ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - นิรตา ป้อมนาวิน
หน้า: 1 ... 19 20 [21] 22 23 24
801  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ทำไมเราถึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์ เมื่อ: มกราคม 26, 2012, 03:42:33 pm
ข้อความในพระสูตรนั้น มีดั่งนี้ :-

"พระตถาคตเจ้าผู้ทรงอรหันต์ ได้ตรัสรู้อย่างถูกถ้วนแล้ว, และได้ตรัสความเป็นกุศลหรืออกุศลแห่งการบริโภคเนื้อสัตว์แก่เรา, เพื่อว่าเราและสาวกอื่นๆ ในพระพุทธศาสนา ทั้งในปัจจุบันและอนาคต จะได้ประกาศสัจธรรมอันนี้ แก่เขาเหล่าโน้นผู้บริโภคเนื้อสัตว์ เพื่อเป็นการทำลายความอยากในเนื้อสัตว์ของเขานั้นๆ เสีย."


"พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า : โอ, มหาบัณฑิต! ด้วยน้ำหนักแห่งเหตุผลอันมากมายเหลือจะประมวล บ่งแสดงว่าเนื้อทุกชนิดเป็นสิ่งที่ควรปฏิเสธโดยสาวกแห่งพระพุทธศาสนา ผู้มีใจเปี่ยมอยู่ด้วยความกรุณา. สำหรับเขาเหล่านั้น เราจักกล่าวแต่โดยย่อๆ.



โอ, มหาบัณฑิต! ในวัฏฏสงสารอันไม่มีใครทราบที่สุดในเบื้องต้นนี้ สัตว์ผู้มีชีพได้พากันท่องเที่ยวไปในการว่ายเวียนในการเกิดอีกตายอีก. ไม่มีสัตว์แม้แต่ตัวเดียว ที่ในบางสมัย ไม่เคยเป็น แม่ พ่อ พี่น้องชาย พี่น้องหญิง ลูกชาย ลูกหญิง หรือเครือญาติอย่างอื่นๆ แก่กัน. สัตว์ตัวเดียวกัน ย่อมถือปฏิสนธิในภพต่างๆ เป็นกวาง หรือสัตว์สี่เท้าอื่นๆ เป็นนก ฯลฯ ซึ่งยังนับได้ว่าเป็นเครือญาติของเราโดยตรง. สาวกแห่งพระพุทธศาสนา จะทำลงไปได้อย่างไรหนอ, จะเป็นผู้สำเร็จแล้ว หรือยังเป็นสาวกธรรมดาก็ตาม ผู้เห็นอยู่ว่าสัตว์เหล่านี้ทั้งหมด เป็นภราดรของตน, แล้วจะเชือดเถือเนื้อของมัน?


โอ. มหาบัณฑิต
    เรามิได้เคยบัญญัติเนื้อสัตว์ไว้ในสูตรใดๆ หรือกล่าวว่ามันเป็นของควรกิน  หรือนับมันเข้าในประเภทของดีที่ควรกิน...
    โอ. มหาบัณฑิต  เนื้อนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค...
    เพราะว่า เนื้อย่อมเกิดจากเลือดและน้ำอสุจิ   ฉะนั้น มัน จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภคสำหรับสาวกแห่งพระพุทธศาสนา ผู้ประสงค์ต่อธรรมอันบริสุทธิ์..



โอ. มหาบัณฑิต เนื้อนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค...


    เพราะว่าบรรพชิตผู้ประสงค์มิตรภาพในเพื่อนสัตว์ด้วยกัน ทุกถ้วนหน้า  ดั่งเช่น เมื่อสัตว์ได้เห็นนายพราน ชาวประมง หรือคน กินเนื้อเดินมาแม้ในระยะไกล  สัตว์ทั้งหลายก็สะดุ้งกลัวเสียแล้ว  ต่างพากันวิ่งหนีไปไกลพร้อมกับความรู้สึกอยู่ในใจว่า... “ เขาเหล่านั้นเป็น ผี  ยักษ์  อสุรกาย  ผู้ล้างผลาญ ”  นั่นเพราะความกลัวต่อ ความตายของมัน...
    ฉะนั้น เนื้อเป็นสิ่งที่ควรกินสำหรับผู้มีใจดำอำมหิต  เป็น ต้นเหตุแห่งความเสื่อมเสีย และเป็นสิ่งที่จะถูกห้ามกันโดยสัตบุรุษ



โอ. มหาบัณฑิต เนื้อนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค...


    เพราะว่า มีกลิ่นที่น่ารังเกียจ  ไม่น่าบริโภคอยู่ในเนื้อสัตว์ เช่นเดียวกับกลิ่นศพ...
    แม้เหตุผลมีเพียงเท่านี้  เนื้อก็เป็นสิ่งไม่ควรบริโภคสำหรับ พุทธศาสนิกชนอยู่แล้ว  ถ้าหากว่าศพถูกเผาและเนื้อสัตว์อย่างใด อย่างหนึ่งก็ถูกเผา  มันก็จะมีกลิ่นอันน่ารังเกียจไม่แตกต่างกันเลย
.


โอ. มหาบัณฑิต เนื้อนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค...


    เพราะว่า พุทธศาสนิกชนซึ่งเป็นผู้ที่ปรารถนาจะมีสาธุคุณ ในทางจิตทั้งเพื่อตนเองและผู้อื่น...
    คนกินเนื้อย่อมเป็นเหยื่อแห่งโรคหลายชนิด เช่น โรคไส้ เดือน  โรคพยาธิ  โรคเรื้อน  โรคเจ็บในท้อง...
    ( ถ้านับโรคสมัยนี้ที่สองพันปีก่อนยังไม่มีคือ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ  โรคไขข้อ  โรคความดัน... ฯลฯ  ล้วนมาจากเชื้อโรค ในชิ้นเนื้อทั้งสิ้น )



โอ. มหาบัณฑิต เนื้อนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค...


    เพราะว่า การกินเนื้อสัตว์เป็นการกินเนื้อบุตรของตนเองอยู่ ดั่งนี้แล้วจะกล่าวไปไยที่เราจะบัญญัติให้สาวกของเรากินเนื้อสัตว์  ซึ่งเป็นของจัดไว้ต้อนรับของพวกคนใจอำมหิต  เต็มไปด้วยมลทิน   ปราศจากคุณธรรมใดๆ ไม่เหมาะที่จะบริโภคสำหรับผู้บริสุทธิ์ และ เป็นของควรห้ามเด็ดขาดโดยประการทั้งปวง...



โอ. มหาบัณฑิต เนื้อนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค...


    เพราะว่าเขาเหล่านั้นซึ่งเคยชินกับการกินเนื้อ สัตว์  เมื่อความอยากเป็นไปรุนแรงเข้าก็กินเนื้อคนได้
ย่อมจะเป็นผู้ละโมบในการกินและเป็นเหมือนยักษ์ ปีศาจร้าย...
    ครั้นถึงอนาคตกาล  เพราะอำนาจจิตติดฝัง แน่นในการอยากกินเนื้อสัตว์  ย่อมตกไปสู่กำเนิด แหล่งสัตว์ที่กินเนื้อเป็นอาหาร เช่น สิงโต เสือ จระเข้ สุนัขจิ้งจอก  แมว  นกเค้าแมว ฯลฯ



โอ. มหาบัณฑิต เนื้อนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค...


    เพราะว่า เขาผู้ฆ่าสัตว์ชนิดใดๆ ก็ตามเพื่อเงิน  และเขาผู้ซึ่งจ่ายเงินซื้อเนื้อนั้น  ทั้งสองพวกชื่อว่าเป็นผู้ประกอบอกุศลกรรม และจักจมสู่โรรุวะนรกและนรกอื่นๆ



โอ. มหาบัณฑิต เนื้อนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค...


    ผู้ใดพูดว่าพระสมณโคดมตรัสว่า  ผู้บริสุทธิ์แห่งสมัยเพรงกาลย่อมกินอาหารเหมือนคนกินเนื้อ  ย่อมเที่ยวใส่ความทุกข์เจ็บ ปวดให้แก่สัตว์น้อยใหญ่ที่มีชีวิตอยู่บนท้องฟ้า บนบกและในน้ำ เที่ยวรบกวนรังควานมันอยู่เสมอ...
    ดังนี้ ผู้นั้นชื่อว่าไม่พูดตามที่เราพูด  ทั้งกล่าวตู่เราด้วยคำ อันไม่ดีไม่เป็นจริง...  สมณภาพของเขาถูกทำลายย่อยยับเสียแล้ว ถูกทำให้เศร้าหมองเสียแล้ว...  คนชนิดนี้แหละที่กล่าวคำเท็จเทียม มากมายหลายชนิดแด่พระพุทธวจนะ..



โอ. มหาบัณฑิต เนื้อนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรบริโภค...


    ในวัฏฏสงสารอันไม่มีใครทราบที่สุดในเบื้องต้นนี้  สัตว์ผู้มีชีพได้พากันท่องเที่ยวไปในการเวียนว่ายแห่งการเกิดตาย ไม่มีสัตว์ แม้แต่ตัวเดียวไม่เคยเป็นพ่อ แม่ พี่น้องชาย พี่น้องหญิง ลูกชาย  ลูกหญิง หรือเครือญาติแก่กัน  สัตว์ตัวเดียวกันย่อมถือปฏิสนธิ ในภพต่างๆ เป็นสัตว์สองเท้า สัตว์สี่เท้า สัตว์เลื้อยคลาน เป็นนก   แมลง ฯลฯ  ซึ่งยังนับได้ว่าเป็นเครือญาติของเราโดยตรง...
    ดูก่อน !  สาวกแห่งพระพุทธศาสนาจะทำลงไปได้อย่างไร หนอ  เธอทั้งหลายผู้เห็นอยู่ว่าสัตว์เหล่านี้ล้วนเป็นเครือญาติฉันพี่ น้องของตน  แล้วจะเชือดเนื้อเถือหนังของเขาอีกหรือ...



ต้นกำเนิดพระพุทธเจ้าไม่บริโภคเนื้อสัตว์
    พระมหาเถระ อัมริตนันทะ...ผู้มีชื่อเสียงแห่งประเทศเนปาล  ซึ่งเป็นลูกหลานในตระกูล “ ศากยวงศ์ ” แห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ท่านก็ยืนยันให้โลกทราบว่าในราชวงศ์ของท่านนั้นนับตั้งแต่โบราณกาลมาจนถึงทุกวันนี้ ยังไม่มีใครเสพเนื้อสัตว์เลย...
    แท้จริงแล้ว พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลายอุบัติมาเพื่อ โปรดสัตว์  แล้วพระองค์จะเอาชีวิตสัตว์มากินเสียเองได้อย่างไร...
    ในพระคัมภีร์  ลังกาวตารสูตร  พระพุทธเจ้าตรัสในเกาะ  ลังกาก็มีบอกไว้ชัดเจน    แต่ศิษย์สาวกของท่านในยุคหลังๆ เขา อยากจะกินเนื้อสัตว์กันเอง  เขาไปบัญญัติเพิ่มเติมขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 900 เศษว่าพระองค์เองก็เสวยเนื้อสัตว์...
    โอ!... บาปหนาเหลือเกิน...
    คนในปัจจุบัน จึงบริโภคเนื้อสัตว์โดยไม่เกรงกลัวบาปกรรม เด็กที่เกิดมาใหม่ถูกปลูกฝังให้กินเนื้อสัตว์โดยไม่รู้ผิดชอบชั่วดี พากันบริโภคอย่างคึกคะนอง  เอาชีวิตสัตว์มาเป็นสินค้าซื้อขายกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน  ทำลายเมตตาจิตขาดสะบั้น  แล้วชีวิตจะอยู่  สงบสุขได้อย่างไร...


ขอขอบคุณที่มา    http://96rangjai.com/langka/
802  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ขอเชิญเที่ยว "งานเทศกาลนมัสการพระธาตุพนม ประจำปี 2555" วันที่ 31 มค - 8 กพ 2555 เมื่อ: มกราคม 26, 2012, 03:07:25 pm
 :25: :25: :25:   อยากไปมากมาย
803  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อานิสงส์ของการบริจาคทาน เมื่อ: มกราคม 26, 2012, 03:00:30 pm

อานิสงส์ของการบริจาคทาน ขอให้ท่านทั้งหลาย จงตั้งใจฟัง การบริจาคทานของปุถุชนในโลกมนุษย์นั้นมีเหตุปัจจัยที่ทำให้ได้อานิสงส์ มากน้อยต่างกัน


    บ้างได้รับผลบุญในชาติเดียว
    บ้างได้รับผลบุญใน 10 ชาติ
    บ้างได้รับผลบุญใน 100 ชาติ 1000ชาติ ต่อเนื่องกันไป


เมื่อพระกษิตฺครรภโพธิสัตว์ได้พรรณานถึงการสวดมนต์ภาวนาพระนามของ พระพุทธเจ้าทั้งหลายจบลง ท่านก็ได้กราบอาราธนาทูลขอให้พระบรมศาสดา แสดงพระธรรมเทศนาว่าด้วยเรื่องบุญกุศลแห่งการบริจาคทาน พระพุทธองค์ตรัสว่า


           " ตถาคตจะถือเอาโอกาสที่พวกท่านทั้งหลายจากทั่วทิศพิภพที่ร่วมประชุม ธรรม ในชั้นดาวดึงส์เทวโลกนี้อธิบายถึง อานิสงส์ของการบริจาคทาน ขอให้ท่านทั้งหลาย จงตั้งใจฟัง การบริจาคทานของปุถุชนในโลกนั้นมีเหตุปัจจัย ที่ทำให้ได้อานิสงส์ มากน้อยต่างกัน
        บ้างได้รับผลบุญในชาติเดียว
        บ้างได้รับผลบุญใน 10 ชาติ
        บ้างได้รับผลบุญใน 100 ชาติ 1000ชาติ ต่อเนื่องกันไป"



"ในโลกียโลกนั้นหากบรรดาพระราชา มหากษัตริ์ ขุนนาง อำมาตย์ ข้าราชบริพาร ตลอดจนสมณะชีพราหมณ์ นักบวช นักพรต และ ปุถุชนธรรมดา ทั้งหลายเมื่อ พบคนที่ตกทุกข์ได้ยาก หูหนวกตาบอด ต้องลำบากแสนเข็ญ ด้วยเหตุนานาประการ


    หากบุคคลผู้นั้นไม่ว่าจะอยู่ในวรรณะใด สถานะใด มีจิตเมมตาบริจาคทาน แก่พวกเค้าเหล่านั้น โดยหยิบยื่นวัตถุทานทั้งหลายให้ ด้วยมือตนเอง พร้อมทั้งกล่าวคำปลอบประโลม แก่บรรดาผู้ทุกข์ยาก กุศลที่จะได้รับมากมายดั่งเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา


    ทั้งนี้เพราะจิตเมตตา อันบริสุทธิ์ ที่มีต่อผู้ซึ่งกำลังตกทุกข์ได้ยาก ทรงพลานุภาพยิ่ง อานิสงส์แห่ง การบริจาคทานด้วยจิตเมตตาอันบริสุทธิ์จะส่งผลให้ บุคคลผู้นั้น ได้เกิดอยู่ใน ชาติตระกูลที่สูงส่งเพียบพร้อม ไปด้วย พระศฤงคาร เจริญรุ่งเรือง สมบรูณ์พูน สุขอย่างหาที่เปรียบมิได้



