล็กออก ว่า ตี๋น้อยรอดตายอย่างปาฏิหาริย์โดยแท้ เพราะการห้อยอยู่อย่างนั้นอาจตกลงมาหรือขาดอากาศหายใจได้ทุกเมื่อ

ที่มา ข่าวสด
195  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สถิติ ผู้เสียชีวิตจากภัยพิบัติ 20 อันดับ เมื่อ: ธันวาคม 20, 2010, 07:38:18 am
20 อันดับภัยธรรมชาติที่ฆ่าชีวิตมนุษย์มากที่สุดในประวัติศาสตร์
อันดับที่ 1
ปีที่เกิด : 1931
สถานที่ : แม่น้ำแยงซี, แม่น้ำฮวงโห
ประเภทภัยธรรมชาติ : น้ำท่วม
จำนวนผู้เสียชีวิตโดยประมาณ : 2,000,000-4,000,000
อันดับที่ 2
ปีที่เกิด : 1887
สถานที่ : แม่น้ำฮวงโห
ประเภทภัยธรรมชาติ : น้ำท่วม
จำนวนผู้เสียชีวิตโดยประมาณ : 900,000-2,000,000
อันดับที่ 3
ปีที่เกิด : 1201
สถานที่ : ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก
ประเภทภัยธรรมชาติ : แผ่นดินไหว
จำนวนผู้เสียชีวิตโดยประมาณ : 1,100,000
อันดับที่ 4
ปีที่เกิด : 1970
สถานที่ : ปากแม่น้ำคงคา
ประเภทภัยธรรมชาติ : พายุไซโคลน
จำนวนผู้เสียชีวิตโดยประมาณ : 500,000-1,000,000
อันดับที่ 5
ปีที่เกิด : 1556
สถานที่ : มณฑลซานซี สาธารณรัฐประชาชนจีน
ประเภทภัยธรรมชาติ : แผ่นดินไหว
จำนวนผู้เสียชีวิตโดยประมาณ : 830,000
อันดับที่ 6
ปีที่เกิด : 1976
สถานที่ : เมืองถังซาน มณฑลเหอเป่ย สาธารณรัฐประชาชนจีน
ประเภทภัยธรรมชาติ : แผ่นดินไหว
จำนวนผู้เสียชีวิตโดยประมาณ : 242,000-655,000
อันดับที่ 7
ปีที่เกิด : 1839
สถานที่ : เขตโคธาวารีตะวันออก รัฐอันตรประเทศ อินเดีย
ประเภทภัยธรรมชาติ : พายุไซโคลน
จำนวนผู้เสียชีวิตโดยประมาณ : 300,000
อันดับที่ 8
ปีที่เกิด : 1881
สถานที่ : เมืองไฮฟอง เวียดนาม
ประเภท ภัยธรรมชาติ : พายุไต้ฝุ่น
จำนวนผู้เสียชีวิตโดยประมาณ : 300,000
อันดับที่ 9
ปีที่เกิด : 1642
สถานที่ : เมืองไคเฟิง มณฑลเหอหนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน
ประเภทภัยธรรมชาติ : น้ำท่วม
จำนวนผู้เสียชีวิตโดยประมาณ : 300,000
อันดับที่ 10
ปีที่เกิด : 2004
สถานที่ : มหาสมุทรอินเดีย
ประเภทภัยธรรมชาติ : แผ่นดินไหว, คลื่นสึนามิ
จำนวนผู้เสียชีวิตโดยประมาณ : 225,000-275,000
อันดับที่ 11
ปีที่เกิด : 526
สถานที่ : เมืองโบราณแอนติโอก ตุรกี
ประเภท ภัยธรรมชาติ : แผ่นดินไหว
จำนวนผู้เสียชีวิตโดยประมาณ : 250,000
อันดับที่ 12
ปีที่เกิด : 1975
สถานที่ : เขื่อนปันเฉียว เมืองจูหม่าเตี้ยน มณฑลเหอหนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน
ประเภทภัยธรรมชาติ : พายุไต้ฝุ่น (นีน่า), น้ำท่วม
จำนวนผู้เสียชีวิตโดยประมาณ : 242,000
อันดับที่ 13
ปีที่เกิด : 1920
สถานที่ : เขตการปกครองตนเองหนิงเซียหุย สาธารณรัฐประชาชนจีน
ประเภทภัยธรรมชาติ : แผ่นดินไหว
จำนวนผู้เสียชีวิตโดยประมาณ : 200,000-240,000
อันดับที่ 14
ปีที่เกิด : 1138
สถานที่ : เมืองอเลปโป ซีเรีย
ประเภทภัยธรรมชาติ : แผ่นดินไหว
จำนวนผู้เสียชีวิตโดยประมาณ : 230,000
อันดับที่ 15
ปีที่เกิด : 1927
สถานที่ : เมืองซีหนิง มณฑลชิงไห่ สาธารณรัฐประชาชนจีน
ประเภทภัยธรรมชาติ : แผ่นดินไหว
จำนวนผู้เสียชีวิตโดยประมาณ : 200,000
อันดับที่ 16
ปีที่เกิด : 1856
สถานที่ : เมืองดามกาน อิหร่าน
ประเภท ภัยธรรมชาติ : แผ่นดินไหว
จำนวนผู้เสียชีวิตโดยประมาณ : 200,000
อันดับที่ 17
ปีที่เกิด : 1876
สถานที่ : อ่าวเบงกอล
ประเภทภัยธรรมชาติ : พายุไซโคลน
จำนวนผู้เสียชีวิตโดยประมาณ : 200,000
อันดับที่ 18
ปีที่เกิด : 1893
สถานที่ : เมืองอาร์ดาบิล อิหร่าน
ประเภทภัยธรรมชาติ : แผ่นดินไหว
จำนวนผู้เสียชีวิตโดยประมาณ : 150,000
อันดับที่ 19
ปีที่เกิด : 2008
สถานที่ : พม่า
ประเภทภัยธรรมชาติ : พายุไซโคลน (นาร์กีส)
จำนวนผู้เสียชีวิตโดยประมาณ : 146,000
อันดับที่ 20
ปีที่เกิด : 1991
สถานที่ : บังกลาเทศ
ประเภทภัยธรรมชาติ : พายุไซโคลน
จำนวนผู้เสียชีวิตโดยประมาณ : 138,000
196  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / การ์ตูนธรรมะ ตอน "ผีหลอก" เมื่อ: ธันวาคม 20, 2010, 07:34:35 am

