ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - raponsan
หน้า: [1] 2 3 ... 732
1  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า เมียรัก ล้วนเป็นสิ่งทีไม่น่าไว้วางใจ เมื่อ: วันนี้ เวลา 11:36:05 am
.



ช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า เมียรัก

ความหมาย : สำนวนสุภาษิตนี้หมายถึง บรรดาสิ่งไม่น่าไว้วางใจ ซึ่งอาจนำภัยมาสู่ชีวิตตน

สำนวนที่คล้ายคลึงกัน : เผ่ากษัตริย์เพลิงงูอย่าดูถูกว่าน้อย

ที่มาของสำนวน : ช้างสารและงูเห่า เป็นสัตว์เดรัจฉานมีนิสัยดุร้ายไว้ใจไม่ได้ ส่วนข้าเก่าและเมียรัก เป็นบุคคลที่ใกล้ชิด ย่อมรู้เรื่องราวและความลับของเราหมด บุคคลประเภทนี้ ถ้ากลับกลายเป็นศัตรูแล้วจะเป็นศัตรูที่ร้ายที่สุด ดังนั้นจึงไม่ควรไว้วางใจจนเกินไป

ตัวอย่างประโยคและการนำไปใช้งาน : ในสมัยโบราณเชื่อกันว่าให้ระวังช้างเพราะเวลามันโกรธจะใช้งวงและงาฟาดฟัน งูเห่าเป็นอสรพิษร้ายที่มีพิษทำให้สัตว์ที่โดนกัดถึงแก่ชีวิตได้ ข้าเก่าหรือบริวารอาจนำโจรเข้าบ้านเพราะรู้ช่องทางเข้าออกเป็นอย่างดี ส่วนเมียรักอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้โดยที่ไม่ระวังเพราะถือเป็นคนใกล้ชิด



ขอขอบคุณ :-
ที่มาของข้อมูล : แหล่งรวมสำนวน สุภาษิต คำพังเพย. แหล่งรวมสำนวน สุภาษิต คำพังเพย – ช้างสารงูเห่า ข้าเก่าเมียรัก
website : https://www.facebook.com/photo.php?fbid=119547843934554&id=103598705529468&set=a.106467971909208





คำโคลงโลกนิติฉบับถอดความ โดย ดร.ทองย้อย แสงสินชัย

๔๐๑. ช้างสาร หกศอกไซร้ เสียงา
     
      ช้างสาร หกศอกไซร้    เสียงา
     งูเห่า กลายเป็นปลา      อย่าต้อง
     ข้าเก่า เกิดแต่ตา         ตนปู่ ก็ดี
     เมียรัก อยู่ร่วมห้อง       อย่าไว้วางใจ

คำแปลศัพท์

ช้างสารหกศอก – ช้างใหญ่สูงหกศอก
เสียงา – งาหัก
กลายเป็นปลา – ทำเชื่องช้า,ไม่ดุร้าย มีลักษณะเหมือนปลาช่อน(หัวงูเห่ากับหัวปลาช่อนมีลักษณะคล้ายกัน)
อย่าต้อง – อย่าแตะต้อง, อย่าจับต้อง
ข้าเก่า – คนใช้ดั้งเดิม
เกิดแต่ตาตนปู่ - ที่มีมาตั้งแต่ปู่ตาของตน

ถอดความ

ช้างสารสูงหกศอก แม้ว่างาจะหักหาย
งูเห่าแม้จะกลาย คล้ายปลาช่อนอย่าช้อนจับ
ข้าเก่าแม้เคยขอรับๆ มาแต่ครั้งปู่ย่า
เมียรักนอนร่วมเคหา เหล่านี้อย่าไว้วางใจ




ขอขอบคุณ :-
ภาพจาก : Facebook คำคม นักเลง แรง เจ็บ โดนใจ
ที่มา : Lokaniti and its Paraphrase : คำโคลงโลกนิติฉบับถอดความ โดย ดร.ทองย้อย แสงสินชัย
Wednesday, August 31, 2011 | Posted by gold55 at 6:08 PM
website : https://lokaniti-and-its-paraphrase.blogspot.com/2011/08/blog-post_4320.html


 :96: :96: :96:

สำนวนนี้ยัง ปรากฏอยู่ใน บทละครนอกเรื่องคาวี พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

     อันเชื้อชาติช้างสารแลงูเห่า     
     ข้าเก่าเมียรักอย่าวางจิตต์
     ทั้งสี่อย่างมักล้างเอาชีวิต     
     เจ้าไม่จำทำผิดจึงบรรลัย



ขอบคุณ : https://www.reurnthai.com/index.php?topic=6725.0
2  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า เมียรัก ล้วนเป็นสิ่งทีไม่น่าไว้วางใจ เมื่อ: วันนี้ เวลา 11:14:04 am
.



ช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า เมียรัก

ใจความสำคัญ

• หมายถึง สิ่งที่ไม่น่าไว้วางใจ เพราะรู้ตื้นหนาบางของเราเป็นอย่างดี

• คนเรานะ ต่อให้รักกันแค่ไหน ยามที่ผิดใจก็กลายเป็นศัตรูได้หมด เหมือนที่โบราณว่า ช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า เมียรัก อย่าได้ไว้ใจ




 :96:

ประเภทสำนวน

"ช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า เมียรัก" จัดว่าเป็น คำพังเพย เพราะว่า เป็นข้อความเปรียบเทียบที่มีความหมายแฝงต้องตีความเพิ่มเติม ไม่ได้ให้คำสอนโดยตรงเหมือนสุภาษิต แต่เป็นการเปรียบเปรยถึงสิ่งที่ไว้ใจไม่ได้ ความหมายไม่สมบูรณ์ในตัวเอง ต้องตีความต่อ คำพังเพยนี้เปรียบเทียบสิ่งต่างๆ ที่อาจเป็นอันตรายแก่ผู้ที่ไว้วางใจ ไม่ระวัง

ที่มาและแนวคิดเบื้องหลัง

สำนวนนี้เปรียบเทียบสิ่งที่อันตรายและไว้วางใจไม่ได้ไว้ 4 อย่าง คือ
    'ช้างสาร' (ช้างตกมัน) ซึ่งอาจทำร้ายคนได้ แม้เคยเชื่อง
    'งูเห่า' ซึ่งมีพิษร้ายแรง
    'ข้าเก่า' หรือคนรับใช้เก่าที่อาจไม่จงรักภักดีเหมือนเดิม และ
    'เมียรัก' ที่อาจเปลี่ยนใจหรือแสดงอารมณ์รุนแรงได้

สิ่งเหล่านี้แม้ดูเหมือนใกล้ชิดหรือคุ้นเคย แต่ก็มีโอกาสก่อให้เกิดอันตรายได้เสมอ สะท้อนแนวคิดของสังคมโบราณที่เตือนให้ระวังภัยจากสิ่งใกล้ตัว

@@@@@@@

ตัวอย่างการใช้สำนวน "ช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า เมียรัก" ในประโยค

    • ผู้เฒ่าที่บ้านมักเตือนลูกหลานเสมอว่า 'ช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า เมียรัก' ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องระวังตัวและไม่ควรไว้วางใจจนเกินไป

    • แม้จะอยู่ด้วยกันมานาน แต่ต้องไม่ประมาท เพราะช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า เมียรัก คือสิ่งที่คาดเดาไม่ได้และอาจเป็นอันตรายได้ทุกเมื่อ

    • อย่าเพิ่งไว้ใจเสียทีเดียว จำไว้ว่า ช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า เมียรัก อาจทำร้ายเราได้เสมอหากเราไม่ระวัง

    • คุณตาเตือนหลานชายที่จะแต่งงานว่า ช้างสาร งูเห่า ข้าเก่า เมียรัก อย่าไว้ใจให้มากจนลืมระวังตัว


 


สรุปและทบทวนเรื่อง สำนวน สุภาษิต และคำพังเพย

สุภาษิต และคำพังเพย จัดเป็น "สำนวน" ด้วยกันทั้งคู่ เพราะมีความหมายในเชิงเปรียบเทียบ และเป็นถ้อยคำที่ใช้สืบเนื่องกันมานาน

สุภาษิต เป็นถ้อยคำที่มักใช้คำสั้น ๆ กะทัดรัดแต่มีความหมายลึกซึ้ง มีสัมผัสคล้องจอง ส่วนใหญ่สุภาษิตที่ใช้ในสังคมไทยมักมีที่มาจากคำสอนทางพุทธศาสนา

คำพังเพย เป็นถ้อยคำที่ให้ข้อคิด โดยกล่าวถึงพฤติกรรมหรือธรรมชาติรอบตัว ส่วนมากมักเป็นถ้อยคำที่เป็นข้อสรุปการกระทำหรือพฤติกรรมทั่วไป อาจมีที่มาจากนิทาน ตำนาน วรรณคดี

@@@@@@@

อธิบายเพิ่มเติม

คำพังเพย หมายถึง ถ้อยคำหรือข้อความที่กล่าวเป็นกลาง ๆ เพื่อให้ตีความเข้ากับเรื่อง มีความหมายแฝงอยู่ อาจเป็นคำที่ใช้สื่อในทางเปรียบเปรย หรือในทำนองเสียดสี เช่น กระต่ายตื่นตูม เสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย

สำนวนไทย หมายถึง ถ้อยคำ กลุ่มคำ หรือประโยคที่ไม่ได้แปลความหมายตรง ๆ แต่มีความหมายเชิงเปรียบเทียบแฝงอยู่ เช่น สอนจระเข้ให้ว่ายนํ้า รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง

คำสุภาษิต หรือ สำนวนสุภาษิต คือ คำในภาษาไทยที่ใช้ในการสื่อสารเชิงเปรียบเทียบอุปมาอุปมัย มักมีความหมายในการตักเตือนสั่งสอนในทางบวก มีความหมายที่ดี เช่น รักยาวให้บั่นรักสั้นให้ต่อ น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ



ขอบคุณที่มา : https://www.wordyguru.com/a/คำพังเพย/q/ช้างสารงูเห่าข้าเก่าเมียรัก


 


สำนวน สุภาษิต คำพังเพย

สุภาษิต หมายถึง ถ้อยคำที่สั่งสอนหรือห้ามโดยตรง มีคำเปรียบเทียบบ้างไม่มีบ้าง เช่น คบคนให้ดูหน้า ซื้อผ้าให้ดูเนื้อ, อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา, น้ำเชี่ยว อย่าขวางเรือ

คำพังเพย หมายถึง ถ้อยคำที่แสดงความจริง ไม่ได้สอนโดยตรง อาจจะเป็นคำพังเพยแท้ก็ได้ เป็นสำนวนก็ได้ เป็นคำขวัญก็ได้ คำพังเพยแท้เช่น มีเงินเขานับว่าน้อง มีทองเขานับว่าพี่, ยากเงิน จนทอง พี่น้องไม่มี, มีเงินทอง พูดจาได้ มีไม้ไร่ ปลูกเรือนงาม, รู้แล้วพูดไปสองไพเบี้ย รู้แล้วนิ่งเสียตำลึงทอง

สำนวน มักเป็นคำเปรียบเทียบ คือให้นำความเป็นไปของสิ่งนั้นๆ มาเปรียบเทียบกับความประพฤติของคน เช่นคำว่า ขิงก็รา ข่าก็แรง, ปลาร้าเค็ม มะเขือขื่น, ตัวเท่าเสา เงาท่ากระท่อม, น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย

คำขวัญ มักเป็นคำปลอบขวัญหรือปลุกใจให้มุ่งมั่น เช่นคำว่า กรุงศรีอยุธยายังไม่สิ้นคนดี (หมายถึงเมืองไทยยังไม่สิ้นคนดี) ชาติเสือต้องไว้ลาย ชาติชายต้องไว้ชื่อ, ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม



ขอบคุณที่มา : https://www.baanjomyut.com/library_2/idioms_proverbs_aphorism/
3  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทำไม.? คนส่วนใหญ่ถึงชอบ “สีส้ม”.!! | เปิดที่มาที่ไป และ “ความหมาย” ของสีส้ม เมื่อ: วันนี้ เวลา 07:13:25 am
.

ส้ม (ภาพ : pixabay)


ทำไม.? คนส่วนใหญ่ถึงชอบ “สีส้ม”.!! | เปิดที่มาที่ไป และ “ความหมาย” ของสีส้ม



 :49: :49: :49:

ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงชอบ “สีส้ม” เปิดที่มาที่ไป และความหมายของสีส้ม

“สีส้ม” เป็นอีก สี ที่ได้นับความนิยมเป็นอันดับต้น ๆ ซึ่งอาจมาจากความฉูดฉาดและความโดดเด่นที่สะท้อนออกมาจากสี แต่นอกเหนือจากนี้แล้ว สีส้มก็ยังแสดงให้เห็นถึงนัยอันลึกซึ้งด้วยเช่นกัน

สีส้ม (Orange) เกิดมาจากคำว่า “naranga” ในภาษาสันสกฤต ที่แปลว่าต้นส้ม ก่อนจะกลายเป็นคำว่า “narang” ในภาษาเปอร์เซีย รวมถึง “naranj” ในภาษาอาหรับ และหลังจากการสื่อสารที่ผิดเพี้ยน ต้นส้มจึงถูกเรียกว่า “orenge” ในภาษาฝรั่งเศสโบราณ ก่อนจะกลายมาเป็น “orange” คำภาษาอังกฤษดั่งในปัจจุบัน

หลังต้นส้มจากอินเดียถูกนำเข้าไปในยุโรป สีส้มก็กลายเป็นหนึ่งในสีหลักซึ่งถูกนำไปใช้อยู่บ่อยครั้ง ทั้งในวงการศิลปะ รวมถึงศาสนา

สีส้มที่โดดเด่นที่สุดครั้งหนึ่งในวงการศิลปะอยู่ในยุคอิมเพรสชันนิสม์ ยุคแห่งการปฏิวัติทางศิลปะ เพื่อหลุดจากกรอบงานศิลป์อนุรักษนิยมแบบเดิม ๆ มีจุดเริ่มต้นมาจากภาพ “Impression, Sunrise” ของโคลด โมเนต์ (Claude Monet) ภาพที่แสดงให้เห็นถึงแสงสีส้มของดวงอาทิตย์ที่นุ่มนวลและโดดเด่นบนท้องฟ้า กับแสงสะท้อนบนพื้นทะเลที่ดูสั่นไหว แต่ก็แผ่แสงออกมาเป็นเส้นตรงอย่างงดงาม



ส้ม (ภาพจาก : pixabay)


ในวงการศาสนา สีส้มเป็นสีหนึ่งซึ่งสามารถแทนถึงคริสต์ศาสนานิกายโปรเตสแตนท์ นิกายที่แยกตัวออกมาจากคาทอลิก ซึ่งถูกมองว่ามีการครอบงำสังคมและการเมืองของยุโรปในยุคกลางมากเกินไป

สีส้มถูกนำมาใช้อย่างมีนัยสำคัญในการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ของอังกฤษใน ค.ศ. 1688 ที่ “วิลเลียมแห่งออเรนจ์” เจ้าชายโปรเตสแตนท์จากราชวงศ์ของดัตช์นำทัพบุกอังกฤษ และทำการปฏิวัติกษัตริย์เจมส์ที่ 2 กษัตริย์คาทอลิก ก่อนนำพาอังกฤษเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ ภายใต้คริสต์ศาสนานิกายโปรเตสแตนท์

ในแง่ของความหมายแล้ว “สีส้ม” ถูกตีความเอาไว้อย่างหลากหลาย วาสซิลี แคนดินสกี (Wassily Kandinsky) ศิลปินผู้มีภาวะซินเนสทีเซีย (คนที่เห็นเสียง ได้ยินสี) อธิบายถึงสีส้มไว้ว่า “สีส้มก็เหมือนชายคนหนึ่งที่เชื่อมั่นในพลังอำนาจของตนเอง เป็นสีแดงที่เข้าใกล้ความเป็นมนุษย์มากที่สุดโดยสีเหลือง”

ขณะที่บริษัทโฆษณาของอเมริกาแห่งหนึ่งระบุไว้ส่วนหนึ่งว่า “สีส้มแสดงถึงความผจญภัย การเข้าถึงง่าย ความเปิดเผย ความเชื่อมั่นในตนเอง ความสร้างสรรค์ทันสมัย ความไม่เป็นพิธีรีตอง”

ในศาสนาฮินดู ให้ความหมายสีส้มไว้ว่าเป็น “สีที่เผาทำลายความเมินเฉยไม่ใส่ใจ” สีส้มในศาสนานี้จึงเป็น สี ของชุดสำหรับนักบวช หรือผู้บำเพ็ญตน ซึ่งคาดว่าอาจเป็นที่มาของการสวมจีวรสีส้มของพระสงฆ์ในศาสนาพุทธด้วยเช่นกัน



แมว (ภาพจาก : pixabay)


สีส้มยังถูกใช้เป็นสีของ “พรรคการเมือง” ในประเทศต่าง ๆ เช่น พรรคประชาธิปไตยใหม่ในแคนาดา พรรคประชาชนแห่งชาติในจาไมก้า พรรคยัวร์มูฟเมนต์ในโปแลนด์ ฯลฯ ซึ่งพรรคทั้งหมดล้วนมีทิศทางทางการเมือง และต้องการนำเสนอพรรคของตนในทิศทางที่เป็นพรรคหัวก้าวหน้า แต่ก็ไม่ได้เอนเอียงไปทางฝั่งซ้ายมากเกินไป

ส่วนในประเทศไทยก็มี “พรรคก้าวไกล” ที่ใช้สีส้มเป็นสีประจำพรรค และสามารถสร้างประวัติศาสตร์กวาดที่นั่ง ส.ส. ได้มากสุดในการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ปี 2566

สีส้มยังถูกใช้ในการเคลื่อนไหวของมวลชน เช่น เมื่อครั้งวิคเตอร์ ยานูโควิช โกงการเลือกตั้ง ทำให้เกิดการประท้วงขึ้น ครั้งนั้นผู้ประท้วงใช้ “ผ้าพันคอสีส้ม” เป็นสัญลักษณ์ และที่ยูเครนเช่นกัน วิคเตอร์ ยูชเชนโก หัวหน้าพรรค “Our Ukraine” (ยูเครนของเรา) ก็ใช้สีส้มเป็นสีประจำพรรค มีการตั้งเตนท์สีส้มขึ้นทั่วประเทศ จนท้ายสุดการเลือกตั้งครั้งต่อมา พรรคยูเครนของเราก็ได้รับเลือกให้เป็นรัฐบาลในที่สุด

เหตุการณ์ครั้งนี้ถูกตีความว่าเป็น “ออเรนจ์ ฟีเวอร์” ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่ส่งผลกระทบมาถึงอำนาจอันมั่นคงของรัสเซียในยูเครนเลยทีเดียว

นอกจากสีสันอันสดใส ฉูดฉาด ดูแล้วสดชื่น สบายตา สีส้มก็ยังเป็นสีที่อยู่คู่กับการเปลี่ยนแปลงแห่งยุคสมัยอีกด้วย

อ่านเพิ่มเติม :-

   • อาหาร “สีน้ำเงิน” อาหารที่ไม่น่ารับประทาน?
   • เปิดต้นตอคำว่า “ลุ้น” กิริยาบ่งบอกอาการตื่นเต้นเร้าใจที่คนไทยใช้เป็นประจำ




ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : แสนยากร ปุญสิริ
เผยแพร่ : วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ.2568
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ (แบบเว็บไซต์) ครั้งแรก : เมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2567
website : https://www.silpa-mag.com/culture/article_126639
อ้างอิง : ซิมป์สัน, พอล. The Color Code รหัสนัยแห่งสี. แปลโดย ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์. กรุงเทพฯ: มติชน, 2565
4  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / งูเห่าในสภา นารีในวัด เป็นภัยที่ต้องตระหนัก พระพุทธองค์ตรัสถึงภัยนี้ไว้อย่างไร เมื่อ: กันยายน 01, 2025, 02:34:14 pm
.



งูเห่าในสภา และ นารีในวัด
เป็นภัยที่ต้องตระหนัก พระพุทธองค์ตรัสถึงภัยนี้ไว้อย่างไร.?