หากผู้ใดพบเห็น วัดวาอารม ศาสนสถาน สถานปฏิบัติธรรมซึ่งมีพระรูปของ องค์พระพุทธะ พระโพธิสัตว์ ประดิษฐานอยู่แล้วมีจิตศรัทธา เข้าไปนมัสการ กราบไหว้สักการะ ตลอดจนได้บำเพ็ญทานสร้าง ถนนหนทางสะพาน ทะนุบำรุงสาธารณสมบัติ สร้างพระคัมภีร์พระสูตร หนังสือธรรมะ เพื่อค้ำชู้ จรรโลงพระศาสนา บุคคลผู้นั้นจะได้เสวยตำแหน่ง เป็นท้าวสักกะเทวราช อยู่เป็น 10 กัปป์


หากผู้ใดได้พบเห็น วัดวาอาราม ศาสนสถาน พระพุทธปฏิมา รูปเคารพ ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งทรุดโทรมถูกทิ้งร้าง แล้วบังเกิดจิตศรัทธา ทำการบรูณะ ซ่อมแซม ปฏิสังขรณ์ และ ยังชักชวนสาธุชนร่วมบุญกันอย่างสมัครสมาน สามัคคี ด้วยอานิสงส์จากการกระทำดังกล่าว จะส่งผลให้บุคคลนั้น ได้ไปจุติเป็น เทพพรหมชั้นสูง 1000 ชาติ


ส่วนผู้ใดที่ได้มาร่วมใจกันบำเพ็ญทานสร้างบุญโดยการ สละทรัพย์ สละแรงกาย สละปํญญาความรู้ ก็จะได้ไปเกิดเป็น พระราชาเจ้าเมืองร้อยชาติ
และหากทุกคนได้อธิฐานจิต ต่อเบื้องพระพักตร์พระพุทธปฎิมา ที่ซ่อมเสร็จภายใน โบสถ์วิหาร หรือ สถานปฏิบัติธรรมนั้นๆ ผู้ได้ร่วมบุญทั้งหมดก็จะสามารถเข้าสู่ กระแสแห่งพระนิพพานได้ถ้วนหน้า



หากบุคคลใดได้พบเห็น คนแก่ชรา คนป่วยคนพิการ ทุพพลภาพ หรือ หญิงมีครรภ์ที่ยากจน แล้วบังเกิดเวทนาสงสาร อย่างแรงกล้า พร้อมกับได้
บริจาคทานยารักษาโรค เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม เครื่องอุปโภคบริโภค เพื่อให้พวกเขาทั้งหลาย มีความสุข สะดวกสบายขึ้น บุคคลผู้ปฏิบัติ
เช่นนั้น จะได้รับอานิสงส์ยิ่งใหญ่ เขาจะได้ไปจุติเป็นสิ่งศักดิ์ มีผู้คนกราบ ไหว้บูชา เป็นเวลาถึง 200 กัปป์ และ จะสามารถสำเร็จมรรคผลได้ในที่สุด



ดูก่อน ..... กษิติครรภโพธิสัตว์ บุคคลผู้ซึ่งสามารถบริจาคทาน อย่างสม่ำเสมอมิได้ขาด เป็นที่แน่นอนเหลือเกินว่าเขาผู้นั้น จะสามารถบรรลุมรรคผล สำเร็จเป็นพุทธะโดยมิต้องสงสัย เหตุฉะนี้ ท่านจงย้ำเตือนให้เวไนยสัตว์ทั้งหลายในโลกียโลกหมั่นสร้างกุศลบริจาคทานอยู่เป็นนิจ
โดยเฉพาะการให้ธรรมะเป็นทาน อานิสงส์ที่บังเกิดขึ้นจะเป็นมหากุศลที่มิอาจประมาณได้
อนึ่งหากบุคคลใดมีจิตศรัทธาเคารพเลื่อมใส ถวายทานด้วยภัตตาหาร ผลไม้เครื่องบริโภค แด่พระพุทธปฎิมา และ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตลอดจนได้เกื่อกูล อุปถัมภ์ เหล่าพระสงฆ์ นักบวช นักพรต ผู้มีศีล บริสุทธิ์ทั้งหลายบุคคลนั้นจะ ได้เสวยสุขบนทิพยวิมาน นานเท่านาน


        หากบุคคลใด ได้สดับฟังธรรมกถา แม้เพียงวรรคเดียวแล้วบังเกิดจิตศรัทธา มุ่งมั่นอุทิศตนเผยแผ่หลักสัจธรรม เพื่อเป็นวิทยานแก่ ชาวโลกทั้งมวล บุคคล ผู้นั้นย่อมจะได้ชื่อว่า สามารถบำเพ็ญมหากุศลอันกว้างใหญ่ไพศาล


        หากบุคคลผู้ใดมีใจเป็นกุศล บอกกล่าวคนทั้งหลายให้กราบไหว้ พระไตรรัตน์ รู้จักประพฤติธรรม ต่อไปบุคคลนั้นจะได้เกิดเป็นผู้นำของมหาชนสืบต่อกันเป็น เป็นเวลา 33 ชาติ


        อนึ่ง หากบุคคลผู้ใดมีใจเป็นกุศล บอกกล่าวชักชวนคนทั้งหลายให้มาร่วมใจกันทะนุบำรุงปฏิสังขรณ์ ศาสนสถาน วัดวาอาราม สถานปฏิบัติธรรม ซ่อมแซม หนังสือพระธรรมคัมภีร์ ต่อไปบุคคลนั้น จะได้จุติเป็นมหาเทพ ผู้เปี่ยมด้วย ญาณปัญญา อันเลิศล้ำ และ สามารถ นำเอาหลักธรรมคำสอน มาฉุดช่วย มนุษย์ทั้งหลายสืบไป



ขอขอบคุณ  http://www.96rangjai.com/donation/
804  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / กรรมทันตา (แย่งสามีเขาตัวเราโดนเอง) เมื่อ: มกราคม 26, 2012, 02:43:41 pm
เรื่องจริงที่อยากเล่า กรรมตามทัน ( แย่งสามีเขาตัวเราโดนเอง )



เรื่องที่จะเล่านี้  เพิ่งเกิดขึ้นกับเรา เมื่อวันที่  15  ธันวาคม  2552  นี้เอง
เป็นเรื่องที่เราคิดไม่ถึงว่า มันจะเกิดขึ้นกับเรา

ก่อนอื่นเราจะบอกว่า  เราแต่งงานกับสามีเรา คนนี้ เมื่อ ต้นปี 2552  แต่คบกันมา ประมาณ  10  ปีแล้ว  และตอนนี้  เราท้องได้   8  เดือนแล้ว แต่เรื่องมาเกิดตอนที่เราท้องได้  5 เดือน

ประมาณ  19.00  น.  สามีเราโทรมาหา  ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้ว เครียด ๆ
เค้าบอกว่า
สามี    :  หนู พี่มีเรื่องจะบอกหนู
เรา      :  มีอะไรก็บอกมาเลย  ง่วงนอน เมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย
สามี    :  พี่มี ผู้หญิงอีกคน  ก่อนที่จะแต่งงานกับหนู
เรา      :  อึ้งมาก  พูดอะไรไม่ออก  น้ำตาไหล โดยไม่รู้ตัว 
จากนั่นเราก็วางสายไป  คิดอะไรไม่ออก  ประมาณ ไม่ถึง  นาที  เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีก   เป็น สามีเราโทรมา   เราก็รีบรับสาย
สามี    :   หนู  ที่ออกค่าเช่าห้อง ค่าหอ ให้เค้าด้วย  พ่อพี่ก็รู้เรื่องนี้ ตั้งนานแล้ว
เรา      :   แล้วยังไง  (น้ำตาคลอ น้ำเสียงสั่น)
สามี    :  พี่จะมาขอเลิกกับเค้า   เค้าบอกว่า ให้โทรบอกหนู ว่าจะเลิกกับเค้า
เรา     :  พี่ไม่จำเป็นต้องเลิกกับเค้าหรอก  เลิกกับหนูก็ได้ เพราะว่า ที่พี่ทำ พี่ก็ไม่รักหนูแล้ว  พี่ไม่จำเป็นต้องเลิกกับเค้า 
แล้วเราก็วางสายไป  นอนร้องไห้ทั้งคืน

คงจะสงสัยกันว่า  สามี ภรรยา  ไม่ได้อยู่ด้วยกันเหรอ  เราและสามี  ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ตั้งแต่ครบกันแล้ว  แต่ง มาก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ทำให้เป็นสาเหตุให้มีผู้หญิงอื่น เข้ามาแทรก

เราก็เลยลอง ๆ มานึกดูว่าคงจะเป็นกรรม ที่เราทำเอาไว้ เมื่อตอนที่เราเป็นวัยรุ่น

เรื่องของเราตอนวัยรุ่นมีอยู่ว่า
เมื่อ ต้นปี  2540  เราอายุประมาณ 20  เรียนจบ และได้ทำงานบริษัทแห่งหนึ่ง  และได้รู้จักกับผู้ชายคนหนึ่ง  และก็คบกับเค้ามา โดยที่รู้ว่า เค้ามีแฟนอยู่แล้ว  แต่ด้วยความเป็นวัยรุ่น  ฉันจะเอา ใครจะทำไหม  อีกอย่างหนึ่ง พ่อแม่ ของผู้ชายก็ชอบเรา  ยิ่งทำให้เราได้ใจว่า ยังไงยังไง ฉันก็ต้องได้ เนี่ยละ ทำให้เราย้อนกับมาดูตัวเองตอนนี้เลยว่า   "ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เราแย่งแฟนเค้ามาเค้ารู้สึกอย่างไร"   
แต่เรื่องนี้ก็จบลงที่  "เราเป็นฝ่ายเดินออกมาเอง  เพราะคิดว่า  มันคงยังไม่ใช่คนที่เราจะลงหลักปรับฐานด้วยจริง ๆ "

จนปี  2543  ปลาย ๆ เราได้ไปทำงานอยู่ จังหวัดราชบุรี  และเราก็  ยังไม่เลิกนิสัยแย่งสามี หรือแฟนคนอื่นอีก
เราก็คบกับ สามีคนอื่น ทั้ง ๆ ที่รู้ว่า เค้ามีลูกมีเมียอยู่แล้ว แต่เราไม่เคยที่จะไป พูดอะไรกับภรรยาเค้าให้เสียใจนะว่า ฉันเป็นแฟนของสามีคุณ
(เราไม่เคยมีอะไรกับผู้ชาย 2 คนนี้เลย)  แต่ด้วยความอยากได้  ใคร่มี ทำให้เราคบกับผู้ชายคนนี้ มาจน เจอกับสามีคนปัจจุบัน
เรื่องมันจบลง ตรงที่เรา ย้ายมาทำงาน กทม.  เราเบื่อที่จะเป็นที่ สอง  เราอยากเป็น หนึ่งของคนที่รักเรา และรักเรา

เราคบกับสามี ตั้งแต่ ปลายปี 2543  ตั้งแต่เค้าเรียนรามฯ ยังไม่จบ จนจบและบวชแทนคุณพ่อแม่ ปลายปี 2548 และ เรียนเนติจบปี 2549  และได้ทำงาน รับราชการตำรวจ ในปลายปี 2550  แต่เราก็แต่งงานกัน ต้นปี 2552

เราอยู่กับสามีเรามาตั้งแต่ เจอกันใหม่  (เค้าเป็นคนแรกของเรา ตัวเค้าเองก็รู้ตอนมีอะไรกัน)  ตั้งแต่คบกันมา เค้าไม่เคยมีนิสัยเจ้าชู้ให้เราต้องระแวงเลย เพราะเค้าเป็นคนที่ไม่ค่อยมองใคร 

แต่เรื่องที่มันเกิด  เกิดจาก  ผู้หญิง คนนี้มาติดต่องานกับสามีเรา  สามีเราต้องทำคดีใหเค้า  ก็เลยเกิดความสัมพันธ์กันแบบชู้สาว  ประมาณ ปีกว่า ๆ

สามีเรา  เล่าเรื่องทั้งหมดให้เราฟัง  บอกว่า  ผู้หญิงคนนี้ เค้าชวนไปกินข้าว ชวนไปไหนต่อไหนด้วย ก็เลยเกิดความ เผลอ  เผลอใจด้วยกันทั้งคู่
เราเสียใจมาก ๆ  แต่ก็ไม่เคยที่จะต่อว่า สามี ไม่โกรธ เพราะเราเองก็รู้อยู่แก่ใจว่า เราก็เคย แย่งแฟน และ สามีคนอื่นเค้ามาเหมือนกัน 
สามีเราขอโอกาสแก้ตัวใหม่ ขอโทษเรา ว่าต่อไปจะไม่ทำอีก แต่ในใจลึก ๆ ของเรา  เราไม่เชื่อใจ สามีตัวเองอีกแล้ว  มันมีครั้งแรก ก็ต้องมีครั้งที่สองต่อไปอีก  แต่เราไม่เคยโทษใคร  โทษตัวเราเองมากกว่า ว่าไปทำกับคนอื่นเค้าไว้   เค้าก็เลยมาทำกับเราบ้าง

ทุกวันนี้  เรื่องมันผ่านไป  3  เดือนกว่า ๆ แต่เราก็ยังไม่ลืมเรื่องที่เกิดขึ้น ทุกวันนี้อยู่เพื่อ "ลูก"  มีลมหายใจ  มีชีวิตอยู่เพื่อ "ลูก" คนเดียว ส่วนสามี จะยังไง เราก็คงจะไปบังคับอะไรเค้าไม่ได้  แต่เค้าก็ มาหาเรา มีเพียงบางวันที่เค้า เข้าเวร เที่ยงคืน ออก หกโมงเช้า เค้าจะอยู่บ้านพ่อที่ กทม เพราะว่า บ้านเราอยู่ ไกลจากที่ทำงาน อยู่คนละจังหวัดกันเลย

แต่เราคงจะห้ามให้เค้า  มีใหม่ไม่ได้  แต่ถ้าจิตสำนึกเค้าคิดได้ เค้าคงจะไม่ทำอีก
ขนาดพ่อเค้ารู้  พ่อเค้ายังไม่ห้ามเค้าเลย  แถมยังตามใจอีก "เอ็งมี ก็จัดการ จัดสรรเวลาให้ดีละกัน"   พ่อสามี  เค้าไม่ค่อยชอบเราเท่าไร  เค้าก็เลยส่งเสริมสามีเรามั่ง  (เราคิดแบบนี้อ่ะ) 
คนเป็นพ่อเป็นแม่  เมื่อลูกตัวเองทำผิด ก็ควรตักเตือนบาง ไมใช่  "ตามใจเอ็ง"
นี้ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่เราไม่ไปอยู่กับสามีเรา ที่กรุงเทพ เพราะไป อยู่กับครอบครัวใหญ่ ๆ เราอึดอัด  ยิ่งเค้าไม่ชอบเราแล้วด้วย เราอยู่บ้านเราดูแลพ่อแม่เราดีกว่ายังสบายใจเสียกว่า


อยากจะฝากบอก สาว ๆ ที่คิดจะแย่ง แฟน หรือ สามีคนอื่น หรือ ที่อยากจะไปเป็นเมียน้อย

ขอเถอะ  "กรรม มันตามทันในชาตินี้ละ ไม่ต้องรอชาติหน้าเลย"   เจ็บนะ กับสิ่งที่เกิดขึ้น  แต่ก็ต้องทำใจ  อยู่ต่อไป

