ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - หมวยจ้า
หน้า: 1 ... 8 9 [10] 11 12
361  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อยากอ่านเรื่องพระจักขุบาล เมื่อ: ตุลาคม 24, 2010, 05:59:10 am
ต้องมาห้องนี้ เพราะถ้าต้องการอ่านชาดกแล้ว ต้องมาห้องนี้ใช่ไหม คร้า...

อยากอ่านเรื่อง พระจักขุบาล คร้า..

เพราะไปอ่านในห้อง สอบถามพระกรรมฐานแล้ว รู้แต่ว่าท่านภาวนา เนสัชชิกธุดงค์ คร้า..

อนุเคราะห์ด้วยนะคร้า ....

 :25: :25: :25: :c017:
362  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 4 เหตุผลที่ควรกินไข่เป็นอาหารเช้า เมื่อ: ตุลาคม 24, 2010, 05:56:56 am
4 เหตุผลที่ควรกินไข่เป็นอาหารเช้า

ท่านอาจารย์กฤษฎี โพธิทัต นักกำหนดอาหารตีพิมพ์เรื่อง "เมนูไข่...ไข่...ไข่..." ในวารสาร HealthToday ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2552 (ที่ถูกมองข้าม ปัจจุบันคนเราไม่ค่อยสนใจเรื่องแบบนี้กันเท่าไหร่นัก !!!)

ท่านกล่าวว่า ไข่เจียวหรือไข่คน (omlette / ออมเลทท์) เป็นอาหารประเภท 'comfort food' หรือทำง่าย อิ่มท้อง และดีกับสุขภาพ ผู้เขียนขอนำเรื่องคุณค่าของอาหารไข่มาเล่าสู่กันฟัง...

(1). ไข่ไม่ใช่ผู้ร้ายตัวจริง

    * ผู้ร้ายตัวจริงที่ทำให้โคเลสเตอรอลหรือไขมันในเลือดสูงคือ ไขมันอิ่มตัว เช่น กะทิ น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว น้ำมันหมู การกินเนื้อมากเกิน (เนื้อที่เห็นเป็นเนื้อแดงก็มีไขมันแฝงอยู่มาก) ฯลฯ

...

    * และที่ร้ายที่สุดคือ ไขมันทรานส์หรือไขมันแปรสภาพ ซึ่งส่วนใหญ๋มาจากการนำไขมันพืชไปเติมไฮโดรเจน ทำให้เกิดเป็นเนยขาว เนยเทียม ครีมเทียม (คอฟฟี่เมต) ที่ใช้ทำเบเกอรี ขนมกรุบกรอบ อาหารฟาสต์ฟูด
    * แนวทางในการลดโคเลสเตอรอลหรือไขมันในเลือดหลักคือ การลดไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ รองลงไปคือ การออกแรง-ออกกำลังให้มากพอเป็นประจำ และการกินอาหารที่มีโคเลสเตอรอลให้น้อยลง

...

    * ไข่ 1 ฟองมีโคเลสเตอรอลมากถึง 210 มิลลิกรัมก็ใช่ แต่ผลการศึกษาวิจัยพบว่า คนที่กินไข่สัปดาห์ละ 4 ฟองมีโคเลสเตอรอลต่ำกว่าคนที่กินไข่สัปดาห์ละ 1 ฟองหรือไม่กินไข่เลย
    * กลไกที่อาจเป็นไปได้คือ ไข่มีโปรตีนสูงและมีไขมันอิ่มตัวค่อนข้างต่ำ ทำให้อิ่มนาน และความอิ่มนี่เองมีส่วนทำให้กินอาหารที่มีไขมันสูง เช่น เนื้อ อาหารประเภท "ผัดๆ ทอดๆ" ฯลฯ ลดลง

(2). ไข่มีโคลีนสูง

    *
      ไข่ 1 ฟองให้โคลีนมากประมาณ 30% ของปริมาณที่ร่างกายต้องการใน 1 วัน การกินไข่จึงเปรียบคล้ายการซื้อ "ประกันชีวิต" ในเรื่องอาหารคุณค่าสูงว่า โอกาสขาดสารอาหารจะลดลงไปมากมาย

...

    * โคลีน (choline) เป็นองค์ประกอบของผนังเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะผนังเซลล์ของสมองและเซลล์ประสาท เป็นองค์ประกอบของสารสื่อประสาทที่สมองใช้ในการสื่อสารภายใน (คล้ายๆ จุดเชื่อมหรือ router ของเครือข่ายอินเตอร์เน็ต)
    * คุณสมบัติพิเศษอีกอย่างหนึ่งของโคลีนคือ มันออกฤทธิ์ต้าน (ลด) การอักเสบ หรือป้องกันไม่ให้ธาตุไฟในร่างกายกำเริบได้ในระดับหนึ่ง

...

    * การอักเสบนี้มีผลมากเป็นพิเศษที่ผนังหลอดเลือด เนื่องจากผนังหลอดเลือดที่มีการอักเสบจะบวม และสูญเสียความ "เรียบลื่น (ปกติจะลื่นคล้ายๆ กระทะเคลือบเทฟลอน)" ทำให้คราบไขมันไปพอก หรือเกล็ดเลือดไปเกาะกลุ่มได้ง่าย

(3). ไข่แดงบำรุงสายตา

    *
      ลูทีน-ซีแซนทีนเป็นสารพฤกษเคมีหรือสารคุณค่าพืชผักกลุ่ม "สีเหลือง-แสด" ช่วยปัองกันจอรับภาพ (retina / เรทินา) โดยทำหน้าที่เป็นตัวกรอง (คล้ายๆ กับเป็นแว่นกันแดดชั้นดี) แสงสีน้ำเงินหรือฟ้า และรังสี UV (อัลตราไวโอเลต / ultraviolet) ทำให้ความเสี่ยง (โอกาสเป็น) โรคตาเสื่อมสภาพ หรือตาบอดในคนสูงอายุ(age-related macular degeneration / ARMD) ลดลง

...

    *
      แน่นอนว่า การหลีกเลี่ยงแสงแดดจ้า แสงไฟจ้า หรือการอยู่หน้าจอ TV, จอคอมพิวเตอร์นานๆ เป็นการดีที่สุด
    *
      ทว่า... ถ้าจำเป็นต้องทำงานกลางแดด ชมโทรทัศน์ หรือทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์วันละนานๆ การพักสายตาอย่างน้อยทุกๆ 1-2 ชั่วโมง และการกินอาหารที่มีลูทีน-ซีแซนทีนสูง เช่น ผักใบเขียว (เช่น บรอคโคลี ฯลฯ) ถั่วที่มีสีเขียว ข้าวโพด ฯลฯ ก็ช่วยได้มาก

(4). ช่วยลดความอ้วน

    *
      การศึกษาที่ผ่านมาพบว่า คนที่กินไข่เป็นอาหารเช้ามีโอกาสลดน้ำหนักและเส้นรอบเอวสำเร็จมากกว่าคนที่ กินขนมปังเป็นอาหารเช้า
    *
      กลไกที่อาจเป็นไปได้คือ ไข่มีโปรตีนคุณภาพสูง ทำให้อิ่มนาน และอย่าลืมว่า ไม่ใช่กินอาหารเท่าเดิมแล้วเสริมไข่เข้าไป แต่ต้องใช้หลัก "อาหารทดแทน" ด้วย คือ กินไข่เข้าไป แล้วลดอาหารอย่างอื่นให้น้อยลงจึงจะได้ผล

อาจารย์กฤษฎีแนะนำเคล็ดไม่ลับในการกินไข่ไว้ดังต่อไปนี้

(1). กินพอประมาณ

    * คนที่มีสุขภาพดี ไม่มีโรคประจำตัว และไม่มีความเสี่ยงต่อโรคสูง กินไข่ได้วันละ 1 ฟอง
    * คนที่มีโรคประจำตัว หรือมีความเสี่ยงต่อโรคสูง เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน เป็นโรคโคเลสเตอรอลสูงพันธุกรรม ฯลฯ ควรปรึกษาหมอที่ดูแลท่านก่อนกินไข่

(2). เวลาซื้อต้องหมุนไข่ ตรวจสอบให้รอบทิศ > อย่าซื้อไข่ที่มีรูทะลุหรือรอยแตก

(3). เก็บไข่ในตู้เย็นส่วนตัวตู้ จะเก็บไข่ได้นานขึ้น > ส่วนประตูตู้เย็นมักจะเย็นน้อยกว่าส่วนกลางตู้เย็น

(4). ฟอกไข่ด้วยฟองน้ำล้างจานกับสบู่หรือน้ำยาล้างจาน

    * ล้างมือหลังหยิบจับเปลือกไข่ดิบทุกครั้ง เนื่องจากอาจมีเชื้อโรคท้องเสียติดไปกับเปลือกไข่ได้
    * สถิติสหรัฐฯ พบว่า โอกาสพบเชื้อท้องเสีย (salmonella) ในไข่มีประมาณ 1 ใน 30,000 ฟอง

(5). กินไข่สุก อย่ากินไข่ดิบ

    * ไข่ดิบ เช่น ไข่ลวก ฯลฯ มีโปรตีน (avidin) ที่จับวิตามิน B ที่ชื่อ ไบโอทิน (biotin) ทำให้การดูดซึมลดลง
          o ควรหลีกเลี่ยงอาหารบางชนิดที่อาจมีไข่ดิบผสมอยู่ เช่น ไอศกรีมทำเอง (home-made = ทำที่บ้าน นอกโรงงาน) น้ำสลัดซีซาร์ ฯลฯ
          o เวลาทำขนมหรือคุกกี้ใส่ไข่ดิบ... ไม่ควรชิมในช่วงที่ขนมหรือคุกกี้ยังไม่สุก

องค์ความรู้ในเรื่องไข่คงจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วภายใน 5-10 ปี ตอนนี้ทางที่ดีคือ 'eat in moderation' หรือ "กินพอประมาณ (เดินสายกลาง)" ไปก่อน

โคเลสเตอรอลหรือไขมันในเลือดประมาณ 80% สร้างที่ตับ... ตับจะสร้างโคเลสเตอรอลมากหรือน้อยขึ้นกับปริมาณไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์ (กินมากสร้างมาก กินน้อยสร้างน้อย)

...

อีก 20% เป็นโคเลสเตอรอลจากอาหาร แนวทางการลดโคเลสเตอรอลจึงควรเน้นการลดเจ้าไขมันตัวร้ายเป็นหลัก รองลงไปจึงจะเป็นการลดโคเลสเตอรอลในอาหาร
363  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สยอง!!! ขโมยช็อกโกแลต-เงินโดนศาลสั่งตัดมือ เมื่อ: ตุลาคม 24, 2010, 05:55:40 am
สยอง!!! ขโมยช็อกโกแลต-เงินโดนศาลสั่งตัดมือ

บาง ครั้งการใช้กฎหมายแรงๆ ก็ช่วยทำให้ประชาชนในประเทศรู้จักระเบียบกติกามากยิ่งขึ้น แต่หากรุนแรงเกินไปก็ถือว่าเป็นเรื่องสยองสำหรับคนที่อยู่ในโลกเสรี เพราะหากเจอกฎหมายของประเทศอิหร่าน เชื่อว่าไอ้คนประเภทมือบอนชอบขโมยของชาวบ้าน คงได้เหงื่อแตกต้องคิดแล้วคิดอีกว่าจะทำดีหรือเปล่า เนื่องจากมีรายงานว่าหัวขโมยดวงแตกรายหนึ่งแค่จิกช็อกโกแลต กับเงิน 900 เหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 27,000 บาท โดนคำพิพากษาให้ตัดมือทิ้ง!! เพื่อไม่ใช่คนในประเทศทำเป็นเยี่ยงอย่าง



เรื่อง แบบนี้คนในประเทศเสรีอาจคิดว่ารุนแรงเกินกว่าเหตุ แต่หากมองในมุมกลับน่าจะช่วยทำให้เกิดระเบียบวินัยมากขึ้น โดยเหตุการณ์ดังกล่าวถูกเปิดเผยว่า โปลิศประเทศอิหร่าน ได้จับกุมโจรกระจอกรายหนึ่งได้เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หลังจากบังอาจทำการร้ายโดยไม่ยั้งคิดเมื่อจัดการจิกช็อกโกแลตในร้านขายขนม หวานแห่งหนึ่ง แถมยังทะลึ่งเอาเงินติดกระเป๋าไปอีกด้วย แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอดเมื่อตำรวจตามจับได้ และหลังจากค้นรถก็พบของกลางเพียบทั้งเงิน 900 เหรียญสหรัฐฯ, ถุงมือ 3 คู่ ตบท้ายด้วยช็อกโกแลต
 

หลังจากที่นำตัวไปขึ้นศาล ผู้พิพากษาในอิหร่าน ตัดสินว่า จำเลยผู้คนดังกล่าวได้กระทำผิดจริงฐานลักทรัพย์ในร้านขายขนมหวาน และให้ลงโทษตัดมือเขาออกข้างหนึ่ง พร้อมจำคุกเป็นเวลา 1 ปี  เจอคำตัดสินแบบนี้เข้าไปใครจะไม่เป็นลม ที่สำคัญยังต้องนอนซังเตโดยที่ไม่มีมืออีกต่างหาก งานนี้เขาเรียกพิการเพราะความชั่วของตัวเองแท้ๆ

ทั้งนี้ตามกฎหมายอิสลามที่ใช้อยู่ในอิหร่าน ผู้ที่เป็นขโมยลักทรัพย์ จนเป็นนิสัยมักถูกลงโทษตัดมือ และกระทาชายคนดังกล่าวก็ไม่ใช่คนแรกของสัปดาห์ เพราะก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการลงโทษ เพิ่งจะตัดมือชายคนหนึ่ง ในข้อหาลักทรัพย์ 2 คดี มาแล้ว
364  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 11 วิธีประหยัดน้ำมันที่ได้ผล เมื่อ: ตุลาคม 24, 2010, 05:54:19 am

11 วิธีประหยัดน้ำมันที่ได้ผล
 

หลายคนอาจกำลังปวดหัวกับการขึ้นราคาน้ำมันที่รู้สึกว่าช่วงนี้ขยับขึ้นราคา บ่อยมาก วันนี้เรามีเคล็ดลับประหยัดน้ำมันมาฝาก

1.เติมน้ำมันแต่พอดีอย่าล้น  เพราะนั่นไม่ได้ช่วยให้ได้คุ้มค่าแต่กลับจะทำให้น้ำมันถูกบ้วนทิ้งออก เมื่อน้ำมันมีอุณภูมิสูงขึ้น

2.เติมเต็มถังถ้ามีโอกาส  อันนี้เป็นข้อเท็จจริงที่ควรปฏิบัติ เนื่องจากการเติมน้ำมันเต็มถังจะทำให้แรงดันในถังมีเยอะ เมื่อแรงดันในถัง ก็หมายความว่า น้ำมันที่ถูกดูดไปใช้จะไม่ลดลงเร็วกว่าปกติ และยังช่วยรักษาปั้มเชื้อเพิลงที่อยู่ในถังไม่ให้ร้อน

3.ตัดคอมแอร์ก่อนถึงที่หมาย  การตัดคอมแอร์ก่อนถึงที่หมายถือว่าเป็นเรื่องที่ควรทำเพราะ นอกจากจะช่วยให้ประหยัดน้ำมันแล้ว ยังมีส่วนช่วยในการไล่ความชื้นและเชื้อราในตู้แอร์ได้ด้วย

4.หมั่นตรวจสอบลมยาง  ซึ่งยางที่มีลมยางอ่อนเกินไปจะมีแต่ทำให้ศูนย์เสียพลังงานโดยใช่เหตุ

5.ใช้รอบเครื่องยนต์ในย่านความเร็วที่เหมาะสม  ซึ่งขอแนะนำเพียงว่าให้ใช้รอบเครื่องยนต์ที่เหมาะสม ซึ่งอยู่ระหว่าง 1900-2800 รอบ หรือใช้ความเร็วที่เหมาะสมที่ 105 กิโลเมตรต่อชั่วโมงกำลังพอดี



6.อย่าถอยหลังเร็วๆ  เกียร์ถอยหลังเป็นเกียร์ที่มีอัตราทดสูงที่สุดในอัตราทดการถอยหลังเร็วก็ เหมือนทำให้เครื่องทำงานหนักโดยใช่เหตุ

7.อย่าทำรถเป็นบ้าน  เนื่องจากของที่เพิ่มขึ้นในรถหมายความถึง น้ำหนักที่เพิ่ม และน้ำหนักที่เพิ่มสูงขึ้นหมายความว่าเราต้องใช้พละกำลังจากเครื่องยนต์เท่า เดิมลากตัวถังที่หนักขึ้นด้วย ซึ่งเฉลี่ยทำให้สิ้นเปลืองกว่าถึงน้อยละ 20 เลยทีเดียว

8.ตรวจสอบสภาพเครื่องยนต์เป็นประจำ ซึ่งการถ่ายน้ำมันเครื่องสม่ำเสมอทำให้เครื่องยนต์ไม่สึกหรอและมีอัตราสิ้นเปลืองคงที่

9.อย่าติดกับเกียร์ D  อันนี้คนใช้เกียร์ออโต้เป็นประจำและเป็นบ่อยด้วยสิ เนื่องจากรถเกียร์อัตโนมัติชุดเกียร์จะทำงานเปลี่ยนอัตราทดเองเมื่อถึงรอบ ที่เหมาะสม แต่ที่จริงแล้วหากคุณต้องขึ้นสู่ที่สูงควรใช้อัตราทดเกียร์ที่เหมาะสมคือ เลื่อนไปตำแหน่ง 2 หรือ N ก่อนขึ้นทางลาดชัน เพียงเท่านี้ก็ทำให้เครื่องไม่ต้องมีภาระหนักเพิ่ม และดูจะขึ้นได้ลื่นกว่าด้วย

10. อย่าออกรถเร่งเต็มที่หลังสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่ๆ ตามหลักความจริงแล้วเราควรวอร์มเครื่องยนต์ก่อนออกสู่ถนนประมาณ 3 นาที เพื่อให้น้ำมันเครื่องเข้าไปหล่อลื่นอย่างเต็มที่เสียก่อน ซึ่งช่วยลดการสึกหรอของการเสียดทานอุปกรณ์ต่างๆภายในเครื่องยนต์ หากเราสตาร์ทเครื่องแล้วเร่งตัวออกรถเลยจะทำให้น้ำมันยังไปไม่ทั่วถึง และยังทำให้เครื่องสึกหรอเร็วกว่าปกติด้วย

11. อย่าคิกดาวน์เกินความจำเป็น  อันนี้สำหรับเกียร์ออโต้อีกแล้ว และดูเหมือนมีคนจำนวนมากไม่เข้าใจกับการคิกดาวน์ที่มันมีความหมายเท่ากับ เปลี่ยนเกียร์ลง 1 ระดับในรถเกียร์ธรรมดา การคิกดาวน์นั้นช่วยในเรื่องอัตราเร่ง แต่กลับกันก็มีผลเสียในเรื่องความประหยัดทางที่ดีควรขับรถไปเรื่อยๆในอัตรา ที่เหมาะสม ถ้าจะแซงก็ควรค่อยๆกดคันเร่งอย่าเหยียบมิดจนคิกคาวน์ เพราะมันจะทำให้รถกินน้ำมันมากกว่าปกติ ยกเว้นว่าจำเป็นจริงๆ




ที่มา FW mail
365  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นับหนึ่งใหม่ถ้าใจติดลบ เมื่อ: ตุลาคม 24, 2010, 05:53:12 am
ล้มทั้งยืน..ดีกว่าล้มไม่เป็น



อย่าคิดว่าสูญเสีย
แล้วชีวิตจะต้องเป็นศูนย์
เรานับหนึ่งใหม่ได้เสมอหากเราคิดจะนับซะอย่าง

ถ้าสิ่งที่เราคาดหวัง...ไม่เป็นดั่งหวัง
ถ้าสิ่งที่เราพยายามทุ่มเททำสุดแรงกายแรงใจ
ไม่ประสบผลสำเร็จ
ถ้าสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้น
มันก็เกิดขึ้นและได้สร้างความบอบช้ำ
จนทำให้เราต้องจมอยู่กับ ความทุกข์

 เรากำลังก้าวสู่ "ชีวิตที่เป็นจริง " แล้วหล่ะ เพราะความเป็นจริงของชีวิต จะสอนให้เรารู้จักยอมรับความพ่ายแพ้สอนให้เรารู้จักสูญเสียน้ตา เพื่อที่จะได้รอยยิ้มคืน กลับมาเป็นรางวัลตอบแทน แต่มันก็ไม่เคยทำให้ใครหมดสิ้นความหวัง หมดสิ้นพลังและกำลังใจไปกับความพ่ายแพ้ เพียงแค่ความเป็นจริงสอนให้พวกเราทุกคนรู้ว่า

...........อย่าเพียรสร้างความหวัง
แต่ให้เชื่อมั่นใความหวัง............

เพราะความเชื่อมั่นจะนำพาเราไปพบกับ
"หนทางสู่ความสำเร็จ"
แม้ว่าจะต้องฝ่าฟันอะไรอีกมากมายกว่าจะถึงวันนั้น
แม้ว่าจะต้องล้มลงอีกสักกี่ครั้ง
แม้ว่าจะต้องผิดหวังอย่างแรงอีกสักกี่หนก็ตาม


 

  ปล่อยให้ชีวิตผิดพลาดเสียบ้าง ปล่อยให้ความคาดหวังได้เจอกับความผิดหวัง ปล่อยให้ความฝันกลายเป็นฝันค้างลอยกลางอากาศ ปล่อยให้อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด แม้ว่าเกิดขึ้นแล้วจะเลวร้ายกับชีวิตก็ตามที เพราะทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้น จะช่วยสอนและช่วยเป็นบทเรียนอันล้ำค่าให้แก่ชีวิต ที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วบนโลกใบนี้

  คุณบอย โกสิยพงศ์ เคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสารเล่มหนึ่ง เขาพูดให้แง่คิดที่ดีเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมันอาจจะสร้างบาดแผลให้กับใครหลายๆ คนมาบ่อยครั้ง คุณบอยพูดไว้ว่า...

ไม่มีอะไรที่อยู่กับเราตลอดชีวิต
ทุกอย่างมันก็รอเวลาจากเราไปทั้งนั้น

เชื่อว่าถ้าชีวิตคนเราไม่ยึดติด ไม่ต้องแขวนชีวิตไว้กับความคาดหวัง เวลาที่เราสูญเสีย หรือเวลาที่เราต้องเจอกับความล้มเหลว เราคงมีภูมิต้านทานมากพอที่จะเอาไว้ต่อสู้กับความท้อแท้ อย่าคิดว่าสูญเสียแล้วชีวิตจะต้องเป็นศูนย์ เพราะว่าเรานับหนึ่งใหม่ได้เสมอหากเราคิดที่จะนับซะอย่าง ไม่มีอะไรบนโลกที่น่ากลัว และไม่จำเป็นต้องกลัวกับความเป็นจรองของชีวิต

"มีพบก็ต้องมีจาก มีได้ก็ต้องมีเสีย
และมีสุขก็ต้องมีทุกข์เป็นสัจธรรม"

เมือ่ไรที่เราได้รู้จักสัมผัส และได้เรียนรู้กับชีวิตทั้งสองด้าน เมื่อนั้นเราจะไม่รู้สึกเสียดายหากเราได้มีโอกาสล้มทั้งยืน แต่เราจะเสียใจไปตลอดชีวิตหากเราไม่สามารถก้าวข้ามความล้มเหลวที่ผ่านเข้ามา ได้

 

มีคนเคยบอกเอาไว้ว่า...

การตั้งความหวัง
คือการเสี่ยงกับความเจ็บปวด
การพยายาม คือการเสี่ยงกับความล้มเหลว

แต่ยังไงก็ต้องเสี่ยง

เพราะในสิ่งที่อันตรายที่สุดในชีวิตก็คือ

การไม่เสี่ยงอะไรเลย

 

  ล้มลงสักกี่ครั้ง ผิดหวังมาสักกี่หน ลุกขึ้นยืนให้ไกด้ แล้วสักวันเราจะเจอความสุข เพราะความสุขไม่ได้หนีจากเราไปไหนหรอก มันอยู่ใกล้เราแค่เพียงเอื้อมมือจริงๆ ถ้าหากเราไม่ได้ไปตัดสินว่า โลกมันควรเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น และไม่ได้ตั้งกฎเกณฑ์ให้กับตัวเองมากจนเกินไป เวลาคิดหรือทำอะไรสักอย่างแล้วมีข้อบังคับ มีกรอบ และสร้างมโนภาพความสำเร็จไว้ล่วงหน้า เมื่ออะไรๆ ไม่เป็นไปตามกฎของเรา เราก็ทุกข์ เราก็เสียใจ และเราก็ใจเสียเอาได้ง่ายๆ

มีคนเคยบอกไว้ว่า

สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ

ไม่ใช่สิ่งที่จะกำหนดความสุขของคุณ

แต่มันเป็นความคิดของคุณเองต่างหาก

ความคดที่มีต่อสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับคุณนั่นเอง

 

  จะสุขหรือจะทุกข์ก็ขึ้นอยู่ที่เราทั้งนั้นเป็นคนกำหนด ล้มทั้งยืนเสียบ้างก็คงไม่เสียหายไร แต่ล้มไม่เป็นเลยนี่สิ...