๙. ปฐมกัณหสัปปสูตร ว่าด้วยงูเห่า สูตรที่ ๑

[๒๒๙] ภิกษุทั้งหลาย งูเห่ามีโทษ ๕ ประการนี้
          โทษ ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ
                ๑. เป็นสัตว์ไม่สะอาด
                ๒. เป็นสัตว์มีกลิ่นเหม็น
                ๓. เป็นสัตว์น่ากลัว
                ๔. เป็นสัตว์มีภัย
                ๕. เป็นสัตว์มักทำร้ายมิตร
         ภิกษุทั้งหลาย งูเห่ามีโทษ ๕ ประการนี้แล

         ภิกษุทั้งหลาย ในทำนองเดียวกัน มาตุคามมีโทษ ๕ ประการนี้
         โทษ ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ
                ๑. เป็นผู้ไม่สะอาด
                ๒. เป็นผู้มีกลิ่นเหม็น
                ๓. เป็นผู้น่ากลัวมาก
                ๔. เป็นผู้มีภัย
                ๕. เป็นผู้มักทำร้ายมิตร(๑-)

___________________________
(๑-) ประทุษร้าย เบียดเบียนแม้มิตรผู้ให้น้ำและโภชนาหารแก่ตน (องฺ.ปญฺจก.อ. ๓/๒๒๙/๙๑)     

          ภิกษุทั้งหลาย มาตุคามมีโทษ ๕ ประการนี้แล
 
                    ปฐมกัณหสัปปสูตรที่ ๙ จบ


@@@@@@@

๑๐. ทุติยกัณหสัปปสูตร ว่าด้วยงูเห่า สูตรที่ ๒
       
[๒๓๐] ภิกษุทั้งหลาย งูเห่ามีโทษ ๕ ประการนี้
         โทษ ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ
                ๑. เป็นสัตว์มักโกรธ
                ๒. เป็นสัตว์มักผูกโกรธ
                ๓. เป็นสัตว์มีพิษร้าย
                ๔. เป็นสัตว์มีลิ้นสองแฉก
                ๕. เป็นสัตว์มักทำร้ายมิตร
        ภิกษุทั้งหลาย งูเห่ามีโทษ ๕ ประการนี้แล

        ภิกษุทั้งหลาย ในทำนองเดียวกัน มาตุคามมีโทษ ๕ ประการนี้
        โทษ ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ
                ๑. เป็นผู้มักโกรธ
                ๒. เป็นผู้มักผูกโกรธ
                ๓. เป็นผู้มีพิษร้าย
                ๔. เป็นผู้มีลิ้นสองแฉก
                ๕. เป็นผู้มักทำร้ายมิตร
        ภิกษุทั้งหลาย บรรดาโทษ ๕ ประการนั้น
        การที่มาตุคามมีพิษร้าย หมายถึง ส่วนมากมาตุคามมีราคะจัด
        การที่มาตุคามมีลิ้นสองแฉก หมายถึง ส่วนมากมาตุคามมักพูดส่อเสียด
        การที่มาตุคามมักทำร้ายมิตร หมายถึง ส่วนมากมาตุคามมักนอกใจ
       
        ภิกษุทั้งหลาย มาตุคามมีโทษ ๕ ประการนี้แล

                           ทุติยกัณหสัปปสูตรที่ ๑๐ จบ


ที่มา : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
https://84000.org/tipitaka/attha/m_siri.php?B=22&siri=230&fontsz=0





พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔ สุตฺต. องฺ. (๓): ปญฺจก-ฉกฺกนิปาตา

[๒๒๙] ปญฺจิเม ภิกฺขเว อาทีนวา กณฺหสปฺเป กตเม
          ปญฺจ อสุจิ ทุคฺคนฺโธ สภีรุ สปฺปฏิภโย มิตฺตทุพฺภี อิเม โข
          ภิกฺขเว ปญฺจ อาทีนวา กณฺหสปฺเป เอวเมว โข

          ภิกฺขเว ปญฺจิเม อาทีนวา มาตุคาเม กตเม
          ปญฺจ อสุจิ ทุคฺคนฺโธ สภีรุ สปฺปฏิภโย มิตฺตทุพฺภี อิเม โข   
          ภิกฺขเว ปญฺจ อาทีนวา มาตุคาเมติ ฯ

@@@@@@@

[๒๓๐] ปญฺจิเม ภิกฺขเว อาทีนวา กณฺหสปฺเป กตเม 
         ปญฺจ โกธโน อุปนาหี โฆรวิโส ทุชิโวฺห มิตฺตทุพฺภี อิเม โข 
         ภิกฺขเว ปญฺจ อาทีนวา กณฺหสปฺเป เอวเมว โข   

         ภิกฺขเว ปญฺจิเม อาทีนวา มาตุคาเม กตเม   
         ปญฺจ โกธโน อุปนาหี โฆรวิโส ทุชิโวฺห มิตฺตทุพฺภี ตตฺริทํ   

         ภิกฺขเว มาตุคามสฺส โฆรวิสตา เยภุยฺเยน 
         ภิกฺขเว มาตุคาโม ติพฺพราโค ตตฺริทํ 

         ภิกฺขเว มาตุคามสฺส ทุชิวฺหตา เยภยฺเยน   
         ภิกฺขเว มาตุคาโม ปิสุณวาโจ ตตฺริทํ

         ภิกฺขเว มาตุคามสฺส มิตฺตทุพฺภิตา เยภุยฺเยน   
         ภิกฺขเว มาตุคาโม อติจารินี อิเม โข

         ภิกฺขเว ปญฺจ อาทีนวา มาตุคาเมติ ฯ

                    ทีฆจาริกวคฺโค ตติโย ฯ



ที่มา : https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali_item_s.php?book=22&item=229&items=1&preline=0&pagebreak=0&modeTY=2





อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ปัญจมปัณณาสก์ ทีฆจาริกวรรคที่ ๓
๙. สัปปสูตรที่ ๑


อรรถกถาปฐมสัปปสูตรที่ ๙         
พึงทราบวินิจฉัยในปฐมสัปปสูตรที่ ๙ ดังต่อไปนี้ :-
         
บทว่า สภีรุ ได้แก่ เป็นสัตว์ในโพรงนอนหลับสนิทหลับนาน.
บทว่า สปฺปฏิภโย ได้แก่ ภัยย่อมเกิดขึ้นเพราะอาศัยงูเห่านั้น.

เพราะฉะนั้น มันจึงชื่อว่า มีภัยเฉพาะหน้า.

บทว่า มิตฺตทุพฺภี ได้แก่ ประทุษร้าย เบียดเบียนมิตร แม้เป็นผู้ให้น้ำและข้าวกิน.
       
ถึงในมาตุคามก็นัยนี้เหมือนกัน.

         จบอรรถกถาปฐมสัปปสูตรที่ ๙ 


@@@@@@@

อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ปัญจมปัณณาสก์ ทีฆจาริกวรรคที่ ๓
๑๐. สัปปสูตรที่ ๒


อรรถกถาทุติยสัปปสูตรที่ ๑๐         
พึงทราบวินิจฉัยในทุติยสัปปสูตรที่ ๑๐ ดังต่อไปนี้ :-
         
บทว่า โฆรวิโส คือ มีพิษร้ายกาจ.
บทว่า ทุชิวฺโห คือ มีลิ้นสองแฉก.
บทว่า โฆรวิสตา คือ เพราะเป็นสัตว์มีพิษร้าย.

แม้ในสองบทที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน.

         จบอรรถกถาทุติยสัปปสูตรที่ ๑๐       

ที่มา : https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=229&fontsz=0
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=230





อรรถกถาเล่มที่ ๑๖ ภาษาบาลีอักษรไทย องฺ.อ. (มโนรถ.๓)
๙. ปฐมกณฺหสปฺปสุตฺตวณฺณนา


[๒๒๙] นวเม สภีรูติ สนิทฺโท มหานิทฺทํ นิทฺทายติ.
          สปฺปฏิภโยติ ตํ นิสฺสาย ภยํ อุปฺปชฺชติ,
          ตสฺมา สปฺปฏิภโย. มิตฺตทุพฺภีติ ปานโภชนทายกมฺปิ
          มิตฺตํ ทุพฺภติ หึสติ.
          มาตุคาเมปิ เอเสว นโย.


@@@@@@@


อรรถกถาเล่มที่ ๑๖ ภาษาบาลีอักษรไทย องฺ.อ. (มโนรถ.๓)
๑๐. ทุติยกณฺหสปฺปสุตฺตวณฺณนา


[๒๓๐] ทสเม โฆรวิโสติ กกฺขฬวิโส.
         ทุชิโวฺหติ ทฺวิธา ภินฺนชิโวฺห.
         โฆรวิสตาติ โฆรวิสตาย.
         เสสทฺวเยปิ เอเสว นโย.

                        ทีฆจาริกวคฺโค ตติโย.



ที่มา : https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=16&A=2043
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=16&A=2047&modeTY=2
5  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ดีเอ็นเอคนไทยภาคกลาง พบเชื่อมโยง 4 กลุ่ม ไท-กะได อินเดีย มอญ เขมร เมื่อ: กันยายน 01, 2025, 10:20:57 am
.

ปูนปั้นรูปนักดนตรีสตรี ศิลปะทวารวดี อายุราวพุทธศตวรรษที่ 13-14 หรือประมาณ 1200-1300 ปีมาแล้ว สูง 63 เซนติเมตร พบที่เมืองโบราณคูบัว อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี (ภาพจาก กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร)


ดีเอ็นเอคนไทยภาคกลาง พบเชื่อมโยง 4 กลุ่ม ไท-กะได อินเดีย มอญ เขมร

“คนไทยมาจากไหน?” ยังคงเป็นคำถามคลาสสิกที่ยังหาคำตอบไม่ได้ชัดเจน และคงต้องถกเถียงศึกษากันต่อไปไม่รู้จบสิ้น ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ภาษา วัฒนธรรม แต่ในด้านวิทยาศาสตร์ ที่ “ดีเอ็นเอ” สามารถให้ข้อมูลสืบย้อนกลับไปได้หลายชั่วคนเป็นเวลาน้อยร้อย ๆ ปี จะบอกอะไรได้บ้าง?

รัฐไทยของคนไทยถือกำเนิดในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18-19 ในแถบที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา (รัฐสุโขทัย, รัฐอยุธยา) พื้นที่ตรงนี้เดิมปรากฏการรับวัฒนธรรมจากมอญ และเขมร ซึ่งเป็นกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก ขณะที่คนไทยเป็นกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลไท-กะได



แผนที่สยาม ตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ. 1764 (Author: Bellin, Jacques Nicolas, 1703-1772)


เมื่อรัฐของคนไทยเข็มแข็ง จากอยุธยาสืบต่อมาถึงรัตนโกสินทร์ ทำให้แกนกลางประวัติศาสตร์ของคนไทยจึงครอบคลุมอยู่บริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นสำคัญ ในขณะที่ภาคส่วนอื่น ๆ ยังไม่ถูกมองว่าเป็นคนไทย กว่าที่จะถูกรวมให้เป็นคนไทยเหมือนกันก็หลังจากรัฐไทยสมัยรัชกาลที่ 5 สถาปนาขึ้นเป็นรัฐชาติสมัยใหม่อย่างตะวันตก

ฉะนั้น หากจะพูดถึงดีเอ็นเอของ “คนไทย” ก็ต้องเจาะจงมาที่ “คนไทยภาคกลาง” ซึ่งพูดภาษาตระกูลไท-กะได (ภาษาในกลุ่มเดียวกับ คนเมือง ไทยวน ไทลื้อ ไทเขิน ไทใหญ่ ไทยอง ฯลฯ ในภาคเหนือ, ลาว ลาวอีสาน ผู้ไท แสก ญ้อ กะเลิง ฯลฯ ในภาคอีสาน)

สมมติฐานที่อธิบายต้นกำเนิดของคนไทย มี 2 รูปแบบ คือ 1. การแพร่ของผู้คน (Demic Diffusion) และ 2. การแพร่ของวัฒนธรรม (Cultural Diffusion)

การแพร่ของผู้คน คือ บรรพบุรุษของคนไทยพร้อมกับบรรพบุรุษของกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลไท-กะได อพยพมาจากดินแดนจีนทางตอนใต้ แล้วนำภาษา วัฒนธรรม และพันธุกรรมเหล่านั้นมาด้วย

การแพร่ของวัฒนธรรม คือ บรรพบุรุษของคนไทยเป็นกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก (มอญ, เขมร) หรือกลุ่มคนดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในแถบนี้มาก่อนที่กลุ่มคนไทจะอพยพลงมา จนต่อมามีการผสมผสานแต่งงานระหว่างกัน ทำให้กลุ่มคนดั้งเดิมหันมาพูดภาษาตระกูลไท-กะได



กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ บริเวณสองฝั่งแม่น้ำโขง (ลายเส้นฝีมือชาวยุโรป พิมพ์ครั้งแรก ค.ศ. 1873)


จากการศึกษาดีเอ็นเอไมโทคอนเดรียของคนไทยภาคกลางในประชากรใน 7 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดสิงห์บุรี ราชบุรี นครปฐม กาญจนบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก และพิจิตร โดยครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 4 ส่วนคือ ภาคกลางตอนบน ภาคกลางตอนล่าง ภาคกลางตะวันตก และภาคกลางตะวันออก (ทั้งนี้ ได้ตัดกลุ่มคนที่มีเชื้อสายจีนออกไปจากการศึกษา เพราะเป็นกลุ่มที่ทราบประวัติค่อนข้างแน่ชัดอยู่แล้ว) ซึ่งทำให้พบข้อมูลว่า มีเชื้อสายดีเอ็นเอไมโทคอนเดรียชนิด M พื้นฐาน ซึ่งจะพบมากในกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก

อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาดีเอ็นเอฝ่ายหญิงของคนไทยภาคกลางกลับไม่สอดรับกับ 2 สมมติฐานที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ โดยพบว่า คนไทยภาคกลางมีรูปแบบการสืบเชื้อสายฝ่ายหญิงตรงกับโมเดลการผสมผสานทางพันธุกรรม กล่าวคือ บรรพบุรุษฝ่ายหญิงของคนไทยภาคกลางสืบเชื้อสายร่วมกับกลุ่มคนไทจากสิบสองปันนา และกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลไท-กะไดอื่น ๆ กระทั่งหลังจากที่อพยพมาปักหลักตั้งถิ่นฐานแล้วได้มีการผสมผสานกับชาวมอญ

นอกจากนี้ ยังพบดีเอ็นเอเชื้อสายชนิด R และ U ซึ่งเชื่อมโยงกับชาวอินเดียอีกด้วย นับว่าเชื้อสายฝ่ายหญิงของคนไทยภาคกลางมีความหลากหลายมาก



ชาวสยาม จากจดหมายเหตุลาลูแบร์


ขณะที่ผลการศึกษาดีเอ็นเอฝ่ายชายของคนไทยภาคกลาง กลับให้ข้อมูลที่ต่างจากฝ่ายหญิง โดยพบว่า ชายไทยภาคกลางมีพันธุกรรมที่ใกล้ชิดกับชาวมอญมากกว่าประชากรกลุ่มอื่น ๆ อีกทั้ง ชายไทย และชายมอญก็มีพันธุกรรมส่วนหนึ่งที่คล้ายกับชาวเอเชียใต้หรืออินเดีย โดยเฉพาะชายไทยในจังหวัดกาญจนบุรี และพิจิตร ที่มีพันธุกรรมใกล้ชิดกับชาวอินเดียมากที่สุด

โดยเชื้อสายโครโมโซมวายชนิด H J Q และ R ซึ่งจำเพาะต่อชาวอินเดีย พบในคนไทยภาคกลาง และชาวมอญ ซึ่งพบน้อยในชายไทยจังหวัดราชบุรี และนครนายก, พบร้อยละ 20 ในชายไทยจังหวัดกาญจบุรี สิงห์บุรี และฉะเชิงเทรา, พบร้อยละ 30 ในชายไทยจังหวัดนครปฐม, พบร้อยละ 45 (ซึ่งมากที่สุด) ในชายไทยจังหวัดพิจิตร

และยังพบว่า ชายไทยภาคกลางได้รับสัดส่วนดีเอ็นเอจากชาวอินเดียมากกว่าผู้หญิงร้อยละ 5-15

ในผลการศึกษาดีเอ็นเองานนิติวิทยาศาสตร์ (ไมโครแซทเทลไลต์บนออโทโซมจำนวน 15 ตำแหน่ง) พบว่า คนไทยภาคกลางที่จังหวัดสิงห์บุรี ราชบุรี นครปฐม กาญจนบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก พิจิตร และสุพรรณบุรี มีโครงสร้างพันธุกรรมที่คล้ายกับชาวมอญในจังหวัดกาญจนบุรี และราชบุรี

โดยคนไทยภาคกลาง และชาวมอญ ยังมีสัดส่วนทางพันธุกรรมที่คล้ายกับชาวเขมร และชาวญัฮกุรจากภาคอีสาน (ชาวญัฮกุรมีความเชื่อมโยงย้อนไปถึงสมัยทวารวดี) ประมาณร้อยละ 10-20 ที่เหลือมีพันธุกรรมที่พบมากในกลุ่มคนไทจากภาคเหนือ


คนไทยสมัยรัชกาลที่ 5 (ภาพจาก www.wikimedia.org)


โดยสรุปแล้ว ดีเอ็นเอคนไทยภาคกลางสะท้อนการผสมผสานทางพันธุกรรมที่หลากหลายมาก เกิดจากการผสมผสานของประชากรกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลไท-กะได กลุ่มมอญ กลุ่มเขมร ซึ่งเป็นกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลออสโตรเอเชียติก โดยคนไทยภาคกกลางมากกว่าครึ่งหนึ่งได้รับพันธุกรรมจากชาวมอญ ส่วนที่เหลือก็ได้รับผสมผสานมากน้อยแตกต่างกันไปแล้วแต่พื้นที่

ทั้งนี้ เชื้อสายฝ่ายหญิงของคนไทยภาคกลางจะสืบย้อนใกล้ชิดกับกลุ่มที่พูดภาษาตระกูลไท-กะได ส่วนเชื้อสายฝ่ายชายของคนไทยภาคกลางจะสืบย้อนใกล้ชิดกับชาวมอญ ส่วนการผสมผสานของเชื้อสายอินเดียในคนไทยภาคกลางเกิดขึ้นราว 700-500 ปีมาแล้ว

ดีเอ็นเอของชาวอินเดียยังพบในหลายกลุ่มชน ในประเทศไทยพบในคนไทยภาคกลาง คนไทยภาคใต้ ชาวมอญ ชาวญัฮกุร และส่วย ในประเทศเวียดนามพบในชาวจาม ชาวจราย และชาวระแด ในประเทศกัมพูชา และประเทศเมียนมาก็พบดีเอ็นเอของชาวอินเดียเช่นกัน

แม้ข้อมูลของดีเอ็นเอคนไทยภาคกลางเหล่านี้จะสำรวจศึกษาจากคนในยุคปัจจุบัน แต่สิ่งที่ได้ก็สอดคล้องกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และโบราณคดี หลายอย่างที่ค้นพบในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะการเข้ามาของอารยธรรมจากอินเดีย ทั้งด้านการค้า ศาสนา ภาษา และวัฒนธรรม ที่ช่วยก่อร่างบ้านเมืองในแถบนี้ขึ้นเป็นรัฐโบราณที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือ ทวารวดี

อ่านเพิ่มเติม :-

    • สุโขทัยทิ้ง “มหายาน” ยกย่องเถรวาท มูลเหตุสงครามกับขอมสบาดโขลญลำพง?
    • “คาถา เย ธัมมา” เขียนด้วยอักษรปัลลวะ พบที่สุพรรณบุรี รากฐานอักษรไทย



ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 28 สิงหาคม พ.ศ.2568
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 28 สิงหาคม 2568
website : https://www.silpa-mag.com/history/article_157399
อ้างอิง : วิภู กุตะนันท์. ดีเอ็นเอไม่ไทย บรรพชนไทยไม่แท้. มติชน, 2567.
6  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระจันทร์สีเลือด : สาเหตุ วันที่ และความสำคัญทางจิตวิญญาณ เมื่อ: กันยายน 01, 2025, 08:52:14 am
.



พระจันทร์สีเลือด : สาเหตุ วันที่ และความสำคัญทางจิตวิญญาณ

พระจันทร์สีเลือดเกิดขึ้นเมื่อดวงจันทร์ของโลกเกิดจันทรุปราคาเต็มดวง ดวงจันทร์นี้ถูกเรียกว่าพระจันทร์สีเลือด เนื่องจากมีเฉดสีที่สวยงาม เมื่อเกิดปรากฏการณ์นี้ ดวงจันทร์จะปรากฏเป็นสีแดงหรือสีน้ำตาลแดง จึงเป็นที่มาของชื่อ "พระจันทร์สีเลือด" แสงสว่างสีแดงของดวงจันทร์นี้จึงได้ชื่อว่า " พระจันทร์สีแดง "

@@@@@@@

เมื่อไหร่จะมีพระจันทร์สีเลือดครั้งต่อไป

ดวงจันทร์สีเลือดครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในวันที่ 7 กันยายนพ.ศ.  2568แต่จะไม่ปรากฏในทวีปอเมริกา

ในปี 2026จะมีอีกครั้งในวันที่ 3 มีนาคมและครั้งต่อไปจะเป็นวันส่งท้ายปีเก่า ( 31 ธันวาคม )  ปี 2028รับรองว่าจะเป็นวันที่น่าจดจำแน่นอน

พระจันทร์สีเลือดครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2568

2025  : 14 มีนาคม, 7 กันยายน
2026  : วันที่ 3 มีนาคม
2027  : ไม่มีพระจันทร์สีเลือด
2028  : วันที่ 31 ธันวาคม

@@@@@@@

อธิบายเรื่องพระจันทร์สีเลือด

ดวงจันทร์ไม่มีแหล่งกำเนิดแสงเป็นของตัวเอง ส่องสว่างกว่าเนื่องจากแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ อย่างไรก็ตาม ในระหว่างจันทรุปราคาเต็มดวง ดวงจันทร์จะถูกบดบังจากดวงอาทิตย์ และแสงเดียวที่ดวงจันทร์สะท้อนกลับคือแสงที่มาจากขอบโลก

โมเลกุลของอากาศในชั้นบรรยากาศของโลกจะสลายแสงสีน้ำเงินออกไป อีกวิธีหนึ่งคืออธิบายได้ว่าคลื่นแสงถูกยืดออกและกลายเป็นสีแดง โมเลกุลของแสงที่เหลือจะสะท้อนไปยังพื้นผิวของดวงจันทร์ ทำให้เกิดแสงเรืองรองสีแดง และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ดวงจันทร์ปรากฏเป็นสีแดงหรือแดงอมแดงในช่วงที่เกิดจันทรุปราคา

บางครั้งดวงจันทร์อาจดูมีสีแดงมากขึ้นหากมีหมอก ฝุ่น หรือควันในความหนาแน่นสูงบนท้องฟ้า

แม้ว่าจะไม่มีความสำคัญทางดาราศาสตร์ของดวงจันทร์สีเลือดแต่เฉดสีของดวงจันทร์ตามที่มนุษย์รับรู้จะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น :-

    - ระดับมลพิษในสถานที่ที่กำหนด
    - การครอบคลุมของเมฆ
    - เศษซาก


@@@@@@@

ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจเกี่ยวกับดวงจันทร์สีเลือด

    - แม้ว่าปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงจะเกิดขึ้นปีละสองครั้งหรือสามครั้ง แต่การเห็นดวงจันทร์สีเลือดนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก เนื่องจากขึ้นอยู่กับสภาพทางภูมิศาสตร์ต่างๆ ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น รวมถึงสถานที่ด้วย

    - พระจันทร์สีเลือดที่เกิดขึ้นในวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เรียกอีกอย่างว่า "ซูเปอร์มูน" ซึ่งเป็นปรากฏการณ์สุริยุปราคาในช่วงเวลาไพรม์ไทม์ที่ยาวนานที่สุด และประชากรครึ่งหนึ่งของโลกสามารถเห็นปรากฏการณ์นี้ได้

    - ปี 2022 มีปรากฏการณ์จันทรุปราคาคู่ที่แปลกประหลาดที่สุดในรอบ 430 ปี

    - การศึกษาวิจัยระบุว่าปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงในวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2572 จะสามารถเกิดขึ้นได้เร็วกว่าปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงในปีนี้มาก โดยมีระยะเวลาเพียง 102 นาทีเท่านั้น





ความสำคัญทางจิตวิญญาณของพระจันทร์สีเลือด

ตามความเชื่อของชาวเมโสโปเตเมียและอินคา ดวงจันทร์สีเลือดเป็นสัญลักษณ์ของความตายและการล่มสลายของกษัตริย์ อย่างไรก็ตาม ชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกันบางเผ่าเชื่อว่าดวงจันทร์จะเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อปราศจากความรักและความห่วงใย ดังนั้น ดวงจันทร์สีเลือดจึงหมายความว่าดวงจันทร์ต้องการความรักใคร่

บางวัฒนธรรมเชื่อว่าเมื่อดวงจันทร์สีเลือดเกิดขึ้น หมายความว่าถึงเวลาที่จะสำรวจด้านมืดของตนเองและดำดิ่งลงสู่อารมณ์ที่ซ่อนเร้นอยู่ในจิตใต้สำนึกของเรา เช่น ความโกรธและความโศกเศร้า ดวงจันทร์สีเลือดเป็นสัญลักษณ์ว่าถึงเวลาที่จะปล่อยวางและเยียวยา

พระคัมภีร์ยังมีข้อพระคัมภีร์ที่น่าสนใจเกี่ยวกับดวงจันทร์สีเลือด ซึ่งผู้เผยพระวจนะทำนายว่าดวงจันทร์จะ "กลายเป็นสีเลือด"

    โยเอล 2:31 ดวงอาทิตย์จะกลายเป็นความมืด และดวงจันทร์จะกลายเป็นเลือด ก่อน  ที่วันใหญ่และน่ากลัวของพระเจ้าจะมาถึง

    มัทธิว 24:29- พอสิ้นความทุกข์ยากในวันเหล่านั้นแล้ว ดวงอาทิตย์จะมืดไป และดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง ดวงดาวจะร่วงหล่นจากฟ้า และพลังอำนาจบนฟ้าจะสั่นสะเทือน

    โยเอล 3:15 ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มืดไป และดวงดาวก็เลิกส่องแสง


@@@@@@@

เรามี "Twin Blood Moons" ในปี 2022

ในปี พ.ศ. 2565 มีคนเห็นดวงจันทร์สีเลือดสองครั้ง ครั้งแรกในวันที่ 16 พฤษภาคม และอีกครั้งในวันที่ 8 พฤศจิกายน สุริยุปราคาเต็มดวงในปี พ.ศ. 2565 เรียกว่า สุริยุปราคาแฝด เนื่องจากเป็นสุริยุปราคาคู่ที่มีความสมดุลมากที่สุดในรอบสี่ศตวรรษ




Thank to : https://www-calendarr-com.translate.goog/united-states/bloodmoon-causes-date-spiritual-significances/?_x_tr_sl=en&_x_tr_tl=th&_x_tr_hl=th&_x_tr_pto=tc
7  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การค้าขาย ๕ ประการ ที่ไม่พึงทำ เมื่อ: สิงหาคม 24, 2025, 08:23:21 am
.