บ่นมาซะยาว  ก็แค่อยากจะระบายให้ฟัง เพราะเรื่องที่เกิดขึ้น เราไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลย  มันเจ็บ ร้องไห้ทุกวัน  ระแวง  กังวล  กลัว ไปหมด แต่ก็พยายามไม่คิดมาก  เดี่ยวตัวเล็กออกมาจะเครียดตามเปล่า ๆ

ลืมเหตุการณ์อีกอย่างหนึ่ง

ผู้หญิงคนนี้ โทรมาหาเรา บอกว่า

ผู้หญิง : พี่ .... ใช่ไหมค่ะ หนู เป็นเมียของ พี่..... ค่ะ
เรา : อืม แล้วยังไงเหรอ
ผู้หญิง : หนูขอสามี พี่ได้ไหม เพราะว่า ถ้าเค้ารักพี่เค้าคงจะไม่นอกใจพี่มาคบกับหนู
เรา : พี่ไม่ใช่คนตัดสินใจ พี่.... เป็นคนตัดสินใจนะ ถ้าเค้าจะไป พี่ก็ห้ามเค้าไม่ได้ (แต่ในใจร้องไห้แล้ว)
ผู้หญิง : หนูขอสามีพี่ละกัน ยังไงหนูก็จะทำให้ สามีพี่ เลิกกับพี่ให้ได้
เรา : อืม ก็ตามใจ อยากได้ก็เอาไปนะ

เราก็เล่าให้สามีเราฟัง สามีเราโมโหมากที่ผู้หญิงคนนี้ โทรมาราวีเรา แต่เรารู้สึก ด้านแล้วละ เพราะว่า เราเข้าใจ ผู้หญิงคนนี้ไง เพราะเป็นเคยเป็นมาก่อน ไม่โกรธนะ ไม่แค้นด้วย ถ้าแค้น เราด่าไปแล้ว แต่นี้เรานิ่ง

ทุกวันนี้  ผู้หญิงคนนั้น ทั้งส่งข้อความและก็โทรศัพท์ มาหา  อย่างล่าสุดเลย  โทรมาบอกว่า
ผู้หญิง  :  พี่....  ตอนนี้   พี่.....  อยู่กับหนูนะ
เรา      :  นิ่ง  และ ก็ เงียบ  (แต่ในใจมันกังวลบอกไม่ถูกว่าจะเชื่อใครดี)
ผู้หญิง  :  พี่เป็นอะไรไปหรือค่ะ  เงียบเลย  เสียใจเหรอ  หนูขอละกัน  ยังไง พี่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันนี่น่า  จะมาห่วงก้างทำไมค่ะ
เรา      :  พูดจบแล้วใช่ไหม  แค่นี้นะ  (นิ่ง  เสียใจ  และ ร้องไห้  เพราะม่รู้ว่าจะเชื่อใคร)  แต่วันนี้ สามีเราทำงานไง  เราโทรไป เช็คที่ ที่ทำงานเค้าแล้ว  แล้วเค้าก็อยู่ที่นั่นด้วย  เค้าไม่ได้โกหกเรา
อยากจะบอก ภรรยาหลาย ๆ คน ที่เจอเหตุการณ์แบบเรา ให้ "นิ่ง" อยากเดียว ถ้าไป ด่า อย่าไป ทุบตี สามี จะยิ่งทำให้สามีห่างจากเรามากขึ้น
ยังไง เรื่องมันก็คงยังไม่จบหรอก แต่ไม่เป็นไร เรามีสิ่งที่สำคัญกว่านั้นรออยู่
       
 

ขอขอบคุณที่มา   http://www.tairomdham.net/index.php?topic=229.0

805  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ชมภาพ "ภายในพระธาตุพนม" เหลืองอร่ามงามตา..!!! เมื่อ: มกราคม 26, 2012, 11:56:45 am
สวยจังเลย อยากไป สาธุ  :25: :25: :25:
806  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ประชาชนนับหมื่น แห่สักการะ"พระบรมสารีริกธาตุ" เมื่อ: มกราคม 26, 2012, 11:26:51 am
อนุโมทนา อยากไปจัง  :25: :25: :25:
807  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: "พุทธคยาอินเดีย" จะเป็นศูนย์กลางชาวพุทธในอนาคต เมื่อ: มกราคม 26, 2012, 11:24:50 am
 :25: :25: :25:  อนุโมทนา สาธุ
808  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / กรรมทำแท้ง เมื่อ: มกราคม 25, 2012, 03:08:26 pm


ย้อนรอยกรรม

ป้าแม้น จันทร์หอม อายุ 65 ปี อาชีพแม่บ้าน


เมื่อประมาณ 23 ปี ที่แล้ว มีเด็กสาวที่ทำงานโรงงานที่ป้าแม้นรู้จักได้ตั้งครรภ์ ตอนนั้นพ่อและแม่ของเด็กก็ไม่สามารถที่จะเลี้ยงเด็กคนนี้ได้ เมื่อคลอดเด็กออกมาได้ 3 วัน ด้วยความสงสาร และตัวเองก็ไม่ได้มีลูกชาย เลยตัดสินใจขอรับเลี้ยงเด็กคนนี้ไว้เอง ตอนนั้นฐานะทางบ้านก็เพียงแค่พอมีพอกิน แต่ก็ไม่ได้มีหนี้มีสินอะไร คิดเพียงแต่ว่าอยากจะช่วยชีวิตคนๆ หนึ่งที่เป็นตัวเป็นตน ได้ลืมตามาดูโลกนี้ไว้  ตอนที่เลี้ยงเด็กคนนี้ป้าแม้นก็ดูแลอย่างดี เหมือนลูกในไส้ของตนเอง แต่เรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนก็เกิดขึ้น คือว่า ป้าแม้นตั้งครรภ์ ซึ่งตอนนั้นก็มีอายุ 42 ปีแล้ว ตอนนั้นป้าแม้นก็คิดหนักเหมือนกัน เพราะเอาลูกเขามาเลี้ยงแล้ว แต่ลูกอิจฉากลับมาเกิดอีก จะทำยังไงดี เพราะฐานะของเราคงไม่สามารถเลี้ยงดูให้เขามีความสุขได้ จะเอาลูกคนนี้ไปคืนก็ไม่ได้ เพราะด้วยความรัก และความผูกพันกับลูกคนนี้ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์คิดว่าเด็กในท้องยังไม่ได้เป็นตัวเป็นตน ยังเป็นแค่ก้อนเนื้อ จึงตัดสินใจไปทำแท้งกับหมอเถื่อน ต่อมาก็มีคนที่รู้ก็มาขอให้พาไปทำแท้งอีกเรื่อยๆ ทุกครั้งเราก็จะห้ามเขาตลอดเวลา  แต่อีกใจหนึ่งก็เห็นใจคนที่ต้องการทำแท้ง เข้าใจหัวอกกันดี บางคนก็ถูกผู้ชายทิ้งบ้าง หรือไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กที่จะเกิดมาได้ เห็นเขาร้องห่มร้องไห้ ก็อดสงสารไม่ได้ ความสงสารมันมีมากกว่าความกลัวบาปกลัวกรรม  ตลอดระยะเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมา ชีวิตก็รุ่มร้อน อยู่ไม่ติดที่ เคยเป็นหนี้เป็นสิน แต่ลูกก็ช่วยชดใช้ให้  ในวันแรกที่ได้พบแม่ชีนั้น  แม่ชีทักป้าแม้นทันทีว่า “ทำแท้งมาใช่ไหม” เมื่อมาฝึกสมาธิกับแม่ชี ก็รู้สึกเบาขึ้น จากที่รู้สึกหนักเนื้อหนักตัวก็เบาลง แม่ชีให้มาถือศีลกับแม่ชีก่อน แล้ววันสุดท้ายที่จะกลับแม่ชีก็ได้สื่อวิญญาณให้กับวิญญาณของเด็ก ซึ่งในภาพที่ท่านแม่ชีเห็นก็คือ มีเด็กมาเกาะตามแขนของป้าแม้น  ป้าแม้นบอกแม่ชีว่า ได้เคยทำแท้งมา และก็พาคนอื่นไปทำแท้งด้วย รวมทั้งหมด 7 คน ป้าแม้นจึงทำบุญไปให้ ด้วยสังฆทาน 7 ถัง ในขณะที่แม่ชีสวดส่งวิญญาณให้เจ้ากรรมนายเวรได้มารับผลบุญส่วนกุศลนั้น ท่านแม่ชีบอกว่าให้ไปหยิบสังฆทานมาเพิ่มอีก 1 ถัง เพราะแม่ชีเห็นวิญญาณที่ติดตามมามี 8 คน ไม่ใช่ 7 คน เป็นผู้หญิง 4 คน ผู้ชาย 4 คน ซึ่งป้าแม้นได้บอกเองทีหลังว่า จริงๆ แล้วตนเองเคยไปช่วยยกผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเขานอนอยู่บนเตียง ตอนนั้นเขาตั้งครรภ์ ขณะที่ยก ป้าแม้นได้ยินเสียงดัง “กรึ๊ก” ต่อมาผู้หญิงคนนั้นก็แท้งลูก ตกเลือด ซึ่งวิญญาณของเด็กนั้นก็ติดตามมาด้วย ท่านแม่ชีได้ให้ความรู้ว่า บางคนแท้งเอง โดยที่แม่ไม่ได้ต้องการจะให้เด็กตาย แต่วิญญาณของเด็กก็ยังติดตามแม่อยู่ไม่ได้ไปไหนก็มี เพราะถ้าคนตายแล้วบางทีเขาไม่รู้ที่ไป ก็ยังวนเวียนอยู่กับเรา  ในกรณีของป้าแม้นนี้ วิญญาณของเด็กที่ป้าแม้นพาไปทำแท้งก็วนเวียน อาฆาต พยาบาทอยู่ เพราะเราเป็นคนหนึ่งซึ่งมีส่วนทำให้เขาตาย เราต้องปฏิบัติธรรม อุทิศส่วนกุศลไปให้เขา เพื่อให้เขาได้ไปสู่ภพภูมิที่ดี

ขออนุโมทนาบุญกับป้าแม้น จันทร์หอม และวิญญาณของเด็กทั้ง 8 คน ที่ได้เผยแผ่เรื่องนี้ให้เป็นอุทาหรณ์กับผู้ที่คิดจะทำแท้ง หวังว่าเรื่องราวของป้าแม้นจะทำให้เด็กอีกกลุ่มหนึ่ง ได้มีโอกาสเกิดมาลืมตาดูโลกใบนี้ ขอมหากุศลในครั้งนี้ จงส่งผลให้ป้าแม้น พ้นไปจากบ่วงกรรมทั้งปวงที่เคยได้กระทำไว้ ขอให้ชีวิตของป้าแม้น จงมีแต่ความสุข ความเจริญ สาธุ...

ธรรมะจากแม่ชี

กรรมหนักอันดับหนึ่งก็คือ กรรมฆ่ามนุษย์ ยิ่งการทำแท้งเป็นกรรมหนักมากเพราะเราได้กระทำกับผู้ที่บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา จากผู้คนที่เข้ามาหาแม่ชีนั้น ผู้ที่ทำกรรมนี้ไว้ จะมีโรคประจำตัวบ้างที่รักษาไม่หาย หรือ รู้สึกหนักเนื้อ หนักตัว ทำกินจะไม่ขึ้น มีหนี้มีสิน เราจะต้องอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับวิญญาณเด็กที่ตาย ส่วนมากแม่ชีจะแนะนำให้บวช เพราะการบวชถือเป็นบุญใหญ่ มีพลังมากที่จะส่งดวงวิญญาณให้เด็กได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีได้ ถ้าบวชไม่ได้ก็จะให้เป็นเจ้าภาพบวชพระ หรืออย่างน้อยที่สุดถวายสังฆทานที่มีชุดไตรจีวร สำหรับเด็กที่เป็นผู้ชาย  ส่วนผู้หญิงก็จะเป็นชุดบวชชีพราหมณ์แทน   ใครก็ตามที่เข้ามาหาแม่ชี แม่ชีจะรู้ทันทีว่าคนนี้เคยทำแท้งมาหรือไม่ ทำมากี่ครั้ง และจะสามารถรู้ได้ด้วยว่าเป็นผู้หญิงกี่คน ผู้ชายกี่คน ซึ่งเรื่องนี้แม่ชีจะไม่พูดออกไปทันที จะให้ความเคารพสิทธิส่วนบุคคลของแต่ละคน เพราะบางคนก็ไม่ได้มาคนเดียวพาเพื่อนมาด้วย ก็ไม่กล้าพูดออกไป ใจจริงๆ ก็สงสารเขาอยู่ ถ้าไม่มีคนอื่นแม่ชีก็จะพูดทักออกไปเหมือนกัน เพราะอยากจะช่วยให้เขาหลุดกรรมที่ได้เคยทำไว้ เป็นการได้ปลดปล่อยวิญญาณของเด็กที่ตามมาด้วยอีกทางหนึ่ง แต่ถ้าคนไหนสารภาพออกมาเองเลย กรรมเขาจะหมดเร็วมาก แม่ชีก็จะให้เขามาถือศีล แล้ววันสุดท้ายก็จะสื่อกับวิญญาณให้ ขอให้อโหสิกรรมให้แก่กัน  เมื่อออกไปแล้ว จะไปทำมาหากินก็จะได้เจริญก้าวหน้า ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรมาเบียดเบียนอีก เรื่องพวกนี้เหมือนเขี่ยผงออกจากตา ถ้าทำเป็นจะไม่มีอะไรซับซ้อนเลย

คนที่เคยผิดพลาดไปแล้ว แม่ชีก็เข้าใจเขา ว่าเขาไม่กล้าบอกใคร ไม่อยากให้ใครรู้  แต่ถ้าเรารู้สึกผิดและละอายต่อสิ่งที่เราทำไปแล้ว แม่ชีก็ยินดีที่จะรับฟัง และพร้อมที่จะช่วยหาทางออกให้ เพราะคนเราไม่มีใครถูกตั้งแต่เกิดหรอก เคยทำผิดพลาดด้วยกันมาทั้งนั้น  ขออย่างเดียวให้คนรอบข้างเข้าใจ และให้อภัยในสิ่งที่ผิดพลาดไปแล้ว และช่วยกันหาทางป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
ขอขอบคุณ  http://www.maeshemanora.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=484725
809  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / คุณ บิดา มารดา เมื่อ: มกราคม 25, 2012, 02:07:00 pm
บุพการี



























































ขอขอบคุณ  http://www.96rangjai.com/forum/index.php?topic=1691.msg6917#msg6917
810  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ทุกชีวิตมีเวลาอันจำกัด เมื่อ: มกราคม 25, 2012, 10:52:11 am



อานุภาพแห่งพระพุทธศาสนา
เราต่างเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา...เพราะพระพุทธศาสนาจริง ๆ
ดีได้เพียงนี้ ไม่ดีน้อยกว่านี้...เพราะพระพุทธศาสนา
ร้ายเพียงเท่านี้ ไม่ร้ายมากไปกว่านี้...เพราะพระพุทธศาสนา
พุทธศาสนสุภาษิตบทหนึ่ง กล่าวไว้มีความว่า "ถ้ารู้ว่าตนเป็นที่รัก ก็ควรรักษาตนนั้นให้ดี"
เป็น การเตือนด้วยถ้อยคำอันไพเราะยิ่งนัก ควรนักที่จะได้รับความสนใจอย่างยิ่ง ถ้ารู้ว่าตนเป็นที่รัก ควรรักษาตนนั้นให้ดี ขอให้ทบทวนคำเตือนนี้ให้เสมอ จะรู้สึกว่าเป็นคำเตือนที่สุภาพอ่อนโยน ไพเราะลึกซึ้ง เปี่ยมด้วยเมตตา เมื่อทบทวนคำเตือนนี้แล้ว ก็น่าจะนึกเลยไปให้ได้ความเข้าใจว่าท่านผู้กล่าวคำเตือนได้เช่นนี้ ต้องมีจิตใจสูงส่ง มีเมตตาปรารถนาดีอย่างที่สุดต่อเราทุกคน จึงควรเทิดทูนความเมตตาของท่าน ให้ความสนใจและปฏิบัติให้เป็นไปตามคำของท่าน เพื่อเป็นการแสดงกตัญญูกตเวทีตอบแทนพระคุณ และน้ำใจงดงามที่ท่านมีต่อเราทั้งหลาย และท่านผู้นั้น คือ "พระพุทธเจ้า"