197  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ล้อปริศนา ( สงสัยกรรมแต่ปางก่อน ) เมื่อ: ธันวาคม 19, 2010, 07:47:26 am
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 11 ธ.ค. เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างประทีปธรรมสถานศรีราชา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี รับแจ้งมีอุบัติเหตุล้อรถบรรทุก หลุดกระแทกรถยนต์ที่แล่นอยู่บนถนนหลวงหมายเลข 7 เส้นทางเลี่ยงเมืองสายชลบุรี-แหลมฉบัง ฝั่งขาเข้าชลบุรี หมู่ 8 ต.บางพระ อ.ศรีราชา จึงรุดไปตรวจสอบ พบรถกระบะ นิสสัน บิ๊กเอ็ม สีขาว ทะเบียน บน 517 นคร   ราชสีมา สภาพกระจกด้านหน้าแตกยับ หลังคายุบ โดยมีล้อรถบรรทุกขนาดใหญ่ ตกแหมะอยู่ในกระบะท้าย ใกล้กันพบ น.ส.อัญชลี อ๊อดประโคน อายุ 22 ปี นศ.ชั้นปี 4 คณะบัญชี มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี ยืนหน้าตื่นได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้าเล็กน้อย
   
สอบถามทราบว่า ขณะขับรถกระบะไปเรียนที่มหาวิทยาลัย มาถึงจุดเกิดเหตุ จู่ ๆ ล้อรถบรรทุกดังกล่าว ก็กระเด้งข้ามเลนลอยมาตกกระแทกหน้ารถตนอย่างแรง ทำเอาตกใจมาก แต่ยังโชคดีที่ควบคุมรถไว้ได้ จึงแค่แฉลบไปเฉี่ยวชนรถคันอื่น สำหรับล้อรถปริศนาที่ว่า ตรวจสอบแล้วเป็นล้อหลังของรถบรรทุกตู้คอนเทเนอร์ ยี่ห้ออีซูซุ สีขาวคาดฟ้า ทะเบียน 92-9946 กรุงเทพมหานคร ส่วนพ่วงท้ายทะเบียน 99-9245 กรุงเทพมหานคร มีนายจำนง อาป้อม เป็นผู้ขับ เบื้องต้นคู่กรณีประสานเจ้าหน้าที่ประกันภัยมาตรวจสอบความเสียหาย เพื่อดำเนินการชดใช้และซ่อมแซมต่อไป.