วณิชชสูตร - การค้าขาย ๕ ประการที่ไม่พึงทำ

การค้าขาย ๕ ประการนี้ อันอุบาสกไม่พึงกระทำ
     
๕ ประการเป็นไฉน คือ

    การค้าขายศาตรา ๑
    การค้าขายสัตว์ ๑
    การค้าขายเนื้อสัตว์ ๑
    การค้าขายน้ำเมา ๑
    การค้าขายยาพิษ ๑

การค้าขาย ๕ ประการนี้แล อันอุบาสกไม่พึงกระทำ

 
________________________________
พระสูตร : วณิชชสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง ๒๒/๑๗๗/๑๘๖
https://uttayarndham.org/dhamma-daily/4534



 :25: :25: :25:

๗. วณิชชาสูตร ว่าด้วยการค้าขายที่อุบาสกไม่ควรประกอบ

[๑๗๗] ภิกษุทั้งหลาย อุบาสกไม่ควรทำการค้าขาย ๕ ประการนี้
          การค้าขาย ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ

          ๑. การค้าขายศัสตราวุธ (๑-)
          ๒. การค้าขายสัตว์ (๒-)
          ๓. การค้าขายเนื้อ (๓-)
          ๔. การค้าขายของมึนเมา (๔-)
          ๕. การค้าขายยาพิษ (๕-)
             
ภิกษุทั้งหลาย อุบาสกไม่ควรทำการค้าขาย ๕ ประการนี้แล


                                          วณิชชาสูตรที่ ๗ จบ

เชิงอรรถ :-

(๑-) การค้าขายศัสตราวุธ หมายถึง การให้สร้างอาวุธแล้วขายอาวุธนั้น (องฺ.ปญฺจก.อ. ๓/๑๗๗/๖๘) ที่ห้ามค้าขาย ก็เพราะการค้าขายอาวุธ เป็นเหตุให้ทำความผิดก่อโทษแก่ผู้อื่นได้ (องฺ.ปญฺจก.ฏีกา ๓/๑๗๗-๑๗๘/๖๖)

(๒-) การค้าขายสัตว์ ในที่นี้หมายถึง การค้าขายมนุษย์ ที่ห้ามค้าขาย ก็เพราะการค้าขายมนุษย์ทำให้มนุษย์หมดอิสรภาพ (องฺ.ปญฺจก.อ. ๓/๑๗๗/๖๘, องฺ.ปญฺจก.ฏีกา. ๓/๑๗๗-๑๗๘/๖๖)

(๓-) การค้าขายเนื้อ หมายถึง การเลี้ยงสัตว์มีสุกรเป็นต้นไว้ขาย หรือการขายเนื้อสัตว์ ที่ห้ามค้าขาย ก็เพราะการค้าขายเนื้อเป็นเหตุให้ต้องฆ่าสัตว์ (องฺ.ปญฺจก.อ. ๓/๑๗๗/๖๘, องฺ.ปญฺจก.ฏีกา. ๓/๑๗๗-๑๗๘/๖๖)

(๔-) การค้าขายของมึนเมา หมายถึง การให้ปรุงของมึนเมาชนิดใดชนิดหนึ่งแล้วขาย ที่ห้ามค้าขาย ก็เพราะการค้าขายของมึนเมาเป็นเหตุให้มีการดื่มแล้วเกิดความประมาท (องฺ.ปญฺจก.อ. ๓/๑๗๗/๖๘,องฺ.ปญฺจก.ฏีกา ๓/๑๗๗-๑๗๘/๖๖)

(๕-) การค้าขายยาพิษ หมายถึง การให้ทำยาพิษแล้วค้าขายยาพิษนั้น

การค้าขาย ๕ ประการนี้ อุบาสกไม่ควรทำทั้งด้วยตนเองและไม่ควรชักชวนบุคคลอื่นให้ทำด้วย (องฺ.ปญฺจก.อ. ๓/๑๗๗/๖๘)

________________________________________
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต
https://84000.org/tipitaka/attha/m_siri.php?B=22&siri=177




พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔ สุตฺต. องฺ. (๓) : ปญฺจก-ฉกฺกนิปาตา

[๑๗๗] ปญฺจิมา ภิกฺขเว วณิชฺชา อุปาสเกน อกรณียา กตมา
          ปญฺจ สตฺถวณิชฺชา
          สตฺตวณิชฺชา
          มํสวณิชฺชา 
          มชฺชวณิชฺชา
          วิสวณิชฺชา
อิมา โข ภิกฺขเว ปญฺจ วณิชฺชา อุปาสเกน อกรณียาติ ฯ


________________________________
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali_item_s.php?book=22&item=177&items=1


 :25: :25: :25:

อรรถกถา อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต จตุตถปัณณาสก์ อุปาสกวรรคที่ ๓
๗. วณิชชสูตร


อรรถกถาวณิชชสูตรที่ ๗         
พึงทราบวินิจฉัยในวณิชชสูตรที่ ๗ ดังต่อไปนี้ :-

บทว่า วณิชฺชา ได้แก่ ทำการค้าขาย.
บทว่า อุปาสเกน ได้แก่ ผู้ถึงสรณะ ๓.
บทว่า สตฺถวณิชฺชา ได้แก่ ให้เขาทำอาวุธแล้วก็ขายอาวุธนั้น.
บทว่า สตฺตวณิชฺชา ได้แก่ ขายมนุษย์.
บทว่า มํสวณิชฺชา ได้แก่ เลี้ยงสุกรและเนื้อเป็นต้นขาย.
บทว่า มชฺชวณิชฺชา ได้แก่ ให้เขาทำของเมาอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วก็ขายของเมา.
บทว่า วิสวณิชฺชา ได้แก่ ให้เขาทำยาพิษแล้วก็ขายยาพิษนั้น.

การทำด้วยตนเอง การชักชวนคนอื่นให้ทำการค้านี้ทั้งหมด ก็ไม่ควรด้วยประการฉะนี้.

                     จบอรรถกถาวณิชชสูตรที่ ๗   


______________________________
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=177

 :25: :25: :25:

อรรถกถาเล่มที่ ๑๖ ภาษาบาลีอักษรไทย องฺ.อ. (มโนรถ.๓)

๗. วณิชฺชาสุตฺตวณฺณนา
     
[๑๗๗] สตฺตเม วณิชฺชาติ วาณิชกมฺมานิ.
          อุปาสเกนาติ ติสรณคเตน.
          สตฺถวณิชฺชาติ อาวุธภณฺฑํ กาเรตฺวา ตสฺส วิกฺกโย.
          สตฺตวณิชฺชาติ มนุสฺสวิกฺกโย.
          มํสวณิชฺชาติ สูกรมิคาทโย โปเสตฺวา เตสํ วิกฺกโย.
          มชฺชวณิชฺชาติ ยงฺกิญฺจิ มชฺชํ กาเรตฺวา ตสฺส วิกฺกโย.
          วิสวณิชฺชาติ วิสํ กาเรตฺวา ตสฺส วิกฺกโย.

อิติ สพฺพํปิ อิมํ วณิชฺชํ เนว อตฺตนา กาตุํ, น ปเร สมาทเปตฺวา กาเรตุํ วฏฺฏติ.


_______________________
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=16&A=1522
8  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / “ผู้ละทั้งความชนะและความพ่ายแพ้ได้แล้ว มีใจสงบ ย่อมนอนเป็นสุข” เมื่อ: สิงหาคม 21, 2025, 07:02:48 am
.



ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ย่อมอยู่เป็นทุกข์,
ผู้สงบระงับ ละความชนะและความแพ้ได้แล้ว ย่อมอยู่เป็นสุข.

ชยํ เวรํ ปสวติ ทุกฺขํ เสติ ปราชิโต อุปสนฺโต สุขํ เสติ หิตฺวา ชยปราชยํ.



 :25: :25: :25:

เรื่องโกสลรัญโญปราชยวัตถุ ว่าด้วยเรื่องความพ่ายแพ้ของพระเจ้าโกศล

ในครั้งนั้นพระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภความปราชัยของพระเจ้าโกศล แก่ภิกษุทั้งหลายว่า

สมัยนั้นเมื่อพระเจ้าโกศลทรงอาศัยกาสิกคาม ทรงรบอยู่กับพระเจ้าอชาตศัตรู ผู้เป็นพระเจ้าหลาน ทรงรบกันอยู่ถึง ๓ ครั้ง แต่พระองค์ก็ยังทรงแพ้พระเจ้าหลานอยู่ดี ในการรบครั้งที่ ๓ ทรงดำริว่า

    “เราไม่อาจจะทำเด็กซึ่งมีปากยังไม่สิ้นน้ำนมให้แพ้ได้ ประโยชน์อะไรด้วยความเป็นอยู่ของเรา”

ท้าวเธอ ทรงตัดพระกระยาหาร เสด็จบรรทมบนพระแท่น ความเป็นไปของพระเจ้าโกศลได้ดังไปทั่วพระนคร เรื่องความปราชัยของพระเจ้าโกศล

เมื่อนั้น พระพุทธเจ้าตรัสพระคาถานี้แก่ ภิกษุทั้งหลาย ดังนี้ว่า

    “ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้พ่ายแพ้ย่อมนอนเป็นทุกข์ ผู้ละทั้งความชนะและความพ่ายแพ้ได้แล้ว มีใจสงบ ย่อมนอนเป็นสุข”

เนื้อหาสาระเกี่ยวกับความสุข คือ ผู้ละทิ้งความชนะและความพ่ายแพ้ได้แล้ว มีใจสงบย่อมนอนเป็นสุข

@@@@@@

คำว่า เวร นอกจากจะไม่สงบแล้ว ยังกลับเพิ่มพูนเวรต่อกันให้มากขึ้น เปรียบเหมือนการใช้น้ำสกปรกชำระล้างสิ่งสกปรก ก็ยิ่งเพิ่มพูนความสกปรกมากขึ้น ฉะนั้น

คำว่า “ผู้ชนะ”  (ชยํ) หมายถึง ผู้ชนะผู้อื่นย่อมกลับได้เวร

คำว่า “ผู้พ่ายแพ้” (ปราชิโต) หมายถึง ผู้อันคนอื่นให้แก้แล้ว ย่อมอยู่เป็นทุกข์ คือ ย่อมอยู่ลำบากในอิริยาบถทั้งปวงทีเดียว

คำว่า “มีใจสงบระงับ”  (อุปสนฺโต) หมายถึง พระขีณาสพผู้มีกิเลส มีราคะเป็นต้นในภายในสงบระงับ ละความชนะและความแพ้ได้ ย่อมอยู่เป็นสุข คือย่อมอยู่สบายแท้ ในอิริยาบถทั้งปวง

คำว่า “การไม่จองเวร” หมายถึงธรรมคือขันติ เมตตา โยนิโสมนสิการ (การพิจารณาโดยแยบคาย) และปัจจเวกขณะ (การพิจารณา)

เมื่อผู้พ่ายแพ้ คือ พระเจ้าโกศล ย่อมนอนเป็นทุกข์ เพราะความพ่ายแพ้แก่พระเจ้าหลานของตนเอง จึงทำให้พระองค์เสวยพระกระยาหารไม่ได้ นอนก็ไม่หลับ เมื่อเป็นดังนี้ จึงทำให้พระองค์มีแต่ความทุกข์ ไม่มีความสงบ แต่ยังจะเพิ่มพูนความแค้นเคืองต่อกัน ก่อเวรต่อกันมากขึ้น

ในครั้งนั้นพระพุทธเจ้าทรงปรารภความปราชัยของพระเจ้าโกศล ตรัสพระธรรมเทศนาว่า “ชยํ เวรํ ปสวติ” หมายถึง “ผู้ชนะย่อมก่อเวร”


@@@@@@

สรุปได้ว่า เนื้อหาสาระที่เกี่ยวกับความสุขในเรื่องนี้ คือ ผู้ละทิ้งความชนะและความพ่ายแพ้ได้แล้ว มีใจสงบย่อมนอนเป็นสุข ในพระคาถานี้พระเจ้าโกศลและพระเจ้าอชาตศัตรู หากทั้งสองพระองค์ จะมีความสงบสุขได้ ทั้งสองพระองค์จึงต้องเป็นผู้ที่ละทิ้งทั้งความชนะและความพ่ายแพ้ได้ เพื่อเป็นการไม่จองเวรทั้งผู้ชนะและผู้พ่ายแพ้

เพราะความโกรธ คือ สภาวะที่เป็นกิเลส ที่มีความโลภ ความโกรธ ความหลงมาครอบงำ ความดับกิเลสนี้ได้โดยพิจารณาธรรมคือ ขันติ เมตตา โยนิโสมนสิการ และปัจจเวกขณะ เหมือนดังสุภาษิตว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร

ดังนั้นเมื่อดับความโลภ ความโกรธ ความหลงได้แล้ว จึงจะทำให้มีใจที่สงบและนอนหลับอย่างเป็นสุขได้ด้วยการละทิ้งความชนะและความพ่ายแพ้

ในครั้งนั้น เมื่อจบพระธรรมเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลายมีโสดาปัตติผล เป็นต้น




ขอขอบคุณ :-
บทความ : จาก วิทยานิพนธ์ เรื่อง "การศึกษาวิเคราะห์สุขวรรคในคัมภีร์ธรรมบท" โดยนางสาวณัฎฐาพรรณ กรรภิรมย์พชิรา , บทที่ ๒ โครงสร้างและเนื้อหาสาระที่เกี่ยวกับความสุขในสุขวรรค หน้าที่ ๓๔-๓๖
ภาพจาก : pinterest
9  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หัวใจกาลามสูตร - ควรเชื่ออย่างไร.? เมื่อ: สิงหาคม 19, 2025, 07:56:06 am
.



หัวใจกาลามสูตร - ควรเชื่ออย่างไร.?

๑. ไม่ปักใจเชื่อ ๑๐ ประการ

๒. เมื่อใด พึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล มีโทษ ผู้รู้ติเตียน ถือปฏิบัติบริบูรณ์แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เป็นประโยชน์ เกื้อกูล เพื่อทุกข์ เมื่อนั้น ควรละธรรมเหล่านั้นเสีย

๓. เมื่อใด พึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ไม่มีโทษ ผู้รู้สรรเสริญ ถือปฏิบัติบริบูรณ์แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุข เมื่อนั้น ควรปฏิบัติธรรมเหล่านั้นอยู่


(เกสปุตตสูตร หรือ กาลามสูตร องฺ.ติก. ๒๐/๕๐๕)


ขอบคุณที่มา : หนังสือ ตามรอยธรรม ยุคกึ่งพุทธกาล โดย ปญฺญวํโสภิกขุ


 :25: :25: :25:

ไม่ปักใจเชื่อ ๑๐ ประการ

[317] กาลามสูตรกังขานิยฐาน 10 (หมายถึง วิธีปฏิบัติในเรื่องที่ควรสงสัย หรือหลักความเชื่อ ที่ตรัสไว้ในกาลามสูตร)

       1. มา อนุสฺสเวน (อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามกันมา)
       2. มา ปรมฺปราย (อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา)
       3. มา อิติกิราย (อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ)
       4. มา ปิฎกสมฺปทาเนน (อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์ )
       5. มา ตกฺกเหตุ (อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก)
       6. มา นยเหตุ (อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน)
       7. มา อาการปริวิตกฺเกน (อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล)
       8. มา ทิฏฺฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา (อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว)
       9. มา ภพฺพรูปตาย (อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้)
     10. มา สมโณ โน ครูติ (อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา)

ต่อเมื่อใด รู้เข้าใจด้วยตนว่า ธรรมเหล่านั้น เป็นอกุศล เป็นกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ เป็นต้นแล้ว จึงควรละหรือถือปฏิบัติตามนั้น
       
สูตรนี้ ในบาลีเรียกว่า เกสปุตติยสูตร ที่ชื่อกาลามสูตร เพราะทรงแสดงแก่ชนเผ่ากาลามะ แห่งวรรณะกษัตริย์ ที่ชื่อเกสปุตติยสูตร เพราะพวกกาลามะนั้นเป็นชาวเกสปุตตนิคม

องฺ.ติก. 20/505/241.



ขอบคุณที่มา : พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
10  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “น่านเจ้า-อัลไต” ประวัติศาสตร์สร้างชาติไทยเวอร์ชั่น “เกลียดจีน” เมื่อ: สิงหาคม 19, 2025, 07:26:12 am
.



“น่านเจ้า-อัลไต” ประวัติศาสตร์สร้างชาติไทยเวอร์ชั่น “เกลียดจีน”



 :96: :96: :96:

“น่านเจ้า-อัลไต” ประวัติศาสตร์สร้างชาติไทยเวอร์ชั่น “เกลียดจีน” กับการเข้า “จัดแจง” เมืองไทยโดยจีน

สุจิตต์ชี้! เรารับวัฒนธรรมและเทคโนโลยีจีนมามากมาย แต่ไม่ค่อยให้ “เครดิต” จีน เน้นยกย่องอินเดีย แม้ประเทศจีนจะมีคนไท (ไม่มี ย. ยักษ์) แต่ไม่ใช่คนไทยเหมือนในประเทศไทยทุกวันนี้ “คนไทย” จึงไม่ได้มาจากจีน แต่เป็นคน “สยาม” สมัยอยุธยา ซึ่งเป็นคนกลุ่มแรกที่เรียกตัวเองว่า “ไทย” ส่วนจีนเพียงแต่แผ่อำนาจเข้ามา “จัดการ” เพื่อผลประโยชน์ของจีนเอง

วันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 เวลา 13.30-15.00 น. ที่ Zone Classroom 1 อาคาร West ชั้น 2 True Digital Park มีกิจกรรม Talk “ไทย ‘ไม่มา’ จากจีน แต่จีน– ‘มา’ จัดการไทย” โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ และผู้ก่อตั้งนิตยสารศิลปวัฒนธรรม มาเล่าประสบการณ์การเดินทางไปจีนเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน พร้อมถ่ายทอดเรื่องราวการแลกเปลี่ยนที่หล่อหลอมความสัมพันธ์สองชาติ

กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของ “Thai-Chinese Golden Fest 2025 เทศกาลร้อยเรื่องราวไทย-จีน” เทศกาลสุดยิ่งใหญ่ที่พาทุกคนร่วมเดินทางผ่านร้อยเรื่องราวของสองชาติตั้งแต่อดีตสู่ปัจจุบัน พร้อมมองอนาคตผ่านสายตาของมิตรประเทศที่เติบโตเคียงข้างกันมาโดยตลอด เพื่อเฉลิมฉลองวาระสุดพิเศษครบรอบ 50 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน โดยสำนักพิมพ์มติชน ศิลปวัฒนธรรม ศูนย์ข้อมูลมติชน (MIC) และเส้นทางเศรษฐี ในเครือมติชน

@@@@@@@

ประวัติศาสตร์ “กระแสหลัก” กล่อมเกลาให้เราเกลียดจีน

สุจิตต์ เล่าว่า ประวัติศาสตร์ “กระแสหลัก” ในอดีตที่เรื่องถิ่นกำเนิดคนไทยจากอัลไต-น่านเจ้า-ถูกจีนรุกรานจนต้องมาตั้งอาณาจักรสุโขทัย เป็นเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้ ไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์รองรับ มีการคัดค้านเรื่องนี้มาตลอดด้วยหลักฐาน แต่ทางการไม่ฟัง

“ถ้าคนไทยมาจากภูเขาอัลไต-น่านเจ้าจริง กุบไลข่านตีน่านเจ้า พ.ศ. 1797 พ.ศ. 1800 ตั้งอาณาจักรสุโขทัย สร้างทันได้ยังไง จารึกพ่อขุนรามคำแหงฯ ห่างจากน่านเจ้าแตก 38 ปี ความทรงจำ ‘พ่อขุนราม’ ไม่มีเรื่องของอาณาจักรน่านเจ้าเลย เป็นไปได้ยังไง ?”