ความจริงที่ควรระลึกถึงอย่างสม่ำเสมอ
เรา รักตัวเรา คนอื่นก็รักตัวเขา เราไม่อยากให้ใครทำเช่นไรกับเรา คนอื่นก็ไม่อยากให้เราทำเช่นนั้นกับเขา เราอยากให้คนอื่นทำดีกับเราอย่างไร คนอื่นก็อยากให้เราทำดีกับเขาอย่างนั้น ขอให้พยายามคิดถึงความจริงนี้ให้บ่อยที่สุด เท่าที่จะมีสตินึกได้ จะเป็นคุณแก่ตนเองอย่างยิ่ง การคิดพูดทำทั้งหมดจะเป็นไปอย่างดีที่สุด ไม่เป็นการทำร้ายผู้อื่น ไม่เป็นการเบียดเบียนผู้อื่น


เพราะรักตนอย่างยิ่งนั่นเอง
จึงเป็นผู้ประพฤติ ปฏิบัติดี เพื่อให้ตนเป็นคนดี
การ สามารถรักษาจิตใจ รักษาวาจา รักษาการกระทำ ให้เป็นไปเพื่อไม่ก่อทุกข์โทษภัยแก่ผู้อื่น ไม่เรียกว่าเป็นการทำเพื่อผู้อื่น ไม่เรียกว่าเป็นการถือว่าผู้อื่นเป็นที่รักของตน แต่เป็นการทำเพื่อตนเอง เป็นการถือว่าตนเป็นที่รักของตนอย่างยิ่ง ไม่มีความรักอื่นเสมอด้วยความรักตน
ผู้ที่สามารถรักษากาย วาจา ใจ ตนให้ดีได้นั้นก็คือ "ผู้ที่รักตนอย่างยิ่ง" นั่น เอง เพราะรักตนอย่างยิ่งจึงประพฤติดีปฏิบัติดีเพื่อให้ตนเป็นคนดี ผู้ที่ถือเอาการได้มากด้วยวิธีต่าง ๆ ไม่เลือกสุจริต ทุจริต ไม่ใช่คนรักตนเอง ผู้ที่มีกิริยาวาจาหยาบคายก้าวร้าว ทิ่มแทงหลอกลวง ไม่ใช่คนรักตนเอง ไม่ใช่คนที่จะทำให้ตนเองสวัสดีได้ ตรงกันข้ามที่ทำเช่นนั้นเป็นการไม่รักตนเอง แม้คนจะคิดว่าการที่ทำเพราะไม่รักผู้อื่นก็ตาม แต่ความจริงแท้เป็นการไม่รักตน เป็นการทำให้ตนต่ำทราม เมื่อจะคิดชั่วพูดชั่วทำชั่วเมื่อใด ขอให้นึกถึงตนเอง นึกว่าตนเป็นที่รักของตน จึงไม่ควรทำลายตนเหมือนตนเป็นที่รังเกียจเกลียดชังอย่างยิ่ง จนถึงต้องทำลายเสีย การคิดชั่วพูดชั่วทำชั่ว เป็นการทำลายตนอย่างแน่แท้


ความดีความชั่วเป็นปัจจัยสำคัญให้สังคมวุ่นวาย
สังคม แห่งมนุษยชาติบางคราวสงบเย็น บางคราวเดือดร้อนวุ่นวาย ก็เพราะมีความดีความชั่วเป็นปัจจัยสำคัญ พระพุทธศาสนาจึงมุ่งแนะนำสั่งสอนให้ประกอบความดี ละเว้นความชั่ว และอบรมจิตใจให้ผ่องแผ้ว ซึ่งจะผลักดันให้ทำความดี ส่วนจิตใจชั่วทรามย่อมนำให้สร้างความชั่วเสียหายยังแก่ตนเอง ทั้งแก่ผู้อื่น


ทุกชีวิตมีเวลาอันจำกัด จงอย่าช้ารีบเร่งทำความดี
ทุก ชีวิตมีเวลาจำกัด อย่างมากไม่เกิดร้อยปีก็จะต้องละร่างนี้ ละโลกนี้ไป อย่าผลัดวันประกันพรุ่งที่จะทำความดี เพราะถ้าสายเกินไปเมื่อไร ก็ตนเองนั่นแหละจะต้องได้เสวยผลของการไม่กระทำกรรมดี ไม่มีผู้ใดอื่นจะรับผลของความดีความชั่วที่ตนเองทำไว้ เจ้าตัวเองเท่านั้น จักเป็นผู้รับผลของความดี ความชั่วที่ตนทำ


อย่ายอมให้ความชั่วมีอำนาจแบ่งเวลาในการทำดี
ความ ดีก็ตาม ความชั่วก็ตาม เป็นสิ่งที่ทำได้ทุกเวลา แต่จะทำสองอย่างพร้อมกันไม่ได้ ต้องทำทีละอย่าง จึงต้องตัดสินใจเลือกว่าจะทำอย่างไหน จะทำความดีหรือจะทำความชั่ว อย่ามีใจอ่อนแอโลเลเพราะจะทำให้พ่ายแพ้ต่ออำนาจของความชั่ว ยอมให้ความชั่วมีอำนาจแย่งเวลาที่ควรทำความดีไปเสีย ซึ่งไม่สมควรอย่างยิ่ง จะเป็นการแสวงหาทุกข์โทษภัยใส่ตัว อย่างไม่น่าทำ


ตนนั่นแหละ เป็นผู้นำพาชีวิตของตน
พุทธศาสนสุภาษิตบทหนึ่งกล่าวไว้แปลความว่า "ตนเทียวเป็นคติของตน" คือ ตนนั้นแหละ จักเป็นผู้พาตนเองไป ไปดีไปชั่ว ไปสว่างไปมืด ไปอย่างไรก็ได้ทั้งนั้นแล้วแต่ตนจะพาตนเองไป ที่มักกล่าวกันว่าคนนั้นพาคนนี้ไปดีไม่ดีนั้น ไม่ถูกต้องตามความจริง ไม่มีผู้ใดจะพาใครไปไหนได้ นอกจากเจ้าตัวเองจะเป็นผู้พาตัวเองไป ผู้อื่นเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น
แม้ ตัวเองไม่พาตัวเองไปดีแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดอื่นจะสามารถพาไปดีได้อย่างแน่นอน หรือแม้ตัวเองไม่พาตัวเองไปชั่วแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดอื่นจะสามารถพาไปชั่วไปอย่างแน่นอน เช่น มีผู้มาชวนให้ทำบุญ แม้ตัวเองไม่ทำตาม ก็จะไม่ได้ทำบุญ มีผู้มาชวนให้ทำบาป แม้ตัวเองไม่ทำตาม ก็จะไม่ได้ทำบาป ไม่ว่าในเรื่องใดทั้งนั้น ถ้าตัวเองไม่เห็นดีเห็นงามตามไปด้วยแล้ว ไม่ทำตามแล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดมานำได้ ตนเองเท่านั้น จักนำตนเองไปได้ทุกที่ทุกทาง ทั้งที่ดีทั้งที่ชั่ว ตนเองจึงสำคัญนัก ตนจึงเป็นคติของตนจริง


ทุกชีวิต ล้วนปรารถนาไปสู่ที่ดีที่สว่าง
ทุก คนควรตั้งปัญหาถามตนเอง ว่าชอบจะพาตนเองไปสู่ที่ดีหรือไปสู่ที่ชั่ว ไปสู่ที่สว่างหรือไปสู่ที่มืด คำตอบน่าจะตรงกันทั้งหมด ว่าทุกคนชอบจะพาตนไปสู่ที่ดีที่สว่าง ไม่ใช่ไปสู่ที่ชั่วไปสู่ที่มืด เมื่อรู้คำตอบปัญหาเช่นนี้ ก็ต้องรู้ต่อไปว่า ผู้นำ คือ ตนเองนั้น จะต้องรู้ทางไปสู่ที่ดีที่สว่างให้ถนัดชัดแจ้งถูกต้อง ไม่เช่นนั้นก็จะพาตนไปไม่ถูกต้องดังปรารถนา นั่นก็คือ ต้องรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะไปสู่ที่ดีที่สว่าง ไม่หลงไปสู่ที่ชั่วที่มืด เราเป็นพุทธศาสนิก มีโอกาสดีอย่างยิ่ง มีโอกาสดีกว่าผู้อื่น พระพุทธศาสนาแสดงทางดีทางสว่างไว้ชัดแจ้งละเอียดลออ ดีน้อยดีมาก สว่างน้อยสว่างมาก มีแสดงไว้แจ้งชัดในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าผู้ทรงตรัสรู้แล้ว ทรงเห็นแจ้งทุกสิ่งทุกอย่างได้ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ เพื่อพุทธศาสนิกได้ดำเนินรอยพระพุทธบาทได้ถูกต้อง ได้ไปถึงที่ดีที่สว่าง โดยไม่ต้องคลำทางด้วยตนเองให้ลำบาก สำคัญที่ว่าพุทธศาสนิกจะต้องศึกษาพระธรรมคำที่พระพุทธองค์ทรงสอนและต้อง ปฏิบัติตาม


ผู้ปรารถนาความดี ความสว่างแห่งชีวิต
พึงดำเนินชีวิตตามพระธรรมคำสั่งสอน
พระ พุทธองค์ทรงตามประทีปไว้แล้ว ให้เราเห็นทางดำเนินไปสู่ที่ดีที่พ้นทุกข์ เราจงอย่าปิดตาจงลืมตาดูแสงประทีปนั้น ให้เห็นทางสว่างด้วยแสงแห่งพระมหากรุณา แล้วพากันน้อมรับพระมหากรุณานั้นดำเนินไปตามทางที่สว่าง จักไม่พบอันตรายที่ย่อมแอบแฝงอยู่ในความมืด
ความ สำคัญจึงมิได้อยู่ที่แสงประทีป ซึ่งพระพุทธองค์ทรงจุดประทานไว้ด้วยพระมหากรุณาเท่านั้น แต่ต้องอยู่ที่ตนเองของทุกคนด้วย ถ้าพากันปิดตาไม่แลให้เห็นแสงประทีป ก็อาจจะเดินไปสู่ที่มืดที่ชั่ว ที่มีอันตรายร้อยแปดประการได้ แต่ถ้าพากันลืมตาขึ้น ดูให้เห็นทางอันสว่างไสว แล้วเดินไปตามทางนั้น ก็ย่อมจะเดินไปสู่ที่สว่าง ไปสู่ที่ดี พ้นภยันตรายมากมีทั้งหลาย


พึงอบรมตนให้เป็นคติ คือทางที่ดีของตน
ไม่ มีผู้ใดปรารถนาจะมีหนทางชีวิตที่มืด มีแต่ปรารถนาหนทางชีวิตที่สว่าง ดังนั้นต้องอบรมตนให้รู้จักทาง ทางมืดก็ให้รู้ ทางสว่างก็ให้รู้ ทางไปสู่ที่มืดก็รู้ ทางไปสู่ที่สว่างก็รู้ รู้ทางแล้วยังไม่พอ ต้องศึกษาวิธีเดินทางให้ดีด้วย เดินทางสว่างนั้นท่านเดินกันอย่างไรต้องศึกษาให้ดี เดินอย่างไรจะเป็นการเดินทางมืด และต้องรู้ว่าขึ้นชื่อว่าทางมืดต้องมีอันตรายแอบแฝงอยู่อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่พึงเดินไปอย่างส่งเดช อบรมใจให้ดีให้ตาสว่าง จะได้เดินถูกทาง สามารถนำไปดีได้ ทำตนให้เป็นคติคือทางที่ดีของตนได้


ทุกชีวิต ล้วนตกเป็นเครื่องมือของกรรม
ความ รังเกียจหรือความนิยมยกย่องคนที่ชั่วและคนดีได้รับ เป็นผลแห่งกรรมของตน ไม่ใช่เป็นอะไรอื่น ความรังเกียจที่คนชั่วได้รับ เป็นผลแห่งกรรมชั่ว ความนิยมยกย่องที่คนดีได้รับ เป็นผลแห่งกรรมดี คนทั้งหลายรวมทั้งตัวเราทุกคน เป็นเครื่องมือของกรรมที่จะเป็นเหตุให้ผลของกรรมชั่วและผลของกรรมดีปราก ฎชัดเจนขึ้นเท่านั้น ผู้มีปัญญาไม่นิยมคำว่า "ชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์" เพราะเป็นความไม่ถูกต้อง ความเสื่อมทั้งหลายเกิดจากความนิยมนี้ได้มากมาย


ผู้ยินดีในความถูกต้อง พึงอบรมตนให้มีสัมมาทิฐิ
แม้ ทำความเข้าใจที่ถูกต้องให้เกิดขึ้นในจิตใจตนได้แล้ว การปฏิบัติที่ถูกต้องก็ย่อมจะต้องตามมาอย่างแน่นอน เพราะใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ คือ ทุกสิ่งเป็นไปตามอำนาจความเห็นถูกเห็นผิดของใจ
การอบรม ความเห็นให้ถูก ให้เป็นสัมมาทิฐิหรือความเห็นชอบ ไม่ให้เป็นมิจฉาทิฐิหรือความเห็นผิด จึงเป็นความสำคัญที่สุดของผู้ยินดีในความถูกต้อง ใจของเราทุกคนนี้สำคัญนัก สติก็สำคัญนัก ปัญญาก็สำคัญนัก เมตตากรุณาก็สำคัญนัก ทั้งหมดนี้ไม่ควรแยกจากกัน มีใจก็ต้องให้มีสติ ต้องให้มีปัญญา ต้องให้มีกรุณา ประคับประคองกันไปให้เสมอ อย่าให้มีสิ่งอื่นนอกจากสติปัญญาและเมตตากรุณาเข้ากำกับใจ
สติ และปัญญาพร้อมเมตตากรุณานั้น เมื่อเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับใจ จะทำให้ใจมีสัมมาทิฐิหรือความเห็นชอบได้ ตรงกันข้าม แม้ใจขาดสติปัญญา และเมตตากรุณา ก็จะทำให้มีมิจฉาทิฐิหรือความเห็นผิดได้ง่าย