 

 ลองคิดดูเล่นๆ ซิว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตต่อไป............ห ลั ง จ า ก นี้

 

ข้อมูลจาก หนังสือ  นับหนึ่งใหม่ถ้าใจติดลบ
366  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เทศบาลนครอุบลราชธานี จัดงานประเพณีออกพรรษา เมื่อ: ตุลาคม 23, 2010, 02:47:57 am


  เทศบาลนครอุบลราชธานี จัดงานประเพณีออกพรรษา แข่งเรือยาวชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  ไหลเรือไฟ ชิงถ้วยประทาน ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาสิริวัฒนาพรรณวดี  ในระหว่างวันที่ 22 – 31 ตุลาคม 2553 รวม 10 วัน 10 คืน  ณ อาคารตลาดใหญ่ และบริเวณท่าน้ำตลาดใหญ่

               นางรจนา กัลป์ตินันท์ นายกเทศมนตรีนครอุบลราชธานี เปิดเผยว่า ด้วยเทศบาลนครอุบลราชธานี ได้จัดงานประเพณีออกพรรษา ไหลเรือไฟ  ลอยกระทง   และแข่งเรือยาวชิงถ้วยพระราชทาน ฯ  ประจำปี  2553 เพื่อเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของท้องถิ่น และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเขตเทศบาลนครอุบลราชธานี  โดยมีกิจกรรมต่างๆมากมาย    อาทิ การแข่งเรือยาวชิงถ้วยพระราชทานฯ  ชิงเงินรางวัลกว่า 500,000 บาท การประกวดไหลเรือไฟ ลอยกระทง ประกวดนางนพมาศ การประกวดร้องเพลงไทยลูกทุ่ง การประกวดวงดนตรี BAND   MUSIC  AWARD  2010   การแสดงจากศิลปินชื่อดังทุกคืน การออกร้านจำหน่ายสินค้า OTOP ผลิตชุมชม  เทศกาลอาหารไทย – อินโดจีน ณ บริเวณอาคารตลาดใหญ่ 

               ทั้งนี้เทศบาลนครอุบลราชธานียังได้เตรียมความพร้อมในการจัดงานประเพณีออก พรรษา ด้วยการประดับ ตกแต่งเมือง ดูแลรักษาความสะอาด ความปลอดภัยและนอกจากนี้เทศบาลนครอุบลราชธานียังได้จัดงบประมาณสนับสนุนให้ กับ คุ้มวัด ชุมชน  สถานศึกษา ที่เข้าร่วมงานประเพณีออกพรรษา จำนวนประมาณ 500,000 บาท  ดังนี้

        1.       การประกวดกระทงขนาดใหญ่ จำนวน 23 กระทง กระทงละ 5,000 บาท

        2.       การแสดงในงานออกพรรษา จำนวน 10 ชุด ชุดการแสดงละ 10,000 บาท

        3.       การประกวดเรือไฟทั้ง 2 ประเภท จำนวน 18 ลำ   ลำละ 15,000  บาท

               ทั้งนี้เทศบาลนครอุบลราชธานี ขอเชิญชวน นักท่องเที่ยว ประชาชน เที่ยวงานประเพณีออกพรรษา ไหลเรือไฟ แข่งเรือยาวชิงถ้วยพระราชทาน ได้ตลอด 10 วัน 10 คืน ระหว่างวันที่ 22 – 31 ตุลาคม 2553 ณ บริเวณอาคารตลาดใหญ่ และท่าน้ำตลาดใหญ่

กำหนดการประเพณีออกพรรษา 2553

กิจกรรมภายในงาน บริเวณ ชั้น 3 อาคารตลาดสดเทศบาล 3 (ตลาดใหญ่)

http://guideubon.com/news/view.php?t=83&s_id=170&d_id=170
367  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ประเพณีออกพรรษา-แม่ฮ่องสอน เมื่อ: ตุลาคม 23, 2010, 02:43:55 am
ประเพณีออกพรรษา-แม่ฮ่องสอน



นาย สุเทพ นุชทรวง นายกเทศมนตรีเมืองแม่ฮ่องสอน กล่าวว่า เทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน ร่วมกับประชาชนในเขตเทศบาลทั้ง 6 ชุมชน กำหนดจัดงานประเพณีออกพรรษา หรือปอยเหลินสิบเอ็ด ระหว่างวันที่ 19-31 ตุลาคม 2553 ภายในงานกำหนดให้มีกิจกรรมอย่างหลากหลาย อาทิ การประกวดศิลปวัฒนธรรมไทยใหญ่ การประกวดต้นแปก (ต้นเกี๊ยะ) การประกวดรูปสัตว์ 2 เท้าและ 4 เท้า การประกวดจองพารา และขบวนแห่จองพารา หรือ ปราสาทพระ ที่ชาวไต หรือไทยใหญ่สร้างขึ้นเพื่อรับเสด็จพระพุทธเจ้าที่จะเสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์ในวันออกพรรษา การสาธิตอาหารและขนมไทยใหญ่ และการแสดงของศิลปินพื้นบ้านล้านนา โดยวันที่ 19 ตุลาคม 2553 เป็นวันเปิดงาน วันที่ 21 ตุลาคม แห่จองพารา วันที่ 23 ตุลาคม พิธีตักบาตรเทโวโรหนะ ณ วัดพระธาตุดอยกองมู อ.เมือง และพิธีปิดเทศกาล ในวันที่ 31 ตุลาคม 2553 ด้านเทศบาลตำบลแม่สะเรียง ร่วมกับสภาวัฒนธรรมอำเภอแม่สะเรียง หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ร่วมกันจัดงาน ประเพณีออกพรรษาหรือประเพณีออกหว่า ประจำปี 2553 ระหว่างวันที่ 22-24 ตุลาคม 2553 เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนมรดกทางวัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่นอันดีงาม ซึ่งได้สืบทอดกันมาช้านานจนเป็นเอกลักษณ์ของชาวอำเภอแม่สะเรียง โดยจุดเด่นอยู่ที่ขบวนแห่เทียนเหง หรือเทียน 1,000 เล่ม และการตกแต่งซุ้มประตูหน้าบ้านด้วย ราชวัติ คือการนำไม้ไผ่มาสานเป็นรั้ว ประดับประดาด้วยโคมไฟประทีป หน่อต้นกล้วย หน่อต้นอ้อย และตุง อย่างสวยงาม ขณะที่อำเภอปาย กำหนดจัดงานกาดหลู่ หรือตลาดที่ขายของเพื่อให้ผู้คนได้เตรียมตัวไปทำบุญในช่วงเทศกาลออกพรรษา ระหว่างวันที่ 20-21 ตุลาคม 2553 เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสวิถีชีวิต ประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงามของแต่ละท้องถิ่นในจังหวัดแม่ฮ่องสอน

ที่มา

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdNekl3TVRBMU13PT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1DMHhNQzB5TUE9PQ==
368  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / งานประเพณีออกพรรษา บั้งไฟพญานาค ประจำปี 2553 เมื่อ: ตุลาคม 23, 2010, 02:42:31 am
โดยเฉพาะที่จังหวัด นครพนม ประเพณีไหลเรือไฟที่มีความสูงเท่าตึก 8 ชั้น

งไฟพพญา นาค เป็นปรากฏการณ์อัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเฉพาะเวลาพลบค่ำในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 (วันออกพรรษา) พบเห็นได้ตลอดแนวอำเภอที่ติดกับลำน้ำโขง เช่น อำเภอเมือง โพนพิสัย ปากคาด บึงกาฬ ท่าบ่อ

Activities
เป็นปรากฏการณ์อัศจรรย์ที่เกิดขึ้นเฉพาะเวลาพลบค่ำในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 (วันออกพรรษา) พบเห็นได้ตลอดแนวอำเภอที่ติดกับลำน้ำโขง เช่น อำเภอเมือง โพนพิสัย ปากคาด บึงกาฬ ท่าบ่อ ศรีเชียงใหม่และสังคม ลูกไฟมีสีแดงอมชมพู ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นบั้งไฟของพญานาคที่เมืองบาดาล วันออกพรรษาจะมีผู้สนใจเดินทางมารอชมปรากฎการณ์นี้ กันมาก
รายละเอียดกิจกรรม
- พิธีทำบุญตักบาตรเทโวโรหนะ
- พิธีบวงสรวงบูชาพญานาค
- ขบวนแห่งานประเพณีออกพรรษา
- การแข่งขันเรือยาวประเพณี ไทย - ลาว ชิงถ้วยพระราชทาน
- การแสดง แสงเสียง "เปิดตำนานบั้งไฟพญานาค"
- การจัดงานถนนอาหาร ริมฝั่งโขง

ชมปรากฎการณ์ธรรมชาติ บั้งไฟพญานาค (ตลอดริมฝั่งโขงเริ่มต้นจาก อ.โพนพิสัย ,กิ่ง อ.รัตนวาปี,อ.ปากคาด และ อ.บึงกาฬ)

สอบถามรายละเอียดได้ที่


- สำนักงานจังหวัดหนองคาย โทร 042 420 323
- เทศบาลเมืองหนองคาย โทร 042 421 017
- ที่ว่าการอำเภอโพนพิสัย โทร 042 421 185
- สภฉ.5 (อุดรธานี) โทร 042 325 406-7
- ศูนย์ข้อมูลข่าวสารหนองคาย โทร 042 421 326
369  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ประเพณีวันออกพรรษา เมื่อ: ตุลาคม 23, 2010, 02:40:50 am
ประเพณีออกพรรษา ตักบาตรเทโว
 

         วันออกพรรษาตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เป็นวันที่ภิกษุอยู่ประจำวัดหรืออยู่ประจำที่แห่งใดแห่งหนึ่งเป็นเวลาครบ 3 เดือน วันออกพรรษาเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วันปวารณา ซึ่งหมายถึง การที่พระภิกษุต่างสามารถตักเตือนซึ่งกันและกันได้โดยไม่มีการโกรธเคือง มีการว่ากล่าวตักเตือนในเรื่องข้อบกพร่องต่างๆ ที่ได้อยู่ร่วมกันมา 3 เดือน และผู้ที่ถูกว่ากล่าวตักเตือน จะต้องยอมรับและมีใจกว้างพิจารณาตนเอง แต่ผู้ที่ว่ากล่าวตักเตือนผู้อื่นก็จะต้องเป็นผู้มีความปรารถนาดีต่อผู้ที่ ตนว่ากล่าวตักเตือน หลักการปวารณานี้พุทธศาสนิกชนสามารถนำมาปรับประยุกต์ใช้ได้กับการดำเนิน ชีวิต หรือการทำงานได้ เพื่อเสริมสร้างการพัฒนาตนเองหรือการพัฒนาในหน่วยงาน องค์กรได้เป็นอย่างดี

         ในวันออกพรรษาเป็นวันปวารณาของสงฆ์โดยตรง ส่วนพุทธศาสนิกชนก็ให้ความสำคัญโดยถือเป็นวันพระ และมักที่จะไปทำบุญ ตักบาตร รักษาศีล ฟังเทศน์ และในการทำบุญตักบาตร จะเรียกว่า ตักบาตรเทโว

         ตักบาตรเทโว  มาจากคำว่า ตักบาตรเทโวโรหณะ

         เทโวโรหณะ     แปลว่า  หยั่งลงมาจากเทวโลก

         ประเพณีการตักบาตรเทโวโรหณะ ตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 เป็นการตักบาตรเนื่องในโอกาสที่พระพุทธเจ้าเสด็จกลับมาจากสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์ลงสู่มนุษย์โลก หลังจากที่ได้แสดงธรรมเทศนาโปรดพระมารดาเป็นการต้อนรับเสด็จพระพุทธองค์

         ประวัติความเป็นมาของประเพณีการตักบาตรเทโวโรหณะมีดังนี้

         พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเทศนาแก่ประชาชนอยู่เป็นประจำ ณ นครสาวัตถี จนมีประชาชนจำนวนมากหันมาเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาจึงเป็นเหตุทำให้ เหล่าเดียรถีย์เสื่อมลง (เดียรถีย์ หมายถึง นักบวชประเภทหนึ่งมีมาก่อนพระพุทธศาสนาและเป็นปฏิปักษ์ต่อพระพุทธศาสนาอย่าง ยิ่ง มีพุทธบัญญัติว่า หากเดียรถีย์จะมาขอบวชในพระพุทธศาสนาต้องมารับการฝึก เพื่อตรวจสอบว่ามีความเลื่อมใสแน่นอนเสียก่อน เรียกว่า ติตถิยปริวาส) พวกเดียรถีย์เดือดร้อนเนื่องจาก เครื่องถวายสักการะก็ลดน้อยลงตามไปด้วย จึงคิดหาวิธีที่จะทำลายพระพุทธศาสนาโดยการกล่าวร้ายพระพุทธเจ้า สาวก แต่ประชาชนก็ยังเลื่อมใสศรัทธาเหมือนเคยในที่สุดเดียรถีย์จึงใช้อุบายทำลาย พระพุทธศาสนาโดยการใช้พุทธบัญญัติที่ว่ามั่นใจว่าพระพุทธเจ้าไม่กล้า ฝ่าฝืนข้อห้ามที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้เอง จึงช่วยกันกระจายข่าวให้ประชาชน ได้ทราบว่า “พระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกสิ้นท่าหมดอิทธิฤทธิ์ แล้วงดการแสดง ตรงข้ามกับเหล่าคณาจารย์เดียรถีย์ ซึ่งมีปาฏิหาริย์อบรมมั่นคงเต็มที่และมีความพร้อมที่จะแสดงให้เห็นได้ทุก เมื่อถ้าไม่เชื่อก็เชิญพระพุทธเจ้ามาแสดงปาฏิหาริย์แข่งกันก็ย่อมได้เพื่อ พิสูจน์ว่าใครจะเก่งกว่าใคร “

         ฝ่ายพระพุทธเจ้าและสาวกก็เงียบเฉย เดียรถีย์จึงกล่าวร้ายหนักอีกว่า “พระพุทธเจ้าไม่มีความสามารถในการแสดงอิทธิฤทธิ์” เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบจึงคิดใคร่ครวญและตัดสินใจที่จะแสดงปาฏิหาริย์ให้ พวกเดียรถีย์ได้ประจักษ์เพื่อไม่ให้พระพุทธศาสนาโดนย่ำยี โดยพระองค์ได้ประกาศว่าจะแสดงยมกปาฏิหาริย์ ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ณ ใต้ต้นมะม่วง เมื่อฝ่ายเดียรถีย์รู้ ความดังนั้นจึงแบ่งพวกให้ไปทำลายต้นมะม่วงทุกต้นในเมืองสาวัตถี อีกพวกก็ช่วยกันสร้างมณฑปเพื่อแสดงปาฏิหาริย์ของตน และประกาศให้ประชาชนมาชมความล้มเหลวของพระพุทธองค์ เมื่อถึงกำหนดก็เกิดพายุใหญ่ทำให้มณฑปของเดียรถีย์พังหมดสิ้นส่วนพระ พุทธเจ้ายังมิได้แสดงปาฏิหาริย์แต่อย่างใด

         ในวันนั้นเอง คนเฝ้าพระราชอุทยานของพระเจ้าปเสนทิโกศล ชื่อว่า นายคัณฑะ ได้ถวายมะม่วงผลหนึ่งแก่พระพุทธเจ้าเนื่องจากมีความเลื่อมใสศรัทธาในพระ พุทธองค์ พระพุทธองค์จึงสั่งให้พระอานนท์นำมะม่วงไปทำน้ำปานะ (ปานะ หมายถึง น้ำ ของสำหรับดื่ม) มาถวายและเอาเมล็ดมะม่วงวางบนดิน เมื่อทรงฉันน้ำปานะเสร็จ ก็ทรงล้างพระหัตถ์โดยให้น้ำรดลงบนเมล็ดมะม่วง ทันใดนั้นเอง ก็กลายเป็นต้นมะม่วงที่งอกเงยขึ้นมาและต้นใหญ่ หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าก็แสดงปาฏิหาริย์เนรมิตช่อไฟ ช่อน้ำเนรมิต บุคคลที่เหมือนพระองค์ทุกประการ ทรงแสดงธรรม จงกรม พระพุทธนิมิตให้ประชาชนได้ประจักษ์แก่สายตาจึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธาโดย ทั่วกัน ส่วนเดียรถีย์จึงโดนประชาชนสาปแช่งจนย่อยยับกลับไป

         วันรุ่งขึ้นเป็นวันเข้าพรรษา พระองค์ประกาศว่าจะไปจะพรรษาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เนื่องจากพระพุทธองค์ทรง ต้องการเทศนาโปรดพระนางสิริมหามายา พระพุทธมารดา เพื่อเป็นการสนองพระคุณ ดังนั้นพระองค์จึงได้เทศนาพระอภิธรรมปิฎกโปรดพระพุทธมารดาในช่วงเข้าพรรษา 3 เดือน เมื่อถึงวันออกพรรษาพระพุทธองค์จึงเสด็จกลับสู่โลกมนุษย์ทางประตูเมืองสัง กัสสนคร เป็นการหยั่งจากเทวโลก (เทโวโรหณะ) เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จลงมาในวันแรม 1 ค่ำเดือน 11 ประชาชนต่างพร้อมใจกันมารับเสด็จและนำอาหารมาเพื่อทำบุญตักบาตรเป็นจำนวนมาก ประชาชนบางพวกอยู่ห่างไม่สามารถที่จะถวายอาหารใส่ลงบาตรได้ จึงนำข้าวสาลีมาปั้นเป็นก้อนแล้วโยนใส่ลงในบาตร จนกลายมาเป็นประเพณีนิยมที่ว่าจะต้องทำข้าวต้มลูกโยนเพื่อไว้ใส่บาตรในวันเท โวโรหณะ ข้าวต้มลูกโยนทำมาจากข้าวเหนียวห่อด้วยใบมะพร้าวไว้หางยาวๆ

         วิธีตักบาตรเทโว จะอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นประดิษฐานบนล้อเลื่อนที่บุษบก (บุษบก หมายถึง เรือขนาดเล็ก มียอด เคลื่อนที่ได้) และมีบาตรวางตั้งอยู่ด้านหน้า และจะมีคนลากล้อเลื่อนไปอย่างช้าๆ พระสงฆ์ก็จะเดินตามเรียงเป็นแถวส่วนพุทธศาสนิกชนก็จะนั่งเรียงเป็นแถว และนำข้าวต้มลูกโยนมาใส่บาตร ซึ่งในบางวัดอาจจะมีการจัดสถานที่เป็นแบบจำลองเหมือนกับที่พระพุทธเจ้าเสด็จ ลงมาจริงๆ

ขอบคุณข้อมูลที่เว็บนี้คร้า...
http://www.9bkk.com/article/custom/custom10.html
370  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / มหาปวารณา ( วันนี้เป็นวันออกพรรษา เป็นวันมหาปวารณา ) เมื่อ: ตุลาคม 23, 2010, 02:38:02 am
ความเป็นมาของ “ วันมหาปวารณา”








วันมหาปวารณา เป็นวันสุดท้ายของการเข้าพรรษา
ซึ่ง พระภิกษุจะต้องประชุม ทำปวารณากันในโบสถ์ และต้องอยู่จำพรรษาที่อารามนั้นๆ อีก ๑ คืน จนกระทั่งรุ่งอรุณของวันใหม่ จึงได้ชื่อว่า สิ้นสุดการเข้าพรรษา หรือออกพรรษาที่แท้จริง ทั้งนี้คนในปัจจุบันสับสน เพราะคนทำปฏิทินสับสนและเข้าใจผิด


พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงมีพระบรมพุทธานุญาตให้พระภิกษุทำปวารณา คือ

ยอม ให้ว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกัน หรือ ยอมมอบตนให้สงฆ์ว่ากล่าวตักเตือน ในข้อบกพร่องที่ภิกษุทั้งหลายได้เห็น ได้ยิน หรือมีข้อสงสัย ด้วยจิตเมตตา

เพื่อให้สำรวมระวังปรับปรุงแก้ไขตนเอง เพื่อความเจริญในพระธรรมวินัย และความผาสุกในการอยู่ร่วมกัน

ที่ มา คือ ครั้งหนึ่ง ภิกษุจำพรรษาในแคว้นโกศล ตั้งกติกาไม่พูดกัน ใช้วิธีบอกใบ้ หรือใช้มือแทนคำพูด เมื่อออกพรรษาแล้วไปเฝ้าพระศาสดา พระองค์ทราบความแล้ว ทรงติเตียน และทรงอนุญาตการปวารณา คือการอนุญาตให้ภิกษุอื่นว่ากล่าวตักเตือนกันได้ โดยภิกษุจำพรรษาแล้วปวารณาด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ

๑. โดยได้เห็น
๒. โดยได้ยิน ได้ฟัง
๓. โดยสงสัย

( ปวารณาขันธกะ วิ. ม. สมันตาปาสาทิกา มก. ๖/ ๕๖๘ , มจ. ๔/ ๓๓๑)



พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกระทำปวารณาต่อหมู่สงฆ์

น่า สังเกตว่า แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ผู้หมดกิเลสแล้วยังมีการทำปวารณาซึ่ง กันและกัน แสดงให้เห็นว่า การทำปวารณาของสงฆ์นั้น เป็นสิ่งจำเป็นทั้งระดับบุคคลและหมู่สงฆ์ ดังนี้

คราวหนึ่งในพระ วิหารบุพพาราม กรุงสาวัตถี พระศาสดาประทับอยู่กับพระอรหันต์ ๕๐๐ รูป ในวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่ำ เพื่อจะทรงทำปวารณา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่เหล่าภิกษุนั้นว่า จะติเตียนการกระทำทางกาย ทางวาจาของพระองค์บ้างหรือไม่

พระสารีบุตรทูลตอบปฏิเสธ จากนั้นพระสารีบุตรก็กล่าวปวารณาให้พระศาสดาติเตียนท่าน

พระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวปฏิเสธ เพราะพระสารีบุตรเป็นบัณฑิต เป็นผู้มีปัญญามาก

พระสารีบุตรทูลถามอีกว่า พระองค์จะไม่กล่าวติเตียนการกระทำทางกาย ทางวาจา ของเหล่าภิกษุบ้างหรือ

พระองค์กล่าวปฏิเสธ เพราะเหล่าภิกษุนี้ได้บรรลุวิชชา ๓ อภิญญา ๖ ได้อุภโตภาควิมุตติ และได้ปัญญาวิมุตติเป็นพระอรหันต์

( ปวารณาสูตรสัง. ส. วังคีสสังยุต มก. ๒๕/ ๓๒๕, มจ. ๑๕/ ๓๑๒)





อานิสงส์การอยู่จำพรรษา

ส่วนเมื่อออกพรรษาแล้ว นั่นหมายถึง พระภิกษุอยู่จำพรรษาครบ ๓ เดือน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ย่อมได้อานิสงส์พรรษา ๕ ข้อ คือ

๑.เที่ยวไปไหนโดยไม่ต้องบอกลา

๒.ไม่ต้องถือไตรจีวรครบสำรับ

๓.ฉันคณะโภชน์ได้ (ฉันอาหารรวมกันเป็นกลุ่มได้)

๔.ทรงอดิเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา และ

๕. จีวรที่สาธุชนถวายมานั้น สามารถรับเป็นของตนได้ตามความจำเป็น โดยไม่ต้องส่งเข้ากองกลางให้เป็นของสงฆ์

(วิ.ม. มก.๗/๑๙๓, มจ.๕/๑๔๕)





ด้วย อานิสงส์ทั้ง ๕ ข้อนี้ ทำให้เกิดความสะดวกในการบำเพ็ญสมณะธรรมอย่างมาก เพราะช่วง ๓ เดือนในพรรษา เป็นเสมือนการศึกษาภาคทฤษฎี และฝึกปฏิบัติโดยมีอุปัชฌาย์อาจารย์คอยดูแลชี้แนะข้อบกพร่อง

เมื่อ ออกพรรษาจึงต่างแยกย้ายกันหาที่สงัดสงบและวิเวก เหมาะแก่การบำเพ็ญสมณะธรรมให้เข้มข้นด้วยตนเอง อีก ๙ เดือน ก่อนที่จะกลับมารวมตัวกันใหม่พรรษาหน้า เพื่อเช็คสอบความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมและรับการชี้แนะต่อไป
371  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / สถานการณ์น้ำท่วม ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออก (ทุกภาค ) เมื่อ: ตุลาคม 23, 2010, 02:22:46 am
สองฝั่งเจ้าพระยารับไม่ไหว/กรมชลฯเตือนด่วนอพยพคน อีก3วันท่วมกรุง!




ลอยคอ : พระภิกษุสงฆ์ วัดบางม่วง ต.โพธิ์เอน อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา ต้องลอยคอออกบิณฑบาตร หลังปริมาณน้ำสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนท่วมไปทั่วบริเวณวัด

27ตุลาฯน้ำเหนือชนทะเลหนุน นอกคันกั้น-เกราะเกร็ดเสี่ยงมิด
"ธีระ"ชี้ระบบระบายอัมพาตแล้ว 2เขื่อนปล่อย4พันลบ.ม.ต่อวินาที
กทม.เสริมกระสอบทราย3เมตร
พิมายยังวิกฤติ-สุรินทร์จ่อคิวจม ยับเยิน29จว./1.2ล.คนเดือดร้อน

สถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ยังวิกฤติ และขยายวงกว้างต่อเนื่อง โดยจังหวัดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเตรียมเผชิญอุทกภัยครั้งใหญ่เป็นพื้นที่ ต่อไป โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ หลังน้ำเหนือก้อนมหึมาเริ่มทะลักเข้ามาถึง ขณะที่ผู้ประสบอุทกภัยซึ่งเดือดร้อนอย่างหนัก ยังรอความช่วยเหลืออย่างใจจดใจจ่อ

ที่มาของข่าว
http://www.norsorpor.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/t2237058/%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9D%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A7+%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%A5%E0%B8%AF%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%813%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87!
372  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วิธีสลัดเรื่องไร้สาระออกจากใจ เมื่อ: ตุลาคม 19, 2010, 02:03:26 am
วิธีสลัดเรื่องไร้สาระออกจากใจ

บทความที่นำมาเสนอจากหนังสือเรื่อง   Don't Sweat the Small Stuff   แต่งโดย   Richard Carlson
ผู้แต่งเชื่อว่านิสัยเกิดจากการกระทำสิ่งใด สิ่งหนึ่ง ครั้งแล้วครั้งเล่า นิสัยเหล่านี้จะเกิดขึ้นเองตามสภาวะธรรมชาติและเกิดข ึ้นบ่อยครั้งเสียจนเราไม่รู้สึกว่าเป็นสิ่งผิดปกติหร ือเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไข แต่หารู้ไม่ว่านิสัยที่ไม่ดีของเราเหล่านี้จะเป็นตัว บั่นทอนพลังชีวิต ทำให้เราหมดกำลังใจ และทำให้เราเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ดังนั้น ผู้แต่งจึงชี้ให้เห็นถึงนิสัยที่ไม่ดีและมิจฉาทิฐิที ่ควรแก้ไข   ดังนี้

1. ความคิดที่ว่าเมื่อประสบปัญหาต้องรีบแก้ไขทันที
ในช่วงที่ประสบปัญหาจิตใจจะวกวนสับสน เครียด อึดอัด มึนงง เศร้าสลดหดหูไม่ควรที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาใด ๆ เพราะยิ่งคิดยิ่งมึนงง มองไม่เห็นทางออก หรือถ้าคิดออกความคิดที่ได้ก็ไม่เฉียบคม

วิธีแก้  หยุดคิด ทำใจให้สบาย ๆ ปล่อยวาง เมื่อจิตใจสงบจึงคอยเริ่มแก้ไขปัญหาที่พอจะแก้ไขได้ก ่อน ปัญหาที่รุนแรงและเรื้อรังยากที่จะแก้ไขได้โดยทันทีก ็ให้ค่อย ๆ แก้ไขไปทีละเปลาะสองเปลาะ เมื่อปัญหาลดน้อยลงจะทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้น ปัญหาที่ยากยอมต้องใช้เวลา ความพยายาม ความอดทน และความต่อเนื่องเป็นธรรมดา จงยอมรับความเป็นจริงทั้งหมดที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเรา คิดถึงเหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้น(Wo rst case scenario) แล้ว ทำใจยอมรับให้ได้ เมื่อนั้นจิตใจจะสงบ และในความเป็นจริงมันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่เราคิดไ ว้ก็ได้ จะทำให้เรายิ่งมีกำลังใจที่จะขบคิดแก้ไขปัญหาต่อไป

2. หงุดหงิดรำคาญใจ ทุกสิ่งทุกอยางขัดหูขัดตาไปหมด ไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย
บุคคลที่มีความคิดประเภทนี้จะมีจิตใจคับแคบ ไม่รู้จักให้อภัยผู้อื่น เอาตนเองเป็นที่ตั้ง ชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลา นิดหนึ่งก็ไม่ได้ นิดหนึ่งก็ไม่ยอม จิตใจร้อนรุ่ม หาความสุขไม่ได้ ไมมีใครอยากเขาใกล้หรืออยากทำงานด้วย มีศัตรูเต็มไปหมด สุขภาพเสื่อมโทรมโรคภัยรุมเร้าเพราะมีความเครียดอยู่ ตลอดเวลา

วิธีแก้  รู้จักปล่อยวางเสียบาง ในโลกนี้ไมมีใครสมบูรณ์แบบ ไม่มีใครสามารถทำตามใจเราได้ทุกอย่าง ทำอะไรก็ตามให้อยู่ในระดับกลาง ๆ พอดี ๆ ไม่ต้องสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่างพูดจาให้นุ่มนวลอ่อน หวาน สบาย ๆ ไม่ต้องเอาเป็นเอาตาย เอาจริงเอาจังไปเสียทุกเรื่อง

3. บ้างาน คิดว่าตนเองมีงานล้นมือ ทุกอย่างมีแต่ความรีบเร่งจนไมมีเวลาเป็นของตัวเอง 
คนที่รีบเร่งทำงานหลาย ๆ อย่างแต่ทำไมเสร็จสักอย่าง งานสวนใหญ่มักจะไม่มีสาระ ไม่สำคัญ ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้น เพราะการรีบเร่งทำงานอยู่ตลอดเวลาจิตจะไม่ว่าง กิริยาจะร้อนรน ขาดสติสัมปชัญญะ ขาดความระมัดระวังทำให้ไม่รู้ตัวว่าตนกำลังทำสิ่งที่ ไร้สาระอยู่ เมื่อพลังงานส่วนใหญ่สูญเสียไปกับการทำเรื่องเล็ก ๆ น้อยๆ งานที่ออกมาก็ไม่มีประสิทธิภาพ เมื่อโดนตำหนิก็เกิดความเครียดทำให้ต้องรีบสร้างผลงา นมากขึ้นเพื่อชดเชยความผิด แต่ยิ่งรีบก็ยิ่งผิด วนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์ไม่มีที่สิ้นสุด
วิธีแก้  - เลือกทำในสิ่งที่สอดคล้องกับเป้าหมายในชีวิต ถามตนเองว่าสิ่งที่กำลังทำ กำลังพูด และกำลังคิดอยู่นี้จะทำให้เรามีความสุขขึ้น เป็นคนดีมากขึ้น มีสติปัญญามากขึ้น และมีเงินทองมากขึ้นหรือไม่ ถ้าไม่ก็ให้ตัดทิ้งเสีย เช่น การนินทาว่าร้ายเจ่านาย เป็นต้น
- ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด เพราะสิ่งต่าง ๆ ที่ทำในปัจจุบันจะส่งผลไปยังอนาคตอย่างแน่นอน ให้บอกตนเองเสมอว่า ในโลกนี้มีงานต่าง ๆ อีกมากมายทำเท่าไรก็ทำไม่หมดหรอก ทำแต่สิ่งที่สำคัญเท่านั้นก็พอ ให้ตระหนักถึงสัจธรรมที่ว่า ถึงแม้ว่าเราจะจากโลกนี้ไป โลกมันก็ยังคงดำเนินตอไปได้โดยไม่ต้องมีตัวเรา อย่าสำคัญตัวเองมากนัก หยุดทำงานทุกอย่าง นั่งสงบนิ่งดูลมหายใจ (อาณาปานสติ) สัก 15 นาที เจริญมรณานุสติโดยการคิดว่าถ้าจะต้องตายในอีก 7 วันข้างหน้า เราอยากทำสิ่งใดมากที่สุด (แต่วิธีนี้ไมเหมาะกับบุคคลที่เป็นโทสจริตเพราะมีมรณ านุสติเป็นอารมณ์อยู่แล้ว)