นั่นเพราะประวัติศาสตร์ไทยรับใช้การเมือง ทั้งการเมืองภายในประเทศและการเมืองโลก ประวัติศาสตร์ชาตินิยมไทย-ต่อต้านจีนคอมมิวนิสต์ ถูกสร้างขึ้นท่ามกลางสงครามเย็นที่เรา (ไทย) อยู่ข้างโลกเสรี ซึ่งมีสหรัฐฯ เป็นผู้นำ ส่วนจีนอยู่ฝ่ายโลกคอมมิวนิสต์

แต่ความเปลี่ยนแปลงสำคัญเกิดขึ้นเมื่อสหรัฐฯ คืนดีกับจีน ประวัติศาสตร์ไทยก็เริ่มเปลี่ยนด้วย หลัง ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ไปเยือนกรุงปักกิ่ง ปรากฏว่า 3 ปีต่อมา “อัลไต” ถูกถอดออกจากประวัติศาสตร์ไทย 9 ปีต่อมา “น่านเจ้า” ก็ถูกถอดออกตามไปด้วย หายไปแบบเงียบ ๆ เป็นหลักฐานว่าประวัติศาสตร์ไทยสนองการเมือง ไม่มีงานวิจัยหรือการศึกษาอย่างถูกหลักวิชาการรองรับ

ในปัจจุบัน ประวัติศาสตร์ไทยฉบับหลังรัฐประหาร พ.ศ. 2557 ยังระบุอยู่ว่า คนไทยมาจากตอนใต้ของจีน คือ “ลดเพดาน” จากอัลไต-น่านเจ้าลงมา แต่ยังต้องมาจากจีนอยู่ดี ผู้ก่อตั้งนิตยสารศิลปวัฒนธรรมตั้งข้อสังเกตว่า ผู้มีอำนาจในการกำหนดเนื้อหาแบบเรียนดูจะไม่สนับสนุนให้ศึกษาเรื่องจีน เน้นไปทางอินเดียเป็นหลัก ทั้งที่เรามีสัมพันธ์กับจีนมาอย่างยาวนาน




จีนเข้ามา “จัดการ” ไทย ด้วยเหตุผลด้านอำนาจ-การค้า

สุจิตต์ อธิบายถึงต้นกำเนิดความเป็นคนไทยจาก “ชาวสยาม” ที่เมืองอโยธยา บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วแผ่ความเป็นไทยขึ้นไปยังสุโขทัย โดยชาวสยามเป็นลูกผสม ร้อยพ่อ-พันแม่ หลากหลายชาติพันธุ์ แบ่งอย่างไม่เป็นทางการได้เป็น “สยามบก” คือ พวกดินแดนตอนใน ตั้งแต่สุพรรณบุรีถึงลุ่มแม่น้ำมูล “สยามทะเล” ตั้งแต่เพชรบุรีลงไปถึงนครศรีธรรมราช ทั้งหมดพูดภาษาไต-ไท เหมือนกัน และสยามทั้ง 2 พวกเป็นกำลังสำคัญในการสถาปนาอโยธยาและกรุงศรีอยุธยา

บทบาทสำคัญของชาวสยามคือการควบคุมเส้นทางการค้าทางบกและข้ามคาบสมุทรมลายู ด้านจีนที่กำลังขยายเส้นทางการค้าทางทะเลมาถึงบริเวณอ่าวไทย เพื่อทดแทนการค้าทางบกบนเส้นทางสายไหม พบปัญหาว่าช่องแคบมะละกาเต็มไปด้วยโจรสลัด จึงอยากใช้เส้นทางบกข้ามคาบสมุทรที่สยามคุมอยู่ ซึ่งจีนคุ้นเคยกับพวกสยามแห่งลุ่มแม่น้ำท่าจีน-แม่กลอง หรือทีเรียกว่า “เสียน” อันมีศูนย์กลางที่เมืองสุพรรณภูมิ (สุพรรณบุรี) อยู่แล้ว

จีนจึงหนุนสยามเมืองสุพรรณฯ ให้ “เจ้านครอินทร์” โอรสขุนหลวงพระงั่วแห่งสุพรรณบุรี ไปเมืองจีนถึง 2 ครั้ง และส่งเสริมให้เข้ายึดอำนาจอยุธยาจากราชวงศ์ “ละโว้” ซึ่งปกครองอยุธยาอยู่ในตอนนั้น โดยเจิ้งเหอส่งทัพเรือเข้ามาสนับสนุน พอราชวงศ์ “สุพรรณภูมิ” ปกครองอยุธยาได้อย่างมั่นคง ก็ “จิ้มก้อง” ให้จีนอย่างสม่ำเสมอนับแต่นั้น

“จีนต้องการเมืองขึ้น เราไม่ได้ว่าอะไร แต่ไม่พูดกันตรง ๆ ว่า ‘จิ้มก้อง’ ไม่ต่างจากการเป็นเมืองขึ้น เพราะเสียหน้า… ตั้งแต่อดีตเรารับวิทยาการจากจีนเยอะมาก ความเป็นไทยที่เราอวดกันนักหนา จริง ๆ เรารับจากเขามา มาตราชั่ง ตวง วัด รับมาจากจีน อาหารไทยที่ใช้กระทะเหล็กก็เทคโนโลยีจากจีน” สุจิตต์กล่าว

นอกจากนี้ นักเขียนและนักหนังสือพิมพ์คนดังยังฝากความเห็นด้วยว่า ประวัติศาสตร์ชาติทำให้เราหลงผิด คิดว่าตัวเองใหญ่โต ทั้งที่ความเป็นไทยคือความอยู่รอด หลักฐานทางโบราณคดีชี้ว่าเราติดต่อกับอินเดีย ค้าขายกับอินเดียจนเกิดเป็นรัฐมั่งคั่งขึ้นในดินแดนไทย แต่ก่อนหน้านั้น เรารับเทคโนโลยีถลุงโลหะ ทั้งทองแดง ดีบุก และเหล็ก มาจากจีน…





อ่านเพิ่มเติม :-

    • สุจิตต์ วงษ์เทศ : ไทยแท้ไม่เคยมี ที่มีล้วนลูกผสม ร้อยพ่อพันแม่
    • “โซเมีย” คืออะไร? หลักใหญ่ใจความในวรรณกรรมวิชาการของ นิธิ เอียวศรีวงศ์
    • เบื้องหลังการสถาปนาความสัมพันธ์ไทย-จีน “คึกฤทธิ์” พูดอะไรทำให้จีนเครียด





ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
เผยแพร่ : วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ.2568
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 11 กรกฎาคม 2568
website : https://www.silpa-mag.com/history/article_155550
11  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อวสานใบอนุโมทนาบัตร.! สรรพากรสั่งบริจาควัดลดหย่อนภาษีต้องใช้ e-Donation เมื่อ: สิงหาคม 19, 2025, 07:10:48 am
.



อวสานใบอนุโมทนาบัตร.! สรรพากรสั่งบริจาควัดลดหย่อนภาษีต้องใช้ e-Donation

อวสานใบอนุโมทนาบัตร! "กรมสรรพากร" ส่งหนังสือด่วนถึงสำนักพุทธฯ บริจาควัดต้องผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ถึงได้รับสิทธิลดหย่อนภาษี มีผล 1 ม.ค. 69

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เผยแพร่ หนังสือกรมสรรพากร เรื่อง การพัฒนาวิธีการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการบริจาคให้แก่วัดวาอาราม โดยให้ใช้ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ของกรมสรรพากร ลงวันที่ 15 สิงหาคม 2568 เรียนถึงผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีสาระสำคัญดังนี้

ตามที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) เพื่อยกระดับการให้บริการภาครัฐให้ประชาชนได้รับความสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้นนั้น



หนังสือกรมสรรพากร เรื่อง การพัฒนาวิธีการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการบริจาคให้แก่วัดวาอาราม โดยให้ใช้ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ของกรมสรรพากร


กรมสรรพากรในฐานะหน่วยงานที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้บริจาคแก่วัดวาอาราม จะดำเนินการปรับปรุงกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้บริจาคแก่วัดวาอาราม มูลนิธิ สมาคม กองทุน และองค์การที่ได้รับการประกาศโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล

ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และโปร่งใส โดยไม่ต้องเก็บหลักฐานการบริจาคเป็นกระดาษ และจะได้รับเงินคืนภาษีรวดเร็วมากขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวก และลดภาระให้หน่วยรับบริจาคไม่ต้องจัดทำหรือเก็บหลักฐานการรับบริจาคเป็นกระดาษ ตลอดจนส่งเพื่อส่งเสริมความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือของหน่วยรับบริจาค

การปรับปรุงกฎหมายดังกล่าวกำหนดให้การบริจาคแก่วัดวาอาราม มูลนิธิ สมาคม กองทุน และองค์การต่าง ๆ ซึ่งผู้บริจาคได้รับสิทธิหักลดหย่อนเงินบริจาคหรือหักรายจ่าย ต้องใช้ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ของกรมสรรพากรเท่านั้น ทั้งนี้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป

ในการนี้ เพื่อให้การสนับสนุนพระพุทธศาสนาเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยผู้บริจาคทั้งที่เป็นบุคคลธรรมดา บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สามารถใช้สิทธิหักลดหย่อนเงินบริจาคหรือหักรายจ่ายได้ตามปกติ กรมสรรพากรขอความร่วมมือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในการประชาสัมพันธ์ไปยังวัดทุกแห่งตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาทุกวัด

@@@@@@@

หากวัดใดยังไม่ได้ลงทะเบียนเป็นผู้ใช้งานระบบ e-Donation ของกรมสรรพากร ขอได้โปรดตรวจสอบข้อมูลการมีเลขประจำตัวหน่วยรับบริจาค และดำเนินการลงทะเบียนเป็นผู้ใช้งานระบบ e-Donation ของกรมสรรพากรก่อนวันที่ 1 มกราคม 2569 โดยสามารถดำเนินการดังนี้

1. การตรวจสอบข้อมูลการมีเลขประจำตัวหน่วยรับบริจาคเพื่อขอลงทะเบียนเป็นผู้ใช้งานระบบ e-Donation ของกรมสรรพากร

สามารถตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร (www.rd.go.th) >> นิติบุคคล >> หน่วยรับบริจาค >> ตรวจสอบข้อมูลหน่วยรับบริจาค หากตรวจสอบไม่พบข้อมูล สามารถติดต่อสำนักงานสรรพากรพื้นที่หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาที่วัดตั้งอยู่ เพื่อขอมีเลขประจำตัวหน่วยรับบริจาค



หนังสือกรมสรรพากร เรื่อง การพัฒนาวิธีการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการบริจาคให้แก่วัดวาอาราม โดยให้ใช้ระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ (e-Donation) ของกรมสรรพากร


2. การลงทะเบียนเป็นผู้ใช้งานระบบ e-Donation ของกรมสรรพากร

หน่วยรับบริจาคที่มีเลขประจำตัวแล้วสามารถลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากร โดยผู้มีอำนาจกระทำการแทนวัดหรือผู้รับมอบอำนาจต้องแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร พร้อมยื่นเอกสารดังต่อไปนี้ ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาที่วัดตั้งอยู่

    - แบบฟอร์มลงทะเบียนระบบ e-Donation ของกรมสรรพากร พร้อมลงลายมือชื่อผู้มีอำนาจแทนวัด
    - สำเนาหนังสือรับรองการจัดตั้งวัด พร้อมลงนามรับรองสำเนาถูกต้อง หรือหนังสือรับรองจากหน่วยงานต้นสังกัด
    - สำเนาหนังสือแต่งตั้งผู้มีอำนาจกระทำการแทนวัด พร้อมลงนามรับรองสำเนาถูกต้อง
    - หนังสือมอบอำนาจ (กรณีมอบอำนาจให้บุคคลอื่นดำเนินการแทน) และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มีอำนาจ พร้อมลงนามรับรองสำเนาถูกต้อง

สำหรับวัดที่ลงทะเบียนเป็นผู้ใช้งานระบบ e-Donation ของกรมสรรพากรแล้ว ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่แต่อย่างใด ทั้งนี้ กรมสรรพากรได้มอบหมายให้สำนักงานสรรพากรพื้นที่อำนวยความสะดวกในการลงทะเบียนลงทะเบียนเป็นผู้ใช้งานระบบ e-Donation ของกรมสรรพากร รวมทั้งประสานงานกับธนาคารที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เพื่อสนับสนุนการใช้งานระบบ e-Donation สำหรับการรับบริจาคผ่านธนาคาร (QR Code หรือ Bar Code)


กรมสรรพากร ระบุ 1 ม.ค.2569 บริจาคผ่าน e-Donation






ขอบคุณ : https://www.pptvhd36.com/news/สังคม/254968
เผยแพร่ 18 ส.ค. 2568 ,11:27น. | โดย PPTV Online
12  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วัดจะร้าง..ขุนนางจะผยอง เงินทองคือพระเจ้า เมื่อ: สิงหาคม 18, 2025, 10:26:29 am
.





คำทำนาย เมื่อ 30 ปีก่อน เป็นจริงแล้ว | หลักฐานเป็นที่ประจักษ์

วัดจะร้าง..ขุนนางจะผยอง
เงินทองคือพระเจ้า..คนเฒ่าจะกำพร้า
จอมพาราจะหม่นหมอง..พี่น้องจะเป็นศัตรูกัน​
ครูจะกลัวศิษย์..ผิดจะเป็นถูก
ลูกจะล้างผลาญ..คนพาลจะอหังกา
คนบ้าจะเด่นดัง..คนมีตังคือเทพเจ้า


__________________
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง
พระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร)

หมายเหตุ : ไม่สามารถยืนยันว่าใครแต่งกลอนนี้ ที่ระบุว่าเป็นหลวงพ่อฤาษีลิงดำนั้น เพราะในโซเชียลเน็ตเวิร์คต่างๆระบุไว้ เป็นการลอกตามๆกันมา ไม่มีรายละเอียดอื่นๆ และที่สำคัญเว็บวัดท่าซุงเท่าที่ค้นได้ ไม่ปรากฏประวัติของกลอนนี้ รวมทั้งไม่มีการเอ่ยถึงกลอนนี้เลย
13  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แรงใจเพื่อเธอ เมื่อ: สิงหาคม 18, 2025, 10:17:52 am
.



แรงใจเพื่อเธอ

ผิดหวังได้ แต่อย่าสิ้นหวัง
พลาดได้ แต่อย่าลืมแก้ไข
แพ้ได้ แต่ต้องสู้ต่อไป
สูญเสียอะไรก็ได้ แต่อย่าสูญเสียกำลังใจในตัวเอง

นตฺถิ กมฺมํ สม พลํ
อ่านว่า นัตถิ กัมมัง สมะ พลัง
แปลว่า แรงใดในโลก เสมอด้วยแรงกรรม ไม่มี



ขอบคุณที่มา : Youtube บ้านการเวก Channel โดย อาจารย์ยาว
https://youtu.be/6ctuAOkdTwk
14  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 12 คำพยากรณ์แห่งยุคเสื่อม เมื่อ: สิงหาคม 18, 2025, 07:03:23 am
.

ขอบคุณภาพจาก https://www.lemon8-app.com/@nanazlolo/7509729008834068993?region=th


ปริศนาธรรม 12 บท (12 คำพยากรณ์แห่งยุคเสื่อม)

พลอยศรี Stories > August 19, 2021 > ธรรมะศึกษา



 :96: :96: :96:

เป็นจริงเกือบหมดแล้ว

    “ทองแท่ง จะไร้ค่า”
    “พระปฏิมา เป็นกากปูน”
    “กลากเกลื้อน จะเพิ่มพูน”
    “พระพิรุณ จะซบเซา”
    “ผ้าเหลือง จะโดนย่ำ”
    “ตะกวดดำ จะเป็นเจ้า”
    “ดอกตูม โรยแต่เช้า”
    “หมาหัวเน่า ผึ้งจะตอม”
    “บุปผา จะเป็นหมัน”
    “คืนและวัน จะสั้นเข้า”
    “นกน้อย จะลืมเหย้า”
    “โคถึกเฒ่า จะวังเวง”






1. “ทองแท่ง จะไร้​ค่า”

พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าจะมีคนสนใจศึกษาก็​เหลือ​น้อยเต็มที ผู้​คนจะไม่เห็น​คุณ​ค่า ทั้งพระสงฆ์​สามเณร​และ​ฆราวาส​ก็​เบือนหน้า​หนีพระธรรม​คำสอน กับทั้งผู้​คนก็ไม่นิยมเข้าวัดฟังธรรม เห็น​วัด​เป็น​สถานที่​ไม่น่าอภิรมย์​ เข้า​วัด​เพื่อ​ไปเที่ยว แต่ไม่เห็น​เนื้อแท้ของ​ทองคำ

2 . “พระปฏิมา เป็น​กากปูน”

ผู้​คนจะมองว่า​เป็น​เพียงรูป​เคารพเป็นเพียง​อิฐหินดินปูน เป็น​ของ​ประดับ เริ่มไม่เคารพพระพุทธรูปและเริ่มเสื่อมศรัทธาในพุทธศาสนามากขึ้น​กับทั้งมองว่า เป็น​แค่วัตถุ​ สิ่งของ




3. “กลากเกลื้อน จะเพิ่ม​พูน”

ความชั่วเลวทรามของผู้คนและความมีมิจฉาทิฏฐิจะเริ่มลุกลามแผ่ขยายมากขึ้น กับ​ทั้งความหยาบกระด้าง​และความมีนิสัยเถื่อนถ่อยของผู้คนจะลุกลาม​เป็น​เหมือน​กลากเกลื้อนที่ติดต่อกัน​ได้ จากพฤติกรรม​เลียนแบบกัน จะปรากฏ​ให้​เห็น​จนดาษดื่น​ไปทุกแห่ง

4. “พระพิรุณ จะซบเซา”

น้ำจิตน้ำใจของผู้คนในสังคมจะเหือดแห้ง​มากขึ้น​จะมีแต่ความเห็นแก่ตัวให้เห็น กับทั้งฟ้าฝนก็จะแห้งแล้ง​ไม่​ตกต้อง​ตามฤดูกาล​




5. “ผ้าเหลือง จะโดนย่ำ“

ผู้​คนจะไม่กลัวบาปกลัวกรรม เมามันกับการติเตียนดูหมิ่นดูแคลนพระสงฆ์ กับทั้งพระสงฆ์​ สามเณร​ ก็​ไม่ตั้ง​อยู่ใน​ศีลในธรรม ไม่​เคารพรักธรรมนิยม ใช้​ผ้าเหลือง​แสวงหาลาภ จะหาผู้​มีศีลมีธรรมก็เหลือ​น้อย

6. “ตะกวดดำ จะเป็นเจ้า”

คนในตระกูล​ต่ำ คนมีจิตใจ​ต่ำทราม เมื่อ​ได้เป็น​ใหญ่​ครอง​อำนาจ ก็​จะ​เหลิงในอำนาจ หลงในอำนาจ จนพาบ้านเมือง​เสียหาย พาองค์กร​เสียหาย​ กับทั้งกินเงิน​หลวงไม่อายชาวบ้าน​ คาบไปกินต่อหน้าต่อตา​ก็​ไม่เกรงกลัว​คนเห็น




7. “ดอกตูม โรยแต่เช้า“

เด็กผู้หญิงเริ่มมีคู่ตั้งแต่อายุน้อยยังไม่โตเป็นสาวก็เที่ยวหาคู่​นอน ปทุมยังไม่เป็น​ถัน ก็​ได้เสียกันแล้ว กับทั้งเอาใจออกห่าง​พ่อแม่ แก่แดด ทั้ง​ที่​ยังเช้าอยู่​

8. “หมาหัวเน่า ผึ้ง​จะตอม”

คนไม่ดีคนเนรคุณคนชั่ว แต่สังคมจะยกย่องชื่นชม​ กับทั้ง​เชื่อ​คำพูด​คำปดของคนเหล่านี้​ ดุจผึ้งตอมกลิ่มภมรอันหอม




9. “บุปผา จะเป็นหมัน”

ส่วนคนดีนั้น ผู้คน​จะ​พากันด่า สาดเสียเทเสีย​ จนแทบแทรกแผ่นดิน​หนี คนทำดีคนจะไม่เห็น​ค่า ทำความดีกลับ​ถูก​ต่อว่า จนต้องแอบทำ ทำดีเท่าไหร่​ไม่​มี​คนเห็น​ แต่​คนจะกลับ​นิยมชื่นชม​คนมีอำนาจคนมีเงินว่าเป็น​คนน่ายกย่อง​

10. “คืนและวัน จะสั้นเข้า”

ผู้​คนจะเพลิดเพลิน​ไปกับการเสพสิ่งบันเทิง​ กิน เที่ยว ช้อปปิ้ง​ เล่นโซเชียล​ จนเวลาในแต่ละวัน​ผ่านไปจนไม่รู้​วันรู้คืน และวิถีชีวิต​ที่​ทำงานแลกเงินจนหมดเวลาไปกับการงาน ไม่มี​เวลาพูด​คุย​กับในครอบครัว​ เวลา​ใน​ครอบครัว​ก็​จะ​สั้นลงไปด้วย




11. “นกน้อย จะลืม​เหย้า“

คนรุ่นใหม่​ เด็ก​รุ่นใหม่​ คนสมัยใหม่​ จะลืมพ่อแม่และบ้านเกิดเมืองนอนของตน กับทั้งลืมวัฒนธรรม​ประเพณี​ของตน รากเหง้า​ของ​ตน

12. “โคถึกเฒ่า จะวังเวง”

คนเฒ่า​คนแก่​จะถูกทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพังขาดลูกหลานดูแล







สวัสดีตอนบ่ายๆค่ะ วันนี้อากาศดีมากๆ ลมพัดเย็นสบาย พลอยศรีนั่งดื่มกาแฟเพลินๆแล้วก็กดอ่านไลน์ของพี่ผู้ใหญ่ที่เคารพส่งมาให้ ขณะที่อ่านนั้นรู้สึกอยากจะสำลักกาแฟอยู่หลายรอบทีเดียว อ่านแล้วรู้สึกเห็นคล้อยไปด้วยเกือบทุกข้อเลย

ด้วยความที่รู้สึกว่าบทความนี้ถูกจริต กระแทกใจพลอยศรีเสียเหลือเกิน ก็เลยไม่อยากที่จะแค่อ่านเฉยๆแล้วก็ปล่อยให้ผ่านไป พลอยศรีจึงขออนุญาตนำบทความที่ชื่นชอบนี้มาเก็บไว้ในบันทึกตรงนี้ เผื่อย้อนมาอ่าน เผื่อผู้ที่ชื่นชอบผ่านมาพบเราก็จะได้เผยแพร่ต่อไป

ใครเป็นผู้เขียนปริศนาธรรมบทนี้ พลอยศรีก็ไม่ทราบเลยค่ะ ไม่มีชื่อผู้เขียนบอกไว้ ทราบแต่ว่าเป็นข้อความที่ส่งต่อๆกันมาทางไลน์ และพลอยศรีก็ได้รับมาวันนี้ก็นำมาส่งต่ออีกที แต่พลอยศรีได้ทำการปรับแต่งบทความให้เข้ากับสไตล์ของตัวเอง และเพื่อให้ง่ายต่อการอ่าน แต่ว่าเนื้อความเดิมนั้นคงอยู่ทุกประการ