สติปัญญา เมตตากรุณา สำคัญยิ่งแก่ทุกชีวิต
สติ ปัญญา และเมตตา กรุณา เป็นความสำคัญอย่างยิ่งของทุกคน เป็นสิ่งช่วยให้คนเป็นคนอย่างสมบูรณ์ขึ้น งามพร้อมขึ้นจึงพึงเพิ่มพูนทั้งสติ ปัญญา และเมตตา กรุณา ซึ่งสามารถอบรมได้พร้อมกัน ให้เกิดผลเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ก่อนจะพูดจะทำอะไร พึงมีสติรู้ว่าแม้พูดแม้ทำลงไป จะเกิดผลอะไรตามมา เป็นความเสียหายแก่ผู้ใดหรือไม่ ต้องใช้ปัญญาในตอนนี้ให้พอเหมาะพอควร พร้อมทั้งใช้เมตตากรุณาให้ถูกต้อง เว้นการพูดการทำที่จะเป็นเหตุแห่งความกระทบกระเทือนใจผู้ฟังโดยไม่จำเป็น
พระ พุทธเจ้าทรงยิ่งด้วยพระมหากรุณา ทรงตั้งพระพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาเพื่อจิตใจ ผู้เป็นพุทธศาสนิกพึงคำนึงถึงความจริงนี้ให้อย่างยิ่ง จะคิด จะพูด จะทำอะไร มีสตินึกถึงจิตใจผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย อย่าให้ได้รับความชอกช้ำโดยไม่จำเป็น


ที่พึ่งของชีวิต อันไม่มีที่พึ่งใดเปรียบได้
พระ พุทธศาสนาเป็นศาสนาเพื่อจิตใจโดยแท้ เป็นศาสนาที่ทะนุถนอมจิตใจเป็นอย่างยิ่ง มุ่งพิทักษ์รักษาจิตใจเป็นอย่างยิ่ง มุ่งพิทักษ์รักษาจิตใจให้ห่างไกลจากความเศร้าหมองทั้งปวง อันจักเกิดแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง ศึกษาพระพุทธศาสนาให้รู้จริง ก็จะเห็นพระพุทธเจ้าว่า ทรงมีพระหฤทัยละเอียดอ่อนและสูงส่งเหนือผู้อื่นทั้งปวง ความอ่อนโยนประณีตแห่งพระหฤทัย ทำให้ทรงเอื้ออาทรถึงจิตใจสัตว์โลกทั้งหลาย ทรงแสดงความทะนุถนอมห่วงใยสัตว์น้อยใหญ่ไว้แจ้งชัด สารพัดที่ทรงตรัสรู้อันจักเป็นวิธีป้องกันจิตใจของสัตว์โลก สมเด็จพระบรมศาสดาทรงพระมหากรุณาพร่ำชี้แจงแสดงสอนตลอดพระชนมชีพที่ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว เช่นนี้แล้วไม่ความหรือที่พุทธศาสนิกทุกถ้วนหน้า จะตั้งใจสนองพระมหากรุณาเต็มสติปัญญาความสามารถปฏิบัติตามที่ทรงสอน เอื้ออาทรต่อเพื่อนร่วมทุกข์ทั้งหลาย ด้วยการแนะนำบอกเล่าให้รู้จัก ให้เข้าใจว่าสมเด็จพระพุทธศาสดานี้ทรงยิ่งด้วยพระมหากรุณา จึงทรงอบรมพระปัญญา จนถึงสามารถทรงยังให้เกิดพระพุทธศาสนาขึ้นได้ เป็นที่พึ่งยิ่งใหญ่ของสัตว์โลกทั้งหลายได้จนถึงทุกวันนี้ ไม่มีที่พึ่งอื่นใดเปรียบได้


ทุกชีวิตมีเวลาอันจำกัด
พึงรำลึกในพระคุณและน้ำใจของพระพุทธองค์
ทุก คนที่เคยประสบความขัดข้องในชีวิต ปรารถนาจะได้รับความช่วยเหลืออย่างที่สุด เมื่อมีผู้ใดมาให้ความช่วยเหลือแก้ไขความขัดข้องนั้นให้คลี่คลาย ช่วยให้ร้ายกลายเป็นดี แม้มีจิตใจที่กตัญญูรู้คุณ ผู้ได้รับความช่วยเหลือด้วยเมตตา ให้ผ่านพ้นความมืดมัวขัดข้อง ย่อมสำนึกในพระคุณและน้ำใจ ย่อมไม่ละเลยที่จะตอบแทน... พระมหากรุณาของพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่เหนือความกรุณาทั้งหลายที่ทุกคนเคยได้รับ มาในชีวิต แม้ไม่พิจารณาให้ประณีตก็ย่อมไม่เข้าใจ แต่แม้พิจารณาให้ประณีตด้วยดี ย่อมไม่อาจที่จะละเลยพระคุณได้ ย่อมจับใจในพระคุณพ้นพรรณนา
*****


จากหนังสือ "ทุกชีวิต มีเวลาอันจำกัด"
พระราชนิพนธ์เพื่อความสวัสดีแห่งชีวิต
และพระคติธรรมเพื่อเป็นแสงส่องใจ
หนังสือพระนิพนธ์ในสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก



ขอขอบคุณ  http://www.96rangjai.com/life/
811  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ชีวิคคือ อะไร? เมื่อ: มกราคม 25, 2012, 10:40:41 am
เท่านี้หรือคือ "ชีวิต" ?

   1. เกิดมา...
   2. เข้าโรงเรียน...
  3. เรียนต่อ...

   4. เรียนจบ...

  5. ทำงาน...

   6. แต่งงาน...

   7. เลี้ยงลูก...

   8. แก่...

  9. เจ็บ...
  10. ตาย...

พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ความจริงแห่งชีวิตอยู่ที่การบำเพ็ญหล่อเลี้ยงจิต   หาใช่ชื่อเสียงลาภยศ
ความดีแห่งชีวิตอยู่ที่การอุทิศเสียสละ  หาใช่อยู่ที่มีทรัพย์สินมากมาย
ความงามแห่งชีวิตอยู่ที่การรู้แจ้งปรุโปร่ง  หาใช่อยู่ที่เพียงจุดหมายเท่านั้น
รากฐานแห่งชีวิตอยู่ที่ความขยันหมั่นเพียร  หาใช่อยู่ที่ความสำราญอยู่สบายเรื่อยไป
สีสันแห่งชีวิตอยู่ที่ความหมายเนื้อแท้   หาใช่อยู่ที่เนื้อหาเปลือกนอก
คุณค่าแห่งชีวิตอยู่ที่ส่องสว่างเจิดจรัสชีวา   หาใช่อยู่ที่แสวงหาวัตถุรูปลักษณ์



ศิษย์รักต้องเข้าใจในหลักธรรมจริง  จึงบำเพ็ญได้ถูกต้อง....


ปุถุชนค้นหาทรัพย์เงินตรา...  ก็เพื่อเลี้ยงชีพ...  เลี้ยงครอบครัว...  สร้างฐานะทางสังคม ....
แต่วันนี้ได้รับโอกาสดี...  เจ้าต้องรู้จักถนอมรักษาบุญสัมพันธ์....


มีทรัพย์เงินตรารู้จักใช้  สามารถแปรเปลี่ยนเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ ใช้เวลานี้บำเพ็ญตน  ....


ชีวิตมนุษย์ยากที่จะออกบวชได้ด้วยความยินดี...  เพราะว่าในการดำรงชีวิตยังไม่สะดวกอำนวย...   ดังนั้น ยุคขาวศิษย์สามารถบวชจิตอยู่ในการครองเรือนได้  เจ้าต้องพิเคราะห์ให้ดี ...  การบวชจิตต้องฝึกฝน .... ขัดเกลาจิตใจให้ลดละเลิกจากกิเลส .... จากอบายมุข  หมั่นฝึกฝนจึงก้าวสู่ปราชญ์เมธา...


ปราชญ์เมธาค้นหาสัจธรรมแท้... คือผู้ที่มุ่งมั่น ทุกนาทีของชีวิตคือการบำเพ็ญฉุดช่วยตน  ช่วยผู้อื่น ...การช่วยตนเองคือก้าวแรกที่จะดำเนิน   เมื่อศึกษาธรรม   บำเพ็ญธรรมกระจ่างเข้าใจ  จึงฉุดช่วยผู้อื่นขั้นต่อไป...


หนทางธรรมเพียงหนึ่งเดียวไม่เปลี่ยนแปร คือ หนทางหลุดพ้น  แม้กาลเวลาจะผ่านมาหกหมื่นกว่าปี  อริยะพุทธะโบราณเดินเส้นทางนี้   บำเพ็ญธรรม  บรรลุมรรคผล  หนทางธรรมเมื่อศิษย์นำพาก้าวเดิน   ปฏิบัติจริง  ก็เสมือนดั่งเจริญตามปฏิปทาพระพุทธะเช่นกัน...


โปรดสามโลกแพร่ธรรมจริงเก็บญาณคืน...   ณ  ยุคปัจจุบัน  จิตใจผู้คนตกต่ำ...  ขาดศีลธรรม .... คุณธรรม ....จึงต้องอาศัยธรรมะฟื้นฟูจิตเดิมแท้  หวังว่าเจ้าจะบำเพ็ญได้ดี ... ช่วยบรรพชน ... ช่วยครอบครัว....


การฉุดช่วยนั้น... ฉุดช่วยอย่างไรจึงจะพ้นจากความทุกข์ ... เจ้าต้องรู้จักตนเองก่อน.... มนุษย์ผู้ใดรู้จักหนทางพ้นทุกข์ .... รีบเร่งบำเพ็ญจะสามารถเข้าสู่สภาวะเดิมในกายตน.... คือ การย้อนมองส่องจิตตน นั่นเอง....   

ช่วยคนพ้นจากทุกข์คือ... หลักธรรมความจริงแท้....  แม้จะช่วยผู้อื่น...  แต่หากผู้นั้นมิช่วยตน ... ใครจะช่วยได้...  หลักธรรมชี้นำทางให้ชีวิตตื่น   การฟังธรรมเพื่อจะนำพาไปใช้ในชีวิตประจำวัน...  อย่าดูเบา...  จากนี้ตั้งใจให้ดี.... เข้าใจหรือไม่ ?....ความจริงแห่งชีวิตอยู่ที่การบำเพ็ญหล่อเลี้ยงจิต 
ความดีแห่งชีวิตอยู่ที่การอุทิศเสียสละ           
ความงามแห่งชีวิตอยู่ที่การรู้แจ้งปรุโปร่ง 
รากฐานแห่งชีวิตอยู่ที่ความขยันหมั่นเพียร   
สีสันแห่งชีวิตอยู่ที่ความหมายเนื้อแท้   
คุณค่าแห่งชีวิตอยู่ที่ส่องสว่างเจิดจรัสชีวา    พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์หาใช่ชื่อเสียงลาภยศ
หาใช่อยู่ที่มีทรัพย์สินมากมาย
หาใช่อยู่ที่เพียงจุดหมายเท่านั้น
หาใช่อยู่ที่ความสำราญอยู่สบายเรื่อยไป
หาใช่อยู่ที่เนื้อหาเปลือกนอก
หาใช่อยู่ที่แสวงหาวัตถุรูปลักษณ์เราโชคดีมากแล้ว...ที่ได้พบคำสั่งสอนที่ดีงาม...
เราโชคดีมาก...ที่ได้มีโอกาสสร้างกุศล และละทิ้งความบาปผิด...
เราโชคดีมาก...ที่ได้พบพระศาสนา ไม่ว่าศาสนาใดก็ตาม...
เราโชคดีมาก...ที่เราได้มีโอกาสช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นทางด้านใดก็ตาม...
เราโชคดีมาก...ที่ได้เป็นพี่น้องกันตั้งแต่อดีตและตลอดไป...
เราโชคดีมาก...ที่เมื่อเรามีจิตใจที่สะอาดแล้ว แดนนรกนั้นไม่ต้อนรับเรา แต่เราต้องไม่ประมาทอีกต่อไป...
เราโชคดี...ที่ชาตินี้ไม่ต้องไปนรกอีก เพราะเราได้ทราบแล้วว่านรกนั้นเป็นแดนมหาทุกข์เพียงไร...
เราโชคดี...ที่ได้ดำเนินตามทางที่ถูกต้องตามหลักแห่งความจริงที่สุดแห่งจักรวาล...
เราโชคดีมาก...ที่เราเข้าใจสัจธรรม ซึ่งเราทุกคน ต้อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย...
เราโชคดีมาก...ที่เราได้พบกันเพื่อสร้างบารมีเป็นปัจจัยช่วยเหลือผู้อื่นและตัวเราเองสู่แดนอมตะนิรันดร์กาล...


ขอขอบคุณที่มาและภาพสวยๆ  http://www.96rangjai.com/life/
812  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / คำดีดีวินทร์ เลียววาริณ‏ เมื่อ: มกราคม 24, 2012, 03:34:42 pm








































ขอขอบคุณที่มาและภาพสวยๆ  www.teenee.com
813  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: โมฆะบุรุษ เป็นอย่างไร คะ เมื่อ: มกราคม 24, 2012, 03:20:09 pm
 :smiley_confused1: :smiley_confused1: :smiley_confused1:
814  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: อยากทราบความศักดิ์สิทธิ์ของพระคาถาชินบัญชรค่ะ เมื่อ: มกราคม 24, 2012, 12:05:21 pm
ขอบคุณมากค่ะ เข้าใจกระจ่างแจ้ง    :c017: :c017:
815  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ประวัติพระยืน พระพุทธมิ่งเมือง และพระพุทธมงคลเมือง เมื่อ: มกราคม 24, 2012, 11:36:51 am
 :25: :25: :25:
816  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: อยากทราบความศักดิ์สิทธิ์ของพระคาถาชินบัญชรค่ะ เมื่อ: มกราคม 24, 2012, 11:13:58 am
 :25: :25: :25:
817  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: พระวัดถ้ำสองพี่น้องไม่ลงรอยกันยิงดับคาที่ 24-1-55 เมื่อ: มกราคม 24, 2012, 10:56:27 am
 น่าเศร้าใจจัง สาธุ  :73: :73: :73:
818  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ชมภาพ "ตรุษจีนทั่วโลกคึกคัก รับปีมังกร" เมื่อ: มกราคม 23, 2012, 10:44:25 am
 :25: :25: :25:
819  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ตามไปดู! แห่แก้ชง-สะเดาะเคราะห์ตรุษจีน แน่นวัดเล่งเน่ยยี่ 2 (ชมคลิป) เมื่อ: มกราคม 23, 2012, 10:23:21 am
 :25: :25: :25:
820  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ขอคิดดีๆจาก ธ.วาทะ (น่าอ่านมากๆ) เมื่อ: มกราคม 23, 2012, 10:22:25 am
ข้อคิดในแง่ของธรรมะ ๑๐๐ ข้อ
 