4. คิดเอาตนเองเป็นใหญ่และคิดอาฆาตแค้นพยาบาทคนอยู่ตลอด เวลา
ความคิดนี้เป็นความคิดในแง่ลบ (Negative thinking) ซึ่งเป็นตัวบั่นทอนพลังชีวิต ทำให้เราเป็นคนย้ำคิดย้ำทำและเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายโ ดยที่เราไม่รู้ตัว การกระทำ คำพูดและแววตาจะแสดงออกมาด้วยความก้าวร้าวรุนแรง

วิธีแก้  ให้ระมัดระวังความคิดในแงลบ เมื่อมีความคิดเหล่านี้โผล่ขึ้นมาเองไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องคิดต่อ ให้เปลี่ยนเรื่องคิดทันที ให้หันมาคิดในแง่บวกแทนซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เกิดเองตาม ธรรมชาติจะต้องสร้างขึ้นมา ทำใจยอมรับว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความคิดที่เป ็นอกุศล เช่น ความอิจฉาริษยา ความอาฆาตพยาบาท ความมีอัตตาตัวตน และความยึดมั่นถือมั่น เป็นต้น ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้รวมทั้งตัวเราเอง ทุกคนเท่าเทียมกันหมด เราจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปตัดสินผู้อื่นว่าถูกหรือผิด หากเรายอมรับความเป็นจริงในข้อนี้ได้ เราจะรู้จักให้อภัยผู้อื่นและให้อภัยตัวเอง รู้จักสำรวมคำพูดและการกระทำมากขึ้น พยายามประคับประคองความคิดที่ดีให้อยู่นานที่สุดเท่า ที่จะเป็นไปได้

5. คิดดูถูกผู้อื่น และชี้ถูกชี้ผิดอยู่ตลอดเวลา
ความคิดเหล่านี้จะทำให้เรามีจิตใจคับแคบ ไมมีเมตตาต่อผู้อื่น มีความเครียดเป็นอาจิณ
วิธีแก้  เอาใจเขามาใส่ใจเรา เลิกเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง หัดเข้าใจความคิดและอารมณ์ของผู้อื่นว่าทำไมเขาถึงพู ดหรือทำเช่นนั้น และถ้าเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขา เราอาจจะทำแบบเดียวกับเขาก็ได้ เป็นต้น ยอมรับว่าในโลกนี้ไม่มีใครที่คิดเหมือนกับเรา ดังนั้น การมีความคิดที่ขัดแย้งกัน ยอมเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครถูกใครผิดหัดฟังมากกว่าพูด สักแต่รู้สักแต่เห็น รับรู้ทุกอย่างแต่อย่าคิดต่อ ไม่ต้องหาเหตุหาผลไปซะทุกเรื่อง พิจารณาอารมณ์ของตนเองว่าในขณะนี้เราสุข ทุกข์ หรือเฉย ๆ เพื่อหยุดความคิดซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งอัตตาตัวกูของกู

6. คิดเอาชนะผู้อื่น
การโต้เถียงเอาชนะผู้อื่นเพียงเพื่อ พิสูจน์ว่าสิ่งที ่เราคิดนั้นถูกต้องเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เห ตุ และยังเป็นการสร้างศัตรูโดยที่เราไม่รู้ตัว
วิธีแก้ พูด เท่าที่จำเป็นพูดแต่สิ่งที่สร้างสรรค์และเป็นประโ ยชน์รู้จักปล่อยวางเสียบ้าง หัดฟังมากกว่าพูด และเอาใจเขามาใสใจเรา พยายามประคับประคองจิตใจให้ผ่องใสอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการโต้เถียงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

7. คิดทวงบุญคุณจากผู้อื่น
การทวงบุญคุณจะทำให้จิตใจคับแคบ เต็มไปด้วยความอึดอัด ไม่พอใจ ลังเลสงสัย จิตใจสกปรกขุ่นมัวเพราะเป็นการทำดีเพื่อหวังผลตอบแทน

วิธีแก้  ช่วยเหลือโดยไม่ต้องคำนึงถึง ผู้ให้ในที่นี้คือตัวเรา นั่นเอง ควรให้เพราะอยากช่วยเหลือไม่ต้องมีตัวเขาเราท่าน ช่วยเหลือโดยไม่ต้องคำนึงถึงผู้รับ คนไหนพอช่วยได้ให้ช่วยไปเลยไม่ต้องจำกัดว่าช่วยเพราะ เป็นญาติเรา หรือช่วยเพราะเขาทำดีกับเรา เป็นต้น ช่วยแล้วหันหลังกลับไม่หวังผลตอบแทน

8. คิดกังวลในสิ่งที่ยังมาไมถึง
การคิดวิตกกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงจะทำให้จิตใจว้า วุ่น สับสนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว จิตใจล่องลอยไม่อยู่กับปัจจุบัน

วิธีแก้  รู้เนื้อรู้ตัวว่าตนเองกำลัง ทำอะไรอยู่ ทำแล้วเกิดผลอะไร ทำวันนี้ให้ดีที่สุด คิดโกรธเกลียดหมั่นไส้ผู้อื่น ความโกรธ เกลียด รำคาญ และไม่ชอบหน้าบุคคลที่เคยทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจเป็นนิ สัยที่เกิดได้กับมนุษย์ทุกคน แต่เมื่อมีความคิดเหลานี้ผุดขึ้นในจิตใจ เราควรระมัดระวังไม่ให้แสดงออกมาทางสีหนา แววตา น้ำเสียง และการกระทำ นอกจากนั้น เราควรมองบุคคลเหล่านั้นในแง่บวก เช่น คนที่ตำหนิติเตียนเรานั้นอาจจะกำลังสอนให้เรารู้จักท ำงานให้เป็นระเบียบมากขึ้น หรือคนนินทาว่าร้ายเรานั้นอาจจะกำลังสอนให้เรารู้จัก วางตัว พูดเท่าที่จำเป็น เพราะเขารู้เรื่องของเราหมดจึงเอาไปคุยกันจนสนุกปาก เป็นต้น

9. คิดน้อยใจในโชคชะตาของตนเอง
การคิดน้อยใจในชะตากรรมของตัวเอง เช่น เกิดมายากจน รูปร่างไม่ดี หน้าตาไม่สวย เรียนหนังสือไม่เก่ง หรือทำอะไรก็สู้เขาไม่ได้ เป็นต้น การคิดเช่นนี้นอกจากจะเป็นการบั่นทอนกำลังใจตัวเองแล ้วยังทำให้ชีวิตจมปลักไม่ก้าวหน้า ไปไหน เพราะมัวแต่ย้ำคิดย้ำทำแต่สิ่งเดิม ๆ
วิธีแก้  - จงพอใจในสิ่งที่ตนมี และอย่าคิดเปรียบเทียบกับคนอื่น
- ระลึกและจดจำในสิ่งดี ๆ ที่เราได้รับจากคนรอบข้าง
- รู้จักและยอมรับตนเองทั้งจุดเด่นและจุดด้อย
- พัฒนาและใช้จุดเด่นของเราให้เป็นประโยชน์และปรับปรุง จุดด้อยหรือหาสิ่งอื่นมาทดแทน
- เรียนรู้จากประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต
- ลืมอดีตที่ขมขื่นเพื่อทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
- คิดในแง่บวก และพยายามประคับประคองจิตใจให้ผองใสอยู่ตลอดเวลา

10. นิสัยมองโลกในแง่ร้ายและคิดว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเห็นแก ่ตัว
การคิดเช่นนี้จะยิ่งเป็นการตอกย้ำความ คิดในแง่ลบให้ม ากขึ้นเป็นทวีคูณ มองความจริงไม่ตรงตามความเป็นจริง ปัญหาเล็ก ๆ ก็ตีโพยตีพายจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต จิตใจคับแคบ หาความสุขไม่ได้เพราะจะคอยจับผิดผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา
วิธีแก้ คิด ถึงประสบการณ์ดี ๆ ที่เราได้รับจากคนรอบข้าง เช่น คิดถึงบุคคลที่มีบุญคุณหรือมีน้ำใจกับเรา เป็นต้นพยายามมองโลกในแง่บวก อย่าปล่อยให้จิตมันคิดเอง

11. คิดว่าโลกนี้มีแต่ปัญหาเต็มไปหมด แก้เท่าไรก็ไม่หมดเสียที
การคิดเช่นนี้นอกจากจะไม่ช่วยแก้ปัญหาแล้วรังแต่จะเป ็นตัวบ่อนทำลายกำลังใจของเราเองเสียอีก
วิธีแก้  ให้มองปัญหาเสมือนด่านทดสอบความอดทน ตัวฝึกฝนทักษะในการแก้ปัญหา และเป็นแหล่งปัญญาที่หาไม่ได้จากในหนังสือ มองปัญหาในแง่บวกว่ามันอาจจะเป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงห น้าก่อนที่ความหายนะจะเกิดขึ้นก็ได้ ปัญหาทำให้เราเห็นข้อบกพร่องที่เราอาจจะมองข้ามไป มองปัญหาเป็นเรื่องธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนต้องประสบ อันไหนพอแก้ได้ก็ทำไปก่อน คิดในแง่บวกและตั้งจิตว่าจะประคับประคองจิตใจให้ผ่อง ใสอยู่ตลอดเวลา


12. คิดว่าเราเก่งกว่าผู้อื่น ฉลาดกว่าผู้อื่น หรือร่ำรวยกว่าผู้อื่น
ความคิดเช่นนี้จะส่งผลให้พฤติกรรมที่แสดงออก มาเต็มไป ด้วยความหยิ่งยโสโอหัง อวดดี ถือตัว มองผู้อื่นด้วยสายตาดูถูกดูแคลน วาจาจะรุนแรงและสามหาว บุคคลรอบข้างจะรังเกียจ หมั่นไส้ และอิจฉาริษยา ซึ่งเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่รู้ตัว

วิธีแก้  ระมัดระวังคำพูด ความคิด และการกระทำ ต้องมีสติรู้เนื้อรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา หัดมองตัวเอง เลิกเปรียบเทียบกับผู้อื่น อย่าวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น

13. การด่าทอ เหน็บแนม ประชดประชัน และวิพากษ์วิจารณ์
เป็นอกุศลวาจาที่สร้างความเจ็บช้ำ น้ำใจให้กับผู้อื่น ซึ่งเป็นการสร้างศัตรูโดยไม่ได้ตั้งใจ นอกจากนั้น ความคิดเหล่านี้ยังเป็นที่มาของความโกรธ ความเกลียด และความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจมนุษย์อีกด้วย
วิธีแก้  คิดก่อนพูดและไม่ต้องพูดทุกอย่างที่เราคิด ถ้าพูดแล้วไม่สร้างสรรค์ นิ่งเสียจะดีกว่า เอาใจเขามาใสใจเรา ในโลกนี้ไม่มีใครชอบถูกวิพากษ์วิจารณ์แม้แต่ตัวเราเอ ง

http://royyim.exteen.com/20101018/entry
373  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ร่วมช่วยเหลือ ผู้ประสพภัย เมื่อ: ตุลาคม 19, 2010, 01:57:00 am
ร่วมช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม กับเว็บไซต์กระปุกดอทคอม



ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม



ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม
 
          จากวิกฤตภัยน้ำท่วมในพื้นที่หลายจังหวัด ทำให้พี่น้องชาวไทยหลายพื้นที่ดังกล่าว ประสบปัญหาไร้ที่อยู่อาศัย และขาดแคลนสิ่งของจำเป็นเร่งด่วนเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภค เว็บไซต์กระปุกดอทคอม จึงขอเป็นสื่อกลางในการเชิญชวน องค์กร หน่วยงาน ห้างร้านต่างๆ ร่วมกันบริจาคสิ่งของอุปโภคบริโภค และของใช้จำเป็น เพื่อส่งต่อความช่วยเหลือไปถึงพี่น้องชาวไทยที่กำลังประสบภัยน้ำท่วมในขณะ นี้

          ทั้งนี้ ทางเว็บไซต์กระปุกดอทคอม ยินดีที่มอบพื้นที่โฆษณาออนไลน์ตามมูลค่าราคาสินค้าที่ยินดีร่วมบริจาคช่วย เหลือให้กับผู้ประสบภัย สามารถลงโฆษณาช่วงเวลาใดก็ได้ จนถึงสิ้นปี 2554 โดยมีรายละเอียดดังนี้

         - ผู้บริจาคต้องเป็นเจ้าของสินค้าอุปโภคบริโภค หรือข้าวของเครื่องใช้อุปโภคบริโภคที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ประสบภัย

         - มูลค่าสินค้ารวมเพื่อการบริจาคไม่ต่ำกว่า 50,000 บาท (เนื่องจากกระปุกไม่สามารถมอบโฆษณามูลค่าต่ำกว่านี้กับทุก ๆ รายได้ อาจทำให้ต้องบริหารจัดการระบบโฆษณาให้กับผู้บริจาคหลายพันราย จึงขอสงวนสิทธิ์มอบโฆษณาให้เฉพาะรายที่บริจาคมากกว่า 50,000 บาทเท่านั้น สำหรับผู้ต้องการบริจาคในทุกความช่วยเหลือ สามารถบริจาคได้กับทุกหน่วยงานในกระทู้นี้ได้ตามปกติค่ะ)

         - เล็งเห็นคุณค่าในการช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยอย่างทันท่วงที สามารถส่งต่อเพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยที่ประสบภัยน้ำท่วมได้ทันที โดยสามารถละเว้นพิธีการหรืองานเอกสารใด ๆ เพื่อจะให้ความช่วยเหลือถึงมือได้ ในช่วงเวลาที่จำเป็น ไม่มีของตกค้าง

         ผู้สนใจ สามารถติดต่อได้ที่

         เว็บไซต์ Kapook.com
         บริษัท บัณฑิต เซ็นเตอร์ จำกัด
         26/110 ซอยรัชประชา 2  ถนนรัชดา -ประชาชื่น
         เขตจตุจักร แขวงจตุจักร
         กรุงเทพมหานคร 10900
         Tel. 02-556-1789
         Fax. 02-911-1117
         E-mail

         สำหรับท่านใดที่ประสงค์จะช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมนอกเหนือจากเงื่อนไข ข้างต้น สามารถให้ความช่วยเหลือได้โดยตรง ตามหน่วยงานที่เราจะได้รวบรวมไว้เพิ่มเติมที่นี่ พร้อมทั้งรายงานเกาะติดสถานการณ์ปัญหาภัยน้ำท่วม เพื่อบรรเทาทุกข์ร่วมกับพี่น้องประชาชนคนไทยที่ประสบภัยค่ะ
 
          ท่านใดที่มีความคิดเห็น ข้อเสนอแนะหรือต้องการความช่วยเหลือและความร่วมมือในเรื่องใด สามารถแสดงความคิดเห็นไว้ได้ที่กระทู้นี้ค่ะ ทีมงานยินดีนำเสนอปัญหาเร่งด่วน ประเด็นสำคัญและข้อเสนอดีๆ ประชาสัมพันธ์และประสานงานยังฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการช่วยเหลือต่อ ไปค่ะ
 
          ขอให้สถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ แสดงถึงความร่วมมือร่วมใจกัน ดั่งพลังท่วมใจ ที่ไม่เคยเหือดแห้งจากน้ำใจคนไทยทุกคนเลยนะคะ

หน่วยงานให้ความช่วยเหลือน้ำท่วม

1. กรมอุตุนิยมวิทยา

          - เว็บไซต์ www.tmd.go.th

          - สายด่วนกรมอุตุนิยมวิทยา โทร. 1182

          - สถานีวิทยุกระจายเสียงกรมอุตุนิยมวิทยา กรุงเทพมหานคร (AM 1287 KHz) โทร. 02-383-9003-4, 02-399-4394

          - สถานีวิทยุกระจายเสียงกรมอุตุนิยมวิทยา จ.นครราชสีมา (FM 94.25 MHz)โทร. 044-255-252

          - สถานีวิทยุกระจายเสียงกรมอุตุนิยมวิทยา จ.พิษณุโลก (FM 104.25 MHz) โทร. 055-284-328-9

          - สถานีวิทยุกระจายเสียงกรมอุตุนิยมวิทยา จ.ระยอง (FM 105.25 MHz) โทร. 038-655-075, 038-655-477

          - สถานีวิทยุกระจายเสียงกรมอุตุนิยมวิทยา จ.ภูเก็ต (FM 107.25 MHz) โทร. 076-216-549

          - สถานีวิทยุกระจายเสียงกรมอุตุนิยมวิทยา จ.ชุมพร (FM 94.25 MHz) โทร. 077-511-421

2. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย

          - เว็บไซต์ www.disaster.go.th

          - โทรศัพท์  02-637-3000

3. รายการเช้าข่าวข้นและอสมท.

          - เปิดศูนย์รับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมใหญ่ที่โคราช สามารถนำไปให้ที่อสมท. เช่น อาหารแห้ง,เรือ,ผ้าอนามัย, ไฟฉาย

          - ที่อยู่ : บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)‎ 63/1 ถนนพระราม 9 เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10320 ไทย 02-2016000 แผนที่ mcot.net

4. สื่อในเครือ "เนชั่น"

          - เปิดศูนย์รับบริจาคเงินและสิ่งของช่วยผู้ประสบอุทกภัย โทรศัพท์ 02-338-3333 และ 02 338-3000 กด 3

5. มูลนิธิกลุ่มแสงเทียน

          - มูลนิธิกลุ่มแสงเทียน รับบริจาคของกินของใช้ เพื่อนำไปช่วยชาวบ้านที่น้ำท่วม โทรศัพท์ 02-465-6165 ได้ทั้งวัน

6. สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3

          - รับบริจาคฉุกเฉินใต้อาคารมาลีนนท์ ต้องการอาหาร นม ไฟฉาย

          - เปิดรับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ชื่อบัญชี "ครอบครัวข่าว ช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม53" บัญชีกระแสรายวัน หมายเลข 014-3-003-689 ธนาคารกรุงเทพ สาขาพระราม 4 อาคารมาลีนนท์

7. สน.ประชาชน ทีวีไทย

          - เปิดรับแจ้งข้อมูลน้ำท่วม ร่วมช่วยเหลือผู้ประสบภัย 02-791-1385-7 หรือ

8. ททบ.5

          - เปิดรับบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ชื่อบัญชี "กองทัพบก โดยททบ.ช่วยภัยน้ำท่วม" บัญชีธนาคารทหารไทย สาขาสนามเป้า บัญชีออมทรัพย์ 021-2-69426-9 หรือสามารถส่งความช่วยเหลือได้ที่สถานีททบ.5

9. ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม จ.นครราชสีมา

          - ใครอยากลงไปเอง ไปได้เลยนะคะสำหรับ วิกฤติน้ำท่วมโคราช สอบถามและขอความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์อำนวยการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม จ.นครราชสีมา เบอร์ 044-342652-4

10. มูลนิธิกลุ่มแสงเทียน

          - รวบรวมสิ่งของบริจาค ช่วยเหลือพี่น้องที่น้ำท่วม หมายเลขโทรศัพท์  02-465-6165

11. จส. 100

          - สอบถามน้ำท่วมถนนมิตรภาพ ที่แขวงการทางต่าง ๆ ได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์  044-242-047 ต่อ 21, 044-212-200, 037-211-098, 036-461-422, 036-211-105 ต่อ24

12. การรถไฟแห่งประเทศไทย

          - สอบถามการเดินรถไฟได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 1690

13. ติดต่อหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน

          - ติดต่อหน่วยแพทย์ฉุกเฉินได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 1669

14. บริษัทขนส่ง

          - สอบถามการเดินรถได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 1490

15. กรุงเทพมหานคร เปิดศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย

          - โดยรับบริจาคเงินและสิ่งของ เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ประสบอุทกภัยในภาคต่าง ๆ โดยประชาชนร่วมบริจาคเงินและสิ่งของได้ที่ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 (ดินแดง) และที่สำนักงานเขตทั้ง 50 แห่ง ทั่วกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร โทร. 02-354 6858

16. สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย

          - รับริจาคเงิน สามารถบริจาคเงินได้ที่หมายเลขบัญชี สภากาชาดไทย ชื่อบัญชี "สภากาชาดไทย เพื่อการรับบริจาคเงินต่าง ๆ" เลขที่ 045-2-88000-6 ประเภทออมทรัพย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาสภากาชาดไทย จากนั้นแฟ็กซ์ใบนำฝากพร้อมเขียนชื่อและที่อยู่มา หมายเลข 0-2252-7795 สอบถามโทร. 02-256-4047

          - รับบริจาคสิ่งของ เดินทางมาด้วยตัวเองหรือส่งมาได้ที่ สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย 1871 ถนนอังรีดูนังต์ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 โทรศัทพ์ 0-2251-7853-6 , 0-2251-7614-5 โทรสาร 0-2252-7976

          - อาสาสมัครช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม สามารถลงทะเบียนร่วมเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ได้ที่ http://www.rtrc.in.th/ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัทพ์ 0-2251-7853-6, 0-2251-7614-5 ต่อ 1603
374  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / ข่าวเตือนภัย ติดตามเรื่องน้ำท่วมคะ เมื่อ: ตุลาคม 19, 2010, 01:42:29 am


เครดิตเว็บนี้คะ

http://www.kctv.co.th/content/2385/%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B8%B3%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%8817%E0%B8%95%E0%B8%8453[url]



 :'( :'( :'( :'(
375  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปิ้นว่าดี ก็ลองดูเน๊าะ เผื่อจะดี อย่างตี่เปิ้นว่า เมื่อ: ตุลาคม 15, 2010, 12:50:00 am

    ปรัชญาที่ชาวจีนถือว่าเป็นมนตรานำโชคมาสู่ชีวิต
    (chinese tantra totem for good luck)
     

       1. จงให้มากกว่าที่ผู้รับต้องการ และทำอย่างหน้าชื่นตาบาน
       2. จงพูดกับคนที่ถึงแม้จะอายุน้อยกว่า แต่เขาก็มีความสำคัญเท่ากัน
       3. จงอย่าเชื่อทุกอย่างที่ได้ยิน ใช้ทั้งหมดที่มี และนอนเท่าที่อยากจะนอน
       4. เมื่อกล่าวคำว่า 'ฉันรักเธอ' จงหมายความตามนั้นจริง ๆ
       5. เมื่อกล่าวคำว่า ' ขอโทษ ' จงสบตาเขาด้วย
       6. ก่อนจะตัดสินใจแต่งงาน จงหมั้นเสียก่อนอย่างน้อย 6 เดือน
       7. จงเชื่อในรักแรกพบ
       8. อย่าหัวเราะเยาะความฝันของผู้อื่น คนที่ไม่มีฝันก็เหมือนไม่มีอะไร
       9. เมื่อรักจงรักให้ลึกซึ้ง และ ร้อนแรง อาจจะต้องเจ็บปวดแต่นั่นคือหนทางเดียวที่ทำให้ชีวิตถูกเติมเต็ม
      10. ในเหตุการณ์ขัดแย้ง โต้อย่างยุติธรรม ไม่มีการตะโกนใส่กัน
      11. อย่าตัดสินคนเพียงเพราะญาติๆ ของเขา
      12. จงพูดให้ช้า แต่ต้องคิดให้เร็ว
      13. ถ้าถูกถามด้วยคำถามที่ไม่อยากตอบ จงยิ้มแล้วถามกลับว่า จะรู้ไปทำไม
      14. จงจำไว้ว่า สองสิ่งที่ยิ่งใหญ่ คือความรัก และความสำเร็จ ล้วนต้องมีการเสี่ยง
      15. พูดว่า ขอพระคุ้มครอง เมื่อได้ยินใครจาม
      16. เมื่อพ่ายแพ้ จงอย่าสูญเสียบทเรียนไปด้วย
      17. จงจำ 3 R :- นับถือผู้อื่น นับถือตนเอง รับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ
      18. จงอย่าให้ความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ มาทำลายมิตรภาพที่ยิ่งใหญ่
      19. ทันทีที่รู้ตัวว่าทำผิด ลงมือแก้ไขทันที
      20. จงยิ้มเวลารับโทรศัพท์ ผู้ฟังจะเห็นได้จากน้ำเสียงของเรา
      21. จงหาโอกาสอยู่กับตัวเองบ้าง


376  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ตุ๊กของคน50อย่าง เมื่อ: ตุลาคม 15, 2010, 12:44:37 am
ตุ๊กของคน50อย่าง(ทุกข์ของคน50อย่าง สำหรับคนเมืองนะครับเหนือๆจะรู้เรื่อง)
 
ตุ๊กสุดๆ จะไปหื้อปะ


1.ก้างปักเหงียก

2.เกียกขบตี๋น

3.จิ้นขำเขี้ยว

4.ไค่เยี่ยวบนรถ

5.มดขบต๋า

6.ขาเป็นตะคริว

7.สิวออกในฮุดัง

8.คันหลังเก๋าบ่สุด

9.มุดฮั้วลวดหนาม

10.จ๋ามในห้องแอร์

11.เหม็นขี้แฮ้ในลิฟท์

12.รูดซิบติดหำ

13.ยกจ๋ำขึ้นบะได้

14.ไค่ให้ไค่หุย

15.โดนหละกุยยอกแก่นต๋า

16.เซาะหาผัวบะเจอ

17.เมียเผลอเซาะมีกิ๊ก

18.ต๋ำน้ำพริกปอบะแหลว

19.อู้หยั่งแม้วหยั่งกับยาง

20.ขางผัวอยู่ตึงวัน

21.อันนั้นสั้นล้ำไป

22.มีไข่แก่นเดียว

23.บ่าเสียวมีเซ็กซ์

24.ต๋าเก๊กสองข้าง

25.ป๋ายกางเป๋นฝี

26.ป๋าย...เป๋นตุ่ม

27.ตุ้ยอุ้มลุ้มอุ้บ่าฉ๊ะ

28.เมียละผัวหนี

29.ทีวีโดนลัก

30.ผีตั๊กต๋อนค่ำ

31.มดง่ามขบจู๋

32.หูเป๋นน้ำหนวก

33.เมียสวกตบหงีบ

34.ผัวถีบตกรถ

35.เก็บกดแม่เมียด่า

36.ขี้หมาติ๊ดเกิบ

37.ต่าวอวบเติ๊บเปิ๊บก๋างห้าง

38.อารมณ์ค้างผัวเสร็จเวอย

39.เม่อยไข้ทับระดู

40.ฮู บ่กระชับ

41.โดนยับใบขับขี่

42.ไค่ขี้ต๋อนกิ๋นเข้า

43.ฮักเมาแม่เฮือนหนุ่ม

44.ไอ่ลุ่มบ่อไค่แข็งแรง

45.เหม็นแมงแกงติดหัว

46.ผัวบะนอนตวย

47.ซื้อหวยก่อบะถูก

48.ขี้มูกกาฮุดัง

49.เป๋นสังคังติดเก๊าขา

50.สาบขี้หมาในรถ

ถ้าชอบก็กด โหวต นะคะ เหอๆ อ่านตรงไหนไม่เข้าใจ ถามได้ค่ะ


ขาดตกบกพร่อง ก็ขอให้ ครูอริสา และ ครูนภา เสริมด้วยนะคร้า......
377  เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / 49 ข้อสังเกตแปลกๆ บนสังคมเว็บ เมื่อ: ตุลาคม 15, 2010, 12:39:07 am
  49 ข้อสังเกตแปลกๆ บนสังคมเว็บ

1. คนรู้เรื่องของคนที่เขาเกลียดดีกว่าคนที่รัก

2. คนชอบถามหาหลักฐาน แต่เวลาตัวเองอ้างมั่งไม่ค่อยจะมีหลักฐาน

3. เขียนยาวไปคนไม่อ่าน 555+

4. เขียนสำนวนเคร่งขรึมคนก็ไม่อ่าน

5. ชาวเว็บไม่ชอบเรื่องซีเรียส ถึงเป็นเรื่องเครียดก็ต้องเขียนให้ฮา

6. ยอดคนคอมเมนต์แสดงความคิดเห็น เป็นเหมือนยอดภูเขาน้ำแข็ง

7. มีคนคอยตามอ่านเงียบๆมากมายที่ไม่โผล่ตัวออกมา

8. บางทีเรื่องที่เถียงกันไม่มีสาระอะไร แต่เถียงกันไปเพราะแค่อยากเอาชนะ

9. ปิดจอคอมไปนอนก่อนซะอาจจะดีกว่านั่งเถียงแบบอินเตอร์แอ็คทีฟ

10. เกรียนปากดีตามเว็บบอร์ด พอเจอตัวจริงมักเจี๋ยมเจี้ยม

11. แต่คนอัธยาศัยดีในบอร์ด ตัวจริงก็อัธยาศัยดีเหมือนกัน

12. มนุษย์สายพันธุ์กูเกิลรู้ทุกเรื่อง แต่ถ้าคุยลึกๆจริงๆแล้วจะไม่รู้สักเรื่อง

13. แถมวิเคราะห์ วิจารณ์ ไม่ได้อีกตะหาก

14. เรื่องดราม่ามักจบลงด้วยคำว่า "ขอโทษ"