@@@@@@

บทความนี้ พลอยศรีอ่านแล้วก็ต้องร้องว่าโอ้โฮ!!! มีปริศนาธรรมอยู่สิบสองข้อ พลอยศรีนี่ก้าวเหยียบเข้าไปหลายข้อแล้ว โดยเฉพาะข้อที่สิบ วันคืนจะสั้นลง อันนี้อ่านแล้วกาแฟแทบพุ่งเลยค่ะ จริงมากๆ

ทุกวันนี้พลอยศรีนอนเกือบสว่าง ตื่นเกือบเที่ยง กินข้าวเช้าตอนบ่าย กินข้าวบ่ายตอนค่ำๆ ไปวัดแค่เพียงท่องเที่ยวดูสิ่งประดิษฐ์ปฎิมากรรมต่างๆ ดูรูปภาพ ดูการแกะสลัก ยอมรับเลยว่า เปอร์เซ็นต์น้อยมากที่จะไปเพื่อกราบไหว้หาความสงบใจ ส่วนข้ออื่นๆถึงไม่ก้าวล่วงแต่ก็ได้เห็น ได้ฟังจนชินตาชินใจกับสังคมปัจจุบัน และสุดท้ายทุกวันนี้ก็เหมือนเป็นนกน้อยที่บินไกลไปจากบ้าน แต่ยังไม่ลืมเหย้าเท่านั้นเอง

กราบขอบพระคุณเจ้าของผู้เขียนปริศนาธรรมขึ้นมา ทำให้เราๆผู้อ่านมองโลกได้ทะลุปรุโปร่งขึ้น และสามารถวางทุกอย่างที่แบกหามไว้ได้อย่างง่ายดาย ช่วยให้ชีวิตที่เหลือนั้นกล้าที่จะเดินต่อไปได้อย่างเบาสบาย ไม่ขัดตาขัดใจกับขวากหนามของสิ่งต่างๆที่มากระทบกาย กระทบใจ …

และก็ต้องขอบคุณพี่ผู้ใหญ่ที่เคารพที่ส่งต่อบทความดีๆมาให้พลอยศรีทุกวัน ขอบพระคุณมากๆไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ รักจัง รักจัง

สำหรับวันนี้ สุขใจ ยิ้มกว้าง สวัสดีค่ะ



ขอขอบคุณ :-
Credit : จากผู้ใหญ่ที่เคารพ
https://ploytellsastory.home.blog/2021/08/19/ปริศนาธรรม/
พลอยศรี Stories > story tells by ploy
ขอบคุณภาพจาก https://www.lemon8-app.com/@nanazlolo/7509729008834068993?region=th



ขอบคุณภาพจาก https://www.lemon8-app.com/@nanazlolo/7509729008834068993?region=th


หมายเหตุ

1. กลอนนี้ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง เท่าที่ค้นได้ โพสต์เก่าที่สุด คือ เฟซบุ้ค อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทเชื้อสายกวย กูย เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2020 
https://www.facebook.com/ChmrmChawKwykuyHruxSwyMiLumChatiphanthu/posts/1ทองแท่งจะไร้ค่า-หมายถึงคำสอนจะเหลือน้อยลงผุ้คนไม่ศึกษาพระสงฆ์เณรและฆราวาส-เข้าว/3624734720878928/

2. เว็บ https://www.cops-magazine.com/ ได้โพสต์ไว้ แต่ไม่มีวันที่ ให้ข้อมูลไว้ว่า

เรื่องราวเกิดขึ้นในยุคสมัยกึ่งพุทธกาลไปแล้ว ยามนี้อาจนำมาใช้สำหรับผู้คนเสื่อมจากศีลธรรม ว่าด้วย “ปริศนาธรรม” ที่ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง อนุโมทนากับผู้เขียน และแปลธรรมบทนี้มาจากคำพยากรณ์ความฝันที่พระพุทธองค์ทรงตอบให้พระราชา “ปเสนทิโกศล” แห่งยุคพุทธกาล

นายพลตำรวจโทคนดังแชร์มาฝากข้อคิดในกลุ่มไลน์
https://www.cops-magazine.com/topic/39057/

        ผู้โพสต์
15  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เก่งแล้วเห็นแก่ตัว ไม่รู้จักแบ่งปัน ควรแก้ไขอย่างไร.? เมื่อ: สิงหาคม 17, 2025, 08:20:12 am
.



เก่งแล้วเห็นแก่ตัว ไม่รู้จักแบ่งปัน ควรแก้ไขอย่างไร.?

ชัยชนะเป็นของทุกคน ชัยชนะที่ได้มาจากการร่วมมือกัน แบ่งปันกัน ไม่ใช่ ”ที่หนึ่ง” ของใครเพียงคนเดียว ทุกคนล้วนเป็นที่หนึ่ง.!



 :s_good: :s_good:

คุณครูวินสตัน เป็นครูสอนวิชาประวัติศาสตร์ของโรงเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่งในรัฐเคนตักกี้ เขาได้เล่าเรื่องที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตครูซึ่งสอนมานานกว่า 12 ปี

ในการสอบวิชาประวัติศาสตร์ หัวข้อสงครามโลกครั้งที่ 2 นักเรียนชายที่เขาไม่เปิดเผยชื่อได้ทำคะแนนสอบสูงสุดถึง 94 คะแนน ซึ่งนั่นไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจเลยแม้แต่น้อย เพราะนักเรียนชายคนนี้เรียนเก่งมาก แต่ที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ ตรงด้านล่างกระดาษคำตอบ นักเรียนคนนี้ได้เสนอคะแนนโบนัส 5 คะแนน ที่เขาจะได้รับพิเศษจากการทำคะแนนสอบสูงสุด มอบให้กับนักเรียนคนไหนก็ได้ที่ทำคะแนนสอบต่ำสุด.!

คุณครูวินสตันเล่าว่า ปกตินักเรียนชายคนนี้มีจิตใจดี เห็นอกเห็นใจผู้อื่นเสมอ แต่ก็นึกไม่ถึงว่า เขาจะยอมสละ 5 คะแนนนั้น เพราะถ้าเก็บไว้เอง ก็จะทำให้เขาได้คะแนนรวมถึง 99 คะแนน ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า โดยทั่วไป ธรรมชาติของเด็กเรียนเก่ง มักจะยึดติดกับเรื่องคะแนนมาก และอยากได้เป็นที่หนึ่งสูงสุดเสมอ.!

แต่ไม่ใช่นักเรียนคนนี้ เขากลับเสียสละได้อย่างง่ายดาย และให้โดยไม่สนใจว่าคนที่ได้รับคะแนนพิเศษนั้นจะเป็นเพื่อนที่ดีกับเขา, เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เขาให้โดยไม่มีเงื่อนไขใด ไม่เกี่ยงด้วยซ้ำว่านักเรียนคนนั้นจะขี้เกียจ เกเร หรือสมควรได้รับคะแนนพิเศษหรือไม่

@@@@@@@

คุณครูวินสตันทำตามที่เขาขอ  และปรากฏว่า 5 คะแนนนั้น ได้ช่วยนักเรียนหญิงคนหนึ่งซึ่งสอบไม่ผ่าน เพราะได้เพียง 58 คะแนน กลับกลายเป็นสอบผ่านด้วยคะแนน 63 จากคะแนนโบนัสที่นักเรียนชายใจดีสละให้.! แน่นอน, คุณครูวินสตันไม่บอกทั้งสองฝ่ายว่าใครเป็นคนได้คะแนน และใครเป็นคนให้คะแนนพิเศษนั้น

หลังจากที่คุณครูวินสตันได้แบ่งปันเรื่องนี้ทางโซเชียลมีเดีย มีคนพูดถึงและส่งต่อกันไปเป็นจำนวนมากจนกลายเป็นกระแส  หลายคนชื่นชม ในขณะที่อีกหลายคนตำหนิคุณครูว่าไม่ควรทำเช่นนั้น ด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา แต่เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้ว คุณครูวินสตันกับทางโรงเรียนก็ยังยืนยันและมองเห็นตรงกันว่าได้ผลดีมากกว่าผลเสีย.!

เราเกิดมาในระบบของการแข่งขัน ที่มุ่งเน้นความเป็นที่หนึ่งมาตลอด ไม่ต้องดูอื่นไกล ตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนชั้นอนุบาล เราก็ถูกแนะนำให้รู้จักกับเกมยอดนิยม ”เก้าอี้ดนตรี” ที่เล่นกันมาทุกยุคทุกสมัย เล่นได้ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่ เกมนี้ดูผิวเผินเหมือนไม่มีอะไร เน้นความบันเทิงอย่างเดียว แต่ลองคิดดูดี ๆ ว่าเกมนี้บอกอะไรกับเราบ้าง

เพราะโลกนี้ให้ความสำคัญกับการเป็น “ที่หนึ่ง” ไม่ว่าในเรื่องการเรียน เกมหรือแม้แต่กีฬา ชีวิตตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่ จึงเต็มไปด้วยการแข่งขัน เรากำหนดกฎเกณฑ์ในการแข่งขันเกือบทุกประเภทจนถือเป็นมาตรฐานว่า ผู้ชนะคือผู้ที่เก่งกว่า, ฉลาดกว่า, แข็งแรงกว่า, ตัวใหญ่กว่า, หรือรวดเร็วกว่าเท่านั้น และแน่นอน ผู้แพ้ที่ถูกคัดออก ก็คือผู้ที่อ่อนแอ ตัวเล็ก ไม่ฉลาด หรือช้านั่นเอง  โลกทุกวันนี้ จึงมีแต่ผู้ที่มุ่งมั่นต้องการเป็นที่หนึ่ง ต้องการครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างไว้แต่เพียงผู้เดียว





ผมนึกถึงคุณพ่อวิลเลี่ยมเคยพูดที่โบสถ์ St. Therese Parish (แซน ดิเอโก, แคลิฟอร์เนีย) ถึงเกม 'เก้าอี้ดนตรี"นี้ไว้อย่างน่าฟังเมื่อนานมาแล้ว ท่านบอกว่า ถ้ากติกาการเล่นเกมนี้เปลี่ยนไป เก้าอี้มีน้อยกว่าจำนวนผู้เล่นเหมือนเดิม แต่เมื่อเสียงดนตรีหยุดลง กติกาใหม่กำหนดว่า ผู้เล่นทุกคนต้องมีที่นั่งเสมอ นั่นหมายความว่าใครบางคนต้องแบ่งที่นั่งร่วมกับคนอื่น หรือให้ใครอีกคนนั่งตัก ลองนึกภาพดูสิว่า มันจะเป็นอย่างไร.?

เมื่อกติกาเปลี่ยนไปอย่างนี้ การเอื้อเฟื้อช่วยเหลือกันจะเกิดขึ้น มิหนำซ้ำ เด็กตัวเล็ก บอบบาง จะไม่ถูกผลักออกไปเป็นคนแรกอย่างที่เคยเป็น แต่กลับถูกดึงให้มานั่งร่วมเก้าอี้ตัวเดียวกัน เพราะเด็กตัวเล็กจะกินเนื้อที่น้อยกว่าและน้ำหนักเบากว่าหากจำเป็นต้องให้นั่งตัก เมื่อเล่นต่อไปเรื่อย ๆ เกมจะสนุกมากยิ่งขึ้นตรงที่พวกเขาต้องช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรให้ทุกคนได้นั่งในขณะที่จำนวนเก้าอี้เหลือน้อยลงทุกที จนในที่สุดเด็กทุกคนต่างนั่งซ้อนตักต่อ ๆ กันไปบนเก้าอี้ตัวเดียวกันครบทุกคน ไม่มีใครเป็นผู้แพ้ที่ถูกคัดออก

ชัยชนะเป็นของทุกคน ชัยชนะที่ได้มาจากการร่วมมือกัน แบ่งปันกัน ไม่ใช่”ที่หนึ่ง”ของใครเพียงคนเดียว ทุกคนล้วนเป็นที่หนึ่ง.!

เรื่องของคุณครูวินสตันกับนักเรียนเก่งคนนี้ก็เช่นกัน สะท้อนให้เราเห็นหลายสิ่งหลายอย่าง และสามารถมองได้หลายมุม แต่มุมหนึ่งที่สำคัญ คุณครูวินสตันต้องการแสดงให้เห็นถึงความเห็นอกเห็นใจและรู้จักช่วยเหลือของเด็กนักเรียนคนนี้ ที่เขาไม่ได้ยึดติดกับเรื่องคะแนนที่ต้องสูงสุดเป็นที่หนึ่งเสมอ!

เพราะที่ผ่านมา เราต่างเห็นผลร้ายจากคนเก่งที่เห็นแก่ตัวมามากมายแล้ว บางครั้ง, การสอบผ่านหรือไม่ผ่าน เก่งหรือไม่เก่ง ไม่ใช่สาระของชีวิตเลย เมื่อเราออกมาใช้ชีวิตนอกโรงเรียน เราจึงรู้ว่าความรัก, การเห็นอกเห็นใจ, เสียสละ, แบ่งปัน ถึงจะทำให้โลกนี้อบอุ่น สวยงาม และยังคงน่าอยู่ต่อไป





ขอบคุณที่มา :-
Facebook : ปะการัง - นักเขียน
https://www.facebook.com/pakarangWriter/photos/คุณครูวินสตัน-เป็นครูสอนวิชาประวัติศาสตร์ของโรงเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่งในรัฐเคนตั/1345193947463896/?_rdr
16  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / สันตติมหาอำมาตย์ ควรเรียกว่า สมณะ หรือ พราหมณ์ เมื่อ: สิงหาคม 14, 2025, 10:06:00 am
.

ขอบคุณภาพจาก pinterest


สันตติมหาอำมาตย์ ควรเรียกว่า สมณะ หรือ พราหมณ์

๙. สันตติมหามัตตวัตถุ เรื่องสันตติมหาอำมาตย์

(พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถานี้แก่ภิกษุทั้งหลาย ดังนี้)

[๑๔๒] แม้บุคคลจะแต่งตัวแบบใดก็ตาม ถ้าเขาเป็นผู้สงบ ฝึกตนได้ เป็นผู้แน่นอน(๒-) ประพฤติพรหมจรรย์ ละเว้นการเบียดเบียนสรรพสัตว์ ประพฤติสม่ำเสมอ ควรเรียกบุคคลเช่นนั้นว่า พราหมณ์ สมณะ หรือภิกษุ(๓-) ก็ได้


เชิงอรรถ :-
(๒-) สงบ หมายถึง สงบจากกิเลสมีราคะ เป็นต้น
       ฝึกตนได้ หมายถึง ควบคุมอินทรีย์ทั้ง ๖ ได้
       เป็นผู้แน่นอน หมายถึง เป็นผู้แน่นอนในโลกุตตรมรรคทั้ง ๔ (ขุ.ธ.อ. ๕/๗๕)
(๓-) คำว่า “พราหมณ์ สมณะ ภิกษุ” ตามหลักการพุทธศาสนามีความหมายดังนี้
       พราหมณ์ หมายถึง ผู้ลอยบาปได้
       สมณะ หมายถึง ผู้สงบระงับบาปได้
       ภิกษุ หมายถึง ผู้ทำลายกิเลสได้ (ขุ.ธ.อ. ๕/๗๕)



ที่มา : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต
https://84000.org/tipitaka/attha/m_siri.php?B=25&siri=19


 :25: :25: :25:

|๒๐.๑๔๒|   อลงฺกโต เจปิ สมํ จเรยฺย
                 สนฺโต ทนฺโต นิยโต พฺรหฺมจารี
                 สพฺเพสุ ภูเตสุ นิธาย ทณฺฑํ
                 โส พฺราหฺมโณ โส สมโณ ส ภิกฺขุ ฯ



ที่มา : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ สุตฺต. ขุ. ขุทฺทกปาฐ-ธมฺมปทคาถา-อุทานํ-อิติวุตฺตก-สุตฺตนิปาตา
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali_item_s.php?book=25&item=20&items=1



ขอบคุณภาพจาก pinterest


การปรินิพพานของสันตติมหาอำมาตย์ 
       
สันตติมหาอำมาตย์นั้น ครั้นทูลบุรพกรรมของตนอย่างนั้นแล้ว นั่งบนอากาศเทียว เข้าเตโชธาตุ ปรินิพพานแล้ว. เปลวไฟเกิดขึ้นในสรีระไหม้เนื้อและโลหิตแล้ว. ธาตุทั้งหลายดุจดอกมะลิเหลืออยู่แล้ว.
         
พระศาสดาทรงคลี่ผ้าขาว ธาตุทั้งหลายก็ตกลงบนผ้าขาวนั้น.
         
พระศาสดาทรงบรรจุธาตุเหล่านั้นแล้ว รับสั่งให้สร้างสถูปไว้ที่ทางใหญ่ ๔ แพร่ง

ด้วยทรงประสงค์ว่า "มหาชนไหว้แล้ว จักเป็นผู้มีส่วนแห่งบุญ."


@@@@@@@

สันตติมหาอำมาตย์ ควรเรียกว่า สมณะหรือพราหมณ์     
       
พวกภิกษุสนทนากันในโรงธรรมว่า
    "ผู้มีอายุ สันตติมหาอำมาตย์บรรลุพระอรหัตในเวลาจบพระคาถาๆ เดียว ยังประดับประดาอยู่นั่นแหละ นั่งบนอากาศปรินิพพานแล้ว, การเรียกเธอว่า ‘สมณะ’ ควรหรือหนอแล.? หรือเรียกเธอว่า ‘พราหมณ์’ จึงจะควร."

พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า
    "ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมกันด้วยกถาอะไรหนอ.?

เมื่อภิกษุทั้งหลายทูลว่า "พวกข้าพระองค์นั่งประชุมกันด้วยกถาชื่อนี้"

จึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย การเรียกบุตรของเรา แม้ว่า ‘สมณะ’ ก็ควร, เรียกว่า ‘พราหมณ์’ ก็ควรเหมือนกัน" ดังนี้


@@@@@@@

เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า

    ๙. อลงฺกโต เจปิ สมํ จเรยฺย            
        สนฺโต ทนฺโต นิยโต พฺรหฺมจารี
        สพฺเพสุ ภูเตสุ นิธาย ทณฺฑํ
        โส พฺราหฺมโณ โส สมโณ ส ภิกฺขุ.
                  
        แม้ถ้าบุคคลประดับแล้ว พึงประพฤติสม่ำเสมอ
        เป็นผู้สงบ ฝึกแล้ว เที่ยงธรรม มีปกติประพฤติประเสริฐ
        วางเสียซึ่งอาชญาในสัตว์ทุกจำพวก,
        บุคคลนั้น เป็นพราหมณ์ เป็นสมณะ เป็นภิกษุ.



ที่มา : อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ทัณฑวรรคที่ ๑๐ , ๙. เรื่องสันตติมหาอำมาตย์ [๑๑๕]   
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25.0&i=20&p=9


 :25: :25: :25:

เอวํ โส อตฺตโน ปุพฺพกมฺมํ กเถตฺวา อากาเส นิสินฺโนว เตโชธาตุํ สมาปชฺชิตฺวา ปรินิพฺพายิ. สรีเร ชาลา อุฏฺฐหิตฺวา มํสโลหิตํ ฌาเปสิ. สุมนปุปฺผานิ วิย ธาตุโย อวสิสึสุ.

สตฺถา สุทฺธวตฺถํ ปสาเรสิ. ธาตุโย ตตฺถ ปตึสุ.

ตา ปกฺขิปิตฺวา จาตุมฺมหาปเถ ถูปํ กาเรสิ

"มหาชโน วนฺทิตฺวา ปุญฺญภาคี ภวิสฺสตีติ.
     
ภิกฺขู ธมฺมสภายํ กถํ สมุฏฺฐาเปสุํ "อาวุโส สนฺตติมหามตฺโต เอกคาถาวสาเน อรหตฺตํ ปตฺวา อลงฺกตปฏิยตฺโตว อากาเส นิสีทิตฺวา ปรินิพฺพุโต : กินฺนุ โข เอตํ `สมโณติ วตฺตุํ วฏฺฏติ อุทาหุ `พฺราหฺมโณติ.

สตฺถา อาคนฺตฺวา "กาย นุตฺถ ภิกฺขเว เอตรหิกถาย สนฺนิสินฺนาติ ปุจฺฉิตฺวา,

`อิมาย นามาติ วุตฺเต,

    "ภิกฺขเว มม ปุตฺตํ `สมโณติปิ วตฺตุํ วฏฺฏติ, `พฺราหฺมโณติปิ วตฺตุํ วฏฺฏติเยวาติ วตฺวา อนุสนฺธึ ฆเฏตฺวา ธมฺมํ เทเสนฺโต อิมํ คาถมาห

     "อลงฺกโต เจปิ สมญฺจเรยฺย
      สนฺโต ทนฺโต นิยโต พฺรหฺมจารี
      สพฺเพสุ ภูเตสุ นิธาย ทณฺฑํ,
      โส พฺราหฺมโณ โส สมโณ ส ภิกฺขูติ.



ที่มา : อรรถกถาเล่มที่ ๒๒ ภาษาบาลีอักษรไทย ธ.อ.๕ ปาป-ชราวคฺค
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=22&A=882
17  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แม้เก่ง..จงอย่ากร่าง | แม้ด้อย..จงอย่าต่ำต้อยในหัวใจ เมื่อ: สิงหาคม 14, 2025, 07:37:51 am
.