 
๑. จงทำดี อย่าหวังค่าตอบแทน ถึงแม้จะเป็นเพียงคำสรรเสริญก็ตาม
๒. จงทำดี ให้มันดี ถึงแม้ผลงานออกมาไม่ดี ก็ถือว่าเราทำดีที่สุดแล้ว
๓. จงทำดี แต่อย่าอวดดี เพราะทุกคนก็มีดีไม่เหมือนกัน
๔. อุปสัคมักจะเกิดขึ้นในขณะที่กำลังทำความดี ดีเหลือเกินหนี้สินเก่าจะได้หมดไป
๕. อุปสัคมักจะไม่เกิดขึ้นในขณะกำลังทำความชั่ว เพราะเป็นทางกู้หนี้สินใหม่เข้ามาแทน
๖. ทุก ๆ คนปรารถนาแต่สิ่งที่ดี ๆ แต่ไม่รู้จักการทำความดี
๗. ควรแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ อย่าพยายามแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
๘. คนโง่ไม่มีความพยายามที่จะเข้าใจอะไรได้เลย ได้แต่เอะอะโวยวายว่า “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไม ? ถึงต้องเป็นเรา ทำไม ? ทำไม ?
๙. ผู้ฉลาดในธรรม ยอมรับว่า “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ซึ่งไม่มีอะไรที่น่าตกใจเลย เพราะเป็นเรื่องธรรมดา
๑๐. ชีวิตที่ไม่ขาดทุน คือการไม่เคยทำความชั่วเลย
๑๑. เพราะฉะนั้นคนเราเจอทั้งสุขและทุกข์ เพราะว่าทำทั้งดี ทำทั้งชั่ว
๑๒. การตามใจตัวเองอยู่เสมอ เป็นทางตันในการดำเนินชีวิต
๑๓. การขัดใจตัวเอง ก็คือการขัดเกลาหนทางให้ราบเรียบ
๑๔. ถ้าหากเราอยากให้คนอื่นมาเข้าใจหรือเอาใจในตัวเรา เหมือนกับว่าเรายังเป็นเด็กไร้เดียงสาไม่รู้จักเติบโตเลย
๑๕. เราพยายามที่จะเข้าใจคนอื่น มากกว่าที่จะให้คนอื่นมาเข้าใจ ตอนนี้ เรากำลังจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว
๑๖. หลาย ๆ ชีวิต เดินสวนทางกันไปมาอยู่ในขณะนี้ มีทางดำเนินชีวิตไม่เหมือน และก็มีอุปสัคที่ไม่เหมือนกัน
๑๗. เราอย่าเข้าใจว่า มีความทุกข์มากกว่าคนอื่น คนอื่นมีความทุกข์มากกว่าเราก็ยังมี
๑๘. การร้องไห้เป็นการแสแสร้งที่แบบเนียนเหลือเกินในวัน เพราะพรุ่งนี้เราจะร้องเพลงก็ได้
๑๙. เพราะฉะนั้น เวลาเรามีความทุกข์ ก็อย่าเข้าใจว่า เรามีความทุกข์ เวลาเรามีความสุข ก็อย่าเข้าใจว่า เรามีความสุข ไม่เช่นนั้นเราต้องเป็นคนบ้า ร้องไห้บ้าง ร้องเพลงบ้าง ตามประสาคนบ้า
๒๐. คนอื่นจะให้ได้ดังใจเรานั้น ทุกอย่างไม่มีเลย เพียงแต่เรายอมรับเขา อยู่ในฐานะใดฐานะหนึ่งเท่านั้น
๒๑. แม้แต่ตัวของเราเองก็ยังไม่ได้ดังใจเรา แล้วคนอื่นจะให้ได้ดังใจเรานั้น เป็นอันไม่มี
๒๒. เราไม่ได้ดังใจเขา จะให้เขาได้ดังใจเราอย่างไร
๒๓. ปรารถนาสิ่งใด อย่าพึงดีใจไว้ล่วงหน้า พลาดหวังสิ่งใด อย่าพึงเสียใจตามหลัง
๒๔. ทุกสิ่งทุกอย่าง มันเป็นเช่นนั้นเอง
๒๕. หากยึดถือมาก ให้ความสำคัญมันมาก ทุกข์มาก
๒๖. หากยึดถือน้อย ให้ความสำคัญมันน้อย ทุกข์น้อย
๒๗. ยินดีไปตามความอยาก คือความมักมากไม่มีสิ้นสุด
๒๘. แท้จริง ผัว ไม่มี เมียไม่มี ลูกไม่มี ทรัพย์สมบัติก็ไม่มี แต่ความยึดมั่นด้วยความลุ่มหลงอย่างหนาแน่นว่าเรามี
๒๙. สักวันหนึ่ง เราคงจะไม่มีอะไรสักอย่างเลย ถึงวันนั้น เราทำใจได้ไหม ?
๓๐. การเกิดขึ้น เพื่อเริ่มต้นไปสู่ความดับลง ท่านจะยึดถือ หรือไม่ยึด นั้นมันเป็นเรื่องของท่าน
๓๑. อุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่น กับความรับผิดชอบ มันคนละอย่างกัน
๓๒. วันนี้ต้องดีกว่าวานนี้ พรุ่งนี้จะต้องดีกว่าวันนี้
๓๓. ทำดีในวันนี้ พรุ่งนี้จะดีของมันเอง
๓๔. คนโง่จะเสียใจ ร้องไห้ตลอดวัน โดยไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย
๓๕. ส่วนคนฉลาด จะรีบแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เท่าที่จะทำได้
๓๖. เรารักในสิ่งใด จะต้องจากในสิ่งนั้น ช้าหรือเร็วมันอีกเรื่องหนึ่ง
๓๗. ถ้าผัวตายก่อนเมีย เมียจะต้องเสียใจ ถ้าเมียตายก่อนผัว ผัวจะต้องเสียใจ ทำอย่างไร จึงจะไม่เสียใจ
๓๘. ถ้าไม่อยากเสียใจ เมื่อจากกันไป ก็อย่าดีใจเมื่อตอนได้มา
๓๙. ท่านแน่ใจหรือว่าท่านเป็นพระเอกหรือนางเอกตลอดนิรันดรกาล
๔๐. ใช่แน่นอน ! ท่านเป็นตัวเอกในเรื่องของท่าน แต่ท่านอาจจะเป็นตัวสำรองในเรื่องของผู้อื่น
๔๑. เรายืนอยู่บนสนามชีวิต ต้องต่อสู้อุปสัคทุกรูปแบบ จนกว่าจะปิดฉากละครแห่งชีวิต ด้วยการตายลงไป
๔๒. บทเรียนในตำราเรียน กับบทเรียนในชีวิตจริง มันคงละอย่างกัน
๔๓. ไม่มีตำราเล่มไหน ที่จะสอนเราทุกอย่างก้าวว่าวันนี้เราจะต้องเจออะไรบ้าง และจะต้องแก้อย่างไร ?
๔๔. เสียเงินทอง เสียสิ่งของ เสียเวลา และก็เสียใจ เป็นการจ่ายค่าเทอมชีวิต
๔๕. คนฉลาดจะจ่ายค่าเทอมที่ถูกที่สุด ส่วนคนโง่จะจ่ายค่าเทอมที่แพงกว่ากัน
๔๖. ที่จริงคนตาบอด พิกลพิการเขาน่าจะเป็นทุกข์มากกว่าเรา ทำไม ? เขายังยิ้มแย้มแจ่มใสได้
๔๗. ทำไมเราจึงทุกข์กว่าคนพิกลพิการเล่า ?
๔๘. กายพิการ แต่ใจไม่พิการ ใจพิการ แต่กายไม่พิการ อย่างไหนดีกว่ากัน ?
๔๙. เราสามารถตัดสินหนทางดำเนินชีวิตของเราเองได้ ดีหรือชั่ว อยู่ที่ตัวของเรา
๕๐. คนอื่นสามารถบังคับเราเป็นเพียงบางเวลา ส่วนใจของเรานั้น ไม่มีใครสามารถบังคับได้นอกจากตัวของเราเท่านั้น
๕๑. ถึงแม้งานจะสับสนยุ่งยากเหลือเกิน หากใจมีอิสระแล้ว ไม่เห็นจะยุ่งยากตรงไหน
๕๒. ทุกคนเกิดมาเพื่อทำหน้าที่ ตายเพื่อทำหน้าที่ ดีกว่าตายเพราะไม่ทำหน้าที่
๕๓. รับผิดชอบตัวเอง รับผิดชอบเพื่อนที่ดี และรับผิดชอบสังคม
๕๔. วันนี้เราด่าเขา วันหน้าเขาต้องด่าเรา ชาตินี้เราฆ่าเขา ชาติหน้าเขาจะต้องฆ่าเราอย่างแน่นอน
๕๕. คนทำบาป เพราะเห็นแก่กิน ไม่ต่างอะไรกับกินอาหารผสมยาพิษอย่างเอร็ดอร่อย กินมากก็มีพิษมา กินน้อยก็มีพิษน้อย
๕๖. กฎหมายทางโลก คุ้มครองสัตว์บางจำพวกเท่านั้น ส่วนกฎแห่งกรรมทางธรรม คุ้มครองสัตว์ทุกจำพวก
๕๗. กฎระเบียบของทางโลก อนุโลมไปตามความอยาก ส่วนกฎทางธรรมอนุโลมไปตามความเป็นจริง
๕๘. กรรมคือการกระทำให้สัตว์หยาบ และละเอียดประณีตต่างกัน
๕๙. ไม่มีพระเจ้าองค์ใด ที่จะสร้างเรา ไม่มีพระเจ้าองค์ใด ที่จะทำให้เราร่ำรวยได้ ไม่มีพระเจ้าองค์ใด ที่จะทำให้เราเป็นผู้บริสุทธิ์ได้นอกจากตัวของเราเอง
๖๐. คำว่า “ทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว” มากเหลือเกินที่คนได้ยิน น้อยเหลือเกินที่คนรู้จัก
๖๑. เหตุการณ์ความเป็นไปของทางโลก ไม่มีสิ้นสุด เราไม่สามารถจะติดตามได้ตลอดกาลเพราะอายุยังมีที่สิ้นสุด เราจะบ้ากับมันหรือไม่บ้า มันก็เป็นไปอยู่อย่างนั้น
๖๒. เพื่อมิให้เสียเวลา จงกลับมามองดูจิตใจของตนเอง ทำไมถึงซอกแซกสับส่ายถึงขนาดนั้น
๖๓. มันเคยตัว เพราะเราให้โอกาสมันมากเกินไป เพราะรักมันมาก จึงไม่กล้าขัดใจ นาน ๆ ไปอาจกลายเป็นโรควิกลจริตทางด้านจิตใจ
๖๔. การเอาชนะใจตนเอง ไม่ให้ไหลสู่อำนาจฝ่ายต่ำ เป็นสิ่งประเสริฐแท้
๖๕. วันนี้ เราตามใจของตนเอง ด้วยอำนาจแห่งความอยาก วันพรุ่งนี้ เราต้องหมดโอกาสที่จะสบายใจ
๖๖. วันนี้ เราไม่ตามใจตนเอง พรุ่งนี้ เราจะอยู่อย่างสบาย
๖๗. ยิ่งแก่ ยิ่งงก เพราะเขางกมาตั้งแต่ยังไม่แก่ ยิ่งแก่ ยิ่งดี เพราะเขาดีตั้งแต่ยังไม่แก่
๖๘. การวิ่งไปตามความอยาก คือการฆ่าตนเองด้วยความพอใจ
๖๙. ศัตรูมักมาในรูปรอยแห่งความเป็นมิตร ความทุกข์มักมาในรูปรอยแห่งความสุข
๗๐. น้ำหวานผสมยาพิษ คนโง่จะชอบดื่ม เพราะไม่รู้ ยาเสพติด ทำลายร่างกายตนเอง คนโง่ก็จะพากันเสพทั้งที่รู้
๗๑. ความสบายกายและสบายจิต จะหาซื้อด้วยเงินแสนเงินล้านไม่มีเลย ไม่จำเป็นจะต้องซื้อด้วยเงินและทอง
๗๒. คนที่มีศรัทธา มีคุณค่ายิ่งกว่าเงินแสนเงินล้าน
๗๓. เมื่อมีศรัทธา ควรมีปัญญาประกอบด้วย ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นคนงมงาย ขาดเหตุผล
๗๔. คนนิยมสร้างพุทธ ที่เป็นรูป คือพุทธรูป แต่ไม่นิยมสร้างพุทธ ที่เป็นนาม คือสภาวธรรมที่รู้แจ้ง รู้จริง ทำให้รู้จักพุทธะ
๗๕. ความจริงต้องมีให้พิสูจน์ จึงจะถือว่าจริงแน่นอน คนโง่จะไม่เชื่อตั้งแต่เริ่มต้น จึงไม่พบกับความจริงในชีวิต มีแต่ความงมงายในชีวิต
๗๖. คนใดถือสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระ ถือสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระคนนั้นมีทางดำเนินในทางที่ผิด เขาจะไม่พบแก่นสารชีวิตที่แท้จริงเลย
๗๗. ผู้ที่หลงเปลือกนอก ย่อมไม่เห็นแก่นใน ผู้ถึงแก่นใน ย่อมเข้าใจเปลือกนอก
๗๘. ความสนุกสนานมัวเมาประมาทในชีวิต ไม่ใช่หนทางดำเนินชีวิตที่แท้จริง มันเป็นหนทางที่ทำให้เสียเวลา
๗๙. หากคนให้ความสำคัญกับการ กิน เล่น เสพกาม และนอน มากกว่าคุณธรรม เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานจะไม่ดีกว่ากันหรือ ? เพราะว่าไม่มีกฎหมายห้าม
๘๐. หากจิตใจเต็มด้วยความโลภ โกรธ หลง ช่องว่างในหัวใจไม่มี มีแต่ความอึดอัด
๘๑. อาหารที่กินเข้าไปมาก แสนจะอึดอัด แต่มีทางระบายออก
๘๒. ยิ่งความโลภ โกรธ หลง ลดลงมากเท่าไร ความปลอดโปร่ง ยิ่งมีขึ้นมากเท่านั้น
๘๓. แสงสว่างในทางธรรม จุดประกายให้ชีวิต ให้พบแต่ความสดใส
๘๔. ความสุขทางโลก เหมือนกับการเกาขอบปากแผลที่คัน ยิ่งเกายิ่งมัน เวลาหยุดเกา มันแสบมันคัน เพราะเป็นความสุขเกิดจากความเร่าร้อน
๘๕. เมื่อตอนที่อยากได้ ก็เป็นทุกข์ขณะที่แสวงหา ก็เป็นทุกข์ ได้มาแล้วกลัวฉิบหายไป ก็เป็นทุกข์
๘๖. เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็ต้องมี เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ย่อมไม่มี
๘๗. หากมีแล้ว ทำให้มีความสุข ควรมี ถ้าหากมีแล้ว ทำให้มีความทุกข์ ไม่รู้จะมีไว้ทำไม ?
๘๘. ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่เที่ยง เราไปยึดมั่นความไม่เที่ยงนั้นว่าความสุข
๘๙. แม้ความสุขนั้นมันก็ไม่เที่ยง จะไปหวังเอาอะไรอีกเล่า ?
๙๐. พบกันก็เพื่อจากกัน ได้มาก็เพื่อจากไป
๙๑. มองทุกข์ให้เห็นทุกข์ จึงจะมีความสุข
๙๒. ความเบาใจ คลายกังวล ย่อมมีได้ แก่บุคคลผู้เข้าใจธรรมะ
๙๓. ยิ่งเข้าถึงธรรมที่เป็นจริงมากเท่าใด ความเบาสบายใจยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
๙๔. เพราะความสุขทางโลก ไม่ให้อะไรมากไปกว่าความเพลิดเพลิน มัวเมา ประมาทในชีวิต จนลืมทางธรรม
๙๕. ทางเดิน ๒ ทาง ทางโลก และ ทางธรรม
๙๖. ทางโลก คือการปล่อยใจไปตามความอยากในโลกีย์ ทางธรรม คือการควบคุมใจตนเอง ให้มีธรรมเป็นเครื่องคุ้มครอง
๙๗. ผิดหวังทางโลก ยังมีทางธรรมคุ้มครอง หากคนนั้นรู้จักธรรม
๙๘. ผิดหวังทางโลก อยากทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งตนเอง คนนั้นแหละ ไม่รู้จักธรรม
๙๙. ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ควรยึดถือมั่น
๑๐๐. มันเป็นเช่นนั้นเอง.
ท่านเข้าใจแล้วหรือยัง   สักวันหนึ่งท่านคงจะเข้าใจ
ธรรมวาทะ ศรีคูณ (ธ.วาทะ)
 