15. แต่ถ้ามีเรื่องครั้งใหม่ เรื่องเดิมก็จะถูกขุดโคตรเหง้าศักราชมายำต่อ

16. คำด่าในเว็บ โดยมากมักจะไม่ใช่คำด่าจริงๆที่คนพิมพ์กล้าพูดต่อหน้า

17. คนด่าบางทีก็ลืมไปว่าตัวเองเคยด่าเรื่องอะไรไว้

18. แต่คนถูกด่ามักจะไม่ลืม

19. คอมเมนต์มักถูกชี้นำด้วยความคิดเห็นแรกเสมอ

20. โดยเฉพาะเว็บเด็กX และพันติ๊ปเฉลิมX

21. เวลาไพรม์ไทม์ในการตั้งกระทู้ คือ 17.00-22.00

22. แต่เวลาอัพบล็อกจะเป็น 9.00-12.00 และ 19.00-23.00

23. อยากดราม่าให้เริ่มประเด็นต่อไปนี้ การเมือง สถาบันการศึกษา ภาษา ศาสนา ความเชื่อ และ XXX

24. แล้วอีกไม่นานคุณก็จะได้พาดหัวขึ้นดราม่าแอดดิคต์เอง

25. อีกวิธีคือไปหาเรื่องเมมเบอร์ดังๆ

26. เกือบทุกความคิดเห็นพร้อมจะเปลี่ยนข้างเมื่อกระแสเปลี่ยน

27. ทั้งที่ข้อเท็จจริงมันไม่เปลี่ยน

28. คนที่ไม่เปลี่ยนข้างมีสองกรณี คือเกรียน กับ มั่นใจ

29. ซึ่งทั้งสองประเภทแยกออกได้จากลักษณะการใช้คำ

30. คนตั้งกระทู้/เขียนบล็อกมีสามแบบ

31. หนึ่งคือเขียนแล้วทิ้ง กลับมาดูแต่ไม่ให้ความเห็นตอบ

32. สองคือตะบี้ตะบันขยันตอบมันทุกคอมเมนต์
ไม่ว่าจะเป็นคอมเมนต์หาเรื่องหรือคอมเมนต์ดีๆ

33. สามคือเลือกตอบเฉพาะคอมเมนต์ที่พอใจจะตอบหรือมีสาระพอจะตอบ

34. หลายคนอ่านแค่หัวเรื่องแล้วพิมพ์ตอบเลย

35. ซึ่งทำให้เกิดดราม่าหรือเรื่องฮา ขึ้นอยู่กับความซีเรียสของเนื้อหาและคำตอบ

36. แต่หลายคนอ่านจนครบแล้วก็ยังตอบไม่เข้าเรื่อง

37. เรียกว่าอ่านหนังสือไม่แตก เป็นปัญหาของระบบการศึกษาภาษาไทย

38. ทำให้เกิดดราม่ามากมาย หาได้ตามเว็บบอร์ดทั่วไป

39. การเถียงกันบนกระทู้สาธารณะ ไม่ร้ายเท่าการถูกส่งเมล์ด่า
เอ็มเอสเอ็นด่า หรือหนักสุดคือโทรตามด่า

40. กรณีดังกล่าวถือว่าเป็นโรคจิตคุกคาม คนที่เคยโดนควรแจ้งตำรวจลงบันทึกประจำวัน

41. อย่าปล่อยให้คนโรคจิตบนเน็ตลอยนวล

42. คนที่อ้างว่าเป็นกลาง ไม่เคยเป็นกลางจริงๆ

43. บางทีคนเลือกข้างยังเป็นกลางกว่า

44. อำนาจโฟโต้ช็อปเหนือทุกสิ่ง

45. แต่ที่เหนือกว่าคือ ICT

46. เพราะประเทศนี้มีระบบกรองข้อมูลจากต่างประเทศระดับสูงที่มีเพียงสามประเทศในโลก

47. ซึ่งอีกสองประเทศคือจีนแดง และเกาหลีเหนือ

48. อย่าซีเรียสกับเรื่องทุกเรื่องที่เกิดขึ้นบนสังคมอินเตอร์เน็ต

49. สุดท้ายแล้วเราก็ต้องทำงานหาเงินมาจ่ายค่าไฟ-ค่าเน็ตเองอยู่ดี ฮ่า

เก็บมาฝากจาก http://www.konmun.com/X-Files/49-id13939.aspx

ปล.เราชอบข้อ 3  7   44


378  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ประโยชน์ ของการแสดง มารยาท เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 10:14:28 pm
พระอาจารย์ ได้แสดงธรรม ทาง RDN อยู่ช่วงหนึ่ง ท่านได้พูดเล่าเรื่อง ลูกสาวท่าน ดังนี้

  สมัยที่อาตมา ยังไม่ได้บวชเป็นพระ ทุกวันจะต้องไปโยมแม่ ทุกครั้งก็จะพาลูกสาวไปบ้านด้วย

 ตอนนั้นลูกสาวอายุ 7 ขวบ ไปทุกครั้งลูกสาว ก็จะถามเมื่อ อาตมาบอกให้ หวัดดีย่า ว่า

   "คุณพ่อ ไหว้ย่า หรือยัง"

   อาตมาก็ตอบว่า "ไหว้แล้ว"

   "คุณพ่อ ไหว้ตอนไหนคะ"

   " พ่อ ไหว้แล้วในใจ "

   จนกระทั่ง วันหนึ่ง อาตมาก็กลับมาจากทำงาน

   ทุกครั้งลูกสาว จะวิ่งมา หวัดดี ไหว้สวย ทุกครั้ง  แต่วันนี้ลูกสาวกับไม่แสดงอาการ การไหว้แต่ใด

  ในใจตอนนั้นก็โมโห อาบน้ำไปก็โมโหไป กินข้าวก็โมโหไป ผ่านไป ทั้งหมด 3 วัน

    เย็นนั้น ก็เลยตวาด ว่า "หนู ทำไมไม่ หวัดดี พ่อก่อน"

    ตอนนั้นลูกสาวตอบมา "หนู ไหว้พ่อแล้วในใจ"

   เหมือนสายฟ้าฟาด รู้สึกทันทีว่าเป็นกรรมที่เราสร้างไว้เอง

  ตั้งแต่วันนั้น เป็นต้นมา อาตมาก็ไหว้พ่อแม่ ทุกครั้ง ทั้งต่อหน้า และ ลับหลัง


   นี่เป็นเรื่อง ที่พระอาจารย์ เทศนาในสถานี ที่ได้ฟัง


  ฟังแล้ว หมวยก็คิด ว่า

   คนที่คิดว่าตัวเองดี "เพราะคิดในใจว่าดี"

  แต่ไม่เคยแสดงออก ในทางที่ดี ก็ควรจะต้องหวนกลับมาคิด และทำตามความดีที่ตัวเองตั้งใจเสีย

  ประหนึ่งเหมือนบุคคล พูดว่า "พระไม่ได้อยู่ที่เครื่องแบบ ความเป็นพระอยู่ในใจ

                                 ครูไม่ได้อยู่ที่เครื่องแบบ ความเป็นครูอยู่ในใจ

                                 พรุ่งนี้ฉันจะทำบุญใส่บาตร แต่วันนี้พรุ่งนี้ฉันก็นอนตื่นสายเสีย"


   ดังนั้น เรื่องของใจ มองเห็นยาก ควรจะแสดงออกด้วย นะ คร้า .........

 :25: :25: :25: :25:


379  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / ขณะที่เราต้องการนอน แต่นอนไม่หลับ เมื่อ: ตุลาคม 10, 2010, 07:18:26 am
เพื่อน นศ.ด้วยกัน และเป็นเพื่อนทำงาน ได้เิดินเข้ามาถาม หมวยนีย์ ว่า

 เพื่อน "แก มีวิธีนอนหลับ ตอนที่นอนไม่หลับ ไหม ฉันข่มตานอนไม่หลับ มาหลายคืนแล้ว"

 หมวย "แล้วแก คิดเรื่องอะไรอยู่"

 เพื่อน "ก็คิดไปหลายเรื่อง ทั้งเรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องแฟน เรื่องพ่อแม่ พี่น้อง"

 หมวย "แกถึงได้นอนไม่หลับ"

 เพื่อน "แล้วทำยังไงดี"

 หมวย "ก็อย่าไปคิด สิ"

 เพื่อน "เออ ฉันละก็ไม่อยากคิดหรอก แต่ความคิด มันไม่หยุดสิ ทำยังไงดี"

 หมวยนีย์ นึกถึงพระอาจารย์ เคยสอนเพราะเคยมีประสพการณ์ ตรงนี้มาแล้ว

 หมวย "กรรมฐาน.... ไงละ"

 เดี๋ยวมาต่อ ภาค 2 คะ

 :25: :25:



 
380  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / สวดมนต์ ตอนเช้า ทำให้จิตใจผ่องใส เมื่อ: ตุลาคม 10, 2010, 07:02:05 am
พิจารณาธรรม ไปด้วย

พุทธะโคตะโม พุทโธ สุสุทโธ กรุณามะหัณณะโว ,
พระพุทธเจ้า พระพุทธะโคตะมะ ผู้บริสุทธิ์
มีพระกรุณาดุจห้วงมหรรณพ ,
โยจจันตะสุทธัพพะระญาณะโลจะโน ,
พระองค์ใดมีตา คือ ญาณอันประเสริฐหมดจดถึงที่สุด ,
โลกัสสะ ปาปูปะกิเลสะฆาตะโก ,
เป็นผู้ฆ่าเสียซึ่งบาป และอุปกิเลสของโลก ,
วันทามิ พุทธะโคตะมัง พุทธัง อะหะมาทะเรนะ ตัง ,
ขัาพเจ้าไหว้พระพุทธเจ้า พระพุทธะโคตะมะ พระองค์นั้น
โดยใจเคารพเอื้อเฟื้อ ,
ธัมโม ปะทีโป วิยะ ตัสสะ พุทธะโคตะมัสสะ สัตถุโน ,
พระธรรมของพระศาสดา พระพุทธะโคตะมะ พระองค์นั้น
สว่างรุ่งเรืองเปรียบดวงประทีป ,
โย มัคคะปากามะตะเภทะภินนะโก ,
จำแนกประเภท คือ มรรค ผล นิพพาน ส่วนใด ,
โลกุตตะโร โย จะ ตะทัตถะทีปะโน ,
ซึ่งเป็นตัวโลกุตตระ , และส่วนใดที่ชี้แนวแห่งโลกุตตระนั้น ,
วันทามิ ธัมมัง อะหะมาทะเรนะ ตัง ,
ข้าพเจ้าไหว้พระธรรมนั้น โดยใจเคารพเอื้อเฟื้อ ,
พุทธะโคตะมัสสะ สังโฆ สุเขตตาภ๎ยะติเขตตะสัญญิโต ,
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธะโคตะมะ ,
เป็นนาบุญอันยิ่งใหญ่ กว่านาบุญอันดีทั้งหลาย ,
โย ทิฏฐะสันโต สุคะตานุโพธะโก ,
เป็นผู้เห็นนิพพาน ตรัสรู้ตามพระสุคต , หมู่ใด ,
โลลัปปะหีโน อะริโย สุเมธะโส ,
เป็นผู้ละกิเลสเครื่องโลเล เป็นพระอริยเจ้า มีปัญญาดี ,
วันทามิ พุทธะโคตะมัสสะ สังฆัง อะหะมาทะเรนะ ตัง ,
ข้าพเจ้าไหว้พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระพุทธะโคตะมะ หมู่นั้น , โดยใจเคารพเอื้อเฟื้อ ,
อิจเจวะเมกันตะภิปูชะเนยยะกัง , วัตถุตตะยัง วันทะยะตาภิสังขะตัง, ปุญญัง มะยา ยัง มะมะ สัพพุปัททะวา ,
มา โหนตุ เว ตัสสะ ปะภาวะสิทธิยา .
บุญอันใด ที่ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่ซึ่งรัตนสาม คือ พระรัตนตรัย
อันควรบูชาอย่างยิ่งโดยส่วนเดียว ได้กระทำแล้วเป็นอย่างยิ่งเช่นนี้นี้ ขออุปัททวะ ( ความชั่ว ) ทั้งหลาย จงอย่ามีแก่ข้าพเจ้าเลย
ด้วยอำนาจความสำเร็จอันเกิดจากบุญนั้น .
อิธะ พุทธะโคตะโม ตะถาคะโต โลเก อุปปันโน ,
พระตถาคตเจ้า พระพุทธะโคตะมะ เกิดขึ้นแล้ว ในโลกนี้ ,
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ,
เป็นผู้ไกลจากกิเลส , ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ,
พุทธะโคตะเมนะ ธัมโม จะ เทสิโต นิยยานิโก ,
และพระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธะโคตะมะ
ทรงแสดง , เป็นธรรมเครื่องออกจากทุกข์ ,
อุปะสะมิโก ปะรินิพพานิโก ,
เป็นเครื่องสงบกิเลส เป็นไปเพื่อปรินิพพาน ,
สัมโพธะคามี สุคะตัปปะเวทิโต ,
เป็นไปเพื่อความรู้พร้อม เป็นธรรมที่พระสุคตประกาศ ,
มะยันตัง ธัมมัง สุต๎วา เอวัง ชะนามะ ,
พวกเราเมื่อได้ฟังธรรมนั้นแล้ว , จึงได้รู้อย่างนี้ว่า ,
ชาติปิ ทุกขา , แม้ความเกิดก็เป็นทุกข์ ,
ชะราปิ ทุกขา , แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์ ,
มะระณัมปิ ทุกขัง , แม้ความตายก็เป็นทุกข์ ,
โสกะปริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา ,
แม้ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย
ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ก็เป็นทุกข์ ,
อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ,
ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจ ก็เป็นทุกข์ ,
ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ,
ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักที่พอใจ ก็เป็นทุกข์ ,
ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง ,
มีความปราถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้นนั่นก็เป็นทุกข์ ,
สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา ,
ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นตัวทุกข์ ,
เสยยะถีทัง , ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ
รูปูปาทานักขันโธ , ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือ รูป ,
เวทะนูปาทานักขันโธ ,
ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือ เวทนา ,
สัญญูปาทานักขันโธ ,
ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือ สัญญา ,
สังขารูปาทานักขันโธ ,
ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือ สังขาร ,
วิญญาณูปาทานักขันโธ ,
ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือ วิญญาณ ,
เยสัง ปะริญญายะ ,
เพื่อให้สาวกกำหนดรอบรู้อุปาทานขันธ์เหล่านี้เอง ,
ธะระมาโน โส พุทธะโคตะโม ภะคะวา ,
พระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธะโคตะมะ นั้น
เมื่อยังทรงพระชนม์อยู่ ,
เอวัง พะหุลัง สาวะเก วิเนติ ,
ย่อมทรงแนะนำสาวกทั้งหลาย เช่นนี้เป็นส่วนมาก ,
เอวัง ภาคา จะ ปะนัสสะ พุทธะโคตะมัสสะ ภะคะวะโต
สาวะเกสุ อะนุสาสะนี พะหุลา ปะวัตตะติ ,
อนึ่ง คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธะโคตะมะ นั้น , ย่อมเป็นไปในสาวกทั้งหลาย , ส่วนมาก , มีส่วนคือ การจำแนก อย่างนี้ว่า ,
รูปัง อนิจจัง , รูปไม่เที่ยง ,
เวทะนา อนิจจา , เวทนาไม่เที่ยง ,
สัญญา อนิจจา , สัญญาไม่เที่ยง ,
สังขารา อนิจจา , สังขารไม่เที่ยง ,
วิญญาณัง อนิจจัง , วิญญาณไม่เที่ยง ,
รูปัง อนัตตา , รูปไม่ใช่ตัวตน ,
เวทะนา อนัตตา , เวทนาไม่ใช่ตัวตน ,
สัญญา อนัตตา , สัญญาไม่ใช่ตัวตน ,
สังขารา อนัตตา , สังขารไม่ใช่ตัวตน ,
วิญญาณัง อนัตตา , วิญญาณไม่ใช่ตัวตน ,
สัพเพ สังขารา อนิจจา , สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง ,
สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ,
ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่ใช่ตัวตน ดังนี้ ,
เต (ตา *) มะยัง โอติณณามะหะ ,
เราทั้งหลาย เป็นผู้ถูกครอบงำแล้ว ,
ชาติยา , โดยความเกิด ,
ชะรามะระเณนะ , โดยความแก่ , และความตาย
โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ ,
โดยความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย
ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ ทั้งหลาย ,
ทุกโขติณณา , เป็นผู้ถูกความทุกข์ หยั่งเอาแล้ว ,
ทุกขะปะเรตา , เป็นผู้มีความทุกข์ เบื้องหน้าแล้ว ,
อัปเปวะนามิมัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ อันตะกิริยา
ปัญญา เยถาติ ,
ทำไฉน การทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ จะพึงปรากฏชัดแก่เราได้ ,

สำหรับภิกษุ สามเณร

จิระปะรินิพพุตัมปิ ตัง พุทธะโคตะมัง ภะคะวันตัง อุททิสสะ
อะระหันตัง สัมมาสัมพุทธัง ,
เราทั้งหลายอุทิศเฉพาะพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธะโคตะมะ พระองค์นั้น , ผู้ไกลจากกิเลส , ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
แม้ปรินิพพานนานแล้ว ,
สัทธา อะคารัส๎มา อะนะคาริยัง ปัพพะชิตา ,
เป็นผู้มีศรัทธาออกบวชจากเรือน ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนแล้ว ,
ตัส๎มิง พุทธะโคตะเม ภะคะวะติ พ๎รัห๎มะจะริยัง จะรามะ ,
ประพฤติอยู่ซึ่งพรหมจรรย์ ในพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระพุทธะโคตะมะ พระองค์นั้น ,
ภิกขูนัง สิกขาสาชีวะสะมาปันนา ,
ถึงพร้อมด้วยสิกขาและธรรมเป็นเครื่องเลี้ยงชีวิตของภิกษุทั้งหลาย ,
( สามเณรพึงเว้นประโยคนี้ หรือเปลี่ยนสวดว่าดังนี้ สามเณรานัง
สิกขาสาชีวะสะมาปันนา , ถึงพร้อมด้วยสิกขาและธรรม
เป็นเครื่องเลี้ยงชีวิตของสามเณรทั้งหลาย )
ตัง โน พ๎รัห๎มะจะริยัง อิมัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ
อันตะกิริยายะ สังวัตตะตุ ๑ .
ขอให้พรหมจรรย์ของเราทั้งหลายนั้น , จงเป็นไปเพื่อการทำที่สุด ,
แห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ เทอญ .
หมายเหตุ: ๑ เมื่อสวดมนต์แปลให้สวดว่า สังวัตตะตุ ถ้าไม่สวดแปลให้สวดว่า สังวัตตะตูติ
* สำหรับสตรีสวด
สำหรับอุบาสกอุบาสิกาสวด

จิระปะรินิพพุตัมปิ ตัง พุทธะโคตะมัง ภะคะวันตัง สะระณัง คะตา
เราทั้งหลาย ผู้ถึงแล้วซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธะโคตะมะ
แม้ปริพพานนานแล้ว พระองค์นั้น เป็นสรณะ ,
ธัมมัญจะ สังฆัญจะ ,
ถึงพระธรรมด้วย ถึงพระสงฆ์ด้วย ,
ตัสสะ พุทธะโคตะมัสสะ ภะคะวะโต สาสะนัง , ยะถาสะติ ,
ยะถาพะลัง , มะนะสิกะโรมะ อะนุปะฏิปัชชามะ ,
จักทำในใจอยู่ ปฏิบัติตามอยู่ ซึ่งคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระพุทธะโคตะมะ พระองค์นั้น , ตามสติกำลัง ,
สา สา โน ปะฏิปัตติ ,
ขอให้ความปฏิบัตินั้น ๆ ของเราทั้งหลาย ,
อิมัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ อันตะกิริยายะ สังวัตตะตุ .
จงเป็นไปเพื่อการทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ เทอญ .
381  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 32 คำให้กำลังใจ เมื่อใจฟ่อบแฟ่บ เมื่อ: ตุลาคม 08, 2010, 02:51:46 am
  32 กำลังใจ.....และน่าคิดนะ

 

1.ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยไม่ใช่ความล้มเหลว ความล้มเหลวคือความคิดที่ว่าตนเองไม่สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตหากไม่ได้ เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย

2.โลกนี้ไม่มีงานสกปรกคืองานของคนใจสกปรกเท่านั้น โลกนี้ไม่มีงานต่ำต้อย งานต่ำต้อยคืองานของคนที่คิดว่าตนเองไม่มีค่าเท่านั้น

3.การศึกษาไม่ใช่โรงเรียน ไม่ใช่ตำรา ไม่ใช่มหาวิทยาลัย ไม่ใช่ประกาศนียบัตร ไม่ใช่ปริญญาบัตร หากคือความสามารถที่ยกระดับของปัญญา และปัญญานั้นไม่ใช่เป็นเพียงความคิดเท่านั้น หากคือความเมตตาด้วย ดังนั้นการศึกษาจึงไม่ใช่การพัฒนาสมองส่วนเดียว หากเป็นการยกระดับจิตใจและวิถีชีวิตด้วย

4.การใช้ชีวิตก็เหมือนการชักว่าวกลางสายลมแรง คุณไม่มีเวลามาเปิดตำราว่าต้องทำอย่างไร

5.หากมีคนเคยพิชิตยอดเขาสูงมาแล้วสักครั้งหนึ่ง หากมีคนเคยร่ำรวยมาแล้วสักครั้งหนึ่ง หากมีคนเคยสร้างสรรค์งานชั้นเยี่ยมมาแล้วสักครั้งหนึ่ง หากมีคนเคยใช้กำลังใจฝ่าอุปสรรคใหญ่หลวงมาแล้วสักครั้งหนึ่ง หากมีคนเคยทำสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้มาแล้วสักครั้งหนึ่ง ย่อมพิสูจน์ว่าเราก็ทำได้เช่นกัน

6.ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่จากโชคไม่น่าภูมิใจเท่าความสำเร็จเล็กน้อยด้วยมือของเราเอง

7.สรรพชีวิตล้วนมีหน้าที่ของมัน เมฆให้ฝน ต้นไม้ให้อากาศเราหายใจ แมลงผสมเกสร ฯลฯ ทำงานของท่านให้ดีที่สุด ฟันเฟืองตัวเล็กที่สุดก็มีส่วนในการขับเคลื่อนโลก

8.มดหนึ่งตัวขนของที่หนักกว่ามันหลายสิบ เท่า น่าขันที่เราซึ่งอวดตัวว่าฉลาดกว่ามันกลับทำงานได้น้อยกว่ามัน

9.อย่าอ้างว่าเวลาน้อยทำงานอะไรไม่ได้ เวลาหนึ่งนาทีของผึ้งสามารถดูดน้ำหวานจากดอกไม้กลับบ้าน หนึ่งนาทีของมดสามารถขนเมล็ดข้าวที่หนักกว่าตัวมันไปไกลโข หนึ่งนาทีของปลวกสามารถสร้างรังของมันให้สูงขึ้น

10.ใบไม้เก่าร่วงหล่นจากต้นลงสู่โคนเพื่อเป็นปุ๋ยให้ตัวมันเอง ประสบการณ์ที่เลวร้ายในชีวิตเป็นอาหารวิเศษให้เราเจริญเติบโตขึ้น

11.เคยเห็นผึ้ง ฆ่าตัวตายไหม

12.เคยได้ยินมด บ่นไหม

13.เคยได้ยิน แมงมุมนินทาชาวบ้านไหม

14.หรือว่าพวกมันรู้ ว่ามีเวลาเหลือบนโลกนี้เพียงเล็กน้อย จึงไม่ยอมเสียเวลาทำเรื่องที่ไร้ความหมาย

15.บางครั้งเราต้องกล้าเผชิญชีวิตในโลกอย่างหนอนที่ไชผลแอ๊ปเปิ้ลจากจุด หนึ่ง โดยไม่รู้ว่าจะไปโผล่ที่ตรงไหน นั่นทำให้การเดินทางนั้นพิเศษ

16.คลื่นลูกใหม่ทุกลูกล้วนต่อยอดมาจากซากของคลื่นลูกเก่า ประวัติศาสตร์มีไว้ศึกษาประสบการณ์ของคนอื่น จงเรียนรู้จากบทเรียนชีวิตของคนอื่น ใช้ประโยชน์จากมันเฉกเช่นว่ามันเป็นของเรา

17. ความรักธรรมชาติมิได้หมายถึงการเดินทางไกลไปชมสวนใหญ่โต มิใช่การเกลือกกลิ้งบนผืนทรายขาวริมทะเล หรือการเดินทางขึ้นยอดภูเพื่อชมโลก ความรักธรรมชาติอาจเป็นเพียงการดูเศษใบไม้ที่ร่วงหล่นตามทาง การดูซากร่วงโรยของสรรพสิ่ง และสามารถพิศวงถึงความงามของความจริง

18. ผ่านสี่ห้าปีในมหาวิทยาลัยโดยไม่ทำกิจกรรมเพื่อสังคม ก็เหมือนการเรียนทฤษฎีที่ไม่เคยมีภาคปฏิบัติ

19. สังคมของเราตอนนี้เต็มไปด้วยคนที่เป็นทุกข์ สังเกตจากคนที่ต้องพูดโทรศัพท์ในโรงหนังโดยไม่สามารถมีความสุขง่าย ๆ สักชั่วยามเดียว

20. หากไม่มี กลางคืน หิ่งห้อยคงไม่สามารถเปล่งแสงแสนสวยออกมาให้เราชม หากไม่มีอุปสรรค เราก็คงไม่มีวันใช้ขีดความสามารถของเราถึงที่สุด

21. ทุก ๆ นาทีมีตัวตนของมันเพียงแวบเดียวและไม่หวนกลับมาอีก น่าเสียดายหากต้องเสียมันไปกับการบ่น การก่นด่าโชคชะตา การคร่ำครวญ การนินทา

22. อกหักก็เหมือนเป็นหวัด ติดง่ายหายง่าย ยังไม่เห็นมีใครตายเพราะโรคนี้สักคน

 23. ภาพถ่ายที่รีบร้อนล้างมักมืดไป ข้าวที่รีบร้อนหุงมักสุกไม่ทั่ว อาหารที่รีบร้อนปรุงมักไม่อร่อย ทำไมต้องรีบร้อนหาแฟน?

 24. การรีบร้อนหาแฟนก็เหมือนการเดินทางไกลโดยไม่ตรวจสภาพรถก่อน

25. หนังสือก็เหมือนวิตามิน กินชนิดเดียวตลอดเวลาไม่ได้ช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น

26.คบเพื่อนไม่ดีก็เหมือนพบหนังสือที่ทุกหน้าว่างเปล่า และยังอ่านต่อไป

27. น่าตลกไหมที่ บางคนมือหนึ่งถือปริญญาบัตรแนบแน่น อีกมือหนึ่งทิ้งขยะตามที่สาธารณะ ‘ ปริญญาบัตรไม่มีความหมายอะไรเลย หากเรายังไม่สามารถปลดปล่อยตนเองจากความคิดที่ว่าปริญญาบัตรยังคือทุกสิ่ง ‘ จงใช้เพื่อนเป็นที่ปรึกษา ไม่ใช่ให้นำทาง ‘ ความสนุกของการเรียนรู้คือการลุ้นค้นพบความรู้ใหม่ ๆ ที่เรายังไม่ได้เรียนรู้

28. ระบบที่เลิกยากที่สุดในสังคมคือระบบทาส ไม่ว่ามองไปในทิศทางไหน ก็เห็นแต่ทาสวัตถุ ทาสเงินตรา ทาสมือถือ ทาสรถยนต์ ทาสยี่ห้อสินค้า ทาสชื่อเสียง น่าขันที่บางคนเห็นโซ่ตรวนเป็นเครื่องประดับ

 29. โลกคือแม่ของเรา แม่ผู้เจ็บปวดทุกครั้งที่เราตอบแทนแม่ด้วยการทิ้งขยะ รมแม่ด้วยควันบุหรี่และควันพิษ สาดกายแม่ด้วยสารเคมี ทำลายปอดของแม่ด้วยการลิดรอนต้นไม้ ........... แม่ร้องไห้ด้วยน้ำท่วม หยาดน้ำตาคือฝนที่ตกลงมาผิดเวลา สะอื้นแรงจนแผ่นดินแตกระแหง ........... แต่เพราะแม่ให้อภัยเราเสมอ อาจยังไม่สายเกินไปที่จะทดแทนคุณแม่อีกครั้ง

30. จงผัดวันประกันพรุ่งต่ออบายมุขทุกชนิด

31. คำว่าแม่ ในความรู้สึกของผมเป็นมากกว่าความรัก เป็นการเรียนรู้ชีวิตอย่างหนึ่ง บางสิ่งฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกผมมาตลอด บางสิ่งที่ขาดหายไป นั่นคือผมไม่เคยบอกว่ารักแม่เลยในชีวิต ไม่เคยกอดแม่ เมื่อแม่จากไปอย่างถาวร ผมเกิดความรู้สึกว่าได้สูญเสียโอกาสที่งดงามที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตไปตลอด กาล
ผมไม่ใช่คน เดียวที่ประสพกับธรรมเนียมของครอบครัวจีนแบบเก่าที่เห็นว่า การบอกรักคนที่เรารักเป็นเรื่องแปลก เพื่อนชาวไต้หวันคนหนึ่งเคยเล่าว่า เมื่อเธอกลับจากการเรียนต่อที่อเมริกากลับบ้าน แม่ไปรับที่สนามบิน เธอโผเข้ากอดแม่ทั้งที่ตลอดชีวิตไม่เคยทำอย่างนั้น แม่ของเธอมีสีหน้าตกใจอย่างใหญ่หลวง! ผมเรียนรู้ออกจะช้าไปหน่อยว่า เมื่อรักใครก็ควรแสดงออกมาให้เขารู้ แต่ไม่ช้าเกินไปที่จะบอกคนอื่น ๆ ว่า ไปเยี่ยมแม่ของคุณวันนี้ บอกรักแม่ของคุณเสียก่อนที่แม่ของคุณจะไม่ได้ยินคำบอกรักนั้น หากเป็นเช่นนั้นคงน่าเสียดายมากไม่ใช่หรือ

32. ไม่จำเป็นต้องเป็นไก่เท่านั้นถึงจะมีอารมณ์ขัน
382  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระดูแลแม่ที่เป็นอัมพาต เมื่อ: ตุลาคม 08, 2010, 02:50:09 am
  พระดูแลแม่อัมพาต

 

กับน้องชายพิการ ญาติโยมแห่ช่วย


กตัญญู - พระศิริ รัตนชัย อายุ 56 ปี ต้องนำแม่ที่ป่วยอัมพาตและน้องชายสติไม่สมประกอบ มาดูแลในสำนักสงฆ์ที่ อ.สะเดา จ.สงขลา ญาติโยมเห็นแล้วต่างชื่นชมในความกตัญญูต่อบุพการี เมื่อวันที่ 6 ต.ค.