ชวนอ่าน ปรัชญา & คำคม

"ความสนิท" ไม่ใช่ใบอนุญาตในการ "ไม่เกรงใจกัน"

ถ้าคนหนึ่งให้ความสนิท ไม่ได้หมายความว่า เราจะมีสิทธิ์ลามปาม

ถ้าคนหนึ่งอ่อนน้อมให้ ไม่ได้หมายความว่า เราจะมีสิทธิ์เหยียบย่ำ

ถ้าคนหนึ่งให้ความเป็นกันเอง ไม่ได้หมายความว่า เราจะพูดอะไรก็ได้ โดยไม่เกรงใจ

ถ้าคนหนึ่งยิ้มให้เรา ไม่ได้หมายความว่า เราจะหัวเราะเยาะใส่เขาได้

การที่คนๆ หนึ่งไว้วางใจเรา อย่า.!! ตีความว่า เราจะทำยังไงกับเขาก็ได้ คนทุกคนมีศักดิ์ศรีของตัวเอง ไม่มีใครจะยอมใครตลอดไป


@@@@@@@

สรุปแบบเข้าใจง่าย ก็คือ “ถ้าเราชอบให้ใครปฏิบัติกับเราอย่างไร จงปฏิบัติกับเขาอย่างนั้น ถ้าเราไม่ชอบให้ใครปฏิบัติกับเราอย่างไร ก็จงอย่าปฏิบัติกับเขาอย่างนั้นเช่นกัน”

โบราณจีนกล่าวไว้ว่า “ชนะอย่าจองหอง ล้มเหลวอย่าห่อเหี่ยว” เป็นคำเตือนที่คนรุ่นก่อนฝากไว้ให้คิด

คำกล่าวนี้ บอกแก่คนรุ่นหลังว่า “อย่าเป็นเพราะความสำเร็จเพียงเล็กน้อย ก็เย่อหยิ่งจองหองจนมองไม่เห็นหัวใครๆ และอย่าเป็นเพราะล้มเหลวเพียงครั้งคราว ก็ดับไฟทั้งโลกให้มืดมิด”

แม้เก่ง..จงอย่ากร่าง แม้ด้อย..จงอย่าต่ำต้อยในหัวใจ เพราะผู้อยู่ในระดับสูงอาจมีปัญญาในระดับล่าง ส่วนผู้อยู่ในระดับล่างอาจมีปัญญาระดับสูงก็เป็นได้

สวนดอกไม้สวยงามเพราะหลากพฤกษา ใช่งามเพราะดอกเพียงชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้น

คนเราก็เช่นกัน หากคุณเก่ง..จงช่วยพยุงอย่าเหยียบย่ำ หากคุณด้อย..จงคอยหนุนอย่าขวางลำ พึงเกื้อกูล พึงค้ำจุน พึงหนุนนำ





ขอขอบคุณ :-
ที่มา : นุสนธิ์บุคส์ | ปรัชญา & คำคม
Facebook : Juree Sakuna · 5 วัน 
URL : https://www.facebook.com/photo/?fbid=773243905157801&set=g.5423870661002983


 :25: :25: :25:




เผยแผ่บารมี หลวงพ่ออลงกต ติกฺขปญฺโญ

     "คนเลวคนหนึ่งวันนี้ ถ้าพรุ่งนี้ทำดี เขาก็เปลี่ยนเป็นคนดีได้
      ขณะเดียวกัน คนดีในวันนี้ พรุ่งนี้มันก็เลวได้ ถ้าพรุ่งนี้ทำดี เขาก็เปลี่ยนเป็นคนดีได้"


พระราชวิสุทธิประชานาถ (อลงกต ติกฺขปญฺโญ)
      เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี

ขออนุญาติเจ้าของภาพด้วยนะครับ




ขอบคุณที่มา :-
Facebook : บันทึกคติธรรม · 30 มีนาคม
https://www.facebook.com/thedharmalegacy/posts/เผยแผ่บารมี-หลวงพ่ออลงกต-ติกฺขปญฺโญคนเลวคนหนึ่ง-วันนี้ถ้าพรุ่งนี้-ทำดี-เขาก็เปลี/1190055289786217/
18  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อ.ดร.ตฤณห์ เปิด 5 เหตุผล ทำไมคนถึงชอบเผือก จนติดงอมแงม.! เมื่อ: สิงหาคม 13, 2025, 09:40:38 am
.



อ.ดร.ตฤณห์ เปิด 5 เหตุผล ทำไมคนถึงชอบเผือก จนติดงอมแงม.!

ในรายการ "คนดังนั่งเคลียร์" อ.ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา นักอาชญาวิทยาจิตวิทยาพฤติกรรมจากมหาวิทยาลัยมหิดล ได้เปิดเผยสาเหตุหลักของพฤติกรรม "เผือก" หรือการเสือกเรื่องคนอื่นออกเป็น 5 ข้อ

ข้อแรก คือ กลุ่มที่เสือกแบบบริสุทธิ์ใจ คือเกิดมาอยากรู้เรื่องคนอื่นจริง ๆ พอได้ข้อมูลมาก็รู้สึกฟิน และสบายใจ พวกนี้ไม่มีเจตนาแย่แต่เสือกเพื่อเติมเต็มตัวเอง

ข้อที่สอง คือ เสือกแบบวิทยาศาสตร์ ที่เน้นเก็บข้อมูลแบบละเอียด แต่บางคนเสือกจนกลายเป็น "ซาดิสต์" ใช้ข้อมูลที่ได้ไปทำร้ายผู้อื่น ซึ่งถือเป็นสภาวะทางจิต

ข้อที่สาม คือ กลัวตกเทรนด์ กลัวตกข่าว จึงต้องเสือกเพื่อไม่ให้ตามข่าวไม่ทัน

ข้อที่สี่ คือ ชีวิตตัวเองไม่มีอะไรน่าสนใจ เลยต้องหันไปสนใจเรื่องของคนอื่น

และข้อสุดท้าย คือ การนำข้อมูลที่เสือกมาได้มาใช้เป็นอำนาจต่อรอง เพื่อให้ตัวเองมีบทบาทในสังคมหรือไม่ถูกมองข้าม

ทั้งหมดนี้คือจิตวิทยาเบื้องหลังพฤติกรรมเสือก ที่ อ.ดร.ตฤณห์ ได้ชี้ให้เห็นในรายการอย่างตรงไปตรงมาและน่าสนใจ





ขอบคุณ : https://variety.teenee.com/foodforbrain/81403.html
เครดิต : ที่นี่ดอทคอม ทันทุกเรื่องฮิต <https://www.teenee.com/>
19  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มนุษย์กะพี้ คือ บุคคลประเภทไหน.? เมื่อ: สิงหาคม 10, 2025, 09:37:14 am
.



#มนุษย์กะพี้ คือ บุคคลประเภทไหน.? | ความที่ปัญญาไม่มีในผู้ใด ไม่ควรเข้าใกล้ผู้นั้น ซึ่งเป็นมนุษย์กะพี้



 :25: :25: :25:

"มนุสฺสเผคฺคุํ นาสิเท ยสฺมิ ํ นตฺถิ กตญฺญุตา
ความที่ปัญญาไม่มีในผู้ใด ไม่ควรเข้าใกล้ผู้นั้น ซึ่งเป็นมนุษย์กะพี้"
พุทธสุภาษิต/ทุกนิบาตชาดก/

๏ พุทธสุภาษิต : มนุสฺสเผคฺคุํ นาสิเท ยสฺมิ ํ นตฺถิ กตญฺญุตา
   คำอ่าน : มะ-นุด-สะ-เผ็ก-คุง นา-สิ-เท ยัด-สะ-มิง นัด-ถิ กะ-ตัน-ยุ-ตา
   คำแปล : ไม่ควรเข้าใกล้คนใดที่ไม่มีความกตัญญู เพราะเขาเป็นมนุษย์กะพี้

@@@@@@@

อธิบายความหมาย

พุทธสุภาษิตบทนี้สอนให้เราพึงระมัดระวังในการเลือกคบคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบุคคลที่ขาดคุณธรรมพื้นฐานที่สำคัญอย่าง "ความกตัญญู"

"มนุสฺสเผคฺคุํ" แปลว่า "มนุษย์กะพี้" คำว่า "กะพี้" ในที่นี้หมายถึงส่วนที่ไร้แก่นสาร ไร้ประโยชน์ ไม่ใช่เนื้อแท้ มักใช้เปรียบกับไม้ที่ผุพัง หรือส่วนที่อ่อนแอของต้นไม้ที่ไม่มีคุณค่า เมื่อนำมาใช้กับมนุษย์ จึงหมายถึงคนที่ไม่มีคุณค่าทางจิตใจ ไม่มีแก่นสารแห่งความดีงาม เปรียบเหมือนต้นไม้ที่ดูภายนอกอาจจะใหญ่โต แต่เนื้อในกลับกลวงโบ๋ ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้

"ยสฺมิ ํ นตฺถิ กตญฺญุตา" แปลว่า "ผู้ใดไม่มีความกตัญญู" เป็นการระบุลักษณะสำคัญของ "มนุษย์กะพี้" นั่นคือ ขาดซึ่งความกตัญญู ความกตัญญูคือคุณธรรมที่สำคัญยิ่งในพระพุทธศาสนา หมายถึง ความรู้คุณ หรือ ความสำนึกในบุญคุณ ที่ผู้อื่นได้ทำไว้ให้ ไม่ว่าจะเป็นบุญคุณจากบิดามารดา ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ หรือแม้กระทั่งสังคมและประเทศชาติ คนที่ไม่มีความกตัญญูคือคนที่ไม่เห็นคุณค่าของความดีที่ผู้อื่นมอบให้ มักจะไม่ตอบแทนคุณ หรือเลวร้ายกว่านั้นคืออาจเนรคุณ หรือคิดร้ายต่อผู้มีพระคุณได้

"นาสิเท" แปลว่า "ไม่ควรเข้าใกล้" หรือ "ไม่ควรคบหา" นี่คือ คำแนะนำที่ตรงไปตรงมาว่า เราควรหลีกเลี่ยงการสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับคนประเภทนี้ เพราะอะไร.?

ไม่น่าเชื่อถือ : คนที่ไม่มีความกตัญญูย่อมเป็นคนที่ไม่น่าไว้วางใจ เพราะหากแม้แต่บุญคุณที่ได้รับเขายังไม่เห็นคุณค่า แล้วจะคาดหวังความซื่อสัตย์หรือความดีจากเขาได้อย่างไร

เห็นแก่ตัว : คนที่ขาดความกตัญญูมักจะเป็นคนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเป็นหลัก ไม่คำนึงถึงผู้อื่น แม้กระทั่งผู้ที่เคยช่วยเหลือตน

อาจนำภัยมาให้ : การคบคนเช่นนี้อาจนำความเดือดร้อนมาสู่ตนเองได้ เพราะเขาอาจหักหลัง ทรยศ หรือทำร้ายเราได้เมื่อถึงคราวจำเป็นหรือเมื่อมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง

@@@@@@@

สรุป

พุทธสุภาษิตบทนี้สอนให้เรา เลือกคบคนอย่างมีสติและปัญญา โดยให้ความสำคัญกับคุณธรรมภายในจิตใจของบุคคลนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความกตัญญู

คนที่ขาดความกตัญญูถูกเปรียบว่าเป็น "มนุษย์กะพี้" ซึ่งหมายถึงคนที่ไร้แก่นสาร ไร้คุณค่าทางจิตใจ เพราะคุณธรรมข้อนี้เป็นรากฐานสำคัญของการเป็นคนดี การมีน้ำใจ และการตอบแทนสังคม การคบหาหรือเข้าใกล้คนเช่นนี้อาจนำมาซึ่งความเสียหาย ความผิดหวัง และความเดือดร้อนได้ในภายหลัง

ดังนั้น สุภาษิตนี้จึงเป็นการเตือนให้เราหลีกเลี่ยงการเข้าไปผูกสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนที่ไม่รู้จักบุญคุณ เพื่อป้องกันตนเองจากปัญหาและภัยอันอาจเกิดขึ้นจากการคบคนผิดนั่นเอง






ที่มา :-

ขอบคุณ : https://www.dhammathai.org/suphasit/dbview.php?No=163
20  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / บุคคล 14 จริต เป็นเช่นไร.? เมื่อ: สิงหาคม 10, 2025, 09:25:13 am
.



บุคคล 14 จริต เป็นเช่นไร.?

คำว่า จริยา หมายถึง ลักษณะอันเป็นพื้นฐานของจิต หรือนิสัยอันเป็นพื้นเพของบุคคลแต่ละคน
คำว่า จริต ใช้เรียกบุคคลที่มีจริยาอย่างนั้นๆ เช่น คนมีโทสจริยา เรียกว่า โทสจริต

จริตนั้นแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 6 ประเภท หรือ 6 จริต คือ

     @@@@@@@

     ๑. ราคจริต คือ ผู้มีปกตินิสัยหนักไปทางราคะ รักสวยรักงาม ละมุนละไม ชอบสิ่งที่สวยๆ เสียงเพราะๆ กลิ่นหอมๆ รสอร่อยๆ สัมผัสที่นุ่มละมุน และจิตใจจะยึดเกาะกับสิ่งเหล่านั้นได้เป็นเวลานานๆ

     ๒. โทสจริต คือ ผู้มีปกตินิสัยหนักไปทางโทสะ ใจร้อน วู่วาม หงุดหงิดง่าย อารมณ์รุนแรง โผงผาง เจ้าอารมณ์

     ๓. โมหจริต คือ ผู้มีปกตินิสัยหนักไปทางโมหะ เขลา เซื่องซึม เชื่อคนง่าย งมงาย ขาดเหตุผล มองอะไรไม่ทะลุปรุโปร่ง

     ๔. วิตักกจริต หรือ วิตกจริต คือ ผู้มีปกตินิสัยหนักไปทางฟุ้งซ่าน คิดเรื่องนี้ทีเรื่องนั้นที เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไม่สามารถยึดเกาะกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้นานๆ ; วิตก แปลว่า การยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ หรือการเพ่งจิตสู่ความคิดในเรื่องต่างๆ ไม่ได้หมายถึงความกังวลใจ วิตกจริตจึงหมายถึง ผู้ที่เดี๋ยวยกจิตสู่เรื่องโน้น เดื๋ยวยกจิตสู่เรื่องนี้ ไม่ตั้งมั่น ไม่มั่นคงนั่นเอง

     ๕. ศรัทธาจริต หรือ สัทธาจริต คือ ผู้มีปกตินิสัยหนักไปทางศรัทธา น้อมใจเชื่อ เลื่อมใสได้ง่าย ซึ่งถ้าเลื่อมใสในสิ่งที่ถูกก็ย่อมเป็นคุณ แต่ถ้าไปเลื่อมใสในสิ่งที่ผิดก็ย่อมเป็นโทษต่างจากโมหจริตตรงที่โมหจริตนั้นเชื่อแบบเซื่องซึม ส่วนศรัทธาจริตนั้นเชื่อด้วยความเลื่อมใส เบิกบานใจ

     ๖. ญาณจริต หรือ พุทธิจริต คือ ผู้มีปกตินิสัยหนักไปทางชอบคิด พิจารณาด้วยเหตุผลอย่างลึกซึ้ง ชอบใช้ปัญญาพิจารณาตามความเป็นจริง ไม่เชื่ออะไรโดยไม่มีเหตุผล


    @@@@@@@

โดยความเป็นจริงแล้ว คนเรามักมีจริตมากกว่า 1 อย่างผสมกัน เช่น
     - ราคโทสจริต
     - ราคโมหจริต
     - โทสโมหจริต
     - ราคโทสโมหจริต
     - สัทธาพุทธิจริต
     - สัทธาวิตกจริต
     - พุทธิวิตกจริต
     - สัทธาพุทธิวิตกจริต เป็นต้น
เมื่อรวมกับจริตหลัก 6 ชนิด จึงได้เป็นบุคคล 14 ประเภท หรือ 14 จริต

ซึ่งบุคคลแต่ละจริตก็เหมาะที่จะทำกรรมฐานแต่ละชนิดแตกต่างกันออกไป




ขอขอบคุณ :-
ภาพจาก : pinterest
ข้อธรรม : https://www.dhammathai.org/treatment/concentration/concentrate06.php
21  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วัดไม่ได้อยู่ที่สิ่งปลูกสร้าง วัดอยู่ที่ดวงใจคน : หลวงปู่ฝั้น อาจาโร เมื่อ: สิงหาคม 10, 2025, 08:29:59 am
.



วัดไม่ได้อยู่ที่สิ่งปลูกสร้าง วัดอยู่ที่ดวงใจคน : หลวงปู่ฝั้น อาจาโร

ศาสนาคืออะไร ศาสนาคือคำสั่งสอน ท่านสอนอะไร ก็สอนกายสอนวาจาสอนใจของคน ท่านไม่ได้สอนอื่น สอนเพื่ออะไร กายวาจาใจของคน ท่านให้ละความชั่วทางกายทางวาจาทางใจ ความชั่วไม่ได้อยู่ที่อื่น อยู่ที่กายที่วาจาที่ใจของคน ท่านสอนให้ละความชั่วเพราะกลัวเราทุกข์กลัวเรายาก กลัวเราลำบากรำคาญ กลัวเราอดเราจน ตกทุกข์ได้ยาก ท่านสอนอย่างนี้ก็ดูเอาซี

เชื่อหรือไม่เชื่อ ว่าทุกข์ยาก อะไรทุกข์ล่ะ หรือข้าวของเงินทองทุกข์ยาก หรือฟ้าอากาศทุกข์ยาก การงานทุกข์ยาก ไม่มี มีแต่หัวใจคนมันทุกข์ยาก หัวใจคนวุ่นวายเดือดร้อน นี่แหละให้ดูเอา นี่แหละบาป นี่แหละนรก เมื่อจิตใจเป็นอย่างนี้แล้ว เวลาเราดับขันธ์ จิตนั้นก็นำเราไปทุคติ เวลานี้มันก็ทุกข์อยู่แล้ว

@@@@@@@

บางคนมาคำนึงดู อดีตมันเป็นมายังไง ปัจจุบันเป็นยังไง อนาคตข้างหน้าจะเป็นยังไง ดูซิอนาคตข้างหน้าท่านไม่ให้คำนึงคิดถึง อดีตล่วงมาแล้วท่านไม่ให้คำนึงคิดถึง

"ปัจจุปันนัญจะโยธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสติ"

ท่านให้ดูในปัจจุบันนิ่งอยู่นี้ เวลานี้จิตของเราเป็นยังไง จิตเรามันสุข หรือมันทุกข์มันยากวุ่นวายเดือดร้อน ถ้าจิตเป็นอย่างนี้แล้ว อนาคตก็ร้อนอย่างนี้ อนาคตก็ทุกข์อย่างนี้

พิจารณาดูซิ ถ้าจิตเราสงบ จิตเราดี มีความสุขความสบาย เย็นอกเย็นใจ ไม่ทุกข์ไม่ร้อนไม่วุ่นวาย พุทโธ ใจเราเบิกบาน พุทโธ ใจเราสว่างไสว พุทโธ ใจเราผ่องใส สะอาดปราศจากทุกข์ ปราศจากโทษ ปราศจากภัย ปราศจากเวร ปราศจากความชั่วช้าลามก ปราศจากความทุกข์ความจน เมื่อจิตเราเป็นอย่างนั้น

นี่แหล ะนำความสุขความเจริญให้ในปัจจุบันและเบื้องหน้า


@@@@@@@

จึงว่าให้นั่งดู ให้ฟังธรรม ฟังดูซิ ธรรมมันเกิดที่ไหนเล่า ความสุขทุกข์ อะไรเป็นสุข อะไรเป็นทุกข์ ให้ฟังดู เราอยากดี อะไรมันดี ความดีคืออย่างอธิบายให้ฟัง ความดีมันยังงี้ คือใจเราดีใจเราสงบ ไม่ทะเยอทะยานดิ้นรน ไม่กระวนกระวายเดือดร้อน ไม่ฟุ้งซ่านรำคาญ ไม่หงุดหงิด ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน ใจเราดีสงบนิ่ง มันว่างหมด อารมณ์ทั้งหลายว่างหมดไม่มีอะไร ใจสงบมีความสุขความสบาย อันนี้แหละนำความสุขความเจริญมาให้ในปัจจุบันและเบื้องหน้า ดูเอาซี

เราทั้งหลายมานี้ก็ต้องการความสุขความสบาย มาวัด ไม่ใช่ศาลาเป็นวัด ไม่ใช่กุฏิโบสถ์วิหารเป็นวัด วัดอยู่ที่ดวงใจคน ศาลาก็คนทำ โบสถ์ก็คนทำ คนทำทั้งหมด เมื่อใจคนดี สิ่งเหล่านั้นมันก็ดี เมื่อใจคนไม่ดี สิ่งเหล่านั้นมันก็ไม่ดี


 



ขอขอบคุณ :-
ที่มา : พระธรรมเทศนา ณ วัดป่าอุดมสมพร จังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๑๘
คัดมาจาก : หนังสือ ๑๐๘ ปี หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
Image by Devanath from Pixabay | Secret Magazine (Thailand)
website : https://cheewajit.com/mind/203845.html
22  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "คนไปสวรรค์เท่ากับเขาวัว คนไปนรกเท่าขนวัว" (หลวงปู่ขาว อนาลโย) เมื่อ: สิงหาคม 09, 2025, 07:55:37 am
.



"คนไปสวรรค์เท่ากับเขาวัว คนไปนรกเท่าขนวัว" (หลวงปู่ขาว อนาลโย)

"คนไปสวรรค์เท่ากับเขาวัว คนไปนรกเท่าขนวัว"

"กระทำจิตของตนให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว" อันนี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้มีสติรักษากาย วาจา ใจ ศีลห้าถ้าใครละเมิดก็เป็นบาป ครั้นละเว้น โทษห้าอย่างนี้ นั่นแหละเป็นศีล "ศีลคือใจ บาปก็ศีอใจ ศีลอยู่ในใจ บาปก็อยู่ที่ใจเหมือนกันนั่นแหละ"

เรื่องทำบุญกุศลให้ทานรักษาศีล "ภาวนาอยู่แต่ใจทั้งนั้น อะไรม๊ดอยู่กับใจ สงสัยก็พิจารณาดวงใจ" ทำบาปห้าอย่างนี้แล้วศีลไม่มี เป็นคนไม่มีศีล คนมันชอบท่าแต่บาป ศีลไม่ชอบทำ อยากท่าแต่บาป

ท่านเปรียบไว้ว่า
    "คนไปสวรรค์เท่ากับ เขาวัว คนไปนรกเท่าขนวัว"
     วัวมีสองเขา แต่ขนมันนับไม่ถ้วน

                            "โอวาทธรรม ๒๒ ปีวันละสังขาร"
                                  (หลวงปู่ขาว อนาลโย)




ขอบคุณ : https://www.dhammathai.org/monktalk/dbview.php?No=3311
โดย วิริยะ12
23  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “สมาธิแก้ได้ทุกปัญหา” ธรรมะจาก พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย) เมื่อ: สิงหาคม 09, 2025, 07:48:19 am
.