ขอบคุณ ที่มา www.mahamodo.com
821  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: อยากทราบฤกษ์ลาสิกขา ระหว่างเดือน มีนา-พฤษภา ครับ เมื่อ: มกราคม 23, 2012, 09:18:08 am
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ  :25: :25: :25:
822  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: วันส่งเจ้าขึ้นสวรรค์ (ซิ้งเจียที) 2555 เมื่อ: มกราคม 22, 2012, 11:33:26 am
อนุโมทนาบุญ กับคุณ ธรรมธวัชค่ะ  :25: :25: :25:
823  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: พลังศรัทธา สะสมบุญครั้งใหญ่ กราบไหว้ 4 พระโพธิสัตว์รับตรุษจีน เมื่อ: มกราคม 22, 2012, 11:31:51 am
อนุโมทนา สาธุ  :25: :25: :25:
824  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: อัญเชิญพระโพธิสัตว์ กวนอิม หนัก 1 ตันให้ชาวไทยสักการะในวันวิสาขบูชา เมื่อ: มกราคม 22, 2012, 11:31:20 am
สาธุ   :25: :25: :25:
825  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: อยากทราบความศักดิ์สิทธิ์ของพระคาถาชินบัญชรค่ะ เมื่อ: มกราคม 21, 2012, 05:39:23 pm


   
คาถาชินบัญชร โดยสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)

    พระคาถานี้เป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์ตกทอดมาจากลังกา
    ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯค้นพบในคัมภีร์โบราณและได้ดัดแปลงแต่งเติมให้ดีขึ้นเป็นเอกลักษณ์พิเศษ
    ผู้ใดสวดภาวนาพระคาถานี้เป็นประจำสม่ำเสมอจะทำให้เกิดความสิริมงคลแก่ตนเอง
    ศัตรูไม่กล้ากล้ำกราย มีเมตตามหานิยม ขจัดภัยตลอดจนคุณไสยต่างๆ
    ก่อนเจริญภาวนาให้ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วระลึกถึงหลวงปู่โตและตั้งคำอธิษฐานแล้วเริ่มสวด



    เริ่มสวด นโม 3 จบ

    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ


    นึกถึงหลวงปู่โตแล้วตั้งอธิษฐาน

    ปุตตะกาโมละเภปุตตัง ธะนะกาโมละเภธะนัง
    อัตถิกาเยกายะญายะ เทวานังปิยะตังสุตตะวา
    อิติปิโสภะคะวา ยะมะราชาโน ท้าวเวสสุวัณโณ
    มรณังสุขัง อะระหังสุคะโต นะโมพุทธายะ



    เริ่มบทพระคาถาชินบัญชร

         ๑.ชะยาสะนากะตา พุทธา       เชตวา มารัง สะวาหะนัง
            จะตุสัจจาสะภัง ระสัง         เย ปิวิงสุ นะราสะภา.

         ๒.ตัณหังกะราทะโย พุทธา      อัฏฐะวีสะติ นายะกา
            สัพเพ ปะติฏฐิตา มัยหัง       มัตถะเกเต มุนิสสะรา.

         ๓.สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง        พุทโธ ธัมโม ทะวิโลจะเน
            สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง      อุเร สัพพะคุณากะโร.

         ๔.หะทะเย เม อะนุรุทโธ        สารีปุตโต จะทักขิเณ
            โกณฑัญโญ ปิฏฐิภาคัสมิง    โมคคัลลาโน จะ วามะเก.

         ๕.ทักขิเณ สะวะเน มัยหัง       อาสุง อานันทะ ราหุโล
            กัสสะโป จะ มะหานาโม      อุภาสุง วามะโสตะเก.

         ๖.เกสันเต ปิฏฐิภาคัสมิง        สุริโย วะ ปะภังกะโร
            นิสินโน สิริสัมปันโน          โสภิโต มุนิปุงคะโว


         ๗.กุมาระกัสสโป เถโร           มะเหสี จิตตะ วาทะโก
            โส มัยหัง วะทะเน นิจจัง       ปะติฏฐาสิคุณากะโร.

         ๘.ปุณโณ อังคุลิมาโร จะ          อุปาลี นันทะ สีวะลี
            เถรา ปัญจะ อิเม ชาตา        นะลาเต ติละกา มะมะ.

         ๙.เสสาสีติ มะหาเถรา            วิชิตา ชินะสาวะกา
            เอเตสีติ มะหาเถรา            ชิตะวันโต ชิโนระสา
            ชะลันตา สีละเตเชนะ           อังคะมังเคสุ สัณฐิตา.

        ๑๐.ระตะนัง ปุระโต อาสิ            ทักขิเณ เมตตะ สุตตะกัง
            ธะชัคคัง ปัจฉะโต อาสิ         วาเม อังคุลิมาละกัง

        ๑๑.ขันธะโมระปะริตตัญจะ         อาฏานาฏิยะ สุตตะกัง
            อากาเส ฉะทะนัง อาสิ           เสสา ปาการะสัณฐิตา

        ๑๒.ชินา นานาวะระสังยุตตา         สัตตัปปาการะ ลังกะตา
            วาตะปิตตาทะสัญชาตา          พาหิรัช ฌัตตุปัททะวา.

        ๑๓.อะเสสา วินะยัง ยันตุ            อะนันตะชินะ เตชะสา
            วะสะโต เม สะกิจเจนะ          สะทา สัมพุทธะปัญชะเร.

        ๑๔.ชินะปัญชะระมัชฌัมหิ           วิหะรันตัง มะฮี ตะเล
            สะทา ปาเลนตุ มัง สัพเพ        เต มะหาปุริสาสะภา.

        ๑๕.อิจเจวะมันโต            สุคุตโต สุรักโข
            ชินานุภาเวนะ           ชิตุปัททะโว
            ธัมมานุภาเวนะ          ชิตาริสังโฆ
            สังฆานุภาเวนะ          ชิตันตะราโย
            สัทธัมมานุภาวะปาลิโต   จะรามิ ชินะ ปัญชะเรติ.



        คำแปล
     ๑.พระพุทธเจ้าและพระนราสภาทั้งหลาย ผู้ประทับนั่งแล้วบนชัยบัลลังก์
        ทรงพิชิตพระยามาราธิราชผู้พรั่งพร้อมด้วยเสนาราชพาหนะแล้ว เสวยอมตรสคือ
        อริยะสัจธรรมทั้งสี่ประการ เป็นผู้นำสรรพสัตว์ให้ข้ามพ้นจากกิเลสและกองทุกข์

     ๒.มี ๒๘ พระองค์คือ พระผู้ทรงพระนามว่า ตัณหังกรเป็นต้น พระพุทธเจ้าผู้จอมมุนีทั้งหมดนั้น

     ๓.ข้าพระพุทธเจ้าขออัญเชิญมาประดิษฐานเหนือเศียรเกล้า
        องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประดิษฐานอยู่บนศีรษะ
        พระธรรมอยู่ที่ดวงตาทั้งสอง
        พระสงฆ์ผู้เป็นอากรบ่อเกิดแห่งสรรพคุณอยู่ที่อก

     ๔.พระอนุรุทธะอยู่ที่ใจพระสารีบุตรอยู่เบื้องขวา
        พระโมคคัลลาน์อยู่เบื้องซ้าย พระอัญญาโกณทัญญะอยู่เบื้องหลัง

     ๕.พระอานนท์กับพระราหุลอยู่หูขวา
        พระกัสสะปะกับพระมหานามะอยู่ที่หูซ้าย

     ๖.มุนีผู้ประเสริฐคือพระโสภิตะผู้สมบูรณ์ด้วยสิริดังพระอาทิตย์ส่องแสง
        อยู่ที่ทุกเส้นขน ตลอดร่างทั้งข้างหน้าและข้างหลัง

     ๗.พระเถระกุมาระกัสสะปะผู้แสวงบุญทรงคุณอันวิเศษ
        มีวาทะอันวิจิตรไพเราะอยู่ปากเป็นประจำ

     ๘.พระปุณณะ พระอังคุลิมาล พระอุบาลี พระนันทะ และพระสีวะลี
        พระเถระทั้ง ๕ นี้ จงปรากฏเกิดเป็นกระแจะจุณเจิมที่หน้าผาก

     ๙.ส่วนพระอสีติมหาเถระที่เหลือผู้มีชัยและเป็นพระโอรส
        เป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าผู้ทรงชัย แต่ละองค์ล้วน
        รุ่งเรืองไพโรจน์ด้วยเดชแห่งศีลให้ดำรงอยู่ทั่วอวัยวะน้อยใหญ่

    ๑๐.พระรัตนสูตรอยู่เบื้องหน้าพระเมตตาสูตรอยู่เบื้องขวา
        พระอังคุลิมาลปริตรอยู่เบื้องซ้าย พระธชัคคะสูตรอยู่เบื้องหลัง

    ๑๑.พระขันธปริตร พระโมรปริตร และพระอาฏานาฏิยสูตร
        เป็นเครื่องกางกั้นดุจหลังคาอยู่บนนภากาศ

    ๑๒.อนึ่งพระชินเจ้าทั้งหลาย นอกจากที่ได้กล่าวมาแล้วนี้
        ผู้ประกอบพร้อมด้วยกำลังนานาชนิด มีศีลาทิคุณอันมั่นคง
        สัตตะปราการเป็นอาภรณ์มาตั้งล้อมเป็นกำแพงคุ้มครองเจ็ดชั้น

    ๑๓.ด้วยเดชานุภาพแห่งพระอนันตชินเจ้าไม่ว่าจะทำกิจการใดๆ
        เมื่อข้าพระพุทธเจ้าเข้าอาศัยอยู่ในพระบัญชรแวดวงกรงล้อม
        แห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอโรคอุปัทวะทุกข์ทั้งภายนอกและภายใน
        อันเกิดแต่โรคร้าย คือ โรคลมและโรคดีเป็นต้น
        เป็นสมุฏฐานจงกำจัดให้พินาศไปอย่าได้เหลือ

    ๑๔.ขอพระมหาบุรุษผู้ทรงพระคุณอันล้ำเลิศทั้งปวงนั้น
        จงอภิบาลข้าพระพุทธเจ้า ผู้อยู่ในภาคพื้น ท่ามกลางพระชินบัญชร
        ข้าพระพุทธเจ้าได้รับการคุ้มครองปกปักรักษาภายในเป็นอันดีฉะนี้แล

    ๑๕.ข้าพระพุทธเจ้าได้รับการอภิบาลด้วยคุณานุภาพแห่งสัทธรรม
        จึงชนะเสียได้ซึ่งอุปัทวอันตรายใดๆ ด้วยอานุภาพแห่งพระชินะพุทธเจ้า
        ชนะข้าศึกศัตรูด้วยอานุภาพแห่งพระธรรม ชนะอันตรายทั้งปวงด้วยอานุภาพ
        แห่งพระสงฆ์ ขอข้าพระพุทธเจ้าจงได้ปฏิบัติ และรักษาดำเนินไปโดยสวัสดีเป็นนิจนิรันดรเทอญฯ



ที่มา  http://www.84000.org/pray/chinnabanchorn.shtml
ขอบคุณภาพจาก http://www.itti-patihan.com/,http://www.212cafe.com/
826  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ศีล คือ ชีวิต...ชีวิต คือ ศีล เมื่อ: มกราคม 21, 2012, 11:27:33 am


คนที่บอกว่าเขารักชีวิต แต่เขาไม่รักษาศีล
จะเชื่อถือได้อย่างไรว่าเขารักชีวิตจริง

ศีล คือ ชีวิต...ชีวิต คือ ศีล

คนไม่มีศีล เปรียบเสมือนต้นไม้ที่ไม่มีราก
เมื่อถูกลมพัดก็ย่อมล้ม

คนไม่มีศีล เหมือนการสร้างบ้าน
สร้างตึกที่ไม่มีรากฐานไม่มีเสาเข็ม
ย่อมล้มเป็นธรรมดา

คนไม่มีศีล เหมือนคนไม่มีเท้าย่อมเดินไม่ได้
เหมือนรถไม่มีล้อแล่น วิ่งไม่ได้

คนไม่มีศีล เหมือนคนเป็นใหญ่เป็นโต แต่ไม่มีความรู้
ย่อมปกครองทรัพย์ ปกครองลูกน้องไม่ได้ดี

คนไม่มีศีล จะเจริญสมาธิและกระทำให้เกิดปัญญา
และวิมุตติไม่ได้ และสำเร็จมรรคผลนิพพานไม่ได้

คนมีศีล ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟก็ไม่ไหม้
(ไม่ว่าจะอยู่ในหมู่คนพาลหรือคนดี ย่อมรักษาตัวรอดได้)

คนมีศีล จะนั่งนอน หลับตื่น ก็เป็นสุขอยู่ในกาลทุกเมื่อ
ไม่มีวิปฏิสาร (คือความเดือดร้อนใจ)

คนมีศีล มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียวย่อมประเสริฐกว่า
ผู้ไม่มีศีลซึ่งมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี

คนมีศีล ย่อมไม่ทำบาปแม้ในที่ลับ
เพราะมีความตรงและจริงใจต่อตนเอง

คนมีศีล ย่อมไปสู่ทุคติจตุรบาย

ศีล คือ เครื่องรางที่ป้องกันอบายภูมิได้อย่างศักดิ์สิทธิ์

คนมีศีล ย่อมมีสุคติเป็นที่ไปเบื้องหน้า

คนมีศีล จะค้าขายก็จะมีแต่ความเจริญโดยส่วนเดียว

คนมีศีล เข้าสมาธิก็ง่าย ไม่สะดุ้งตกใจง่าย

คนมีศีล ย่อมไม่ฝันลามก ย่อมไม่ฝันร้าย

คนมีศีล บรรลุธรรมก็ง่าย

คนมีศีล ย่อมไม่ก่อกรรมทำบาป

คนมีศีล คือ ผู้ที่มีจิตศรัทธาในพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง
(คือเชื่อในพระรัตนตรัยจริงๆ)

คนมีศีล ย่อมเห็นโทษของบาปแม้เพียงเล็กน้อย

เพราะผิดศีลข้อ ๑ จึงมีกรรม อายุสั้น มีโรคภัยไข้เจ็บมาก

เพราะผิดศีลข้อ ๒ จึงมีกรรม ทรัพย์สมบัติต้องวิบัติ
ด้วยแรงกรรมต่างๆ เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ

เพราะผิดศีลข้อ ๓ จึงมีกรรม ภริยา-สามี นอกจิต นอกใจ
บุตร-ธิดาไม่อยู่ในโอวาทคบชู้สู่ชาย