ที่มา

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=562&contentID=109373
198  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เผยภาพวงจรปิดนาทียิงทหาร ชุดคุ้มครองพระ ยะลา เมื่อ: ธันวาคม 19, 2010, 07:44:26 am
วงจรปิดบันทึกภาพกลุ่มคนร้าย ขณะก่อเหตุยิงทหาร ชุดรปภ.พระ พร้อมเส้นทางหลบหนีเอาไว้ได้

จากกรณีที่เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนสงครามยิงใส่เจ้าหน้าที่ทหาร ที่รักษาความปลอดภัยพระสงฆ์ เป็นเหตุให้พลทหารซันสุดี มะแซ และ ส.ท.สุริยะ ชัยยัณห์  เสียชีวิตขณะปฎิบัติหน้าที่ รปภ.พระสวาท เขมวิโณ อายุ 48 ปี ออกบิณฑบาต เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อเวลา 11.30 น. เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดที่สามารถบันทึกภาพเหตุการณ์ดัง กล่าวเอาไว้ได้ พบว่า ก่อนเกิดเหตุกลุ่มคนร้าย ได้ขับรถยนต์กระบะยี่ห้อมิตซูบิชิ แบบตอนครึ่ง สีเขียว  มาจอดอำพรางอยู่กับรถยนต์  ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 20 เมตร โดยพบว่ามีคนร้ายนั่งอยู่ในกระบะหลังจำนวน 4 คน ภายในรถ 2 คน สวมหมวกปีกคล้ายคนงานก่อสร้าง เพื่อปิดบังใบหน้า  และได้ขับเคลื่อนออกจากจุดที่จอดรถ  หลังพลทหารซันสุดี มะแซ และ ส.ท.สุริยะ ชัยยัณห์  เดินรักษาความปลอดภัยพระสวาท เขมวิโณ  เพื่อกลับไปยังวัด

โดยภาพจากกล้องวงจรปิดสามารถบันทึกภาพ ในขณะที่รถยนต์กระบะของคนร้ายเคลื่อนออกจากจุดที่จอดรถ  แล้ววิ่งตรงมายังเจ้าหน้าที่ทหาร  โดยในขณะที่รถกำลังวิ่งผ่าน ทหารอย่างช้าๆ คนร้ายจำนวน 4 คน ที่นั่งอยู่ท้ายรถกระบะได้ใช้อาวุธปืนสงครามยิงใส่ ทหารทั้งสองนายทันที จนเสียชีวิต โดยขณะเกิดเหตุ พระสวาท ได้วิ่งหลบหนีไปหาที่กำบังทำให้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเป็นแผลถลอกที่แขน โดยคนร้ายยังได้วิ่งลงไปหยิบอาวุธปืนของทหาร ก่อนที่จะวิ่งขึ้นรถ แล้วขับหลบหนีไป

หลังเกิดเหตุกล้องวงจรปิดยังสามารถบันทึกภาพเส้นทางการหลบหนีของคนร้าย ซึ่งกล้องบางจุดยังสามารถบันทึกหมายเลขทะเบียนของรถได้อย่างชัดเจน โดยครั้งสุดท้ายสามารถบันทึกภาพในขณะรถคันดังกล่าวเลี้ยวเข้าไปในยังถนนสิโร รส ซอย 12 ย่านตลาดเก่า เขตเทศบาลนครยะลา.

ที่มา

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=561&contentID=110652
199  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ชวนเป็น พระโสดาบัน กันก่อนเถอะคะ ไปตามลำดับ เมื่อ: ธันวาคม 18, 2010, 07:32:35 am
บรรลุโสดาบันโดยไม่ต้องบวชก็ได้

ง่ายๆด้วยการรู้จักสำรวมอินทรีย์


อินทรีย์สังวร แปลว่า ความสำรวมอินทรีย์ๆไม่ได้หมายถึงการปิดตา ปิดหู ไม่ให้เห็น ไม่ให้ได้ยินเป็นต้น

ในขั้นต้น ความสำรวมอินทรีย์ หมายถึงการควบคุมจิตใจ ควบคุมความรู้สึกได้ ในเมื่อเกิดความรับรู้ทางตา ทางหูเป็นต้น ไม่ให้ถูกชักจูงไปในทางที่ถูกกิเลสครอบงำ

