ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - kavato
หน้า: [1]
1  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: มูลเหตุ ที่แท้จริงที่ เจ้าชายสิทธัตถะ ออกผนวช เมื่อ: มิถุนายน 20, 2010, 11:19:32 am
ขอเสริมต่อจากเมื่อวานนะครับ
นิพพานมีจริงหรือไม่ อันนี้ต้องพิสูจน์เอาเองนะครับ เป็นปัจจัตตัง คือรู้ได้เฉพาะตัว(ผมเองก็ยังไม่รู้ ก็ต้องพิสูจน์กันไป) ;)

ถ้านิพพานมีจริง พระพุทธองค์ก็ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่เอาชนะความแก่ ความเจ็บ ความตาย ด้วยการไม่เกิดอีก :25:
 
      พระพุทธองค์ไม่ได้บอกให้เราต้องเชื่อ(กาลามสูตร) แต่ให้พิสูจน์ด้วยตัวเอง ถ้าปฏิบัติถูกตรงตามที่พระพุทธองค์ทรงสอนก็จะทราบได้ด้วยตนเอง :97:

กาลามสูตร* แปลว่า พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล(เรียก เกสปุตสูตร ก็มี)
กาลามาสูตรเป็นหลักความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทะศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใดๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษ หรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ สิบประการ คือ
1.   อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆกันมา
2.   อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆกันมา
3.   อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
4.   อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
5.   อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
6.   อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะแนเอา
7.   อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
8.   อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
9.   อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
10. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
      เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล
    ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ
    ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข
    เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่

     ปัจจุบันแนวคิดและหลักสูตรที่สอนให้คนมีเหตุผลไม่หลงเชื่องมงาย ในทำนองเดียวกับคำสอนของพระพุทธองค์เมื่อ 2500 ปีก่อนได้รับการบรรจุเป็นวิชาบังคับว่าด้วยการสร้างทักษะการคิดหรือที่เรียกว่า "การคิดเชิงวิจารณ์" (Critical thinking) ไว้ในกระบวนการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยของประเทศพัฒนาแล้ว
 *ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3

   เรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ที่คนเราเพิ่งค้นพบ แล้วนำมาสอนมาเรียนกัน เช่น ทางชีววิทยา เกี่ยวกับการเกิดของมนุษย์ ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ กี่เดือน มีขนาดเท่าไหร่
ถ้าสืบค้นอ่านในพระไตรปิฎก จะพบว่าพระพุทธองค์ก็ได้ตรัสเอาไว้(แต่อาจจะใช้คำเรียกต่างกัน)
     พระพุทธเจ้าจำแนกขั้นตอนการเกิดของมนุษย์ เมื่อเปรียบเทียบกับการเจริญของเชลล์ไข่ที่ผสมอสุจิมนุษย์แล้วมีดังนี้
เมื่อเชลล์ไข่ผสมกับอสุจิ ภายใน 10-12 ชั่วโมง นิวเคลียสของทั้งสองก็จะรวมตัวอย่างสมบูรณ์ เรียกว่า การปฏิสนธิ (หมายถึง กลละ ในพระสูตร)
หลังจากนั้นจะมีการแบ่งเชลล์ 30-37 ชั่วโมง เรียกกว่า ไชโกด แล้วก็จะกลายเป็นกลุ่มเชลล์ เรียกว่า เอ็มบริโอ (หมายถึง อัพพุทะ ในพระสูตร)
หลังจากนั้นเจ็ดวัน เอ็มบริโอ ก็จะเคลื่อนที่ฝังในผนังมดลูก (หมายถึง เปสิ ในพระสูตร)
หลังจากนั้น 3 สัปดาห์ เริ่มมี หัวใจ สมอง และไข่สันหลัง (หมายถึง ฆานะ ในพระสูตร)
หลังจากนั้น 4 สัปดาห์ เริ่มมีปุ่มแขนขา จนถึงสัปดาห์ที่ 7 (เป็นช่วง ปรากฏ 5 ปุ่ม ในพระสูตร จนปรากฏ ศีรษะ แขนขา ชัดเจน)
หลังจากนั้นก็จะพัฒนา อวัยวะ ต่างๆ จนครบสมบูรณ์ ด้วยอาศัยอาหารจากมารดา (ซึ่งตรงตามพระสูตรทุกอย่าง)


   พระพุทธเจ้ารู้การเกิดของมนุษย์ ตั้งแต่เมื่อ2,500ปีมาแล้ว ก่อนที่นักวิทยาศาสตร์จะเครื่องอุล ตร้าซาวนด์ (The ultrasound scan) พระพุทธเจ้าก็ได้ตอบไว้หมดแล้ว
   
แต่ที่พระพุทธองค์ไม่ตรัสสอนทั้งหมด เพราะไม่เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ ไม่เป็นไปเพื่อความหนาย ไม่เป็นไปเพื่อคลาบกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อหลุดพ้น