“สมาธิแก้ได้ทุกปัญหา” ธรรมะจาก พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)

เมื่อสติมีพลังแก่กล้าขึ้น มีสัมปชัญญะ ความรู้พร้อมมันก็กลายเป็นปัญญา…

ตัวอย่างเช่น ท่านอาจอง (ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา) ไปเรียนวิศวะระดับปริญญาเอก เขาให้วิจัยงานชนิดหนึ่ง ให้ทุนมา 30 ล้านต่อนักศึกษา 20 คน ใช้เงินเขาหมดไป 20 ล้าน มันยังไม่สำเร็จ ท่านอาจองก็ขึ้นไปบนภูเขา ไปนั่งสมาธิ พอนั่งสมาธิไปก็ได้นิมิตเห็นเครื่องมือที่จะสร้าง พอสร้างเสร็จแล้วไปติดเข้ากับจรวดจะไปลงดวงจันทร์ พอติดเครื่องเข้ามันระเบิด ใช้ไม่ได้ หนีไปอีก

ทีนี้ก็ไปได้นิมิตขึ้นมา ทีนี้มีบทเรียนแล้วก็พิจารณาดูให้มันรอบคอบ เขียนแผนผังเอาไว้เรียบร้อย พอกลับลงมาก็สร้าง พอสร้างเสร็จ ไปติดเครื่องเข้า เปิดเครื่องเอาไว้ตลอด 24 ชั่วโมงมันก็ไม่ระเบิด พอเสร็จแล้ว เขาก็รับรองว่าใช้ได้ เขาสั่งให้สร้างให้เขา 5 อัน แต่ละอันราคาเป็นล้าน พอสร้างเสร็จแล้วเขาก็เขียนใบประกาศวุฒิให้เลย คุณเรียนจบแล้ว กลับบ้านได้ นี่! ตัวอย่างนักศึกษาที่ใช้สมาธิเพื่อประโยชน์แก่การศึกษา

เมื่อรวมลงแล้ว เรื่องสมาธิเพื่อประโยชน์ชีวิตประจำวันนั่นแหละ ถ้าเราแก้ปัญหาอะไรไม่ตก พอนอนลง ตั้งปัญหาถามตัวเองไว้ว่าปัญหานี้จะแก้อย่างไร แล้วก็หยุดไว้เพียงแค่นั้น กำหนดสติรู้จิตอยู่ตลอดเวลา ถ้าจิตคิดอะไร ปล่อยให้คิดไป จนกระทั่งนอนหลับ พอนอนหลับไปแล้วจิตมันจะสว่าง ปัญหาที่ข้องใจมันจะได้คำตอบออกมา


 


Thank to :-
website : https://cheewajit.com/mind/206226.html
June 06, 2020 | by cheewajitmedia   
ที่มา : หนังสือ ฐานิยปูชา 2552
รวบรวมอยู่ในหนังสือ “ธรรมะจาก พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)”
สำนักพิมพ์อมรินทร์ธรรมะ (https://www.naiin.com/product/detail/15618)
Photo by AGL Fotos on Unsplash | Secret Magazine (Thailand)
24  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “ลาภสักการะย่อมฆ่าคนโง่” ธรรมะจากพระครูสุทธิธรรมรังษี (หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท) เมื่อ: สิงหาคม 09, 2025, 07:35:01 am
.



“ลาภสักการะย่อมฆ่าคนโง่” ธรรมะจากพระครูสุทธิธรรมรังษี (หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท)

ชีวิตพระป่า ถ้าทำให้พะรุงพะรังนัก มันหนักตนเอง “มันถ่วงหัว ทุบหาง” ท่านพระอาจารย์มั่นท่านว่าอย่างนี้ หนักปัจจัยสี่ ไปที่ไหนรกรุงรัง ท่านพระอาจารย์มั่นท่านสอนอย่างนี้เสมอ ลาภสักการะย่อมฆ่าคนโง่ที่หลงงมงายได้ว่าตัวได้ดีกว่าคนอื่นเขา อันนี้เราจำเอาจนขึ้นใจ

ท่านสอนว่า ถ่วงหัว ทุบหาง เหมือนกับเวลาเขาดักสัตว์ในป่า เขาเอาก้อนหินเทินกันไว้แบบหมิ่นเหม่ เอาไม้ค้ำไว้ ใส่เหยื่อเข้าไปวางไว้ กระรอก กระแต ลิงค่าง อะไรพวกนี้ เห็นอาหารนั้นก็รีบวิ่งปรี่เข้าไปเอาเหยื่อด้วยความอยาก เมื่อเข้าไปกินเหยื่อจะวิ่งชนไม้ที่ค้ำก้อนหินที่วางดักนั้น ก้อนหินนั้นก็จะหล่นลงมาทุบหัวตาย ในที่สุดสัตว์เหล่านั้นก็เป็นอาหารของมนุษย์ผู้ซึ่งฉลาดกว่า ภาษาทางภาคอีสานเขาเรียกว่า “ดักอีทุบ” สัตว์ตัวไหนหลงเข้าไปในกลลวงที่เขาหลอก ก็มีแต่ตายอย่างทรมานเท่านั้น

สมณะที่ออกเจริญสมณธรรมตามป่าตามเขาก็เช่นเดียวกัน ไปเจอเสียงเยินยอสรรเสริญว่าขลังอย่างนั้น ดีอย่างนี้ มีลาภสักการะ มีคนนับถือมากเข้า แล้วลืมตน ลืมพระธรรมคำสอนของครูบาอาจารย์ จิตใจไพล่ไปยินดีในปัจจัยสี่เหล่านั้น ก็จะถูกสิ่งเหล่านั้นทับหัวใจทุบหัวใจให้กลายเป็นผู้ไร้ศีลธรรม ไร้ยางอาย พิจารณาอะไร นั่งภาวนาอย่างไรก็ยกจิตไม่ขึ้น

 


ขอขอบคุณ :-
website : https://cheewajit.com/healthy-mind/206973.html   
June 15, 2020 | by cheewajitmedia | Photo by pinterest
ที่มา : หนังสือ ประวัติพระครูสุทธิธรรมรังษี (หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท) พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง
หนังสือ “ธรรมะจากพระครูสุทธิธรรมรังษี (หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท)”
สำนักพิมพ์อมรินทร์ธรรมะ (https://www.naiin.com/product/detail/15621)
25  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “ไขปริศนากลุ่มปราสาทตาเมือน” ร่องรอยแห่งศรัทธาบนเส้นทางความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา เมื่อ: สิงหาคม 08, 2025, 09:18:47 am
.

ปราสาทตาเมือนธม (ภาพจาก มติชนออนไลน์, 2 กรกฎาคม 2568)


“ไขปริศนากลุ่มปราสาทตาเมือน” ร่องรอยแห่งศรัทธาบนเส้นทางความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา

กลุ่มปราสาทตาเมือนเป็นโบราณสถานที่อยู่บนหน้าสื่อและเป็นที่กล่าวถึงอย่างมาก ตั้งแต่ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาปะทุขึ้น เนื่องจากตั้งอยู่บริเวณช่องเขาตาเมือน (ตาเมียง) จุดเชื่อมต่อระหว่างดินแดนเขมรสูงกับเขมรต่ำ ซึ่งมีแนวเทือกเขาพนมดงรักเป็นปราการธรรมชาติ ปราสาทกลุ่มนี้จึงตั้งอยู่บนเส้นทางคมนาคมสำคัญแต่โบราณ โดยมีบทบาทหน้าที่ของตนเองอย่างชัดเจน

เรื่องนี้มีการอธิบายไว้ในรายการ ไขความรู้จากครูกรมศิลป์ ตอน “ไขปริศนากลุ่มปราสาทตาเมือน” มี นายทศพร ศรีสมาน ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา เป็นวิทยาการ ดำเนินรายการโดย นายสิทธิพร บุปผา นักวิชาการเผยแพร่ กลุ่มเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ กรมศิลปากร เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2568



ปราสาทตาเมือนธม (ภาพจาก กรมศิลปากร)


รู้จักกลุ่มปราสาทตาเมือน

ผอ. ทศพร เผยว่า กลุ่มปราสาทตาเมือน เป็นกลุ่มปราสาทใกล้แนวชายแดนไทย-กัมพูชา อยู่ที่บ้านหนองคันนา ต. ตาเมียง อ. พนมดงรัก จ. สุรินทร์ มีอยู่ด้วยกัน 3 หลัง ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือน

ในกลุ่มปราสาทดังกล่าว ปราสาทตาเมือนธม มีขนาดใหญ่ที่สุด (ธม แปลว่า ใหญ่) เป็นศิลปะเขมรโบราณ เป็นเทวสถานที่สร้างถวายองค์พระศิวะ ในศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกาย บนเส้นทางโบราณของคนในอดีต เชื่อว่าใช้ช่องตาเมือนเพื่อการสัญจรมาแล้วหลายร้อยปี หรือเป็นพันปี

กรมศิลปากรเข้าไปศึกษาและสำรวจปราสาทตาเมือนธมและประกาศขึ้นทะเบียนตั้งแต่ พ.ศ. 2478 หลังจากช่วง พ.ศ. 2503-2504 อาจารย์มานิต วัลลิโภดม ได้ไปสำรวจพร้อมบันทึกภาพ-จัดทำแผนผังต่าง ๆ ไว้ เป็นการดำเนินการในช่วงแรก

หลักฐานโบราณคดีบริเวณปราสาทตาเมือนธมคือ ร่องรอยจารึกด้วยอักษรปัลลวะ เรียกว่า “จารึกตาเมือนธม 1” มีอายุระหว่างพุทธศตวรรษ 12-13 สลักอยู่บนแผ่นหินธรรมชาติ ต่อมาเป็นหลักฐานในช่วงพุทธศตวรรษที่ 15-16 จากอิทธิพลดินแดนเขมรต่ำที่แผ่เข้ามาในบริเวณดังกล่าว ซึ่งตัวปราสาทที่เราเห็นในปัจจุบันก็สร้างขึ้นในช่วงนั้น

ความสำคัญของปราสาทตาเมือนธม คือเป็นปราสาทที่สร้างคร่อมอยู่บนแนวพะลานหิน ปราสาทองค์ประธานซึ่งปกติจะมีศิวลึงค์ประดิษฐานตามคติไศวนิกายเป็นศิวลึงค์ธรรมชาติ เรียก “สวยัมภูลึงค์” คือดัดแปลงหินธรรมชาติทำเป็นตัวลึงค์นั่นเอง

ลักษณะโดยทั่วไป ตัวปราสาทหันหน้าลงทิศใต้ มีบันไดลงพื้นที่ราบด้านล่าง ประกอบด้วยปราสาทประธาน โคปุระ มณฑป มุขกระสัน ภายในอาคารนอกจากสวยัมภูลึงค์แล้วจะมีประติมากรรมรูปโคนนทิหมอบหันหน้าไปหาศิวลึงค์ เป็นสิ่งยืนยันว่าเป็นเทวสถานของพระศิวะ ข้าง ๆ กันมีอาคารบรรณาลัย และปราสาทเล็ก ๆ อีก 2 หลัง สร้างขนาบกัน

@@@@@@@

ปราสาทตาเมือนโต๊ด คือปราสาทอีกหลังที่อยู่ลึกเข้ามาในดินแดนประเทศไทย และกรมศิลปากรขึ้นทะเบียนโบราณสถานพร้อมกันกับตาเหมือนธม แต่จะมีขนาดเล็กกว่า (โต๊ด แปลว่า เล็ก) รูปแบบอาคารเป็น “อโรคยาศาล” หรือสถานพยาบาล สร้างขึ้นในสมัย พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พุทธศตวรรษที่ 18) ด้วยสถาปัตยกรรมแบบเดียวกันกับอโรคยาศาลอีก 30 กว่าแห่งที่พบในประเทศไทย

ปราสาทตาเมือนโต๊ดเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเส้นทางราชมรรคา เพื่อเชื่อมโยงดินแดนต่าง ๆ ในพระราชอำนาจของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ดังมีจารึกว่าทรงสร้างอโรคยาศาลถึง 102 แห่งทั่วราชอาณาจักรในสมัยของพระองค์ ซึ่งปราสาทตาเมือนโต๊ดถือเป็นอโรคยาศาลหลังแรก (ในดินแดนที่ปัจจุบันคือไทย) ที่เชื่อมเมืองพระนครกับเมืองพิมาย



ปราสาทตาเมือนโต๊ด ศาสนสถานประจำอโรคยศาล สร้างโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7


สุดท้ายคือ ปราสาทตาเมือน หลังที่อยู่ลึกสุดในดินแดนไทย เป็นโบราณสถานที่เรียกว่า “วหนิคฤหะ” หรือบ้านมีไฟ สร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เช่นกัน มีจารึกเล่าเรื่องเส้นทางราชมรรคาพร้อมพระราชบัญชาให้สร้างบ้านมีไฟจากเมืองพระนครมายังพิมาย 17 หลัง โดยพบในไทย 9 หลัง กัมพูชาอีก 8 หลัง ปราสาทตาเมือนเป็นบ้านมีไฟหลังแรกในดินแดนไทยอีกเช่นกัน และกรมศิลปากรดำเนินการขุดแต่งบูรณะไปบ้างแล้ว

บทบาทหน้าที่ในฐานะ วหนิคฤหะ ของปราสาทตาเมือนคือเป็นศาสนสถานประจำที่พักคนเดินทาง หรือจุดพักแรมนั่นเอง โดยตัวอาคารจะมีช่องหน้าต่างให้คนเดินทางสังเกตเห็นแสงไฟที่ส่องสว่างอยู่ข้างใน



ปราสาทตาเมือน ศาสนสถานประจำที่พักคนเดินทาง


เนื่องจากสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ผู้ทรงนับถือพุทธศาสนานิกายมหายาน และพบโบราณวัตถุเนื่องในมหายาน เช่น ประติมากรรมพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ปราสาทตาเมือนโต๊ดกับตาเมือนจึงถือเป็นพุทธสถานพุทธมหายานเหมือนกัน แต่มีหน้าที่ต่างกัน

งานบูรณะโดยกรมศิลปากร

ผอ. ทศพร เล่าว่า ตั้งแต่ประกาศขึ้นทะเบียนปราสาทเหล่านี้เป็นโบราณสถานเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2478 และ อ. มานิต พร้อมด้วย อ. จำรัส เกียรติก้อง เข้ามาสำรวจตรวจสอบแล้วบันทึกข้อมูลไว้ ถือเป็นแม่แบบที่เป็นประโยชน์ต่อทีมบูรณะที่เข้ามาทำงานในรุ่นหลัง ๆ เป็นอย่างมาก

หลังจากทางกองทัพภาค 2 ทำถนนเข้าไปถึงพื้นที่ของกลุ่มปราสาท จึงเกิดโครงการเพื่อเตรียมศึกษา ขุดแต่ง และสำรวจ ปราสาทกลุ่มข้างต้น โดยสำนักศิลปากรที่ 6 นครราชสีมา (ปัจจุบันคือสำนักศิลปากรที่ 10) เมื่อ พ.ศ. 2532 และเริ่มขุดแต่งอย่างจริงจังใน พ.ศ. 2534

อย่างไรก็ตาม พ.ศ. 2544 ได้เกิดปัญหาชายแดนขึ้น จึงมีคำสั่งให้หยุดการทำงานจนกว่าจะมีความชัดเจน ซึ่งระหว่างนั้นสำนักศิลปากรก็พัฒนาไปหลายส่วนแล้วแต่ยังไม่สมบูรณ์ สภาพตัวปราสาทและบริเวณโดยรอบที่เราเห็นในปัจจุบันจึงเป็นผลจากการที่กรมศิลปากรบูรณะไปบ้างแล้วนั่นเอง

@@@@@@@

ผอ. ทศพร เผยด้วยว่า งานของสำนักศิลปากรที่ 10 ในปีนี้ (2568) ยังมีโครงการสำคัญ ๆ อีกหลายโครงการ เช่น การขุดค้นแหล่งโบราณคดี “โนนพลล้าน” ซึ่งจะพิสูจน์ความเก่าแก่ของชุมชนโบราณในเขตเมืองนครราชสีมา งานบูรณะและพัฒนาโบราณสถาน “พระนอน” ที่วัดธรรมจักรเสมาราม อ. สูงเนิน จ. นครราชสีมา

รวมไปถึงโครงการอนุรักษ์โบราณสถาน “ปราสาทบ้านบุใหญ่” อ. สูงเนิน จ. นครราชสีมา ที่กรมศิลปากรตั้งใจจะพัฒนาทักษะนายช่างในกำกับด้วยการใช้วิธี “อนัสตีโลซิส” เพื่อบูรณะปราสาทผ่านโครงการดังกล่าวด้วย

ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา ทิ้งท้ายว่า สำหรับโบราณวัตถุต่าง ๆ ที่พบจากกลุ่มปราสาทตาเมือน เช่น จารึก รูปเคารพ หรือชิ้นส่วนประดับตัวสถาปัตยกรรม ส่วนใหญ่เก็บรวบรวมไว้ที่พิพัธภัณฑสถานแห่งชาติ จังหวัดสุรินทร์ สามารถไปเยี่ยมชมกันได้

อ่านเพิ่มเติม :-

    • ปราสาทตาเมือนธม จ. สุรินทร์ อายุเกือบ 1,000 ปี แหล่งอุดมจารึกแห่งอีสานใต้
    • ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย
    • ตามรอย “ราชมรรคา” ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มหาราชองค์สุดท้ายแห่งกรุงยโสธรปุระ






ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 7 สิงหาคม พ.ศ.2568
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 7 สิงหาคม 2568
website : https://www.silpa-mag.com/history/article_156649
26  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นตฺถิ ขนฺธสมา ทุกฺขา : ทุกข์เสมอด้วยเบญจขันธ์ไม่มี เมื่อ: สิงหาคม 08, 2025, 08:50:56 am
.



นตฺถิ ขนฺธสมา ทุกฺขา : ทุกข์เสมอด้วยเบญจขันธ์ไม่มี



 :25: :25:

นตฺถิ ขนฺธสมา ทุกฺขา
ทุกข์เสมอด้วยเบญจขันธ์ไม่มี
พุทธศาสนสุภาษิต/ธรรมบท ขุทกนิกาย/

ภาษิต "นตฺถิ ขนฺธสมา ทุกฺขา" เป็นภาษาบาลี มีความหมายว่า "ทุกข์เสมอด้วยเบญจขันธ์ไม่มี" หรืออีกนัยหนึ่งคือ "ไม่มีทุกข์ใดร้ายแรงเท่ากับความทุกข์ที่เกิดจากเบญจขันธ์"

@@@@@@@

คำว่า "เบญจขันธ์" หมายถึง กองแห่งรูปธรรมและนามธรรม 5 อย่าง ได้แก่

    - รูป คือ ร่างกายและส่วนประกอบต่างๆ ของร่างกาย
    - เวทนา คือ ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์
    - สัญญา คือ ความจำ
    - สังขาร คือ ความคิดปรุงแต่ง
    - วิญญาณ คือ การรับรู้

ภาษิตนี้สอนให้รู้ว่า ความทุกข์ทั้งปวงมีมูลมาจากเบญจขันธ์ เพราะเบญจขันธ์เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตน เมื่อเรายึดมั่นในเบญจขันธ์ เราจึงต้องประสบกับความทุกข์ต่างๆ

เหตุผลที่ทุกข์เสมอด้วยเบญจขันธ์ไม่มี

เบญจขันธ์เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง : ร่างกายของเรามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่คงที่ถาวร เมื่อเรายึดมั่นในร่างกาย เราจึงต้องประสบกับความแก่ ความเจ็บ และความตาย

เบญจขันธ์เป็นทุกข์ : เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ล้วนเป็นทุกข์ เพราะล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เมื่อเรายึดมั่นในสิ่งเหล่านี้ เราจึงต้องประสบกับความทุกข์ต่างๆ

เบญจขันธ์ไม่ใช่ตัวตน : เบญจขันธ์ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเรา เมื่อเรายึดมั่นในเบญจขันธ์ เราจึงต้องประสบกับความทุกข์ เพราะเราไม่ได้มองเห็นความจริงว่า เราไม่ใช่เบญจขันธ์

@@@@@@@

คำแนะนำ

ควรพิจารณาเบญจขันธ์ : เราควรพิจารณาเบญจขันธ์ด้วยปัญญา เพื่อให้เห็นถึงความไม่เที่ยง ความทุกข์ และความไม่มีตัวตนของเบญจขันธ์

ควรละวางความยึดมั่นในเบญจขันธ์ : เมื่อเราเข้าใจถึงความไม่เที่ยง ความทุกข์ และความไม่มีตัวตนของเบญจขันธ์แล้ว เราก็ควรละวางความยึดมั่นในเบญจขันธ์

ควรเจริญสติ : การเจริญสติ จะช่วยให้เรามีสติในการพิจารณาสิ่งต่างๆ และเป็นพื้นฐานสำคัญในการละวางความยึดมั่นในเบญจขันธ์

สรุป

ภาษิต "นตฺถิ ขนฺธสมา ทุกฺขา" สอนให้เราเห็นถึงความทุกข์ที่เกิดจากเบญจขันธ์ และให้เราพิจารณาเบญจขันธ์ด้วยปัญญา เพื่อละวางความยึดมั่นในเบญจขันธ์ และบรรลุถึงความสุขที่แท้จริง




ขอบคุณ :-
ที่มา : http://www.dhammathai.org/suphasit/data/Page_01.jpg
https://www.dhammathai.org/suphasit/dbview.php?No=81
27  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ตำราเลือกลูกเขย (สาธุศีลชาดก) เมื่อ: สิงหาคม 07, 2025, 06:35:00 am
.