ชาวปาดังเบซาร์ซาบซึ้ง พบพระสงฆ์ยอดกตัญญูนำมารดา วัย 77 ปี ป่วยเป็นอัมพาต กับน้องชายสติไม่สมประกอบ มาเลี้ยงดูที่กุฏิ คอยป้อนข้าวป้อนน้ำ หุงหาอาหาร อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า พาไปถ่ายหนักถ่ายเบา เผยก่อนหน้านี้แม่และน้องอยู่กับญาติที่พัทลุง แต่ญาติภาระมาก ไม่มีเวลาดูแล จึงตัดสินใจพามาดูแลเองที่วัด ญาติโยมเห็นใจไม่มีเวลาออกบิณฑบาต นำอาหารมาถวายช่วยเหลือ พระผู้ใหญ่ชี้ทำได้ ไม่ผิดวินัยสงฆ์ เพราะเป็นหน้าที่ลูกต้องเลี้ยงดูบุพการี ไม่ว่าอยู่ในสถานะอะไร เตรียมลงไปเยี่ยมหาทางช่วยเหลืออีกแรง

เรื่องราวของพระยอดกตัญญู เลี้ยงดูมารดาอัมพาตครั้งนี้ เมื่อวันที่ 6 ต.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากประชาชน ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา ว่า ที่สำนักสงฆ์ถ้ำนางพญาเลือดขาวโมกขธรรม ตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ 11 บ้านเขารูปช้าง ต.ปาดังเบซาร์ มีพระสงฆ์รูปหนึ่งมีความกตัญญูต่อบุพการี นำมารดาที่ชราและป่วยเป็นอัมพาต กับน้องชายที่สติไม่สมประกอบ มาเลี้ยงดูแลอย่างดีภายในกุฏิ เป็นที่ซาบซึ้งแก่ญาติโยมที่มาทำบุญภายในสำนักสงฆ์และพบเห็นอย่างมาก

ผู้ สื่อข่าวจึงเดินทางไปตรวจสอบพบพระศิริ รัตนชัย อายุ 56 ปี บวชมาแล้ว 24 พรรษา จำพรรษาอยู่ในสำนักสงฆ์ดังกล่าว นอกจากปฏิบัติกิจของสงฆ์แล้ว ยังต้องดูแล นางคล่อง รัตนชัย อายุ 77 ปี มารดาป่วยเป็นอัมพาตเดินไม่ได้ และนายสมเกียรติ รัตนชัย อายุ 51 ปี น้องชาย มีสติไม่สมประกอบ พูดและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

พระศิริกล่าวว่า เมื่อวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา ก่อนเข้าพรรษา 1 วัน ตัดสินใจพาแม่และน้องชายมาอยู่ด้วยที่สำนักสงฆ์ จากปกติที่ก่อนหน้านี้ทั้งสองพักอยู่กับญาติพี่น้องที่บ้านเกิด อ.บาง แก้ว จ.พัทลุง แต่เนื่องจากญาติพี่น้องคนอื่นๆ ที่มีอยู่ด้วยกัน 5 คน มีภาระและไม่สามารถดูแลแม่และน้องชายได้อย่างเต็มที่ จึงตัดสินใจนำแม่และน้องชาย มาเลี้ยงดูที่สำนักสงฆ์ ที่มีเพียงพระอีกรูปจำพรรษาอยู่

"ทุกวันต้องซักผ้าของแม่และน้องชาย หุงข้าว ทำกับข้าว ล้างถ้วยล้างชาม แปรงฟันล้างหน้าให้แม่ ป้อนข้าว เช็ดตัว ทำแผล และแผลกดทับทั้งเช้าและเย็น เช่นเดียวกับน้องชาย ที่อาตมาต้องช่วยเปลี่ยนกางเกง แปรงฟัน พาไปถ่ายหนัก ถ่ายเบา อาบน้ำ หาข้าวให้กิน ทำให้ไม่ค่อยได้ออกไปบิณฑบาตเนื่องจากมีภาระต้องดูแลแม่และน้องชาย แต่ก็มีญาติโยมใจบุญที่มีความเมตตา นำข้าวสารอาหารแห้ง หรืออาหารสดมาใส่ตู้เย็นไว้ให้" พระศิริ กล่าว

พระศิริ กล่าวต่อว่า ได้ยึดคำสอนของพระ พุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลเคยมีพระภิกษุรูปหนึ่งจะสึกออกมาเพื่อดูแลแม่ที่ป่วยหนัก แต่พระ พุทธเจ้าตรัสว่าเป็นพระก็ดูแลได้ ไม่ผิดหลักธรรม โดยเฉพาะข้าวที่บิณฑบาตมาได้นั้น ให้แม่กินก่อนได้ และจะดีเสียกว่าที่ลูกจะได้กินเศษข้าวจากแม่ หากเราสามารถดูแลแม่ในขณะยังครองผ้าเหลืองอยู่ได้ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดแล้ว

ด้านพระศรีรัตนวิมล รองเจ้าคณะจังหวัดสงขลา กล่าวถึงกรณีพระศิริ นำแม่และน้องชายมาเลี้ยงดูในกุฏิ ว่า สามารถทำได้ พ่อแม่ถือเป็นบุคคลยกเว้น หากพระสงฆ์รูปนั้นตักข้าวที่ได้จากการบิณฑบาตให้พ่อแม่กินก่อนได้ ถือว่าเป็นข้อยกเว้นที่ทางพระพุทธองค์บัญญัติไว้ หรือกรณีพ่อแม่ป่วย พระก็สามารถดูแลได้ ถือว่าเป็นสิ่งดีที่ลูกสมควรปฏิบัติและดูแล ไม่ว่าอยู่ในสถานะใด ก็สามารถดูแลได้ พระพุทธเจ้าถือว่าพ่อแม่เป็นบุคคลที่มีพระคุณกับทุกคน และสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องปฏิบัติดูแลพ่อแม่ในยามที่ท่านป่วย

"กรณีนี้ไม่ใช่กรณีแรกที่มีพระสงฆ์นำพ่อแม่ที่ป่วยไข้มาเลี้ยงดู เคยเกิดขึ้นมาแล้ว หากจำไม่ผิดยังมีที่วัดทางภาคอีสาน ที่พระสงฆ์นำพ่อที่ป่วยมาดูแลปฏิบัติ ในเรื่องนี้อาตมาจะเดินทางลงไปดูอีกครั้งหนึ่งเพื่อหาทางช่วยเหลืออีกทาง หนึ่ง" รองเจ้าคณะจังหวัดสงขลา กล่าว

 

ที่มา ข่าวสด
383  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 10 สัญญาณที่บอกว่าคุณกินอาหารไม่เหมาะสม เมื่อ: ตุลาคม 08, 2010, 02:43:54 am
10 สัญญาณที่บอกว่าคุณกินอาหารไม่เหมาะสม


          1.ผมไม่เงางาม  ถ้าถึงขนาดที่คุณจัดทรงไม่ได้เลยต้องถือว่า รุนแรงแล้วค่ะ ทั้งนี้เป็นผลจากการขาดโปรตีนและธาตุเหล็ก จะเห็นชัดเจนในกลุ่มคนที่เป็นมังสวิรัติหรือคนที่จำกัดอาหารอย่างมาก ลองกินอาหารให้มีส่วนผสมของธาตุอาหารอย่างเหมาะสม เน้นอาหารที่มีกากใย พร้อมไปกับการออกกำลังกาย สำหรับคนที่เป็นมังสวิรัติต้องได้สารอาหารจากพืชผัก ข้าวและถั่ว ในอัตราส่วนที่เหมาะสม เพื่อที่จะได้โปรตีนทดแทนจากโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่ขาดไปและเพิ่มเติมด้วย กะหล่ำดอกและผลไม้เปลือกแข็ง เช่น เกาลัด ถั่วแขกและถั่วเหลือง ซึ่งดุดมไปด้วยไบโอติน สำหรับคนที่จำกัดอาหาร แม้ว่าจะอยากผอมแค่ไหนก็ไม่ควรอดอาหารจนเกินไปค่ะ ลองใช้วิธีฉลาดๆจำกัดอาหารแต่พอเพียง เพิ่มการออกกำลังกายอีกหน่อย

          2.ผิวหนังส่ออาการคุณเริ่มมีอาการคันที่ผิวหนัง หรือลอกเป็นขุย แม้จะไม่ใช่ช่วงหน้าหนาวบ้างไหมคะ อาการอย่างนี้อาจเป็นลักษณะของการขาดวิตามิน A ซึ่งผักและผลไม้ที่มีสีเหลือง สีส้มหรือสีเขียวเข้ม ล้วนแต่อุดมไปด้วยวิตามิน A เพียงพอที่จะทำให้ผิวคุณเป็นปกติ แต่ไม่แนะนำให้กินวิตามิน A เสริมที่อยู่ในรูปแบบเม็ด เพราะการได้รับวิตามิน A โดยตรงมากเกินไปจะเป็นอันตรายได้ค่ะ

          3.ข้อต่อมีเสียงดังหรือปวดบริเวณข้อต่อ  อาการอย่างนี้อย่าเพิ่ง ไปโทษโรงข้ออักเสบ เพราะอาจเป็นไปได้ว่าคุณกินปลาน้อยเกินไป กระไขมันประเภทโอเมก้า-3 ที่พบมากในปลา อย่างปลาแซลมอน ปลาทูน่า จะทำให้ข้อต่อของคุณเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น ซึ่งจะช่วยให้กระแสโลหิตไหวเลียนดีขึ้น ลดอาการบวมและปวดบริเวณข้อต่อ

          4.ผายลมบ่อย  เป็นเรื่องจริงที่ไฟเบอร์มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ถ้ากินมากเกินไปหรือได้รับสารอาหารประเภทนี้เร็วเกินไป เช่น กินถั่วหรือไม้จำพวกที่มีฝัก เช่น กระถิน ทองหลาง ร่างกายของคุณก็จะผลิตแก๊สตามออกมามากกว่าอาหารที่ย่อยง่ายตามปกติ

          5.ท้องผูก  เป็นอีกอาการหนึ่งที่บอกถึงการรับประมาณอาหารอย่างไม่ เหมาะสม คุณต้องได้สารอาหารพวกไฟเบอร์หรือกาหารที่มีกากใย เช่น ผักผลไม้ต่างๆ อย่างน้อยวันละ 25 กรัม และดื่มน้ำให้มากขึ้นด้วยวิธีแก้ปัญหานี้ง่ายๆ คือ ค่อยๆเพิ่มสารอาหารพวกไฟเบอร์อย่างช้าๆ ถ้าคุณเคยกินแค่เพียงวันละ 10 กรัม อย่าเพิ่มเป็น 25 กรัมในวันรุ่งขึ้น ในสัปดาห์แรกเพิ่มแค่เพียง 5 กรัม แล้วสัปดาห์ต่อมาค่อยเพิ่มอีก 5 กรัม

          6.หัวใจเต้นผิดปกติ  หัวใจของคนเราเป็นกล้ามเนื้อที่มีการบีบตัว มากกว่า 100,000 ครั้งต่อวัน แต่คงไม่สามารถทำงานอย่างสมบูรณ์แบบได้ตลอดเวลา ซึ่งถ้าอยู่ๆคุณรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติหรือเต้นๆหยุดๆโดนไม่มี เหตุผล ถ้ามีอาการเจ็บปวดหรือหน้ามืด เวียนศีรษะด้วย ให้รีบไปพบแพทย์ทันที แต่ถ้าแพทย์พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แต่คุณก็ยังรู้สึกว่ามีอาการหัวใจเต้นผิดปกติในบางครั้ง คุณอาจจะขาดสารอาหารพวกแมกนีเซียม หรือ โปแตสเซียมสำหรับโปแตสเซียม ให้ดื่มน้ำส้มวันละ 2-3 แก้ว ช่วงอาหารเช้าให้เพิ่มกล้วยเข้าไปในส่วนหนึ่งของเมนู สำหรับแมกนีเซียมให้ทานอาหารว่างที่เป็นพวกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดทานตะวัน หรือเมล็ดฟักทองและผักโขม เป็นอีกตัวหนึ่งที่มีแร่ธาตุช่วยในการทำงานของหัวใจ

          7.ขี้ลืม  อาจเป็นได้ว่าคุณขาดวิตามิน B ในการศึกษาที่ USDA Human Nutrition Research Center in Boston นักวิจัยพบว่าผู้ชายที่มีระดับของวิตามิน B6 B12 และ B9(โฟเลต)สูงในเลือด จะมีความทรงจำที่ดีกว่า จากการทดสอบพบว่าสารอาหารพวกนี้ช่วยให้สมองทำงานได้เต็มที่ และยังช่วยควบคุม homocysteine ซึ่งเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่อยู่ในร่างกาย ซึ่งเป็นตัวขัดขวางการที่เลือดจะไปหล่อเลี้ยงสมองถั่วเป็นอาหารที่อุดมไป ด้วยวิตามิน B6 และโฟเลตมากที่สุด และไม่ต้องกังวลกับการขาดวิตามิน B12 เพราะมีมากในเนื้อสัตว์และอาหารทะเล

          8.Sperm น้อยลงไปมาก  ถ้าคุณกำลังพยายามที่จะมีลูก และมีปัญหาเรื่องระดับของสเปิร์มต่ำกว่าปกติ อาจเป็นไปได้ว่าคุณขาดวิตามิน C ซึ่งเป็นตัวสำคัญในการกระตุ้มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย จากการศึกษาพบว่าวิตามิน C ยังช่วยในการรักษาปริมาณและความสมบูรณ์ของตัวสเปิร์มด้วย Earl Dawson, Ph.D., ที่ University of Texas Medical Branch ที่ Galveston แนะนำว่าให้ผู้ชายดื่มน้ำส้มอย่างน้อยวันละประมาณ 1 ลิตรทุกวัน โดยบอกว่าวิตามิน C มีส่วนช่วยป้องกันสเปิร์มจากอันตรายและความเสียหายในทุกๆด้าน

          9.ปวดเหงือก  ถ้าการเจ็บปวดเกิดจากการอักเสบ ก่อให้เกิดความเจ็บปวดและปัญหาของเหงือก แสดงว่าปากของคุณกำลังต้องการแบคทีเรียที่มีประโยชน์ ให้มาช่วยจัดการกับแบคทีเรียในปากที่มีอันตราย ให้กินโยเกิร์ตที่มีแบคทีเรียที่เราต้องการเป็นอาหารว่างในช่วงเช้าของทุก วัน

          10.กระดูกแตก  ถ้าคุณกระดูกแตกมากกว่า 2-3 ครั้งตั้งแต่โตเป็นผู้ใหญ่ อาจเป็นไปได้ว่ากระดูกของคุณอยู่ในภาวะอ่อนแอ อาจมีสาเหตุมากจากการขาดวิตามิน D และแคลเซียม ซึ่งเป็นตัวประกอบที่สำคัญในการสร้างกระดูก ผู้ชายก็ต้องการแคลเซียมมากเหมือนๆผู้หญิง เพราะผู้ชายมักจะกินเนื้อมากกว่า ซึ่งอุดมไปด้วยฟอสฟอรัส ยิ่งร่างกายได้รับฟอสฟอรัสมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องการแคลเซียมมากขึ้นเท่านั้น อาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม ได้แก่ ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง โยเกิร์ต นมและเนยแข็ง ( ไขมันต่ำได้ก็ดี )ลองสังเกตร่างกายตัวเองบ่อยๆนะคะ เพราะอย่างไรเสีย หากเราดูแลตัวเองได้ดีก็ไม่ต้องถึงมือคุณหมอให้ยุ่งยากเปล่าๆ ไหนจะเสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลาด้วย ไม่คุ้มกันแน่ๆ

 

ที่มา สภากาชาดไทย
384  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / สัมมัปธาน 4 ความเพียรที่พระอาจารย์แนะนำ เมื่อ: ตุลาคม 08, 2010, 02:40:29 am
สัมมัปปธาน หรือ สัมมัปปธาน 4 คือ การมุ่งมั่นทำความชอ
385  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ประโยชน์ของการทานเจ เมื่อ: ตุลาคม 08, 2010, 02:36:53 am
ประโยชน์ของการทานเจ


พืชผักผลไม้ถือว่าเป็นยาดี ๆ นี่เอง

การกินอาหารเจ นอกจากจะเป็นการถือศีลและรักษาประเพณีแล้ว ยังให้ประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้

1.ร่าง กายสามารถขับถ่ายของเสียออกได้หมดทำให้ไม่มีสารพิษตกค้างอยู่ภายใน สารอาหารที่มีคุณค่าในพืชผักและผลไม้จะช่วยให้ระบบขับถ่ายและการย่อยเป็น ปกติ
2. เมื่อรับประทานเป็นประจำโลหิตจะถูกฟอกให้สะอาดขึ้นเรื่อยๆ เซลล์ต่างๆ ของร่างกายเสื่อมสลายช้าลงทำให้อายุยืนยาวมีผิวพรรณสดชื่นผ่องใส นัยน์ตาแจ่มใสไม่พร่ามัวร่างกายแข็งแรงรู้สึกเบาสบายไม่อึดอัด มีสุขภาพพลานามัยดี
3. อวัยวะหลักสำคัญภายใน ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด และอวัยวะประกอบคือ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ กระเพาอาหาร ถุงน้ำดี แข็งแรงทำงานได้เป็นปกติสมบูรณ์
4. ร่างกายสามารถต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้แก่
       1. สารเคมี ยากำจัดศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง สารดีดีที
       2. มลภาวะและก๊าซพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ในอุตสาหกรรม ไอเสียจากเครื่องจักร เครื่องยนต์ซึ่งแพร่กระจายปะปนไปในอากาศที่เราหายใจอยู่เป็นประจำและยังพบ ว่ามีปะปนอยู่ในแหล่งน้ำดื่มด้วย
       3. กัมมันตภาพรังสีที่เกิดจากการทดลองระเบิดนิวเคลียร์และในการทำสงคราม สารอาหารในพืชผักช่วยให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายสามารถทนต่อการทำลายจากรังสีต่างๆ

5. ร่างกายสามารถต้านทานต่อสารพิษต่างๆ ได้สูงกว่าคนปกติธรรมดาสารพิษที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ในบรรดาผู้ที่กินอาหารเจ อาหารพืชผักและผลไม้เป็นประจำความเจ็บไข้ได้ป่วยมักไม่มีปรากฏโดยเฉพาะโรค ที่รุนแรงหรือเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดตีบ ไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคไต ไขข้ออักเสบ โรคเก๊าส์ โรคเบาหวานฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่เกี่ยวกับระบบขับถ่าย ย่อยอาหารและทางเดินอาหาร เช่น โรคริดสีดวงทวาร มะเร็งในกระเพาะและลำไส้ โรคกระเพาะ อาหารไม่ย่อย โรคเหล่านี้จะไม่พบเลยในกลุ่มคนผู้ที่รับประทานอาหารเจ อาหารพืชผักและผลไม้เป็นประจำ

แหล่งที่มา : วิกีพีเดีย สารานุกรมเสรี

ขอบคุณเนื้อหา
http://www.premium.co.th/smf/index.php?topic=24.0
386  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / กายคตาสติสูตร กรรมฐานที่เป็นพื้นฐานภาวนา เมื่อ: ตุลาคม 08, 2010, 02:31:43 am
เนื่องด้วยคำสั่งพระอาจารย์ กล่าวว่า วันธรรมมัสสนะนี้ ให้โพสต์เรื่อง กายคตาสติสูตร

จะได้พอกพูนคุณธรรม จะได้ไม่หลงตัวเอง และตั้งอยู่บนความประมาท คร้า...



 กายคตาสติสูตร

ข้อพึงสังเกตุในการพิจารณาและปฏิบัติ  ว่าเป็นการใช้สติที่ตั้งมั่น(สมาธิ)เพื่อการพิจารณากาย

 

      [๒๙๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
      สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของ
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ภิกษุมากด้วยกันกลับจาก
บิณฑบาต ภายหลังเวลาอาหารแล้ว นั่งประชุมกันในอุปัฏฐานศาลา เกิดข้อ
สนทนากันขึ้นในระหว่างดังนี้ว่า

ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย น่าอัศจรรย์จริง ไม่น่าเป็นไปได้เลย เท่าที่

พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ

ตรัสกายคตาสติที่ภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ว่ามีผลมาก มีอานิสงส์มากนี้

ข้อสนทนากันในระหว่างของภิกษุเหล่านั้น ค้างอยู่เพียงเท่านี้แล ฯ
      [๒๙๓] ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากสถานที่ทรงหลีกเร้นอยู่
ในเวลาเย็น เสด็จเข้าไปยังอุปัฏฐานศาลานั้น ครั้นแล้วจึงประทับนั่ง ณ อาสนะ
ที่เขาแต่งตั้งไว้ แล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมสนทนาเรื่องอะไรกัน

และพวกเธอสนทนาเรื่องอะไรค้างอยู่ในระหว่าง ฯ
      ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ณ โอกาสนี้ พวกข้าพระองค์
กลับจากบิณฑบาต ภายหลังเวลาอาหารแล้ว นั่งประชุมกันในอุปัฏฐานศาลา
เกิดข้อสนทนากันขึ้นในระหว่างดังนี้ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุทั้งหลาย น่าอัศจรรย์จริง
ไม่น่าเป็นไปได้เลย เท่าที่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็น
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธ ตรัสกายคตาสติที่ภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ว่ามี
ผลมาก มีอานิสงส์มากนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อสนทนากันในระหว่างของ
พวกข้าพระองค์ได้ค้างอยู่เพียงเท่านี้ พอดีพระผู้มีพระภาคก็เสด็จมาถึง ฯ
      [๒๙๔] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กายคตาสติอัน
ภิกษุเจริญแล้วอย่างไร ทำให้มากแล้วอย่างไร จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่าง
ก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า เธอย่อมมีสติหายใจออก
มีสติหายใจเข้า เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจ
เข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น
หรือเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้
กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจ
เข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจออก ว่าเราจักระงับกาย
สังขาร หายใจเข้า เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่
อย่างนี้ ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้(เพราะจิตมีที่อยู่ คือมีสติอยู่ที่กายสังขาร จึงหยุดการปรุงแต่งหรือความดำริพล่านนั้นเสีย) เพราะละความดำริพล่านนั้น
ได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ ฯ
      [๒๙๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุเดินอยู่ ก็รู้ชัดว่า
กำลังเดิน หรือยืนอยู่ ก็รู้ชัดว่ากำลังยืน หรือนั่งอยู่ ก็รู้ชัดว่ากำลังนั่ง หรือ
นอนอยู่ ก็รู้ชัดว่ากำลังนอน หรือเธอทรงกายโดยอาการใดๆ อยู่ ก็รู้ชัดว่า
กำลังทรงกายโดยอาการนั้นๆ เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปใน
ธรรมอยู่อย่างนี้ ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละความดำริ
พล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
ตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ ฯ
      [๒๙๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุย่อมเป็นผู้ทำความ
รู้สึกตัวในเวลาก้าวไปและถอยกลับ ในเวลาแลดู และเหลียวดู ในเวลางอแขน
และเหยียดแขน ในเวลาทรงผ้าสังฆาฏิ บาตร และจีวร ในเวลา ฉัน ดื่ม
เคี้ยว และลิ้ม ในเวลาถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ในเวลา เดิน ยืน นั่ง
นอนหลับ ตื่น พูด และนิ่ง เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไป
ในธรรมอยู่อย่างนี้ ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละความดำริ
พล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
ตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ ฯ
      [๒๙๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุย่อมพิจารณากายนี้
แล ข้างบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป ข้างล่างแต่ปลายผมลงมา มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ
เต็มด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ ว่ามีอยู่ในกายนี้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด
ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด น้ำเหลือง เลือด เหงื่อ
มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนไถ้มีปากทั้ง ๒ ข้าง เต็มด้วยธัญญชาติต่างๆ ชนิด คือ ข้าวสาลี
ข้าวเปลือก ถั่วเขียว ถั่วทอง งา และข้าวสาร บุรุษผู้มีตาดี แก้ไถ้นั้นออกแล้ว
พึงเห็นได้ว่า นี้ข้าวสาลี นี้ข้าวเปลือก นี้ถั่วเขียว นี้ถั่วทอง นี้งา นี้ข้าวสาร
ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แล
ข้างบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป ข้างล่างแต่ปลายผมลงมา มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มด้วย
ของไม่สะอาด มีประการต่างๆ ว่ามีอยู่ในกายนี้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่
ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด น้ำเหลือง เลือด เหงื่อ มันข้น
น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความ
เพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้ ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้
เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง
เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญ
กายคตาสติ ฯ
      [๒๙๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุย่อมพิจารณากายนี้
แล ตามที่ตั้งอยู่ ตามที่ดำรงอยู่ โดยธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้ ธาตุดิน ธาตุน้ำ
ธาตุไฟ ธาตุลม ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนคนฆ่าโค หรือลูกมือของคน
ฆ่าโค ผู้ฉลาด ฆ่าโคแล้วนั่งแบ่งเป็นส่วนๆ ใกล้ทางใหญ่ ๔ แยก ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แล ตามที่
ตั้งอยู่ ตามที่ดำรงอยู่ โดยธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ
ธาตุลม เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้
ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิตอัน
เป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ ฯ
      [๒๙๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งใน
ป่าช้า อันตายได้วันหนึ่ง หรือสองวัน หรือสามวัน ที่ขึ้นพอง เขียวช้ำ มี