เพราะผิดศีลข้อ ๔ จึงมีกรรม พูดจาไม่มีคนเชื่อถ้อยฟังคำ
ตาบอด หู หนวก เป็นอัมพาต

เพราะผิดศีลข้อ ๕ จึงมีกรรม โง่เง่า หลงทำกาลกิริยา เป็นบ้า เป็นใบ้

รักษาศีลให้ได้ มีสุคติเป็นที่ไปแน่นอน

รักษาศีลให้ได้ มีโภคทรัพย์แน่นอน

รักษาศีลให้ได้ มีนิพพานเป็นที่ไป และเข้าถึงแน่นอน


:: หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม


www.teenee.com
827  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / Re: ยามที่เราต้องประสพกับความผิดหวัง นานา ประการ เมื่อ: มกราคม 21, 2012, 11:16:05 am
ขอบคุณ คุณหมวยนีย์ค่ะ  :25: :25: :25:
828  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อยากทราบความศักดิ์สิทธิ์ของพระคาถาชินบัญชรค่ะ เมื่อ: มกราคม 21, 2012, 10:44:31 am
อยากทราบความศักดิ์สิทธิ์ของพระคาถาชินบัญชร เห็นมีคนบอกว่าเป็นคาถาที่ศักดิ์สิทธิ์มากศักดิ์สิทธิ์อย่างไรค่ะ
ขอบคุณค่ะ
829  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ทําไมปฏิบัติธรรม จึงเห็นทุกข์เพิ่มขึ้น. เมื่อ: มกราคม 21, 2012, 10:25:47 am
 :25: :25: :25:
830  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ความไม่เข้าใจในเรื่องของกรรม เมื่อ: มกราคม 21, 2012, 09:56:02 am



สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
แม้จะเป็นจริงเช่นนี้ แต่มีผู้ที่เชื่อว่าเป็นจริงเพียงจำนวนน้อยนัก
เพราะไม่มีภาพให้เห็นว่า
เมื่อชีวิตออกจากร่างของคนคนหนึ่งไป ก็ไปเป็นอีกร่างหนึ่งได้
เช่น หมู หมา กา ไก่ ความไม่ได้เห็นชัดๆ ด้วยตาเนื้อเช่นนี้
ทำให้คนส่วนมากยากจะเชื่อว่าคนก็เกิดเป็นสัตว์ได้ สัตว์ก็เกิดเป็นคนได้

คนฐานะสูงก็เกิดเป็นคนฐานะต่ำได้ คนฐานะต่ำก็เกิดเป็นคนฐานะสูงได้
คนร่างกายดีๆ ก็เกิดเป็นคนแขนด้วนขาด้วนได้
คนพิการแขนด้วนขาด้วนก็เกิดเป็นคนมีแขนมีขาได้
คนหน้าตาน่าเกลียดผิดพรรณเศร้าหมอง ก็เกิดเป็นคนสวยคนงามได้
คนสวยคนงามก็เกิดเป็นคนน่าเกลียดน่าชัง ผิดพรรณเศร้าหมองได้
ยิ่งกว่านั้นคนก็เกิดเป็นเทวดาได้ และเทวดาก็เกิดเป็นคนได้

ความไม่เห็นด้วยตาเนื้อ
ประกอบกับความไม่มีความเข้าใจในเรื่องกรรม และการให้ผลของกรรม
ที่ทำให้คนส่วนมากไม่กลัวการเกิดใหม่
ว่าจะนำไปสู่สภาพหรือภพชาติที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก เช่นเป็นสัตว์นรก


คัดลอกจาก...อำนาจอันยิ่งใหญ่แห่งกรรม
สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


www.teenee.com
831  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: 'คันหู' เวอร์ชั่นธรรมะ 'ฟังหู-ไว้หู' เมื่อ: มกราคม 21, 2012, 09:05:53 am
เข้าใจคิดนะค่ะ  :hee20hee20hee: :hee20hee20hee: :hee20hee20hee:  :c017: :c017:
832  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: ปิดทองฝังลูกนิมิต ช่วงตรุษจีน ใกล้ ๆ สระบุรี แนะนำครับ 2555 เมื่อ: มกราคม 20, 2012, 04:48:16 pm
ขอร่วมอนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ สาธุ   :25: :25: :25:
833  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: อวสาน กาษา นาคา ( มรณานุสติของวาดจันทร์ ) เมื่อ: มกราคม 20, 2012, 02:44:09 pm
ละครเรื่องนี้ป้อมชอบมาก ได้ข้อคิดดีๆหลายอย่าง แล้วจะหามาให้อ่านอีกนะค่ะ   :25: :25: :25:
834  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อวสาน กาษา นาคา ( มรณานุสติของวาดจันทร์ ) เมื่อ: มกราคม 20, 2012, 02:42:35 pm









โบราณเคยกล่าวไว้ ว่าเมื่อคนใกล้จะตาย จะมีความรู้ตัวว่าคราวนี้ต้องตายแน่ และขณะจิตจะดับ ก็จะบังเกิดภาพของกรรมในอดีต ผุดขึ้นมาทบทวนชีวิต ที่ผ่านมา บาป หรือบุญ สิ่งไหนจะมีกำลังมากกว่ากัน เพื่อการตัดสินการไปสู่ภพภูมิใหม่ของจิตนั้น เป็นภาพยนต์แห่งชีวิต ที่แก้ไขไม่ได้อีกแล้ว
        วาดจันทร์ มีอาการป่วยหนักขึ้นทุกที การไม่รู้สึกตัวหลายๆวัน เนื่องจากร่างกาย อ่อนแรง แต่จิตใต้สำนึกนั้น ยังรับรู้ได้อยู่ ต่อเมื่อมีอะไรมากระทบใจรุนแรง เธอก็จะลืมตา มารับรู้และแสดงฤทธิ์เดชเสียสักครั้งหนึ่ง แต่ในขณะที่วาดจันทร์มีอาการดังกล่าว พงศ์พญา ไม่ได้ละจากความมีหัวใจ แห่งกัลยาณมิตรเลย จะคอยนั่งปลอบอยู่ข้างๆ ด้วยความห่วงใย และให้ธรรมะตลอด ครั้งหนึ่งวาดจันทร์แอบได้ยินพงศ์พญา พูดโทรศัพท์กับแม่ และกล่าวอย่างตัดสินใจว่า จะต้องบวชตลอดชีวิตให้ได้ และถ้าหากวาดจันทร์ได้มีจิต อนุโมทนาเมื่อไหร่ เธอก็จะได้รับบุญ เพื่อถ่ายบาป ที่ทำต่อพระศาสนาได้บ้าง วาดจันทร์ได้ยิน ก็บังเกิดความโกรธมาก แต่ด้วยสังขารที่ไม่เอื้ออำนวย จึงไม่สามารถจะเอ่ยคำต่อว่าพงศ์พญาได้ และขณะหนึ่ง จิตสำนึก แห่งการหมดหวังที่จะเหนี่ยวรั้งต่อพงศ์พญาเกิดขึ้น ก็มีภาพในอดีตชาติ เข้ามาฉายในห้วงสำนึกให้ดู คือ นับครั้งไม่ถ้วนที่วาดจันทร์ต่อต้าน ห้ามไม่ให้พงศ์พญา ไปปฎิบัติธรรม อ้างแม้กระทั่งการเป็นเดรัจฉาน ไม่มีทางเป็นพระได้ แต่พงศ์พญา กลับไม่เคยเชื่อฟัง และไปจากวาดจันทร์จนได้ทุกครั้ง ในขณะที่ใจ ที่หมดหวัง ก็จะเกิดอาการปลงตก สภาวะอาจคล้ายเกิดสมาธิขั้นอ่อน ทำให้ใจของวาดจันทร์ มองเห็นตามจริง ไม่มีใครที่จะบงการชีวิตของใครได้ สุดแท้แต่ว่า ใครมีความมุ่งหมายอันใด ก็ต้องไปตามทางของตนตามนั้น จิตของวาดจันทร์เริ่มยอมรับ และเมื่อได้นอนนิ่งก็ได้ทบทวนถึงความตั้งใจของพงศ์พญา ที่มีความต้องการ บวช ซึ่งเป็นสิ่งดีงามประการใด เขาก็จะพูดให้เธอได้ฟังตลอดมา มิหนำซ้ำ ยังชักชวนให้เธอเข้ามาปฎิบัติร่วมกัน สุดท้ายที่ได้ยินว่า เขาต้องบวชแน่นอน เพื่อไถ่บาปให้เธอ ความซาบซึ้งนี้ สร้างความปิติใจให้เกิดแก่เธออย่างมหาศาล ความรักของคนเรามีหลายรูปแบบ รักแบบปลดปล่อย ปล่อยวาง ให้อิสระ เป็นรักที่มีความสุข ที่ควรทำให้แก่กัน ส่วนความรักที่วาดจันทร์ยึดถือมาตลอด มันคับแคบ อึดอัด มืดมน มองไม่เห็นว่าอะไรถูกผิด เป็นการทำร้ายตัวเองโดยเฉพาะ
   ในคืนวันหนึ่ง แม่ของเธอได้มาเข้าฝันว่า ได้เก็บผ้าหอม สีขาว ผืนหนึ่งไว้ให้วาดจันทร์ ซึ่งเมื่อเธอตั้งท้องวาดจันทร์ ได้มีคนมาเข้าฝันและฝากไว้ให้ สั่งไว้ว่า ให้วาดจันทร์ มอบผ้าผืนนี้ แก่คนที่วาดจันทร์รัก ในวันที่เขาบวช วาดจันทร์ฝีนสังขาร ไปเอาผ้า จากตู้ที่แม่เก็บไว้ให้ เป็นผ้าสีขาวผีนใหญ่ มีกลิ่นหอม วาดจันทร์นำผ้ากาษากลับมา ยกขึ้นสาธุเหนือหัว และบอกแก่พงศ์พญาว่า ได้สาธุแล้ว วันใดที่พงศ์พญาบวช ขอให้ห่มผ้าผืนนี้ของเธอด้วย เธอขออนุโมทนาในการบวชของเขา จากนั้น วาดจันทร์ก็หมดสติ แต่ในส่วนลึก เธอกำลังจะตาย ภาพสุดท้ายเป็นมรณานุสติของวาดจันทร์ คือได้เห็น พงศ์พญาปลงผม ห่มผ้ากาษาของเธอ ในขณะเป็นเป็นนาค ก่อนเข้าโบถส์ และบวชเป็นพระภิกษุ เธอมองภาพสุดท้ายด้วยจิตอนุโมทนา และจิตดับไป
    พงศ์พญาได้บวชเป็นภิกษุตลอดชีวิต และค้นคว้าปฎิบัติธรรม เป็นพระธุดงค์ในป่า และทุกวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนสิบเอ็ด ของทุกปี ท่านจะมานั่งที่ริมฝั่งโขง เพื่อแผ่เมตตา และอุทิศส่วนกุศลให้แก่วาดจันทร์ และจะภาวนา สอนธรรมะแก่เธอ เมื่อเห็นดวงไฟพญานาค( กล่าวกันว่า เมื่อพญานาคเกิดความปิติต่อบุญก็จะปล่อยดวงไฟอนุโมทนาต่อผู้ปฎิบัติดี) ภิกษุพงศ์พญาก็จะร่วมสาธุกับเธอ
    กาษา นาคา คือผ้าที่พญานาคเป็นผู้ทักทอ ในเมืองบาดาล มีสีขาวกลิ่นหอม ซึ่งก่อนบวชเป็นพระ ทุกท่านต้องเป็นนาคก่อน ผ้านี้ใช้ได้ ในการห่มแต่งเป็นนาคค่ะ
    อวสาน ของกาษา นาคา ผู้บันทึก ก็ต้องขออนุโมทนา กับผู้ประพันธ์ และทุกตัวละคร ที่สามารถแสดง ให้ผู้บันทึก ได้ข้อคิด และปรับปรุงชีวิต สู่ทางไม่ประมาทสืบไป สาธุ


 ขอขอบคุณที่มา   www.gotoknow.org/blogs/posts/121674
835  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ก่อตั้ง "สมาพันธ์พุทธศาสนาสากล" ในอินเดีย เมื่อ: มกราคม 20, 2012, 02:19:39 pm
ขอบคุณค่ะ    :25: :25: :25:
836  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เวรนั้นไม่มีที่สิ้นสุด กรรมนั้นก็ไม่มีที่สิ้นที่สุด เมื่อ: มกราคม 20, 2012, 12:28:19 pm


เวรนั้นไม่มีที่สิ้นสุด กรรมนั้นก็ไม่มีที่สิ้นที่สุด
อย่างพระพุทธเจ้าเกิดมาก็ต้องหลายกัปป์หลายกัลป์
กับพระเทวทัตนั่นเป็นเวรต่อกันไม่รู้แล้วรู้รอดสักที
พระองค์ก็พยายามทำดีทุกอย่าง
แต่ว่าพระเทวทัตไม่ละไม่ถอน
คอยที่จะทำเวรอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งมาเกิดที่ทศชาติ
ก็ยังพยาบาททำกรรมทำเวรมาเกิดเป็นจันทกุมาร
นี่แหละเรื่องกรรมเรื่องเวรมันเป็นอย่างนี้แหละ
ยากที่สุดที่จะพ้นจากกรรมจากเวรได้น่ะ
เราไม่พ้นจากกรรมจากเวร
เราเกิดมาเพราะกรรม เพราะเวร จึงว่า

กมฺมโยนิ กรรมเป็นกำเนิดให้เกิดมา

กมฺมพนฺธุ มันติดพันเรามาตลอดเวลา

กมฺมปฏิสรณา เราอาศัยกรรมอยู่เดี๋ยวนี้

ทุกสิ่งทุกประการมันจะหมดสิ้นอย่างไรได้?
มันจะหมดสิ้นก็ต่อเมื่อสิ้นสังขารร่างกายนี้
พระพุทธเจ้าก็ดี สาวกทั้งหลายก็ดี
ท่านบำเพ็ญเพียรถึงที่สุดแล้ว
สังขารร่างกายนี้แตกดับ กรรมตามไม่ทันแล้วคราวนี้
กรรมอันนี้เรียกวิบากขันธ์
วิบากนี้ต้องตามทันอยู่ตลอดเวลา
ส่วนจิตนั้นตามไม่ทัน จิตใจของพระองค์หมดจดบริสุทธิ์
จิตใจของสาวกหมดจดบริสุทธิ์แล้ว
คราวนี้แหละกรรมตามไม่ทัน
กรรมที่ตามไม่ทันเพราะจิตใจหลุดพ้น
เพราะจิตปราศจากความกังวลเกี่ยวข้อง จิตที่เป็นหนึ่ง

อย่างที่เคยพูดให้ฟังว่า
จิตที่เป็นหนึ่ง ที่รู้เท่ารู้ตัวอยู่ตลอดเวลาเป็นนิจ
ไม่คิดถึงเรื่องอดีต อนาคต
ไม่คิดถึงเรื่องวุ่นวายสิ่งทั้งปวงหมด บริสุทธิ์อยู่คนเดียว
จิตอันอยู่คนเดียวนั้นไม่มีอะไรถูกต้อง
อะไรถูกต้องก็รู้เท่ารู้เรื่อง อันนั้นแหละเรียกจิตบริสุทธิ์
อันนั้นแหละจึงจะหลุดพ้นจากกรรมจากเวรได้

:: หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
www.teenee.com
837  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: หลวงปู่ขาวพบพญานาคราช เมื่อ: มกราคม 20, 2012, 12:23:53 pm
 :25: :25: :25:
838  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: อนาคามีเถรี ผู้มีตางามดังตาเนื้อทราย ควักตาให้ชายหนุ่ม...!!! เมื่อ: มกราคม 20, 2012, 12:20:26 pm
ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ :25: :25: :25:
839  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ตะลึง!จงอางเฝ้าโพรงสมบัติ เมื่อ: มกราคม 19, 2012, 05:56:19 pm
  :25: :25: :25:
840  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ถนนสายดอกไม้ : ขุนวาง-แม่จอนหลวง (ชมภาพสวยๆ) เมื่อ: มกราคม 19, 2012, 05:35:05 pm
สวยจัง  :c017: :c017: :25: :25:
หน้า: 1 ... 19 20 [21] 22 23 24