  พระองค์จึงได้ตรัสแก่พระสาวกในป่าประดู่ลาย กำใบประดู่ในกำพระหัตถ์และถามบรรดาภิกษุสงฆ์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใบประดู่ในมือตถาคต กับใบประดู่ในป่านี่ ใครจะมากกว่ากัน พระสงฆ์ก็ทูลบอกว่า ใบประดู่ในป่ามากกว่าพระเจ้าข้า ตรัสว่า ฉันใดก็ฉันนั้น ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่ตถาคตไม่ได้นำมาสอนเธอมามากมายเหลือเกิน แต่สิ่งที่ตถาคตสอนเธอมีจำนวนน้อย ข้อนี้เพราะเหตุเป็นไฉน ก็เพราะว่าสิ่งที่ตถาคตไม่เอามาสอนกับพวกเธอ เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่เป็นเบื้องต้นของพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อความสำรอกออกจากกิเลส ไม่เป็นไปเพื่อ นิพพิทา เพื่อ วิราคะ เพื่อ นิโรธะ เพื่อ นิพานะแต่สิ่งที่ตถาคตนำมาสอนเธอจะต้องเป็นไปเบื้องต้นของพรหมจรรย์ เป็นไปเพื่อสำรอกกิเลส เป็นไปเพื่อ นิพพิทา วิราคะ นิโรธะ นิพานะ ถึงจะสอนสิ่งนั้น คือ อริยสัจ 4 ตรัสอย่างนี้   

ผมว่า ถ้าเราศึกษาคำสอนของพุทธองค์อย่างจริงจัง เพื่อให้เห็นจริงได้ด้วยตัวเอง  ก็เป็นประโยชน์กับตัวเราเอง
 เพราะเท่าที่ผมเรียนรู้มา(ตัวผมเองนะ)ทั้งแต่เกิด จนบัดnow พุทธวัจนะของพระพุทธะเป็นจริงที่สุด

   
ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นส่วนตัวที่ได้จากการศึกษาธรรมะนะครับ ใครอยากรู้ว่าจริงหรือไม่ก็ต้องปฏิบัติเอง อย่าเพิ่งเชื่อ สมมติว่า มีขนมอยู่ชิ้นนึง ผมบอกว่า "ผมกินแล้ว หวาน ไม่เปรี้ยวไม่เค็ม" คนฟังก็ไม่ควรเชื่อทันทีว่าขนมนั้นหวาน จนกว่าจะได้ลองกินเองว่าหวานจริงหรือไม่... ;)
2  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: มูลเหตุ ที่แท้จริงที่ เจ้าชายสิทธัตถะ ออกผนวช เมื่อ: มิถุนายน 19, 2010, 07:23:07 pm
แน่นอน พระพุทธองค์ประสบความสำเร็จแน่นอน
     
     เพราะเหตุไรน่ะฤา   ก็เพราะว่าทรงเอาชนะความแก่เจ็บตายได้ด้วยพระองค์เองนะสิครับ(อย่าเพิ่งเถียง อ่านให้จบก่อนนะจ๊ะ ;) )
   
     ทางที่สามารถเอาชนะความแก่ เจ็บ ตาย ที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบก็คือ...พระนิพพานไง :)
     
     เพราะ เมื่อถึงนิพพานแล้วก็ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก  เมื่อไม่เกิด ก็ไม่แก่  เมื่อไม่เกิด  ก็ไม่เจ็บ   เมื่อไม่เกิด  ก็ไม่ตาย   :25:

     สภาวะนิพพานนั้น ไม่ได้เป็นสภาวะในอุดมคติ มีอยู่จริง

      อย่าหนีสิ บอกแล้วอ่านให้จบก่อน   ...ที่ตอบมานี้ไม่ได้หมายความว่า ผมถึงนิพพานแล้วหรอกนะ(ถ้าถึงแล้คงไม่มานั่งเล่นคอมฯจ้า :03:)

     คือ เท่าที่ผมศึกษา เรียนรู้มา ทั้งวิชา จาก โรงเรียน จาก มหาลัย จากทางโลก พบว่าไม่สามารถให้ความสุขที่แท้จริงได้(เพราะความอยากในตัวคน ไม่เคยอิ่ม ไมเคยพอ)  อ้อ ผมจบวิทยาศาสตร์บัณฑิต(ทางโลก)ครับ  เรียนวิทยาศาสตร์ก็เพราะว่าอยากรู้อยากเห็น  อยากพิสูจน์ทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่เชื่อคำที่เขาพูดต่อๆกันมา  ซึ่ง ณ ตอนนั่น(เมื่อครั้งยังละอ่อน ตอนนี้ก็ยังอ่อน...อ่อนเหลือน้อย >:() วิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่สอนให้ต้องพิสูจน์ จึงอยากเรียนรู้

     แต่แล้วเมื่อเรียนจบออกมา...ก็ยังรู้สึกโหวงข้างใน...ชีวิตมันน่าจะมีอะไรมากกว่านี้สิ...(เห็นด้วยมั้ยครับ)
    คงไม่ใช้แค่เกิดมา แล้วก็เล่น ...เรียน ...ทำงาน...แต่งงาน...มีลูก...เลี้ยงลูก...แก่...เลี้ยงหลาน...แก่งอม...เลี้ยงเหลน...(พอได้แล้วนะ  อยู่มานานแล้ว)...ตาย...
    มันน่าจะมากกว่านี้สิ...จึงเริ่มค้นหา...แล้วก็เจอธรรมะของพระพุทธะนี่แหละที่ตอบโจทย์เราได้

     นี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ...ต้องไปก่อนแล้วครับ

     
หน้า: [1]