ป่าช้า อันตายได้วันหนึ่ง หรือสองวัน หรือสามวัน ที่ขึ้นพอง เขียวช้ำ มี
น้ำเหลืองเยิ้ม จึงนำเข้ามาเปรียบเทียบกายนี้ว่า แม้กายนี้แล ก็เหมือนอย่างนี้เป็น
ธรรมดา มีความเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงอย่างนี้ไปได้ เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มี
ความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้ ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสีย
ได้ เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่
แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่า
เจริญกายคตาสติ ฯ
      [๓๐๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งใน
ป่าช้า อันฝูงกาจิกกินอยู่บ้าง ฝูงแร้งจิกกินอยู่บ้าง ฝูงนกตะกรุมจิกกินอยู่บ้าง
หมู่สุนัขบ้านกัดกินอยู่บ้าง หมู่สุนัขป่ากัดกินอยู่บ้าง สัตว์เล็กสัตว์น้อยต่างๆ
ชนิดฟอนกินอยู่บ้าง จึงนำเข้ามาเปรียบเทียบกายนี้ว่า แม้กายนี้แล ก็เหมือน
อย่างนี้ เป็นธรรมดา มีความเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงอย่างนี้ไปได้ เมื่อภิกษุนั้นไม่
ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้ ย่อมละความดำริพล่านที่
อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น
ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้
ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ ฯ
      [๓๐๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งใน
ป่าช้า ยังคุมเป็นรูปร่างอยู่ด้วยกระดูก มีทั้งเนื้อและเลือด เส้นเอ็นผูกรัดไว้...
      เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า ยังคุมเป็นรูปร่างด้วยกระดูก ไม่มีเนื้อ มีแต่
เลือดเปรอะเปื้อนอยู่ เส้นเอ็นยังผูกรัดไว้...
      เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า ยังคุมเป็นรูปร่างด้วยกระดูก ปราศจากเนื้อ
และเลือดแล้ว แต่เส้นเอ็นยังผูกรัดอยู่...
      เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นท่อนกระดูก ปราศจากเส้นเอ็นเครื่องผูก
รัดแล้ว กระจัดกระจายไปทั่วทิศต่างๆ คือ กระดูกมืออยู่ทางหนึ่ง กระดูกเท้า
อยู่ทางหนึ่ง กระดูกแข้งอยู่ทางหนึ่ง กระดูกหน้าขาอยู่ทางหนึ่ง กระดูกสะเอว
อยู่ทางหนึ่ง กระดูกสันหลังอยู่ทางหนึ่ง กระดูกซี่โครงอยู่ทางหนึ่ง กระดูก
หน้าอกอยู่ทางหนึ่ง กระดูกแขนอยู่ทางหนึ่ง กระดูกไหล่อยู่ทางหนึ่ง กระดูกคอ
อยู่ทางหนึ่ง กระดูกคางอยู่ทางหนึ่ง กระดูกฟันอยู่ทางหนึ่ง กะโหลกศีรษะอยู่
ทางหนึ่ง จึงนำเข้ามาเปรียบเทียบกายนี้ว่า แม้กายนี้แล ก็เหมือนอย่างนี้เป็น
ธรรมดา มีความเป็นอย่างนี้ ไม่ล่วงอย่างนี้ไปได้ เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มี
ความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้ ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสีย
ได้ เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่
แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่า
เจริญกายคตาสติ ฯ
      [๓๐๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุเห็นศพที่เขาทิ้งใน
ป่าช้า เป็นแต่กระดูก สีขาวเปรียบดังสีสังข์...
      เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นท่อนกระดูก เรี่ยราดเป็นกองๆ มีอายุเกิน
ปีหนึ่ง...
      เห็นศพที่เขาทิ้งในป่าช้า เป็นแต่กระดูก ผุเป็นจุณ จึงนำเข้ามาเปรียบ
เทียบกายนี้ว่า แม้กายนี้แล ก็เหมือนอย่างนี้เป็นธรรมดา มีความเป็นอย่างนี้ ไม่
ล่วงอย่างนี้ไปได้ เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่
อย่างนี้ ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละความดำริพล่านนั้นได้
จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ ฯ
      [๓๐๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุสงัดจากกาม สงัด
จากอกุศลธรรม เข้าปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอ
ยังกายนี้แล ให้คลุก เคล้า บริบูรณ์ ซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่วิเวก ไม่มี
เอกเทศไรๆ แห่งกายทุกส่วนของเธอที่ปีติและสุขเกิดแต่วิเวกจะไม่ถูกต้อง ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนพนักงานสรงสนาน หรือลูกมือของพนักงานสรง-
สนานผู้ฉลาด โรยจุณสำหรับสรงสนานลงในภาชนะสำริดแล้ว เคล้าด้วยน้ำให้
เป็นก้อนๆ ก้อนจุณสำหรับสรงสนานนั้น มียางซึม เคลือบ จึงจับกันทั้งข้างใน
ข้างนอก และกลายเป็นผลึกด้วยยาง ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือน
กันแล ภิกษุย่อมยังกายนี้แล ให้คลุก เคล้า บริบูรณ์ ซาบซ่านด้วยปีติและสุข
เกิดแต่วิเวก ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งกายทุกส่วนของเธอที่ปีติและสุขเกิดแต่วิเวก
จะไม่ถูกต้อง เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้
ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิตอัน
เป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ ฯ
      [๓๐๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุเข้าทุติยฌาน มี
ความผ่องใสแห่งใจภายใน มีความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะสงบวิตกและวิจาร
ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เธอยังกายนี้แล ให้คลุก
เคล้า บริบูรณ์ ซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่สมาธิ ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่ง
กายทุกส่วนของเธอที่ปีติและสุขเกิดแต่สมาธิจะไม่ถูกต้อง ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนห้วงน้ำพุ ไม่มีทางระบายน้ำทั้งในทิศตะวันออก ทั้งในทิศตะวันตก
ทั้งในทิศเหนือ ทั้งในทิศใต้เลย และฝนก็ยังไม่หลั่งสายน้ำโดยชอบตามฤดูกาล
ขณะนั้นแล ธารน้ำเย็นจะพุขึ้นจากห้วงน้ำนั้น แล้วทำห้วงน้ำนั้นเอง ให้คลุก
เคล้า บริบูรณ์ ซาบซ่านด้วยน้ำเย็น ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งห้วงน้ำทุกส่วนนั้นที่
น้ำเย็นจะไม่ถูกต้อง ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุย่อม
ยังกายนี้แล ให้คลุก เคล้า บริบูรณ์ ซาบซ่านด้วยปีติและสุขเกิดแต่สมาธิ
ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งกายทุกส่วนของเธอที่ปีติและสุขเกิดแต่สมาธิจะไม่ถูกต้อง
เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้ ย่อมละความ
ดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภาย
ในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย
แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ ฯ
      [๓๐๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุเป็นผู้วางเฉยเพราะ
หน่ายปีติ มีสติสัมปชัญญะอยู่ และเสวยสุขด้วยนามกาย ย่อมเข้าตติยฌานที่
พระอริยะเรียกเธอได้ว่า ผู้วางเฉย มีสติ อยู่เป็นสุขอยู่ เธอยังกายนี้แล ให้
คลุก เคล้า บริบูรณ์ ซาบซ่านด้วยสุขปราศจากปีติ ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งกาย
ทุกส่วนของเธอที่สุขปราศจากปีติจะไม่ถูกต้อง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือน
ดอกบัวขาบ หรือดอกบัวหลวง หรือดอกบัวขาว แต่ละชนิด ในกอบัวขาบ
หรือในกอบัวหลวง หรือในกอบัวขาว เกิดแล้วในน้ำ เนื่องอยู่ในน้ำ ขึ้นตามน้ำ

จมอยู่ในน้ำ อันน้ำเลี้ยงไว้ คลุก เคล้า บริบูรณ์ ซึมซาบด้วยน้ำเย็นจนถึงยอด
และเง่า ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งดอกบัวขาบ หรือดอกบัวหลวง หรือดอกบัวขาว
ทุกส่วนที่น้ำเย็นจะไม่ถูกต้อง ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล
ภิกษุย่อมยังกายนี้แล ให้คลุก เคล้า บริบูรณ์ ซาบซ่านด้วยสุขปราศจากปีติ
ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งกายทุกส่วนของเธอที่สุขปราศจากปีติจะไม่ถูกต้อง เมื่อ
ภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่อย่างนี้ ย่อมละความดำริ
พล่านที่อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละความดำริพล่านนั้นได้ จิตอันเป็นไปภายใน
เท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้
อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ ฯ
      [๓๐๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก ภิกษุเข้าจตุตถฌาน
อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้
มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาอยู่ เธอย่อมเป็นผู้นั่งเอาใจอันบริสุทธิ์ผุดผ่องแผ่ไปทั่ว
กายนี้แล ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งกายทุกส่วนของเธอที่ใจอันบริสุทธิ์ผุดผ่องจะไม่
ถูกต้อง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษนั่งเอาผ้าขาวคลุมตลอดทั้งศีรษะ
ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งกายทุกส่วนของบุรุษนั้นที่ผ้าขาวจะไม่ถูกต้อง ฉันใด ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุย่อมเป็นผู้นั่งเอาใจอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง
แผ่ไปทั่วกายนี้แล ไม่มีเอกเทศไรๆ แห่งกายทุกส่วนของเธอที่ใจอันบริสุทธิ์
ผุดผ่องจะไม่ถูกต้อง เมื่อภิกษุนั้นไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่
อย่างนี้ ย่อมละความดำริพล่านที่อาศัยเรือนเสียได้ เพราะละความดำริพล่านนั้น
ได้ จิตอันเป็นไปภายในเท่านั้น ย่อมคงที่ แน่นิ่ง เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ตั้งมั่น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุก็ชื่อว่าเจริญกายคตาสติ ฯ
      [๓๐๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไรๆ ก็ตาม เจริญกายคตาสติแล้ว
ทำให้มากแล้ว ชื่อว่าเจริญและทำให้มากซึ่งกุศลธรรมส่วนวิชชาอย่างใดอย่างหนึ่ง
อันรวมอยู่ในภายในด้วย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุคคลไรๆ ก็ตาม
นึกถึงมหาสมุทรด้วยใจแล้ว ชื่อว่านึกถึงแม่น้ำน้อยที่ไหลมาสู่สมุทรสายใดสาย
หนึ่งอันรวมอยู่ในภายในด้วย ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล
ภิกษุไรๆ ก็ตาม เจริญกายคตาสติแล้ว ทำให้มากแล้ว ชื่อว่าเจริญและทำให้
มาก ซึ่งกุศลธรรมส่วนวิชชาอย่างใดอย่างหนึ่งอันรวมอยู่ในภายในด้วย ฯ
      [๓๐๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไรๆ ก็ตาม ไม่เจริญ ไม่ทำให้มาก
ซึ่งกายคตาสติแล้ว มารย่อมได้ช่อง ย่อมได้อารมณ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบ
เหมือนบุรุษเหวี่ยงก้อนศิลาหนักไปที่กองดินเปียก ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะ
สำคัญความนั้นเป็นไฉน ก้อนศิลาหนักนั้น จะพึงได้ช่องในกองดินเปียกหรือ
หนอ ฯ
      ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ได้ พระพุทธเจ้าข้า ฯ
      พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุไรๆ ก็ตาม ไม่เจริญ
ไม่ทำให้มากซึ่งกายคตาสติแล้ว มารย่อมได้ช่อง ย่อมได้อารมณ์ ฯ
      [๓๐๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนไม้แห้งเกราะ ทันใดนั้น มี
บุรุษมาถือเอาเป็นไม้สีไฟด้วยตั้งใจว่า จักก่อไฟทำเตโชธาตุ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นถือเอาไม้แห้งเกราะโน้นเป็นไม้สี
ไฟแล้วสีกันไป จะพึงก่อไฟ ทำเตโชธาตุได้หรือหนอ ฯ
     ภิ. ได้ พระพุทธเจ้าข้า ฯ
      พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุไรๆ ก็ตาม ไม่เจริญ
ไม่ทำให้มากซึ่งกายคตาสติแล้ว มารย่อมได้ช่อง ย่อมได้อารมณ์ ฯ
      [๓๑๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนหม้อกรองน้ำว่างเปล่า อัน
เขาตั้งไว้บนเครื่องรอง ทันใดนั้น มีบุรุษมาถือเอาเป็นเครื่องตักน้ำ ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นจะพึงได้น้ำเก็บไว้หรือ
หนอ ฯ
      ภิ. ได้ พระพุทธเจ้าข้า ฯ
      พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุไรๆ ก็ตาม ไม่เจริญ
ไม่ทำให้มากซึ่งกายคตาสติแล้ว มารย่อมได้ช่อง ย่อมได้อารมณ์ ฯ
      [๓๑๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไรๆ ก็ตาม เจริญกายคตาสติแล้วทำ
ให้มากแล้ว มารย่อมไม่ได้ช่อง ไม่ได้อารมณ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือน
บุรุษโยนกลุ่มด้ายเบาๆ ลงบนแผ่นกระดานเรียบอันสำเร็จด้วยไม้แก่นล้วน ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน กลุ่มด้ายเบาๆ นั้นจะพึงได้
ช่องบนแผ่นกระดานเรียบอันสำเร็จด้วยไม้แก่นล้วนหรือหนอ ฯ
      ภิ. ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า ฯ
      พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุไรๆ ก็ตาม เจริญ
กายคตาสติแล้ว ทำให้มากแล้ว มารย่อมไม่ได้ช่อง ไม่ได้อารมณ์ ฯ
      [๓๑๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนไม้สดมียาง ทันใดนั้น มี-
บุรุษมาถือเอาเป็นไม้สีไฟด้วยตั้งใจว่า จักก่อไฟ ทำเตโชธาตุ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นถือเอาไม้สดมียางโน้นเป็นไม้สีไฟ
แล้วสีกันไป จะพึงก่อไฟทำเตโชธาตุได้หรือหนอ ฯ
      ภิ. ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า ฯ
      พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุไรๆ ก็ตาม เจริญ
กายคตาสติแล้ว ทำให้มากแล้ว มารย่อมไม่ได้ช่องไม่ได้อารมณ์ ฯ
      [๓๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนหม้อกรองน้ำ มีน้ำเต็มเปี่ยม
เสมอขอบปาก พอที่กาจะดื่มกินได้ อันเขาตั้งไว้บนเครื่องรอง ทันใดนั้น มีบุรุษ
มาถือเอาเป็นเครื่องตักน้ำ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
บุรุษนั้นจะพึงได้น้ำเก็บไว้หรือหนอ ฯ
      ภิ. ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า ฯ
      พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุไรๆ ก็ตามเจริญกาย-
คตาสติแล้ว ทำให้มากแล้ว มารย่อมไม่ได้ช่อง ไม่ได้อารมณ์ ฯ
      [๓๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไรๆ ก็ตาม เจริญกายคตาสติแล้ว ทำ
ให้มากแล้ว เธอย่อมถึงความเป็นผู้สามารถในธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยความรู้ยิ่ง
อันเป็นแดนที่ตนน้อมจิตไป โดยการทำให้แจ้งด้วยความรู้ยิ่งนั้นๆ ได้ ในเมื่อ
มีสติเป็นเหตุ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนหม้อกรองน้ำ มีน้ำเต็มเปี่ยม
เสมอขอบปาก พอที่กาจะดื่มกินได้ อันเขาตั้งไว้บนเครื่องรอง บุรุษมีกำลังมายัง
หม้อกรองน้ำนั้นโดยทางใดๆ จะพึงถึงน้ำได้โดยทางนั้นๆ หรือ ฯ
      ภิ. ได้ พระพุทธเจ้าข้า ฯ
      พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุไรๆ ก็ตาม เจริญ

พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุไรๆ ก็ตาม เจริญ
กายคตาสติแล้ว ทำให้มากแล้ว เธอย่อมถึงความเป็นผู้สามารถในธรรมที่ควรทำ
ให้แจ้งด้วยความรู้ยิ่ง อันเป็นแดนที่ตนน้อมจิตไปโดยการทำให้แจ้งด้วยความรู้ยิ่ง
นั้นๆ ได้ ในเมื่อมีสติเป็นเหตุ ฯ
      [๓๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนสระโบกขรณีสี่เหลี่ยม ใน
ภูมิภาคที่ราบ เขาพูนคันไว้ มีน้ำเต็มเปี่ยมเสมอขอบปาก พอที่กาจะดื่มกินได้
บุรุษมีกำลังเจาะคันสระโบกขรณีนั้นทางด้านใดๆ จะพึงถึงน้ำทางด้านนั้นๆ ได้
หรือ ฯ
      ภิ. ได้ พระพุทธเจ้าข้า ฯ
     พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุไรๆ ก็ตามเจริญ
กายคตาสติแล้ว ทำให้มากแล้ว เธอย่อมถึงความเป็นผู้สามารถในธรรมที่ควรทำ
ให้แจ้งด้วยความรู้ยิ่ง อันเป็นแดนที่ตนน้อมจิตไปโดยการกระทำให้แจ้งด้วยความ
รู้ยิ่งนั้นๆ ได้ ในเมื่อมีสติเป็นเหตุ ฯ
      [๓๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนรถม้าอาชาไนยเขาเทียมม้า
แล้ว มีแส้เสียบไว้ในที่ระหว่างม้าทั้ง ๒ จอดอยู่บนพื้นที่เรียบตรงทางใหญ่ ๔
แยก นายสารถีผู้ฝึกม้า เป็นอาจารย์ขับขี่ผู้ฉลาด ขึ้นรถนั้นแล้ว มือซ้ายจับสาย
บังเหียน มือขวาจับแส้ ขับรถไปยังที่ปรารถนาได้ ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุไรๆ ก็ตาม เจริญกายคตาสติแล้ว ทำให้มากแล้ว เธอ
ย่อมถึงความเป็นผู้สามารถในธรรมที่ควรทำให้แจ้งด้วยความรู้ยิ่ง อันเป็นแดนที่
น้อมจิตไปโดยการกระทำให้แจ้งด้วยความรู้ยิ่งนั้นๆ ได้ในเมื่อมีสติเป็นเหตุ ฯ
      [๓๑๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันภิกษุเสพแล้วโดยมาก เจริญ
แล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นยาน(ญาณ)แล้ว ทำให้เป็นพื้นที่ตั้งแล้ว ให้ดำรงอยู่
เนืองๆ แล้ว อบรมแล้ว ปรารภสม่ำเสมอดีแล้ว พึงหวังอานิสงส์ ๑๐ ประการ
นี้ คือ
      (๑) อดกลั้นต่อความไม่ยินดีและความยินดีได้ ไม่ถูกความไม่ยินดี
ครอบงำ ย่อมครอบงำความไม่ยินดีที่เกิดขึ้นแล้วอยู่ด้วย ฯ
      (๒) อดกลั้นต่อภัยและความหวาดกลัวได้ ไม่ถูกภัยและความหวาดกลัว
ครอบงำ ย่อมครอบงำภัยและความหวาดกลัว ที่เกิดขึ้นแล้วอยู่ด้วย ฯ
      (๓) อดทน คือเป็นผู้มีปรกติอดกลั้นต่อความหนาว ความร้อน ความหิว
ความกระหาย ต่อสัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และ สัตว์เสือกคลาน ต่อ
ทำนองคำพูดที่กล่าวร้าย ใส่ร้าย ต่อเวทนาประจำสรีระที่เกิดขึ้นแล้ว อันเป็น
ทุกข์กล้า เจ็บแสบ ไม่ใช่ความสำราญ ไม่เป็นที่ชอบใจ พอจะสังหารชีวิตได้ ฯ
      (๔) เป็นผู้ได้ฌาน ๔ อันเกิดมีในมหัคคตจิต เครื่องอยู่สบายในปัจจุบัน
ตามความปรารถนา ไม่ยาก ไม่ลำบาก ฯ
      (๕) ย่อมแสดงฤทธิ์ได้เป็นอเนกประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้
หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ปรากฏตัวหรือหายตัวไปนอกฝา นอกกำแพง นอก
ภูเขาได้ไม่ติดขัด เหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ทำการผุดขึ้นและดำลงในแผ่นดิน
เหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศ
โดยบัลลังก์เหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์และพระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์ มีอานุภาพ
มากปานฉะนี้ ด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปจนถึงพรหมโลกก็ได้ ฯ
      (๖) ย่อมฟังเสียงทั้งสอง คือ เสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งที่ไกลและ
ที่ใกล้ได้ด้วยทิพยโสตธาตุ อันบริสุทธิ์ ล่วงโสตของมนุษย์ ฯ
      (๗) ย่อมกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่น และบุคคลอื่นได้ ด้วยใจ คือ

จิตมีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ

จิตมีโทสะก็รู้ว่าจิตมีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ

จิตมีโมหะก็รู้ว่าจิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ

จิตหดหู่ก็รู้ว่าจิตหดหู่จิตฟุ้งซ่านก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน

จิตเป็นมหัคคตะก็รู้ว่าเป็นมหัคคตะหรือจิตไม่เป็นมหัคคตะก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหัคคตะ

จิตยังมีจิตอื่นยิ่งกว่าก็รู้ว่าจิตยังมีจิตอื่นยิ่งกว่าหรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า

ก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า จิตตั้งมั่นก็รู้ว่าจิตตั้งมั่น หรือ
จิตไม่ตั้งมั่นก็รู้ว่าจิตไม่ตั้งมั่น จิตหลุดพ้นแล้วก็รู้ว่าจิตหลุดพ้นแล้ว หรือจิตยังไม่
หลุดพ้นก็รู้ว่าจิตยังไม่หลุดพ้น ฯ
      (๘) ย่อมระลึกถึงขันธ์ ที่อยู่อาศัยในชาติก่อนได้เป็นอเนกประการ คือ
ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติ
บ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง
พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง หลายสังวัฏกัปบ้าง หลายวิวัฏกัปบ้าง หลายสังวัฏ-
วิวัฏกัปบ้าง ว่าในชาติโน้น เรามีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ มีผิวพรรณอย่างนี้
มีอาหารอย่างนี้ เสวยสุขและทุกข์อย่างนี้ มีกำหนดอายุเท่านี้ เรานั้นเคลื่อนจาก
ชาตินั้นแล้ว บังเกิดในชาติโน้น แม้ในชาตินั้น เราก็มีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้
มีผิวพรรณอย่างนี้ มีอาหารอย่างนี้ เสวยสุขและทุกข์อย่างนี้ มีกำหนดอายุเท่านี้
เรานั้นเคลื่อนจากชาตินั้นแล้ว จึงเข้าถึงในชาตินี้ ย่อมระลึกขันธ์ที่อยู่อาศัยในชาติ
ก่อนได้เป็นอเนกประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ เช่นนี้ ฯ
      (๙) ย่อมมองเห็นหมู่สัตว์กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณ
ดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์
มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์

ย่อมทราบชัดหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม เช่นนี้ ฯ
      (๑๐) ย่อมเข้าถึงเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะ
อาสวะทั้งหลายสิ้นไป ทำให้แจ้งเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบันอยู่ ฯ
      ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันภิกษุเสพแล้วโดยมากเจริญแล้ว ทำ
ให้มากแล้ว ทำให้เป็นยานแล้ว ทำให้เป็นพื้นที่ตั้งแล้ว ให้ดำรงอยู่เนืองๆ แล้ว
อบรมแล้ว ปรารภสม่ำเสมอดีแล้ว พึงหวังอานิสงส์ ๑๐ ประการได้ ดังนี้แล ฯ
      พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดี
พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล ฯ
                              จบ กายคตาสติสูตร ที่ ๙
                                  ------------------

387  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / วันนี้เป็นวันพระ และ เป็นวันแรกของเทศการกินเจ เมื่อ: ตุลาคม 08, 2010, 02:25:21 am
นำข้อแนะนำมาฝาก สำหรับสมาชิกที่ ทานเจ คะ


10 ข้อห้ามในเทศกาลกินเจ
แสดงความคิดเห็น

ประเพณีกินเจก็ คือประเพณีกินผัก หรือที่เรียกว่า มังสวิรัติ ซึ่งเป็นประเพณีเก่าของ ชาวจีน ที่ถึงจะย้ายถิ่น ฐานไปอยู่ในประเทศใด ก็ยังคงยึดถือปฏิบัติตามประเพณีนี้อยู่ สำหรับ ประเทศไทยที่มีชาวจีนมาตั้งรกรากอยู่จำนวนไม่น้อย ปัจจุบันกลายเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ก็ยังยึดถือประเพณีกินเจเช่นกัน ประเพณีกินเจในประเทศไทยที่ผู้คนรู้จักกันดีก็คือ ที่จังหวัดภูเก็ต ที่เกิดขึ้นมากกว่าร้อยปีแล้ว โดยแพร่หลาย มาจากคณะงิ้วประเทศจีนที่มาแสดงให้ชาวจีนในภูเก็ตดู การกินเจในปัจจุบันมิได้มีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อจะป้องกัน ภัยพิบัติเท่านั้น แต่ยังเป็นการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์และเป็นการเคารพถึงดวงวิญญาณของ บรรพบุรุษที่ล่วงลับไป

แล้ว .........ในช่วงเทศกาลกินเจมีข้อห้ามที่ยึดถือปฏิบัติกันมานานอยู่หลายข้อ เชื่อ กันว่าถ้าปฏิบัติได้ครบทุกข้อจึงจะเข้า ถึงการกินเจที่ถูกต้องและ ได้บุญอย่างแท้จริง จึงขอยกข้อห้ามทั้ง 10 ข้อในเทศกาลกินเจมาเล่าให้ฟังกัน จะว่าเป็น การไขข้อข้องใจกันก็ได้ เพราะเชื่อว่าบางข้อยัง เป็นที่สงสัยกันอยู่ เริ่มที่

ข้อแรก การงดกินผักฉุนหรือผักที่มีกลิ่นแรง ซึ่ง ประกอบไปด้วยพืชผัก 5 ชนิด ได้แก่ กระเทียม (หัวกระเทียม, ต้นกระเทียม) หัวหอม (ต้นหอม, ใบหอม, หอมแดง,หอมขาว,หอมหัวใหญ่) หลักเกียว (ลักษณะคล้าย หัวกระเทียม แต่เล็กกว่า) กุ้ยช่าย (ใบคล้ายใบหอม แต่แบนและเล็กกว่า) ใบยาสูบ (บุหรี่,ยาเส้น,ของเสพติดมึนเมา) ผักเหล่านี้เป็นผักที่มีรสหนัก กลิ่นรุนแรง นอกจากนี้ยัง ให้โทษทำลายพลังธาตุในร่างกาย เป็นเหตุให้อวัยวะหลัก สำคัญภายในทั้ง 5 ทำงานไม่ปกติ สำหรับผู้ปฏิบัติสมาธิกรรมฐานไม่ควรรับประทาน พราะผักดังกล่าวมีฤทธิ์ กระตุ้นจิตใจและอารมณ์ให้เร่าร้อน ใจคอหงุดหงิด โกรธง่าย และยังมีผลทำให้พลังธาตุในร่างกายรวมตัวไม่ติด จิตใจจะไม่บริสุทธิ์ ซึ่งในข้อห้ามนี้มีบางคนยังข้องใจกันมาก คือ กระเทียมซึ่งทางการแพทย์และเภสัชกรพบว่า สามารถรับประทานเป็นยาได้ ทั้งนี้เพราะเป็นสารที่มีประโยชน์สามารถละลายไขมันในเส้นเลือดได้ เช่น ผู้ป่วยที่ เป็นโรคเส้นโลหิตเลี้ยงหัวใจตีบหรืออุดตัน เป็นต้น แม้ทางการแพทย์แผนโบราณก็ยืนยันตรงกันว่ากระเทียมเป็น สมุนไพรรักษาโรคได้ แต่คนจีนที่ปฏิบัติในการกินเจถือว่าให้โทณกับหัวใจ ซึ่งในข้อนี้ต้องขึ้นอยู่กับความเชื่อของ แต่ละคน

ข้อที่สอง การงดกินเนื้อสัตว์ ซึ่งประกอบไปด้วย เนื้อวัว หมู ปลา หรือสัตว์มีชีวิตที่ใช้เป็น อาหารได้ เพราะ คนจีนเชื่อว่าก่อนตายมันจะตกอยู่ในอาหารตกใจกลัวเมื่อเรากินมันเข้าไป อาจจะทำให้เรามีบาปติดตัวไปด้วย เพราะมันคือสิ่งที่มีชีวิตเหมือนกับคน ข้อนี้ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่คนจีนถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด แต่มาถึงปัจจุบัน ..........บางคนเริ่มหาข้อคัดค้านว่าสัตว์บางชนิดอย่าง หอยหรือปลาเล็กๆ ก็น่าจะรับประทานได้เพราะมันเป็นสัตว์ไม่มีเลือด ตามความเชื่อแล้วมันขึ้นอยู่กับแต่ละคน แต่ถ้าในความเป็นจริงแล้ว คนจีนเขาเชื่อว่าประเพณีนี้ศักดิ์สิทธิ์ถ้าปฏิบัติ ให่เคร่งครัด ถึงจะมีคนคัดค้านแต่กับข้อนี้คงไม่ได้ผล

ข้อที่สาม ไม่ควรกินอาหารรสจัด ซึ่ง ไม่ใช่แค่รสเผ็ดอย่างเดียว รวมไปถึงรสเค็มมาก หวานมากหรือเปรี้ยวมาก ด้วย ซึ่งปกติคนจีนจะไม่กินรสจัดอยู่แล้วเพราะถือว่าจะเข้าไปทำลายสุขภาพ อย่างกินเผ็ดจัดก็จะไปทำลาย กระเพาะ กินเค็มมากจะไปทำลายไตได้ และอีกอย่างน้ำปลาก็ทำมาจากสัตว์เหมือนกัน ข้อห้ามนี้ถือว่าถูกหลักของ การแพทย์ แต่บางคนที่ปฏิบัติไม่เคร่งครัดนัก เช่น ชอบรสเค็มจัดก็ใช้เกลือแทนน้ำปลา อันนี้ถือว่าไม่ผิด

ข้อที่สี่ ต้องกินอาหารที่คนกินเจด้วยกันปรุง ซึ่งข้อนี้ถ้าปฏิบัติได้จะถือว่าบริสุทธิ์จริงๆ แต่ถ้าทำให้เกิดความยาก ลำบากก็ไม่จำเป็น จะได้ไม่ต้องเลือกร้านกันจ้าละหวั่น ฉะนั้นคนที่ปรุงอาจจะไม่ได้กินเจก็ได้แต่ขอให้อาหารที่กินเข้า ไปเป็นอาหารเจก็พอ