ในขั้นสูง เมื่อกลายเป็นผู้เจริญอินทรีย์แล้ว มีความหมายถึงขั้นเป็นนายเหนือความรู้สึกต่างๆที่จะเกิดจากการรับรู้อารมณ์ ทางตา ทางหู เป็นต้นเหล่านั้น สามารถบังคับให้เกิดความรู้สึกต่างๆได้ตามต้องการ

ม.อุ.14/853/541
200  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / หลวงปู่ทองสี ปัญญวฺโร พระที่มีอายุยืนอีกรูปหนึ่ง 109 ปี เมื่อ: ธันวาคม 18, 2010, 07:27:20 am


หลวงปู่ทองสี ปัญญวฺโร ( พระครูนิคม ธรรมรักษ์ )
วัดทรงธรรมศรีสมัย บ้านโคกสะอาด ตำบลนิคมพัฒนา อำเภอโนนสัง จังหวัดหนองบัวลำภู

http://www.lumphu.com/images/fbfiles//images/PIC_3390-20100316.JPG

ชีวิตเพศสมณะ
หลวงปู่บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อ พ.ศ.2458 ที่วัดบ้านตูม จังหวัดมหาสารคาม ขณะนั้นอายุได้ 14 ปี
อุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อ พ.ศ.2475 ที่วัดบ้านกุดดู่ ตำบลกุดดู่ อำเภอโนนสัง จังหวัดหนองบัวลำภู โดยมีพระอาจารย์พิมพ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากที่อุปสมบทแล้วหลวงปู่ได้เข้าจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านโสกจาน อำเภอโนนสัง จังหวัดหนองบัวลำภู
หลวงปู่ทองสี ปัญญฺวโร เป็นบุคคลที่ชอบใฝ่ศึกษาหาความรู้ คิดอยู่เสมอว่าเราจะหยุดอยู่กับที่ไม่ได้ เพราะสังคมเจริญรุดหน้าไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เราจะต้องตามให้เท่าทัน หนทางที่จะตามยุคตามสมัยให้ทันนั้นก็คือ การศึกษาเล่าเรียน ดังนั้น หลวงปู่จึงออกเดินทางจากวัดบ้านโสกจานแสวงหาความรู้ยังสำนักการศึกษาต่าง ๆ เริ่มจากสำนักวัดมัชฉิมวาส จังหวัดอุดรธานี อยู่ 1 พรรษา ย้ายมาที่วัดบ้านหนองไหล 2 พรรษา วัดโกสุมพิสัย 1 พรรษา วัดบ้านคุยเชือก 2 พรรษา วัดบ้านแพง 2 พรรษา และอีกมากมายหลายวัดที่หลวงปู่ทองสี ปัญญฺวโร ได้พำนักศึกษาเล่าเรียน เช่น อำเภอคุรุ จังหวัดอุบลราชธานี บ้านมูลกระจาย เมืองแมด เมืองสี
นอกจากศึกษาพระธรรมวินัยแล้ว หลวงปู่ทองสี ปัญญฺวโร ยังสนใจและตั้งจิตอธิฐานเจริญวิปัสสนากรรมฐานออกธุดงค์แสวงหาความวิเวกขุด ค้นสัจจธรรมแห่งมวลสัตว์โลก หลวงปู่ทองสี ปัญญฺวโร ออกธุดงค์ไปตามขุนเขาลำเนาไพรหลายจังหวัดในประเทศไทยและออกเดินธุดงค์ข้าม ประเทศ เช่น พม่า เขมร ลาว ในระหว่างที่ออกธุดงค์หลวงปู่ได้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสมุนไพรและศึกษาวิชา อาคมไสยศาสตร์ต่าง ๆ เมื่อพบแล้วก็ไม่หยุดนิ่ง หลวงปู่ได้นำสิ่งที่ท่านรู้ท่านเห็นมาอบรมสั่งสอนโปรดญาติโยมให้รู้แจ้งเห็น จริง เพื่อจะได้นำไปประพฤติปฏิบัติให้พ้นจากความทุกขเวทนา
หลวงปู่ทองสี ปัญญฺวโร เข้าจำพรรษาที่วัดทรงธรรมศรีสมัย บ้านโคกสะอาด เมื่อ พ.ศ.2489 จนถึงปัจจุบัน( พ.ศ. 2553)
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 12