ข้อที่ห้า ถ้วยชามจะต้องไม่ปนกัน เพราะ เขาถือเคร่งครัดว่าอาหารคาวซึ่งชาวจีนเรียกว่า " ชอ " นั้น ถ้วยชาม จะใช้ปนกันไม่ได้ จะถือว่าล้างสะอาดหมดจดแล้วจึงเอามาใช้ก็ผิดอีก บางคนคิดว่าล้างให้สะอาดมากๆ ก็ไม่จำเป็น ต้องแยก แต่ข้อนี้ถือว่าเป็นธรรมเนียมเหมือนอย่างอิสลามที่ไม่ยอม ใช้ถ้วยชามปนกัน เหมือนของจีนนั่นแหละ

ข้อที่หก ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ข้อ นี้ตรงกับการรักษาศีลของชาวพุทธ การฆ่าสัตว์ของชาวจีนตั้งแต่สัตว์เล็กๆ ไป จนถึงสัตว์ใหญ่เป็นข้อเคร่งครัดเช่นกัน บางคนสงสัยอีกว่าอย่างถ้าเป็นยุงหรือมดฆ่าได้ไหมตามความเชื่อแล้วห้าม เด็ดขาดไม่เช่นนั้นจะถือว่า ปฏิบัติไม่ครบ

ข้อที่เจ็ด แต่งกายด้วยชุดขาว ข้อนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน บางคนก็ใส่ชุดสีขาวตลอดจนถึงออกเจเพราะเชื่อกัน ว่านอกจากงดอาหาร ต่างๆ ในร่างกายสะอาดแล้วภายนอกแม่จะเป็นเครื่องแต่งกายก็ต้องสะอาดด้วย ข้อนี้ไม่ใคร่ เข้มงวดสำหรับบุคคลที่ปฏิบัติอยู่กับบ้าน ไม่ได้ไปที่แจตั๊วหรือสถานที่ทำพิธีกินเจ

ข้อที่แปจาด พูดพไเราะ คนที่ถือศีลกินเจไม่ใช่เพียงแต่กินของสะอาดเท่านั้น แต่คำพูดที่พูดออก จากปากก็ต้อง สะอาดด้วย สิ่งไม่ดีทั้งหลายไมควรพูดหรือที่เรียกว่า " ปากเจ " ซึ่งประกอบไปด้วย ไม่พูดเท็จ ไม่พูดยุแหย่ ไม่พูด เพ้อเจ้อ ถ้าปฏิบัติได้ก็ถือว่าสะอาดทั้งหมด

ข้อที่เก้า งดดื่มสุราและของมึนเมา ตลอดช่วงเวลา 9 วัน ..........ข้อนี้สำคัญเพราะการงดอาหารที่เป็นของคาวแล้วสิ่ง ที่สร้างความมึนเมาหรือสิ่งแปลกปลอมในร่างกายก็ห้ามเข้าสู่ร่างกายด้วย

ข้อที่สิบ ห้ามดับตะเกียงทั้ง 9 ดวง คนที่จะไปกินเจมักจะไปชุมนุมกันที่แจตั๊วหรือสถานที่กินเจ ณ ที่นั้น เขาจะประดับดอกไม้ตั้งโต๊ะบูชา วางกระถางธูปและตั้งเครื่องเจ ต่างๆ นอกจากนี้ ก็จุดโคม 9 ดวงเพื่อสมมติเป็น " เก๊าฮ้วงฮุดโจ้ว " นั่นเอง ซึ่งจะต้องจุดไว้ทั้งกลางวันและ กลางคืนจนตลอดงานทีเดียว ถ้าดับโคมไฟดวงใดดวงหนึ่ง ก็จะถือว่าไม่เป็นสิริมงคลและไม่ครบถ้วนพิธีการกินเจ…

ทั้งหมดนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของข้อห้ามในการกินเจใครจะ ปฏิบัติตามหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อของตัวเอง ประเพณีกินเจโดยทั่วไปแล้วมิได้ทำกันตลอดทั้งปี แต่จะเริ่มกินในช่วงวันขึ้น 1 ค่ำ จนถึง 9 ค่ำ เดือน 9 ซึ่งตก ในเดือน 11 ข้างไทยเป็นวันกินเจ ซึ่งจะสับเปลี่ยนเวียนไปตามปีนั้นๆ ใครที่ไม่ได้เป็นลูกหลานชาวจีนถ้าต้องการจะ มีร่างกายและจิตใจ ที่บริสุทธิ์และได้ทำบุญกุศลอาจจะอยากเข้าร่วมพิธีนี้ด้วยก็ได้ เป็นการดีเสียอีกที่ปีหนึ่งคนเรา หันมาทำบุญร่วมกัน

ที่มา nairobroo.com

เครดิตเว็บนี้คะ

http://www.horoworld.com/data/11162_10_%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%88.html
388  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ธรรมะสวัสดี เดือน ต.ค. ปิดเทอมแล้ว เมื่อ: ตุลาคม 08, 2010, 02:21:39 am
ตอนนี้ปิดเทอมแล้ว รู้สึกเหมือนได้วางภาระ การเรียน พระอาจารย์ส่งเมล์ มาให้โอวาท

  สำหรับการภาวนาในเดือน ต.ค.

 เห็นว่ามีประโยชน์ เลยขอนำมาลงให้เพื่อนได้อ่านกัน



  คุณธรรมข้อแรก ผู้ภาวนากรรมฐาน

  1. พึงพอกพูน นิพพิทา ที่เกิดขึ้นด้วยการมองเห็นตามความเป็นจริง

      มองเห็นว่า สังขารทั้งหลายนั้นไม่เที่ยง มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา

      มองเห็นว่า สังขารทั้งหลายนั้นเป็นทุกข์ ไม่คงอยู่ได้

      มองเห็นว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

 2. พึงพอกพูน ศีล อย่างน้อยก็ศีล 5 คะ

   
 3. หมั่นสมาทานอธิษฐาน กรรมฐาน และ หมั่นภาวนากรรมฐาน

     ธรรมที่เป็นอรรถะ และ พยัญชนะ ไม่มีที่สิ้นสุดในการเรียน
 
     แต่ธรรม ที่เกิดจากการภาวนา นั้นสัมผัสได้ด้วยใจที่ภาวนาเท่านั้นและสิ้นสุดได้ด้วยการภาวนา

 4. พึงแผ่เมตตาหลังการภาวนา ทุกครั้ง ถึงแม้ว่าเราจะไม่ค่อยแผ่เมตตา แต่หลังการภาวนา

    ก็ควรพอกพูนการแผ่เมตตาไว้ให้มาก

5. ธรรม เป็นฝ่ายพอกพูนนิสัยทางธรรม นั้น คือ

    รู้จัก การให้ทาน พึงบำเพ็ญตั้งแต่ สามัญบารมี ไปเรื่อย ๆ ด้วยศรัทธา่

    รู้จัก การอุทิศส่วนกุศลแห่งทาน ให้แก่สรรพสัตว์ที่ตกยาก

6. จะหลับ จะตื่น ก็อย่าลืม พุทโธ

7. อย่มัวเพลิดเพลินในชีวิต หมั่นเจริญ มรณานุสสติ เสียบ้างจะได้ไม่ประมาท

8. เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว หมั่นสัมปยุตธาตุ ให้มาก



 หวังว่าเพื่อน ๆ คงได้เจริญธรรม กันถ้วนหน้า นะคะ
 :25: :25: :25: :25: :25:
389  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ธรรมแหละ ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมเป็นนิตย์ เมื่อ: ตุลาคม 04, 2010, 09:30:39 am
 วันนี้ วันจันทร์ เป็นวันทำงานหลายท่าน แต่วันนี้เป็นวันที่ หมวยจ้า ต้องเตรียมตัวไปสอบคะ

  เช้ามาวันนี้รู้สึกสดชื่น หลังจากนั่งกรรมฐาน และ สวดมนต์ ใส่บาตรพระแล้ว

  ก็มานั่งนึกได้ว่า เทียบกับการสอบในเทอมที่ผ่านมานั้น หมวย ต้องเครียด ๆๆๆๆๆ มาก ๆๆๆๆ

  เพราะใจพะวักพะวง กับวิชาที่สอบ ทั้ง ๆ ที่วิชาที่สอบนั้น ไม่ได้เป็นวิชาที่ยาก เลย


  วันนี้ กับ เมื่อวาน บอกได้ว่าต่างกันจริง ๆ

  น่าจะมาจากเหตุผล ว่า ตอนนี้ได้ฝึกกรรมฐาน เป็นแน่ เพราะทุกวัน ก็จะนั่งกรรมฐาน

  ครั้งละ 1 ชั่วโมง


  ดังนั้นอยากจะบอกเพื่อน ๆ ( ไม่ใช่มาต้องการมาอวด นะคร้า ) ว่า

  ธรรมะ ย่อมรักษา ผู้ประพฤติธรรมเป็นนิตย์


   ขอบคุณที่อ่าน คร้า .....


    :25: :25:
390  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คนที่ใช่ ....กับรักที่ไม่.... เมื่อ: กันยายน 29, 2010, 07:47:32 am


 คนที่ใช่กว่า...
เรามีเรื่องของคู่รัก 2 คู่มาเล่าให้ฟัง ?
ทั้ง 2 คู่ต่างก็เป็นคู่รักที่รักกันมาก
ด ูแลเอาใจใส่และเข้าอกเข้าใจกันมานาน
7- 8 ปี
เป็นคู่รักที่คนรู้จักต่างก็แน่ใจว่า
อีกไม่นานก็คงได้ยินข่าวดีจากคู่รัก 2คู่นี้แน่ๆ
แต่แล้ววันนึงก็เกิดเหตุการณ์เดียวกันขึ้นกับคู่รักท ั้ง 2 คู่

.....เมื่อฝ่ายชายก็ได้พบใครใหม่ที่คิดว่า 'ใช่ ' มากกว่า
ผู้หญิงคนใหม่ที่สวยกว่าและมีเสน่ห์มากกว่า
ฝ่ายชายตัดสินใจคบดูใจด้วย โดยที่ยังไม่เลิกกับคู่รักเดิม ?.
ยิ่งคบเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าใช่
ผู้หญิงคนใหม่ที่คบกันมา
2 - 3 เดือน
กับคนรักคนเดิมใน 7- 8 ปีที่ผ่านมา
เริ่มถ่วงดุลน้ำหนักที่เท่ากันบนตาชั่งการตัดสินใจขอ งเขา
ทายสิว่า ชายหนุ่มทั้งคู่เลือกใค ร
เขาทั้งคู่เลือกผู้หญิงคนใหม่ ....
สิ่งที่ผู้ชายทั้งคู่ต่างหยิบยกมากล่าวถึงก็คือ คนรักคนเดิมที ่เคยคบด้วย
มีอะไรบางอย่างที ??เขาไม่ค่อยชอบใจ อาจจะเป็นนิสัยส่วนตัวบางประการ
แต่ในขณะที่คบกันมานั้น
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาพอรับได้เมื่อเทียบกับความดีอื่นๆ ที่เธอทำให้เขา
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความรักอย่างหมดใจที่เธอมีให้เข า
แต่วันนึงที่พบผู้หญิงคนใหม่ อะไรที่เคยทนได้ก็กลับทนไม่ได้ขึ้นมา
โดยเฉพาะเมื่อผู้หญิงคนใหม่ไม่ได้มีข้อเสียในจุดนั้น เหมือนคนรักเก่า

 
แต่ข้อแตกต่างอยู่ที่ ? ผู้ชายคนที่ 1
ถูกคนรักของเขาจับได้เองว่าเขามีผู้หญิงคนใหม่
และเมื่อขาบอกว่าเ ขาเลือกผู้หญิงคนใหม่ เขาให้เหตุผลว่า
' เขาดีกว่าคุณทุกอย่าง เขาคอยดูแลผมเขาเข้าใจผม(และที่สำคัญเขาสวยกว่า และใหม่กว่าคุณด้วย) '
ส่วนผู้ชายคนที่ 2 ?
เลือกสารภาพกับคนรักว่า

'ผมเป็นคนผิดเองที่นอกใจคุณ แต่คนที่ผมเลือกก็เป็นเขาขอโทษนะ ผมผิดเอง ขอโทษจริงๆ'
ถามคุณว่า ถ้าต้องเลือกระหว่างการปฏิบัติของผู้ชาย 2 คนนี้
?. แบบไหนที่ดูเป็น 'ลูกผู้ชาย' มากกว่ากัน
แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ถ้ามีทางเลือก...
ผู้หญิงเราคงไม่เลือกสักทาง จริงไหม
เพราะถ้ าเราเลือกได้จริงๆ เราก็ขอเลือกให้เขามีเราคนเดียวมากกว่า
เราเชื่อว่า สิ่งที่คนส่วนใหญ่(อาจจะไม่ทุกคน ? แต่ ก็เชื่อว่าเป็นจ ำนวนมาก)
ต้องการมากที่สุดในการตัดสินใจที่จะรักและใช้ชีวิตอย ู่ร่วมกับใครสักคนแล้ว

 
ก็คือความ'จงรัก' และ'ภักดี'

 
คุณทมยันตี เคยกล่าวถึงคำทั้ง 2 คำไว้ และเราสรุปเป็นใจความได้ว่า
'จงรัก' อาจจะมากมายในวัยหนุ่มสาว
อา จจะร้อนแรง อาจท่วมท้นในยามแรกรัก!
แต่วันนึงอาจจะจืดจางได้ตามกาลเวลา
แต่คนรักคู่ใดๆในโลกก็มักเริ ่มชีวิตคู่ด้วยคำๆ นี้

 
แต่ 'ภักดี' นั้นชั่วชีวิต
ความจงรักหรือความรักนั้น เราเชื่อว่ามันไม่เข้มข้น ร้อนแรงตลอดไปก็จริง
แต่มันคงเหลืออวลไอเป็นใยบางๆ ไว้ตราตรึงใจบ้างกระมังในยามที่เราหวนนึ กถึงมัน
แต่การที่คนสองคนอยู่กันมานานแสนนานขนาดนี้ ย่อมต้องมีความผูกพัน
ความเห็นอกเห็นใจและเข้าใจซึ่งกันและกันบ้างไม่มากก็ น้อย

 
สิ่งที่เราเห็นจากคู่รักทั้ง 2 คู่ก็คือ
? ฝ่ายชายหมดความ 'จงรัก' ลงไป
แต่ความรู้สึกอื่นๆ ล่ะ ความผูกพันของคนสองคน ความเห็นอกเห็นใจ
ความเข้าอกเข้าใจที่เคยมี มันไม่เหลือพอที่จะผูกใจเขาให้อยู่กับเราแล้วหรือ
คู่รักทั้ง 2 คู่ เป็นคู่ที่เรารู้จักดีทั้ง 2 คู่ ตอนที่เขารักกัน
เขาก็รักกันมาก เขาดูแลกันเป็นอย่างดี ตอนนี้เมื่อถึงจุดแตกหัก
เราพอรู้ว่าฝ่ายหญิงจะเป็นอย่างไร
พอเข้าใจว่าผู้หญิงที่รักและภักดีต่อฝ่ายชายแต่เพียง ผู้เดียวจะรู้สึ กอย่างไร

ผู้หญิง 1 ใน 2 คนนี้บอกกับฝ่ายชายตอนที่เขามาขอเลิกว่า
' ไม่เป็นไร ฉันจะอยู่กับคุณก่อน จะอยู่ดูแลคุณอีกสักพักเพราะตอนนี้
คนรอบข้างคุณและ! เพื่อนๆ ของเราไม่ค่อยมีใครอยู่ข้างคุณแล้ว
พอเพื่อนๆ ของเรายอมรับผู ้หญิงคนใหม่ของคุณได้แล้วฉันก็จะไป'

แต่ฝ่ายชาย เราไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะคิดอย่างไร
อาจจะกำลังมีความสุขกับผ ู้หญิงคนใหม่ ความรักอาจกำลังท่วมท้น
อาจกำลังวางแผนสร้างอนาคตที่สดใสกันอยู่
เขาอาจจะมีความรักที่รุ่งโรจน์กว่าที่ผ่านมาก็เป็นได้
เรา ก็หวังไว้แต่ว่าวันนึง เขาคงจะไม่เจอคนที่ 'ใช่มากกว่า' อีก
เพราะนั่นหมายถึง ผู้หญิงที่ต้องเสียใจจะเพิ่มขึ้นอีก 2 คน
ถ้าเราคิดจะมองหาคนที่ถูกใจ
คนที่ ' ใช่ ' คุณเชื่อไหมว่า
เราหาได้เกือบชั่วชีวิต

 
แต่คนที่จะตรงใจคุณจริงๆ 100% นั้น ไม่มีหรอก
นอกจากคุณจะหยุดความต้องการที่ไม่มีข้อสิ้นสุดของตัว คุณเองลง

 
เราเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา ไม่ได้ต้องการบอกว่าใครผิดใครถูก
แต่ต้องการให้คุณหยุดคิดสักนิดว่า อะไรในชีวิตที่คุณต้องการ
อะไรที่เป็นสิ่งที่ยั่งยืนกว่ากัน

 
มนุษย์เรา หากจะรักและคิดจะใช้ชีวิตร่วมกับใคร
ก็คงจะต้องกา รเพียงแต่ ' เพื่อนคู่ชีวิต' สักคน

 
คนที่อยู่กับเราเสมอไม่ว่ายามทุกข์ยาก ลำบาก
หรือผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน
คนที่มองเห็นข้อเสียและข้อผิดพลาดของคุณ แต่ก็ยังรักและยังอภัยให้คุณได้เสมอ

 
คนที่พร้อมจะอยู่กับคุณแม้คุณจะกลายเป็นตาแก่หัวล้าน พุงยาน หนังเหี่ยว
เขาก็พร้อมที่จะแก่เฒ่าไปพร้อมกับคุณ
แต่คนที่ว่ามานี้
คุณมักลืมเขาในยามที่คุณยัง มีความสุขอยู่

ในยามที่ชีวิตของคุณยังเป็น 'ผู้เลือก' ที่ถูกห้อมล้อมด้วยผู้ถูกเลือกได้อยู่
ในยามที่คุณยังมีหน้าตา
มีเครื่องประกอบชีวิตที่เป็นที่สนใจจากคนเหล่านั้นอย ู่
คุณอาจจะต้องนึกถึงเขาอีกที ในยามที่คุณไม่มีใครแล้ว

 
ในยามที่คนที่คุณคิดว่า ' ใช่ '
 
เขาก็ไปกับคนใหม่ที่เขาก็คิดว่า ' ใช่ '
มากกว่าคุณเหมือนกัน

 
ปล. เราหวังว่าจดหมายฉบับนี้ จะได้รับการส่งต่อให้คนทุกคนได้อ่านโดยทั่วกัน
เพราะเราตั้งใจเขียนจริงๆ แ ละเรื่องที่เขียนทั้งหมดก็เป็นเรื่องจริง
และจะเป็นความกรุณามาก ถ้าทุกท่านจะช่วยส่งต่อๆ กันไปให้คนที่ท่านอยู่จัก
อย่ างน้อยสัก 5 คน
เราขออวยพรให้ความรักของทุกท่านจงประสบแต่ความสุขสมหวัง
ขอขอบคุณจากใจจริง
391  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ฟ้าหลังฝน เมื่อ: กันยายน 29, 2010, 07:40:14 am
จาก:  นางมารร้าย
 
วันที่: กรกฎาคม 1, 2009 1:12 ก่อนเที่ยง

หัวเรื่อง: [noolex] ฟ้ า . . . ห ลั ง ฝ น

ถึง: เพื่อน ๆ ที่กลัว ฝน...หลัง...ฟ้า


หลายครั้งที่รู้สึกท้อแท้
หลายครั้งที่รู้สึกสิ้นหวัง
หลายครั้งที่รู้สึกหมดกำลังใจ
อ้างว้าง........โดดเดี่ยว......
จนเหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกใบนี้
ไม่มีแม้แต่คนเข้าใจ....

คุณเป็นคนหนึ่งที่เคยรู้สึกอย่างนี้บ้างรึป่าว ?

ถ้าหากวันนี้คุณกำลังมีความรู้สึกแบบนี้
ขอให้คุณรู้ไว้เถอะนะว่า ....
ช่วงเวลาเหล่านั้นอยู่กับคุณได้ไม่นานนักหรอก
สักวันหนึ่งมันจะต้องผ่านไป
แล้วสิ่งดีๆ ก็จะก้าวเข้ามาในชีวิตคุณ

ขอให้คุณคิดซ่ะว่า ไม่มีผู้ใดในโลก
ที่ไม่รู้จักกับความทุกข์ ......
แล้วเค้าคนนั้นจะรู้จักความสุขอย่างแท้จริง
ขอให้คุณรู้ไว้เถอะว่าความทุกข์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตคุณนั้น
มันจะทำให้คุณเห็นถึงคุณค่าของความสุขที่คุณกำลังจะได้รับ

เพราะบางสิ่งที่คุณกำลังเผชิญอยู่นั้น....
มันอาจเป็นเพียงแค่พายุฝนที่พัดผ่าน
ผ่านเข้ามาทำให้คุณเปียกปอน....
แต่อีกไม่นานพายุฝนก็จะสงบ
แล้วท้องฟ้าก็จะสดใส .... ไร้ซึ่งเงาของเมฆฝน
จงรับรู้ไว้เถอะว่าฟ้าหลังฝน นั้นสวยงามเสมอ....
392  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เตือนจิต สะกิดใจ คำคมน้อย ๆ กับ คำให้กำลังใจ ที่ดี ๆ เมื่อ: กันยายน 29, 2010, 07:35:10 am


บางสิ่งที่ไม่อยากรู้ และไม่ควรรู้ก็อาจจะได้รู้ซักวัน เตรียมใจซะตั้งแต่วันนี้ก็คงจะดี

จะมีฝันไว้ทำไม ถ้าใจไม่วิ่งตาม

ถ้าเราเหยียบย้ำความฝันของตัวเอง คนนั้นแหละคือคนโง่

ไม่ต้องเครียดเกินกว่าที่เราจะรับไหว

อันตรายที่สุดของชีวิต คือการคาดหวัง

อดีตไม่สำคัญ ปัจจุบันทำให้ดีที่สุด

อุปสรรค คือเหตุแห่ง ชัยชนะ

บนโลกนี้มีแต่น้ำตา ขึ้นอยู่กับว่าจะมากหรือน้อย

ไม่มีใครได้สิ่งใดมาโดยไม่ต้องสูญเสียบ้างสิ่ง

ฝันไกลๆ ต้องไปให้ถึง

ไม่มีมิตรที่ถาวรและศัตรูที่แท้จริง

หากคิดว่าเราโง่ คนคนนั้นก็คงทำอะไรไม่มีวันสำเร็จ

คนที่ไม่พยายาม ไม่มีคุณค่าพอจะทำอะไรให้สำเร็จได้หรอก

นอตเล็กๆตัวเดียวก็ทำให้ยานโคลัมเบียระเบิดได้

ถามตัวเองวันคำ ว่าตัวเองเป็นยังไง

จงแยกความจริงออกจากความฝัน และทำวันนี้ให้ดีที่สุด

อดีตที่เจ็บปวดคือบทเรียนครั้งสำคัญ จงเอามาใช้กับปัจจุบัน แต่อย่าวาดความฝันไว้บนอนาคต

คนที่เห็นคุณค่าของสิ่งต่างๆรอบตัวอย่างถ่องแท้ คงไม่จำเป็นจะต้องเป็นคนที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนนะ

คนที่พูดคำว่า ?...ถ้า...? ไม่มีปัญญาจะทำอะไรทั้งนั้น

จงตอกผังของความสำเร็จไว้บนหน้าผาก

แล้วค่อยๆวาดทับ เติมเส้น และลงสีวันละนิด ให้ภาพนั้นสมบูรณ์ในที่สุด

คำว่า...โง่...ไม่ได้หมายถึงความล้มเหลว

ถ้าก้างปลาติดคอ คุณจะเลิกกินปลามั้ย?

จงคิดในสิ่งที่ใหญ่ และใส่ใจในสิ่งที่เล็ก

จะหาเพื่อนแท้ซักคนนั้นต้องใช้เวลาเป็นสิบปี

ถ้าไม่รู้จักคำว่าแพ้ที่แท้จริง เขาก็คงไม่รู้จักคำว่าชนะที่แท้จริงเหมือนกัน

by: สะกุดาษ
393  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นักปรัชญา vs นักแจวเรือ เมื่อ: กันยายน 29, 2010, 07:31:57 am
เด็กหนุ่มคนหนึ่ง...เป็นชาวสงขลา...เรียนเก่งมาก...
ได้ทุนไปเรียนอเมริกา...ตั้งแต่เด็ก...จนจบด็อกเตอร์...
จึงกลับมาเยี่ยมบ้าน...


บ้านของเด็กหนุ่ม...อยู่อีกฟากหนึ่ง...ของทะเลสาบสงขลา...
ต้องนั่งเรือแจว...ข้ามไป...ใช้เวลาแจวประมาณหนึ่งชั่วโมง...
เรือที่ติดเครื่องยนต์...ไม่มีเหรอ...ลุง... ?
ไม่มีหรอกหลาน...ที่นี่มันบ้านนอก...มันห่างไกลความเจริญ...มีแต่เรือแจว...
โอ...ล้าสมัยมากเลยนะลุง...โบราณมาก...ที่อเมริกา....เขาใช้เครื่องบินกันแล้วลุง...ลุงยังมานั่งแจวเรืออยู่อีก...
ไปส่งผมฝั่งโน้น...เอาเท่าไร...ลุง... ?
80 บาท...
OK ...ไปเลยลุง...
ในขณะที่ลุงแจวเรือ... หนุ่มนักเรียนนอก...ก็เล่าเรื่องความทันสมัย...ความก้าวหน้า...ความศิวิไลช์...ของอเมริกาให้ลุงฟัง...
เมืองไทย...เมื่อเทียบกับอเมริกาแล้ว...ล้าสมัยมาก...ไม่รู้คนไทย...อยู่กันได้ยังไง... ?
ทำไมไม่พัฒนา...ทำไมไม่ทำตามเขา...เลียนแบบเขาให้ทัน... ?
ลุง...ลุงใช้คอมพิวเตอร์...ใช้อินเตอร์เน็ต...เป็นไหม... ?
ลุงไม่รู้หรอก...ใช้ไม่เป็น...
โอโฮ้...ลุงไม่รู้เรื่องนี้น่ะ....ชีวิตลุงหายไปแล้ว...25 %... .
แล้วลุงรู้ไหมว่า...เศรษฐกิจของโลก...ตอนนี้เป็นยังไง... ?
ลุงไม่รู้หรอก...
ลุงไม่รู้เรื่องนี้นะ...ชีวิตของลุงหายไป...50 %
ลุง...ลุงรู้เรื่องนโยบายการค้าโลกไหม...ลุง... ?
ลุง...ลุงรู้เรื่องดาวเทียมไหม...ลุง...?
ลุงไม่รู้หรอก...หลานเอ๊ย...ชีวิตของลุง...ลุงรู้อยู่อย่างเดียว...ว่าจะทำยังไง...ถึงจะแจวเรือให้ถึงฝั่งโน้น...
ถ้าลุงไม่รู้เรื่องนี้...ชีวิตของลุง...หายไปแล้ว...75%

พอดีช่วงนั้น...
เกิดลมพายุพัดมาอย่างแรง...คลื่นลูกใหญ่มาก...ท้องฟ้ามืดครึ้ม...
นี่พ่อหนุ่ม...เรียนหนังสือมาเยอะ...จบดอกเตอร์จากต่างประเทศ...ลุงอยากถามอะไรสักหน่อยได้ไหม... ?
ได้...จะถามอะไรหรือลุง... ?
เอ็งว่ายน้ำเป็นไหม... ?
ไม่เป็นจ๊ะ...ลุง....
ชีวิตของเอ็ง...กำลังจะหายไป 100 % ...แล้วพ่อหนุ่ม...


จาก...Forward mail...
394  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ธรรมะสั้น ๆ จากสมเด็จโต เมื่อ: กันยายน 29, 2010, 07:29:30 am
395  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สมุนไพร ต้านหวัด ครับ เมื่อ: กันยายน 26, 2010, 08:52:57 am


นายขวัญชัย คงมงคล แพทย์แผนไทยประยุกต์ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพแผนไทยกมลาศรม (กำ-มะ-รา-สม) สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลก เปิดเผยว่า

จาก ข่าวที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร ออกมาระบุว่า ฟ้าทลายโจรมีฤทธิ์ในการช่วยสร้างภูมิต้านทาน ในการป้องกันรักษาโรคไข้หวัดได้ ทำให้มีประชาชนมาสอบถามขอซื้อฟ้าทลายโจรเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะช่วง 2 - 3 วันที่ผ่านมา ทำให้สินค้าที่ศูนย์ในช่วงนี้ ไม่มีจำหน่าย ซึ่งหากประชาชนที่ต้องการซื้อฟ้าทลายโจร สามารถไปซื้อได้ที่โรงพยาบาลบางกระทุ่ม เนื่องจากเป็นสถานที่ผลิตฟ้าทลายโจรแคปซูล ส่งให้กับศูนย์ส่งเสริมสุขภาพแผนไทยกมลาศรม

ส่วนการรับประทานฟ้าทลายโจร มี 3 วิธี คือ วิธีแรกเด็ดใบหรือยอดอ่อนจำนวน 3 ถึง 5 ใบ มาล้างน้ำให้สะอาดเคี้ยวรับประทานได้เลย

แต่ รสชาติจะขมมาก วิธีที่ 2 เด็ดใบสดหรือแห้งนำมาใส่น้ำร้อนทำเป็นชาดื่มก่อนอาหารเช้า กลางวัน เย็น ครั้งละหนึ่งแก้ว ส่วนคนที่ไม่ชอบความขม ให้นำใบแห้งมาบดเป็นผงละเอียด ผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอนรับประทาน เช้า กลางวัน เย็นก่อนอาหาร แต่ถ้ารับประทานไปแล้ว1-2 วันอาการไม่ดีขึ้นให้ไปพบแพทย์ทันที ซึ่ง การรับประทานฟ้าทลายโจร ก็มีข้อควรพึงระวังเช่นเดียวกัน

คือคนที่มีโรคความดันโลหิตต่ำ ไม่ควรรับประทาน และไม่ควรรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ เพราะจะทำให้มือเท้าชาได้

ที่มา : คมชัดลึก
396  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เมื่อพ่อสอนลูก ให้รู้จักคุณค่า พรหมจรรย์ เมื่อ: กันยายน 26, 2010, 08:49:35 am

เมื่อคืนนี้หลังจากกราบพระกับคุณพ่อ คุณแม่แล้ว

คุณพ่อเรียกลูกเข้าไปพบ

แล้วบอกลูกว่าพ่อมีอะไรให้ดู สำคัญมากนะ

แล้วคุณพ่อก็หยิบอะไรสักอย่างออกจากกระเป๋าเสื้อ เอามือกำไว้

ถามว่าอยากรู้มั้ยว่ามีอะไรในมือพ่อ ลูกพยักหน้า






ลูกอยากทราบนี่คะ ว่าเป็นอะไร

ถ้าอยากรู้ต้องเอามือเขกพื้น 3 ที

ลูกทำตาม คุณพ่อว่า ไม่พอ ต้อง 5 ที

และเปลี่ยนเป็น 10 ที จนถึง 15 ที

ก็ลูกอยากทราบนี่คะ ว่าเป็นอะไร

เมื่อคุณพ่อแบมือออก มันคือเหรียญ 5 บาท ธรรมดานี่เอง






ลูกรู้แล้ว ไม่อยากดูอีกเบื่อ

คุณพ่อหัวเราะ แล้วกำมือกับเหรียญ 5 บาทเดิม

ถามว่า อยากดูมั้ย เขกพื้น 10 ที

ลูกรู้แล้วไม่อยากดูค่ะ

คุณพ่อว่า เอ้า เขกพื้น 1 ทีก็ได้

ลูกก็บอกว่า ลูกรู้แล้ว ไม่อยากดูอีกเบื่อค่ะ

คุณพ่อว่าให้ดูฟรี ๆ ก็ได้ ลูกก็ดูไปอย่างนั้นเอง





สิ่งที่พึงหวงสำหรับสตรี เป็นสิ่งมีค่า ถ้าให้ใครรู้ก่อนเวลาอันควรก็จะไม่มีค่าอะไร

คุณพ่อเลยบอกว่า

" นี่ละลูก อะไรที่เป็นความลับคนมักยอมทำทุกอย่าง

ที่จะได้สมปราถนา อยากดู อยากรู้อยากเห็น

แต่เมื่อสมปราถนาแล้ว ดูบ่อยๆแล้วก็มักจะเบื่อ

ให้ดูฟรีๆ ยังไม่อยากดูเลย

แล้วสิ่งที่พึงหวงสำหรับสตรี เป็นสิ่งมีค่า

ถ้าให้ใครรู้ก่อนเวลาอันควรก็จะไม่มีค่าอะไร

ไม่ต่างกับเหรียญ 5 บาทที่พ่อให้ลูกดูฟรีหรอก "
397  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ถามเรื่องการเดินจงกรม คะ เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 03:46:51 pm
วิธีการเดินจงกรม คร้า

อยากทราบวิธีการเดินจงกรม คร้่า

แนะนำการเดินจงกรม ที่เหมาะสมกับจริตมีหรือป่าว คร้า

คุณธรรมธวัช , คุณปุ้ม ก็ได้นะ คร้า แนะนำหน่อย คร้า

 ขอขั้นตอน แบบ เบสิก นะคร้า ....

 ช่วงนี้อยากฝึกเดิน จงกรม ในบ้าน ซะหน่อย ยังไม่เคยหัดเลย

 :c017: ล่วงหน้า

 :25: สาูธุงาม ๆ กับคนที่ช่วยแนะนำ
Aeva Debug: 0.0004 seconds.
398  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อย่าท้อจง สู้ ๆๆๆๆๆ ต่อไป +++ เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 03:13:18 pm
จงสู้ๆอย่าท้อ


ไม่มีใครในโลกนี้ที่เกิดมาแล้ว
ไม่เคยประสบพบเจอแต่ความล้มเหลว
แต่ถ้าหาก เรายังจมปลัก อยู่กับความล้มเหลวโดยไม่คิดที่จะลุกขึ้นมาสู้ใหม่
ชีวิตนี้ของเราก็จะพ่ายแพ้และล้มเหลวตลอดไป

เมื่อใดก็ตามที่เราประสบความล้มเหลว
เราก็จะได้รับบทเรียนให้กับชีวิต
การค้นหาข้อผิดพลาด และข้อบกพร่อง
จะทำให้เราได้ประสบการณ์ และสามารถลุกขึ้นสู้
จนท้ายที่สุดก็จะพบกับชัยชนะ จากการต่อสู้นั้นๆ

หากเราคิดในทางสร้างสรรค์
ความล้มเหลวยังทำให้เรามีสติปัญญาคิดไตร่ตรองมากยิ่งขึ้น
มีกำลังใจที่เข็มแข็ง มีความเชื่อมั่น เข้าใจในความทุกข์
และมีความอุตสาหะมากยิ่งขึ้นด้วย
ถ้าเราคิดได้ดังนี้เราจะมีแรงฮึด
ลุกขึ้นมาสู้ได้อีกอย่างแน่นอน

การรู้จัก ที่จะมีความอดทน ต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรค
เป็นสิ่งสำคัณอย่างยิ่งกับความเจริญก้าวหน้า
คนที่ไม่รู้จักอดทนต่อสู้ มักจะมีชีวิตที่แห้งเฉา
อยู่อย่างซังกะตายไปวันๆ
ชีวิตไม่มีความหมายกับคนพวกนี้เลย
ผู้ที่ไม่อดทนต่อสู้กับอุปสรรค
จะไม่มีทางประสบความสำเร็จในชีวิตนี้ได้
เพราะเขาจะไม่มีพลังใดๆ มาต่อสู้กับปัญหาได้เลย
เขาจึงต้องพบกับความผิดหวัง และความล้มเหลวอยู่เป็นประจำนั่นเอง

นอกจากนี้การต่อสู้ ที่งดงาม
ก็มิใช่การต่อสู่ที่เหยียบย่ำผู้อื่น
จนทำให้ตัวเองกลายเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จแต่เพียงผู้เดียว

เมื่อใดก็ตามที่เราลงมือต่อสู้
เราก็จะพบว่า...
เราก็มีความสามารถและมีพรสวรรค์
ที่กำลังก่อตัวอยู่ในตัวเราอย่างไม่น่าเชื่อ
ชึ่งนี้นี่เองคือผลพลอยได้ อย่างหนี่ง
ของการได้ลงมือต่อสู้ นั่นเอง
399  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มาดื่มน้ำรักษาโรคกันเุถอะ เมื่อ: กันยายน 20, 2010, 08:17:28 am
วิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ
วิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ



จากหนังสือพิมพ์จีน
       ในเร็ว ๆ นี้ มีคนมากมายส่งเสริมวิธีดื่มน้ำ เพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพสมบูรณ์ นี่เป็นแบบนิยมอันดีงามอย่างหนึ่ง ชีวิตที่ดำรงอยู่ได้ นอกจากอากาศที่บริสุทธิ์ก็คือน้ำ น้ำหนักตัวของคนเรา 2 ใน 3 ส่วนเป็นน้ำจึงมีคนว่าคนประกอบด้วยน้ำ อันที่จริงน้ำสามารถปรับอุณหภูมิในร่างกายของคนได้ สามารถทำให้ไตทำงานเป็นปกติขับถ่ายสิ่งโสโครกให้ออกจากร่างกายได้ นายแพทย์แนะนำบ่อย ๆ ว่าดื่มน้ำให้มากทุก ๆ วัน
        วิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่าง ๆ ตามที่ได้ทดสอบมาแล้วได้ผล ตื่นเช้าลุกขึ้น ไม่ล้างหน้า ไม่บ้วนปาก แล้วดื่มน้ำสุก 5 แก้ว (ขวดวิสกี้บรรจุได้ 3 แก้ว) หรือน้ำหนักของน้ำ 1.26 ก.ก. เท่ากับ 5 แก้วรวดเดียวจะรู้สึกหายใจเหนื่อยอึดอัดไปหน่อย หลังจากนั้นจะปัสสาวะบ่อย ๆ การปฏิบัติยากลำบากเช่นนี้ หากผู้ที่ไม่มีความเชื่อมั่นอาจจะเลิกเสียกลางคัน ผู้ที่ใช้สมองทั้งวันทั้งคืนในธุรกิจการค้า หาเวลาว่างไปออกกำลังมิได้ ทุกเช้าควรปฏิบัติดี่มน้ำรักษาโรคแทนการออกกำลังกาย เชื่อมั่นได้ว่าจะต้องปราศจากโรค ชีวิตยั่งยืนอย่างไม่ต้องสงสัยในระยะนี้มีผู้ใจบุญพิมพ์คำอธิบายวิธีดี่มน้ำ รักษาโรคต่าง ๆ ส่งไปให้เพี่อนฝูง เพี่อนที่ได้รับรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งการที่ช่วยซึ่งกันและกันแบบนี้ ควรจะเผยแพร่ไห้มากขึ้น ผู้เขียนยินดีให้ "วิธีดื่มน้ำรักษาโรคของจีนนี้เปิดเผยให้ผู้อ่านได้มีโอกาสค้นคว้าและทดลอง ดู วิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่าง ๆ" ได้เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แต่ความเป็นจริงได้ผลอย่างนี้แน่นอนเนื่องจากทำให้ลำไส้ใหญ่ผลิตโลหิตใหม่ มากขึ้นซึ่งโลหิตใหม่นี้ผลิตขึ้นจากฝอยคล้ายสักหลาดที่อยู่ในลำไส้ใหญ่ดูด ธาตุต่าง ๆ จากอาหารต่าง ๆ ผลิตให้เป็นเม็ดโลหิตคนบางส่วน เนื่องจากลำไส้เคลื่อนไหวไม่เต็มที่ เป็นเหตุให้โลหิตจาง มีอาการรู้สึกเพลียและเป็นโรค เป็นการรักษายาก ลำไส้ของผู้ใหญ่ยาว 8 เมตร ทำหน้าที่ดูดธาตุต่าง ๆ จากอาหาร ถ้าลำไส้สะอาดอาหารที่ได้รับประทานเข้าไปผ่านการย่อยแล้วดูดไปผลิตให้เป็น โลหิตใหม่เป็นการเร่งให้เกิดพลังงานในร่างกายให้สมบูรณ์ขึ้น โรคต่าง ๆ จะหายไปเองอายุก็ยั่งยืน
        มหาวิทยาลัยของมณฑลต่าง ๆ ในประเทศจีน ได้ผ่านการทดลอง ได้ประกาศเปิดเผยให้ทราบโดยทั่วกัน วิธีดื่มน้ำรักษาโรค สามารถรักษาโรคดังต่อไปนี้ คือ ท้องผูก ปวดหัว เวียนศีรษะ โลหิตจาง โรคประสาทความดันโลหิตสูง อัมพาตทั้งกาย เป็นลม ปากเบี้ยว โรคปวดตามข้อ โรคอ้วนพี ปวดในกระดูกเส้นเอ็นปวดเมื่อย หูอื้อ ใจเต้น มือเท้าอ่อนเพลีย โรคไอ โรคหืด หอบ หลอดลมอักเสบ วัณโรค เยี่อสมองอักเสบโรคตับ โรคไต เป็นนิ่ว กรดเปรี้ยวในกระเพาะอาหารมากเกินไป กระเพาะอืด กระเพาะอาหารเป็นแผลเน่าเรื้อรัง โรคบิด โมงล่อ (ดากหลุด) โรคริดสีดวงทวาร โรคเบาหวาน สายตาอ่อน โรคตาต่าง ๆ ตาออกเลือดสตรีประจำเดือนไม่ปกติ ระดูขาว มะเร็งในมดลูก มะเร็งเต้านม จมูกอักเสบ เจ็บคอ และโรคผิวหนังต่าง ๆต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าของผู้ที่ได้ผ่านการทดลองดื่มน้ำมาแล้ว
       1. ผู้เขียนได้พบกับผู้ชราที่มีสุขภาพอย่างสมบูรณ์ ได้ทักทายกับท่าน ถามท่านว่าเคยเจ็บไข้หรือเปล่า ท่านตอบว่าหลายสิบปีมาแล้วไม่เคยเจ็บไข้มาเลย ท่านกล่าวว่าตอนที่อายุ 20 ปี กระเพาะอาหารเป็นแผล เน่าเรื้อรังนอนอยู่กับที่นานถึง 10 ปี ได้ผ่านการตรวจจากนายแพทย์ 5 ท่าน รักษาฉีดยา รับประทานยา ไม่ ได้ผล ต่อมามีนายแพทย์ท่านหนึ่งได้แนะนำว่าคุณควรทดลองดี่มน้ำสุกอย่างนี้ ตี่นแต่เช้าหน้าไม่ล้าง ปากไม่ บ้วน ดี่มน้ำสุก 5 แก้วทุก ๆวัน อย่าให้ขาดตอน และห้ามไม่ให้รับประทานอาหารก่อนเข้านอน นาย แพทย์สั่งเสร็จไม่ให้ยาก็กลับไป วันรุ่งขึ้นผมก็ทำตามนายแพทย์สั่ง ดื่มน้ำ 5 แก้วรวดเดียว ในหนึ่งชั่วโมง ปัสสาวะ 3 ครั้ง หลังจากนั้นก็รับประทานข้าวต้ม รู้สึกรสชาติของข้าวต้มอร่อยกว่าที่แล้ว ๆ มา วันที่สองดื่มน้ำ 5 แก้วอีกถ่ายอุจจาระออกมามีเลือดดำปนอยู่มาก ต่อจากนั้นสามเดือนน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอีก 10 ก.ก. เวลานี้ผมอายุ 64 ปีแล้ว นับแต่ได้ปฎิบัติดื่มน้ำมา ยังไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยเลย แม้แต่หวัดก็ไม่เคยเป็น
       2. เมื่อผมยังเป็นเด็กเคยเป็นเยื่อสมองอักเสบ นายแพทย์สั่งให้ดื่มน้ำ 5 แก้วทุกวัน ไม่นานเยื่อสมอง ที่อักเสบก็หายไปเอง ภรรยาผมเมื่อ 10 ปีก่อน เป็นโรคหัวใจและเป็นโรคอ้วนเกินไป ร่างกายสูงไม่เกิน 5 ฟุต น้ำหนักตัว 120 ก.ก. พอดื่มน้ำได้ 15 วัน โรคหัวใจ โรคประสาท โรคเข็ดเมื่อยก็ค่อย ๆ ดีขึ้น ดื่มน้ำได้ สองเดือนน้ำหนักตัวลดลงไป 16 ก.ก. เมื่อก่อนเราต้องใช้ยาประจำ นวดไฟฟ้า และรักษาด้วยวิธีเข็มแทง แบบหมอจีนเวลานี้หายไปเองหมดแล้ว
       3. อาจารย์ในมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นเคยแถลงการณ์ร่วมสองครั้ง เกี่ยวกับฝอยคล้ายสักหลาดในลำไส้ผลิต โลหิตขึ้น จนเดี๋ยวนี้ไม่เห็นมีใครโต้แย้งเลย ไม่ว่าโลหิตจะมาจากไหน แต่ธาตุต่าง ๆ จะต้องมาจากอาหาร อย่างแน่นอน เมื่ออาหารลงไปถึงกระเพาะแล้วผ่านการย่อยลงไปสู่ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก ธาตุส่วนมาก กลายเป็นของเหลวลำไส้ยาว 8 เมตร ดูดธาตุต่าง ๆ เสร็จ ส่งไปสู่ลำไส้ออกของที่ทวารหนักเป็นของที่ไม่ มีประโยชน์สำหรับร่างกาย
       4. กระเพาะเป็นแผลเน่า ดื่มน้ำ 1 สัปดาห์ก็เห็นผล โรคความดันโลหิตสูง ดื่มน้ำ 1 เดือนเริ่มเห็นผล กระเพาะบิด 3 เดือนเริ่มเห็นผล ท้องผูก 3 วันก็เห็นผล ท้องเป็นบิดกับปัสสาวะกลางคืนบ่อย ๆ ดื่มน้ำ 1 สัปดาห์ก็เห็นผล เข็ดเมื่อยตามข้อ 3 เดือนเห็นผล ผู้สูงอายุเข็ดเมื่อยทั้งร่างกาย ดื่มน้ำ 2 เดือนเห็นผล โดยเฉพาะผู้ที่โลหิตคั่งอยู่ในสมอง เกิดเป็นลมขึ้น เป็นมายังไม่เกิน 3 เดือน ดื่มน้ำเพียงสัปดาห์เดียวก็ หายเหมือนเดิม รับรองไม่พิการหรือเป็นอัมพาต
       ผู้ที่ดี่มน้ำควรทราบ ดื่มน้ำสุกดีที่สุด หากดื่มน้ำประปา ควรจะใส่ขวดไว้แรมคืนให้ตกตะกอนเสียก่อนเพื่อป้องกันท้องร่วง เวลารับประทานอาหารดื่มน้ำได้ตามปกติ แต่หลังอาหารสองชั่วโมงไม่ควรดื่มอีกก่อนเข้านอนไม่ควรรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามรับประทานน้ำส้มคั้น และจำพวกแอปเปิ้ลผู้ที่มีโรคประจำตัวดื่มน้ำทีเดียว 5 แก้วไม่ใช่ของง่าย ดื่มน้ำเสร็จทางที่ดีใช้กำลังสัก 20 นาที คนไข้ที่นอนอยู่บนเตียงไม่สามารถลุกขึ้นได้ ดื่มน้ำเสร็จให้สูดอากาศเข้าปอดให้มาก ๆ และนวดที่บริเวณที่สะเอวให้น้ำไหลลงสู่ลำไส้ให้สะอาด
       ดี่มน้ำวันแรกภายใน 1 ชั่วโมง จะปัสสาวะ 3 ครั้งติด ๆ กัน แต่ต่อไป 3-4 วัน การถ่ายท้องจะ เป็นปกติภายใน 7-8 วัน การปัสสาวะเป็นเพียงครั้งเดียว นับแต่นั้นไปจะรู้สึกร่างกายสบาย เวลารับ ประทานอาหารจะรู้สึกอร่อยเป็นพิเศษ นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่ากระเพาะลำไส้ได้ถูกชำระสะอาดแล้ว ผู้ที่ หมดหวังแล้วจะรอดตายด้วยวิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่าง ๆ นี้
        ข้อควรทราบ หลังจากอาตมาได้ทราบตามข้อนี้ และได้ปฏิบัติตาม รู้สึกว่าโรคต่าง ๆ ที่คนชราโดยมากเป็นอยู่บัดนี้รู้สึกว่าเริ่ม เห็นว่าเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมจึงขอยืนยันมาให้ทราบ เป็นการกุศลต่อไป ท่านที่รับหลักการนี้ไปปฏิบัติแล้ว ถ้ามีประโยชน์ดีควรเผยแพร่ต่อไป เพื่อเป็นการกุศล หลวงพ่อสารี่ วัดโคกเนียนตำบลคูหาสวรรค์ อำเภอเมือง จ้งหวัดพัทลุง

ภาพประกอบจากเว็บ
http://learn.chanpradit.ac.th/m32550/3.12_g1/Water.html
400  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คำแนะนำจากคุณหมอ..... เมื่อ: กันยายน 20, 2010, 08:05:45 am
วันอาทิตย์

อาหารคาว : ประเภทไข่ ดาว เจียว ผัด ลูกเขย ลูกสะใภ้ ต้ม แกงกะทิ
อาหารหวาน : ไข่หวาน มะพร้าวอ่อน มะพร้าวแก้ว ขนมใส่กะทิ น้ำกระเจี๊ยบ น้ำมะพร้าว น้ำขิง เงาะ
ของถวายพระ : หลอดไฟ ไฟฉาย เทียน ธูป อุปกรณ์แสงสว่าง แว่นตา หมากพลู
ไหว้พระปาง : ถวายเนตร (พระประจำวันเกิด) กำลังวันเท่ากับ ๖ (สวดแบบย่อ อะ วิช สุ นุส สา นุต ติ)
ทำทาน : เติมน้ำมันตะเกียงตามวัด ? คนตาบอด โรงพยาบาลโรคตา มูลนิธิคนตาบอด โรงพยาบาล โรคหัวใจ มูลนิธิโรคหัวใจ
พฤติกรรม : ออกรับแสงอาทิตย์อ่อนๆ ช่วงเช้าหรือเย็นๆ เพื่อให้เกิดพลัง อย่าใจร้อน เลิกทิฐิ ทำตัวเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น

?

วันจันทร์
อาหารคาว : ประเภท สัตว์ปีก สัตว์น้ำ เช่นไก่ผัดขิง ไก่ย่าง ไก่ทอดปูผัดผงกะหรี่ ปูนึ่ง ข้าวมันไก่ ข้าวผัดปู เต้าหูทอด แกงจืดเต้าหู้ แกงเผ็ดเป็ดย่าง ปลาสลิดทอด
อาหารหวาน : น้ำเต้าหู้ นมถั่วเหลือง น้ำอ้อย โดนัท นมสด นมกล่อง เผือก มัน ลางสาด ขนมเปี๊ยะ
ของถวายพระ : แก้วน้ำ แจกัน ของโปร่งๆ ใสๆ
ไหว้พระ : ปางห้ามญาติ (พระประจำวันเกิด) กำลังวัน เท่ากับ ๑๕ (สวดแบบย่อ อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา)
ทำทาน : มูลนิธิช่วยเหลือสตรี
พฤติกรรม : ทำ จิตใจให้สดชื่น แจ่มใส อยู่เสมอ อย่าวิตกกังวลเกินเหตุ ให้ความช่วยเหลือสตรีเช่นลุก ให้สตรีนั่งบนรถเมล์บริหารกล้ามเนื้อหน้าอกให้แข็งแรง


วันอังคาร
อาหารคาว : อาหารประเภทเส้น ขนมจีน วุ้นเส้น บะหมี่ ก๋วยเตี๋ยว เนื้อวัว ปลาช่อนตากแห้งทอด
อาหารหวาน : ฝอยทอง สลิ่ม ลอดช่อง ทุเรียน ระกำ ขนุน น้ำสไปร์ท น้ำอัดลม
ของถวายพระ : เหล็ก เครื่องมือประเภทเหล็ก กรรไกร แปรงสีฟัน ยาสีฟัน พัดลม กรรไกรตัดเล็บ
ไหว้พระ : ปางไสยาสน์ (พระนอน) ? มีกำลังเท่ากับ ๘ (สวดแบบย่อ ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง)
ทำทาน : คนพิการทางปาก ปากแหว่ง ผู้ป่วยโรคลมชัก
พฤติกรรม : ทำตัวให้กระฉับกระเฉง ตื่นตัว ขยันให้มากขึ้น ลดอารมณ์ร้อน การชิงดีชิงเด่น


วันพุธ ( กลางวัน)
อาหารคาว : เน้นสีเขียว หมู แกงเขียวหวานหมู หมูปิ้ง หมูทอด ผัดพริกหมู ฯ คะน้าน้ำมันหอย กุนเชียง
อาหารหวาน : ขนมเปียกปูนเขียว น้ำฝรั่ง ชมพู่เขียว องุ่นเขียว มะม่วงเขียวเสวย ฝรั่ง ชามะนาว
ของถวายพระ : สมุด กระดาษ ปากกา ดินสอ อุปกรณ์การเรียนการศึกษา
ไหว้พระ : ปางอุ้มบาตร ( พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ ๑๗ (สวดแบบย่อปิ สัม ระ โล ปุ สัต พุท )
ทำทาน : คนพิการทางหู โรงพยาบาลโรคสมอง โรงเรียนสอนคนหูหนวก
พฤติกรรม : อ่านหนังสือธรรมะ ร้องเพลง ฝึกสร้างความมั่นใจให้ตนเอง

?

วันพุธ ( กลางคืน)
อาหารคาว : ของหมักดอง ผักกาดดองผัดไข่ อาหารกระป๋อง แกงใบยอ หมูยอ แหนม ไข่เยี่ยวม้า
ห่อ หมก
อาหารหวาน : ข้าวหมาก ขนมเปียกปูนดำ เฉาก๊วย ข้าวเหนียวดำ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ผลไม้หัวโตๆ ทุเรียน
ของถวายพระ : พัดลม เทปธรรมะ ยาแก้โรคลม ยาหอม
ไหว้พระ : ปางป่าเลไลย์ (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ ๑๒ (สวดแบบย่อ คะ พุท ปัน ทู ธัม วะ คะ)
ทำทาน : มูลนิธิหรือหน่วยงานที่เกี่ยวกับยาเสพติด
พฤติกรรม : เลิกบุหรี่ เลิกดื่มหรือลดปริมาณการดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เลิกการพนัน เลิกทำตัวเหลวไหล เลิกเที่ยวกลางคืน เลิกยาเสพติดทุกชนิด


วันพฤหัสบดี
อาหารคาว : ประเภทเถา แกงเลียง บวบผัดไข่ น้ำเต้า
อาหารหวาน : แตงโม แตงไทย น้ำสมุนไพร ส้ม สาลี่ น้ำมะตูม น้ำว่านหางจระเข้
ของถวายพระ : สบง จีวร หนังสือธรรมะ ตู้ยา โต๊ะหมู่บูชา
ไหว้พระ : ปางสมาธิ (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ ๑๙ (สวดแบบย่อ ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ)
ทำทาน : โรงพยาบาลสงฆ์ บริจาคข้าวสาร เสื้อผ้า ผ้าห่มกันหนาว
พฤติกรรม : นั่งสมาธิ สวดมนต์ ถือศีล๕ อย่าซื่อจนเกินไป

?

วันศุกร์
อาหารคาว : ประเภทของหอม หวาน ข้าวหอมมะลิ ผักกาดหอม ไข่เจียวหอมใหญ่ ยำหัวหอม
อาหารหวาน : ขนมหวาน หอมทุกชนิด น้ำเก๊กฮวย ผลไม้ที่มีกลิ่นหอม กล้วยหอม เค้ก
ของถวายพระ : นาฬิกา โต๊ะรับแขก ดอกไม้สวยหอม ระฆัง ย่าม
ไหว้พระ : ปางรำพึง ( พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ ๒๑ (สวดแบบย่อ วา โธ โน อะ มะ มะ วา)
ทำทาน : เด็กด้อยโอกาส ให้เงิน ให้เสื้อผ้า อาหารที่หอมหวานชวนกิน เช่น ไอศกรีม
พฤติกรรม : ทำตัวให้สดชื่นแจ่มใส บำรุง ดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่ตลอด จัดสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ สวยงาม เลิกการฟุ่มเฟือย


วันเสาร์
อาหารคาว : ประเภทของขม ของดำมะระยัดไส้ สะเดาน้ำปลาหวาน น้ำพริกปลาทู มะเขือยาว
อาหารหวาน : ลูกตาลเชื่อม กาแฟ โอเลี้ยง
ของถวายพระ : ร่มสีดำ กระเบื้องมุงหลังคา ไม้กวาด สร้างห้องน้ำถวายวัด
ไหว้พระ : ปางนาคปรก (พระประจำวันเกิด) มีกำลังเท่ากับ ๑๐ (สวดแบบย่อ โส มา ณะ กะ ระ ถา โธ)
ทำทาน : โรงพยาบาลโรคจิต โรงพยาบาลโรคประสาท
พฤติกรรม : กวาดลานวัด ล้างห้องน้ำวัด ไม่เครียด มองโลกในแง่ดี ขยะในบ้านยกทิ้งทุกวัน อย่า หมักหมม
หน้า: 1 ... 8 9 [10] 11 12