ตำราเลือกลูกเขย (สาธุศีลชาดก)

ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภพราหมณ์เลือกลูกเขยคนหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ในเมืองตักกสิลา มีพราหมณ์คนหนึ่งมีลูกสาว ๔ คน แต่ละคนมีรูปร่างสวยงามเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มทั่วไปในบรรดาชายหนุ่มที่มาจีบลูกสาวของพราหมณ์นั้นมีชายหนุ่ม ๔ คนที่เข้าตาของพราหมณ์ คือ คนที่ ๑ เป็นคนรูปหล่อ คนที่ ๒ มีอายุมากแต่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ คนที่ ๓ เป็นลูกชายเศรษฐีตระกูลดี คนที่ ๔ เป็นคนมีศีลธรรม

พราหมณ์คิดหนักใจว่าจะเลือกใครเป็นลูกเขยดี เพราะทั้ง ๔ คน ก็มีความดีแตกต่างกันไป เขาจึงตัดสินใจไปปรึกษาอาจารย์ทิศาปาโมกข์ว่า

     "ท่านอาจารย์ครับ ผมมีเรื่องกลุ้มใจมาปรึกษาอาจารย์ คือมีชายหนุ่มอยู่ ๔ คน คือ
          ๑. คนรูปหล่อ
          ๒. คนอายุมาก
          ๓. คนมีชาติสูง
          ๔. คนมีศีล
      มาจีบลูกสาวผม ผมคิดไม่ตกว่าจะเลือกใครดี ถ้าอาจารย์เป็นผมจะเลือกเอาคนไหน"


@@@@@@@

พระโพธิสัตว์พูดตอบว่า
     "พราหมณ์..คนไม่มีศีลถึงมีรูปสมบัติก็น่าตำหนิ ดังนั้น รูปสมบัตินี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญ ถ้าฉันเป็นพราหมณ์นะ ฉันจะเลือกคนมีศีลเป็นลูกเขย" แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า

     "ร่างกายก็มีประโยชน์ ข้าพเจ้าขอทำความนอบน้อมต่อท่านผู้เจริญวัย ชาติสูงก็มีประโยชน์ แต่ข้าพเจ้าชอบใจศีล"

พราหมณ์ฟังแล้วชอบใจ พอกลับไปถึงบ้านจึงตัดสินในยกลูกสาวทั้ง ๔ คน ให้แก่คนผู้มีศีลไป นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : ผู้มีศีลธรรมเป็นต่อ รูปหล่อเป็นรอง




ขอขอบคุณ :-
ที่มา : หนังสือนิทานชาดก เล่มที่ ๒ โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม
website : https://www.dhammathai.org/nithanchadok/dbview.php?No=66
by DhammathaiTeam 


 :25: :25: :25:

๑๐. สาธุสีลชาดก (๒๐๐) ว่าด้วยเลือกเอาผู้มีศีล
             
(พราหมณ์ถามพระโพธิสัตว์ผู้เป็นอาจารย์ว่า)
[๙๙] ข้าพเจ้าขอถามท่านพราหมณ์ว่า บรรดาคน ๔ คน คือ                   
       (๑) คนมีรูปงาม
       (๒) คนมีอายุ
       (๓) คนมีชาติสูง
       (๔) คนมีศีลธรรม ท่านจะเลือกใครหนอ
             
(อาจารย์ฟังคำของพราหมณ์นั้นแล้วกล่าวว่า)
[๑๐๐] ร่างกายก็มีประโยชน์ ข้าพเจ้าขอทำความนอบน้อมต่อท่าน ผู้เจริญวัย ชาติสูงก็มีประโยชน์ แต่ข้าพเจ้าชอบใจศีล


                                                          สาธุสีลชาดกที่ ๑๐ จบ



ที่มา : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
https://84000.org/tipitaka/attha/m_siri.php?B=27&siri=200
ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=249


 :25: :25: :25:

๑๐ สาธุสีลชาตกํ
     
[๒๔๙]  สรีรทพฺยํ วุฑฺฒพฺยํ โสชจฺจํ สาธุสีลิยํ
           พฺราหฺมณนฺเตว ปุจฺฉาม กินฺนุ เตสํ วนิมฺหเส ฯ

[๒๕๐]  อตฺโถ อตฺถิ สรีรสฺมึ วุฑฺฒพฺยสฺส นโม กเร
           อตฺโถ อตฺถิ สุชาตสฺมึ  สีลํ อสฺมาก รุจฺจตีติ ฯ
                                         
                                   สาธุสีลชาตกํ ทสมํ

 
   
ที่มา : พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ สุตฺต. ขุ. ชาตกํ (๑): เอก-จตฺตาลีสนิปาตชาตกํ 
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali_item_s.php?book=27&item=249&items=2
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย :-
http://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=37&A=3595                                         
28  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชาวพุทธที่ดีแท้ ไม่คิดดีอยู่แค่ตัว แต่ต้องเดินหน้าสามัคคี หนุนการทำดีไปด้วยกัน เมื่อ: สิงหาคม 06, 2025, 08:56:02 am
.



ชาวพุทธที่ดีแท้ ไม่คิดดีอยู่แค่ตัว แต่ต้องเดินหน้าสามัคคี หนุนการทำดีไปด้วยกัน




 :25: :25: :25:

ชาวพุทธที่ดีแท้ ไม่คิดดีอยู่แค่ตัว แต่ต้องเดินหน้าสามัคคี หนุนการทำดีไปด้วยกัน

กายสามัคคี คือร่วมกาย โดยมานั่งประชุมกัน มาช่วยกันทำโน่นทำนี่ ตลอดจนมาร่วมกิจกรรมในการเวียนเทียน

จิตสามัคคี คือร่วมใจ ซึ่งอยู่ข้างใน ร่วมใจนี้สำคัญนัก เมื่อใจร่วมกันจึงทำให้มาประชุมในที่เดียวกันได้

ร่วมใจนี้ลึกซึ้ง มีหลายระดับ ร่วมใจจริงๆ ก็ต้องมีศรัทธาร่วมกัน รักกัน มีเมตตาหรือไมตรีจิตต่อกัน หวังดีต่อกัน มีใจสมัครสมานกลมเกลียว คิดร่วมใจกันในการประพฤติปฏิบัติสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงาม เพื่อทำชีวิต ครอบครัว และสังคมให้ร่มเย็นเป็นสุข เป็นต้น อันนี้จึงจะเป็นการร่วมใจที่แท้จริง เรียกว่าเป็นจิตสามัคคี

ถ้ามีครบ ๒ อย่าง ทั้งกายสามัคคีและจิตสามัคคี ก็จะสมบูรณ์



หนังสือ รัฐศาสตร์เพื่อชาติ VS รัฐศาสตร์เพื่อโลก
โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)
พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม ๒๕๔๗ หน้า ๒

สามารถอ่านหนังสือเพิ่มเติมได้ที่:
https://www.papayutto.org/th/book_detail/363

หรือสามารถเลือกอ่านเล่มอื่นได้ที่:
https://www.papayutto.org/th/dhamma_books

#ธรรมะ #สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
Instagram: @watnyanavesakavan




ขอบคุณ :-
ที่มา : https://www.facebook.com/photo/?fbid=2601235293506289&set=a.1612427999053695
https://www.dhammathai.org/khatitham/dbview.php?No=636
29  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ปาเป น รมตี สุจิ คนสะอาดย่อมไม่ยินดีในบาป เมื่อ: สิงหาคม 06, 2025, 08:49:29 am
.



ปาเป น รมตี สุจิ : คนสะอาดย่อมไม่ยินดีในบาป



 :25: :25:

ปาเป น รมตี สุจิ : คนสะอาดย่อมไม่ยินดีในบาป
พุทธศาสนสุภาษิต /อุทาน ขุทฺทกนิกาย/

๏ พุทธสุภาษิต : ปาเป น รมตี สุจิ
   คำอ่าน : ปา-เป นะ ระ-มะ-ตี สุ-จิ
   คำแปล : คนสะอาด (ผู้มีใจบริสุทธิ์) ย่อมไม่ยินดีในบาป

@@@@@@@

อธิบาย : พุทธสุภาษิตบทนี้สอนให้เราเข้าใจถึงธรรมชาติของผู้ที่มีจิตใจสะอาด บริสุทธิ์ และตั้งมั่นอยู่ในคุณธรรม ความดีงาม บุคคลเช่นนี้จะไม่รู้สึกเพลิดเพลิน ยินดี หรือมีความสุขในการกระทำบาป หรือการประพฤติในสิ่งที่ไม่ดีงาม ตรงกันข้าม พวกเขาจะรังเกียจและหลีกเลี่ยงการกระทำเหล่านั้น

คำว่า "สุจิ" ในที่นี้หมายถึง ผู้ที่มีความสะอาดทั้งกาย วาจา และใจ เป็นผู้ที่ปราศจากมลทินทางจิตใจ เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ผู้ที่ได้ฝึกฝนตนเองให้มีจิตใจที่ผ่องใส

คำว่า "ปาเป" หมายถึง บาป กรรมชั่ว การกระทำที่ไม่ดีงาม ซึ่งนำมาซึ่งความทุกข์และความเดือดร้อนทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น

คำว่า "น รมตี" หมายถึง ย่อมไม่ยินดี ไม่เพลิดเพลิน ไม่มีความสุข

ดังนั้น สุภาษิตนี้จึงชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่มีจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ จะมีความรู้สึกภายในที่ตรงกันข้ามกับบาป พวกเขาจะมองเห็นโทษและผลเสียของบาปอย่างชัดเจน และจะไม่ปรารถนาที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำเหล่านั้น


@@@@@@@

สรุป : พุทธสุภาษิต "ปาเป น รมตี สุจิ" สรุปได้ว่า ผู้ที่มีจิตใจสะอาดบริสุทธิ์และตั้งมั่นในคุณธรรม จะไม่รู้สึกยินดีหรือเพลิดเพลินในการกระทำบาปกรรม พวกเขาจะมีความละอายต่อบาป และมุ่งมั่นในการประพฤติในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม อันจะนำมาซึ่งความสุขและความเจริญทั้งแก่ตนเองและสังคม

สุภาษิตบทนี้เป็นเครื่องเตือนใจให้เราหมั่นชำระจิตใจให้สะอาด บริสุทธิ์อยู่เสมอ เพื่อที่เราจะได้ไม่ยินดีในบาป และสามารถดำเนินชีวิตไปในทางแห่งความดีงามได้อย่างมั่นคง ๛



ขอขอบคุณ :-
ที่มา : https://www.finearts.go.th/promotion/view/15124-รวบรวมที่มาแห่ง-พุทธศาสน--สุภาษิต
https://www.dhammathai.org/suphasit/dbview.php?No=9
30  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ธรรมที่ทำให้เป็นคน ว่ายาก สอนยาก | เพื่อการปรับปรุงตนในกาลต่อไป เมื่อ: สิงหาคม 06, 2025, 08:31:44 am
.



ธรรมที่ทำให้เป็นคน ว่ายาก สอนยาก | เพื่อการปรับปรุงตนในกาลต่อไป

สวัสดีในวันที่ฝนตกหนักที่พิษณุโลกค่ะ

วันนี้ขอน้อมพุทธพจน์ใน "อนุมานสูตร" จากพระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ หัวข้อที่ ๒๒๒ มานำเสนอให้พิจารณาตนว่า ท่านมีความประพฤติหรือนิสัยใน ๑๖ ประการนี้หรือไม่

ธรรมนี้คือ โทวจสฺสกรณา ธมฺมา : ธรรมที่ทำให้เป็นคนว่ายาก สอนยาก เพื่อการปรับปรุงตนในกาลต่อไปค่ะ

@@@@@@@

    ๑. เป็นผู้มีความปรารถนาลามก ลุอำนาจแห่งความปรารถนาลามก(ความชั่ว บาป อกุศล ผิดคลองธรรม)
    ๒. เป็นผู้ยกตนข่มผู้อื่น
    ๓. เป็นคนมักโกรธ อันความโกรธครอบงำแล้ว
    ๔ เป็นคนมักโกรธ ผูกโกรธ เพราะความโกรธเป็นเหตุ
    ๕. เป็นคนมักโกรธ มักระแวงจัด เพราะความโกรธเป็นเหตุ
    ๖. เป็นคนมักโกรธ เปล่งวาจาใกล้ต่อความโกรธ
    ๗. เมื่อถูกโจทก์ฟ้อง กลับโต้เถียงโจทก์
    ๘. เมื่อถูกโจทก์ฟ้อง กลับรุกรานโจทก์
   ๙. เมื่อถูกโจทก์ฟ้อง กลับปรักปรำโจทก์
  ๑๐. เมื่อถูกโจทก์ฟ้อง กลับเอาเรื่องอื่นมากลบเกลื่อน พูดนอกเรื่อง แสดงความโกรธ ความมุ่งร้าย และความไม่ เชื่อฟังให้ปรากฏ
  ๑๑. เมื่อถูกโจทก์ฟ้อง ไม่พอใจตอบในความประพฤติ
  ๑๒. เป็นคนลบหลู่ตีเสมอ
  ๑๓. เป็นคนริษยา เป็นคนตระหนี่
  ๑๔. เป็นคนโอ้อวด เจ้ามายา
  ๑๕. เป็นคนกระด้าง ดูหมิ่นผู้อื่น
  ๑๖. เป็นคนถือแต่ความเห็นของตน ถือรั้น ถอนได้ยาก


@@@@@@@

พิจารณาแล้ว มีกันอยู่แล้วนะคะ มากบ้างน้อยบ้าง นำมาให้พิจารณาเพื่อปรับปรุงตนเอง ไม่ใช่เพื่อจับผิดผู้อื่นนะคะ

ชาตินี้ได้เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา และมีพระพุทธองค์ทรงชี้แนะแนวทางต่างๆ เร่งปรับปรุง และพัฒนาตนเองเพี่อประเยชน์และความสุขในวันนี้ ในชาตินี้ และสั่งสมเป็นอุปนิสัยในกาลต่อๆ ไปค่ะ

จิรํ ติฏฺฐตุ สทฺธมฺโม ธมฺเม โหนฺตุ สคารวา.
ขอพระสัทธรรม จงดํารงมั่นตลอดกาล
ขอสาธุชนท้ังหลาย จงมีความเคารพในธรรม

นิษวัน วรานุสาสน์




Thank to : https://www.dhammathai.org/articles/dbview.php?No=2882
31  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หลักในการแสดงธรรม ๔ วิธี เมื่อ: สิงหาคม 05, 2025, 07:19:50 am
.



หลักในการแสดงธรรม ๔ วิธี | พระพุทธองค์ทรงเลือกแสดงธรรมแก่ ผู้นำชุมชน ผู้ปกครองแคว้นก่อน

ชมพูทวีปในสมัยพุทธกาลมีความเจริญก้าวหน้าในด้านศาสนาและปรัชญาอย่างสูง พระพุทธเจ้าจึงเปรียบด้วยประทีปดวงใหญ่ในท่ามกลางดวงประทีปเป็นอันมาก ชนชาวชมพูทวีรอคอยศาสดาเช่น พระพุทธองค์มานาน เมื่อบังเกิดขึ้นในโลกจริง ๆ จนมีพยานยืนยันการตรัสรู้ของพระองค์เป็นอันมาก

และคนที่มายอมตนเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าในยุคแรก ล้วนเป็นคนชั้นนำในสังคมทั้งนั้น คือ คณาจารย์นักบวช พระราชา เศรษฐี ขุนนางอำมาตย์ ข้าราชการผู้ใหญ่ การทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระองค์ จึงก้าวหน้าและประสบความสำเร็จในเวลาอันรวดเร็วมาก

ในช่วงตอนต้นพุทธกาลนั้นมีกษัตริย์ระดับมหาราช ๔ ประองค์ คือ
พระเจ้าพิมพิสาร (แคว้นมคธ)
พระเจ้าปเสนทิโกศล (แคว้นโกศล)
พระเจ้าจัณฑปัชโชติ (แคว้นอวันตี) และ
พระเจ้าอุเทน (แคว้นวังสะ) ทรงแสดงตนเป็นอุบาสกนับถือพระพุทธศาสนา

พระพุทธศาสนาได้เผยแผ่เข้าสู่แคว้นต่าง ๆ ในชมพูทวีป เช่น สักกะ วัชชี มัลละ กุรุ ปัญจาละ อังคะ มคธ กาสี โกศล วังสะ อวันตี เป็นต้น ซึ่งเป็นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่รวดเร็วมาก โดยที่พระพุทธเจ้าไม่เคยอาศัยพระราชอำนาจของพระราชาเหล่านั้นเข้าช่วยสนับสนุนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเลย

@@@@@@@

พระพุทธเจ้าทรงมีหลักการในการแสดงธรรมของพระองค์ ซึ่งอาจจัดได้เป็น ๔ วิธี คือ

๑. ยอมรับ พระพุทธเจ้าทรงยอมรับนับถือคำสอนของนักปราชญ์ต่าง ๆ ที่มีมาก่อนหรือร่วมสมัยกับพระองค์ ในกรณีที่คำสอนนั้นเป็นเรื่องจริงในธรรม มีประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัติ

๒. ปฏิวัติ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงแบบตรงกันข้าม เช่นคนในสมัยพุทธกาลถือว่า การทรมานตนให้ได้รับความลำบาก กับการแสวงหาความสุขจากกามคุณ เป็นทางแห่งความสุข ความหลุดพ้น พระพุทธเจ้าทรงปฎิเสธตั้งแต่พระธรรมเทศนาครั้งแรกว่าเป็นหนทางที่บรรพชิตไม่ควรเสพ หรือเขาถือว่าการทรมานตนเป็นตบะ

แต่พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าขันติเป็นบรมตบะ เขาสอนว่า การอยู่ร่วมกับปรมาตมัน บรมพรม พระพรหมว่าเป็นบรมธรรม พระบรมศาสดาทรงแสดงว่า นิพพานเป็นบรมธรรม เขาสอนว่า การฆ่าสัตว์ทุกชนิดเป็นบาป เป็นต้น

๓. ปฏิรูป คือการเปลี่ยนแปลงหลักการ เจตจำนง และวิธีการที่มีอยู่ก่อนแล้ว อย่างเช่น เรื่องการจำพรรษา การลงอุโปสถเป็นข้อปฏิบัติที่ทำกันมาก่อน พระพุทธเจ้าทรงปฏิรูป คือการเปลี่ยนแปลงหลักการเจตจำนง และวิธีการที่มีอยู่ก่อนแล้ว อย่างเช่น เรื่องการจำพรรษา การลงอุโบสถเป็นข้อปฏิบัติที่ทำกันมาก่อน พระพุทธศาสนาว่าภิกษุ สมณะ บรรพชิต นักบวช เป็นต้น

ทรงปฏิรูปโดยนิยามความหมายเสียใหม่เพราะการเผยแผ่ศาสนาจำต้องอาศัยถ้อยคำที่เขาพูดกันในสมัยนั้น จึงต้องใช้ตามโดยการนิยามความหมายเสียใหม่ คำในพระพุทธศาสนาเป็นอันมากที่ทรงแสดงจึงต้องมีการไขความให้เข้าใจตามหลักของพระพุทธศาสนา

หลักการปฏิรูปจึงหมายถึง การกระทำความเชื่อนั้น ๆ มีส่วนดีอยู่บ้าง แต่ยังมีความบกพร่องอยู่ จึงทรงปรับปรุงให้ดีขึ้น เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติสมบูรณ์ขึ้น

๔. หลักการใหม่ พระพุทธเจ้าทรงตั้งหลักการขึ้นใหม่ คือเรืองนี้ไม่มีการสั่งสอนกันในสมัยนั้นเช่นหลักอริยสัจ ๔ ปฏิจจสมุปบาทอนัตตานิพพาน เป็นต้น




ขอขอบคุณ :-
ที่มา : หนังสือ ความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า โดย ภัทรวรรณ วันทนชัยสุข
หมวดที่ ๕ - พุทธจริยา | By DhammathaiTeam 
website : https://www.dhammathai.org/buddha/dbview.php?No=31
ภาพจาก : pinterest
32  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สันโดษ (คือความพอใจ) ชื่อว่าเป็นทรัพย์อย่างยอด เมื่อ: สิงหาคม 05, 2025, 07:11:34 am
.



สนฺตุฏฺฐี ปรมํ ธนํ สันโดษ (คือความพอใจ) ชื่อว่าเป็นทรัพย์อย่างยอด

สนฺตุฏฺฐี ปรมํ ธนํ 
สันโดษ (คือความพอใจ) ชื่อว่าเป็นทรัพย์อย่างยอด
พุทธศาสนสุภาษิต /ธรรมบท ขุทกนิกาย/




 :25: :25: :25:

๏ พุทธสุภาษิต : สนฺตุฏฺฐี ปรมํ ธนํ
   คำอ่าน : สัน-ตุฏ-ฐี ปะ-ระ-มัง ธะ-นัง
   คำแปล : สันโดษ (คือความพอใจ) ชื่อว่าเป็นทรัพย์อย่างยอด

คำอธิบาย : พุทธสุภาษิตบทนี้เป็นคำสอนที่สำคัญในพระพุทธศาสนา มุ่งเน้นไปที่ "สันโดษ" ซึ่งหมายถึง ความยินดี ความพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ในปัจจัยสี่ที่ตนได้รับมาโดยชอบธรรม และไม่โลภอยากได้ในสิ่งที่ยังไม่มีหรือไม่ใช่ของตน สันโดษไม่ได้หมายถึงการอยู่อย่างเกียจคร้าน ไม่ขวนขวาย แต่เป็นการรู้จักประมาณตน รู้จักพอดี และมีความสุขกับสิ่งที่มี

"ปรมํ ธนํ" แปลว่า ทรัพย์อย่างยอดเยี่ยม ทรัพย์อันประเสริฐ หรือทรัพย์ที่สูงสุด ในทางพระพุทธศาสนา ทรัพย์ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่เงินทองหรือวัตถุสิ่งของภายนอกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคุณธรรม ความดีงาม และความสุขทางใจด้วย สันโดษถูกยกย่องให้เป็นทรัพย์อย่างยอดเยี่ยม เพราะเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขที่แท้จริงและยั่งยืน

@@@@@@@

ความหมายโดยละเอียด :-

• สันโดษคือทรัพย์ที่แท้จริง : ทรัพย์สมบัติภายนอกนั้นไม่เที่ยงแท้ เปลี่ยนแปลงได้ และไม่สามารถนำความสุขที่แท้จริงมาให้ได้เสมอไป ในทางตรงกันข้าม สันโดษเป็นทรัพย์ภายในจิตใจที่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะนำมาซึ่งความสงบ ความสุข และความพึงพอใจอย่างแท้จริง แม้จะมีทรัพย์ภายนอกน้อยก็ตาม

• สันโดษนำมาซึ่งความสุขที่ยั่งยืน : ความสุขที่เกิดจากวัตถุภายนอกมักเป็นเพียงชั่วคราว เมื่อได้มาแล้วก็อาจเบื่อหน่าย หรือต้องแสวงหาสิ่งใหม่ๆ มาเติมเต็มอยู่เสมอ แต่ความสุขที่เกิดจากสันโดษนั้นเป็นความสุขที่เกิดขึ้นจากภายในจิตใจ เป็นความสุขที่ไม่ต้องขึ้นอยู่กับสิ่งภายนอก จึงเป็นความสุขที่มั่นคงและยั่งยืนกว่า

• สันโดษช่วยลดความทุกข์ : ความโลภ ความอยากได้ไม่สิ้นสุด เป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ ความกระวนกระวายใจ สันโดษช่วยตัดวงจรของความอยาก ทำให้จิตใจสงบ ไม่ต้องดิ้นรนแสวงหาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อพอใจในสิ่งที่ตนมี ก็จะลดความทุกข์และความเครียดลงได้

• สันโดษเป็นพื้นฐานของการพัฒนาตนเอง : เมื่อมีความพอใจในระดับหนึ่งแล้ว จิตใจก็จะไม่วุ่นวายกับการแสวงหาวัตถุมากเกินไป ทำให้มีเวลาและพลังใจที่จะพัฒนาตนเองในด้านอื่นๆ เช่น การศึกษา การปฏิบัติธรรม หรือการทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น

@@@@@@@

สรุป : พุทธสุภาษิต "สนฺตุฏฺฐี ปรมํ ธนํ" สอนให้เราเห็นคุณค่าของความพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ สันโดษเป็นทรัพย์ที่ประเสริฐสุด เพราะเป็นบ่อเกิดแห่งความสุขที่แท้จริงและยั่งยืน ช่วยลดความทุกข์ และเป็นพื้นฐานของการพัฒนาตนเอง การฝึกฝนตนเองให้เป็นคนมีสันโดษจึงเป็นหนทางสำคัญในการดำเนินชีวิตให้มีความสุขและสงบได้ แม้ในสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจไม่เป็นไปตามความปรารถนาก็ตาม ๛





ขอขอบคุณ :-
ที่มา : http://www.dhammathai.org/suphasit/data/Page_01.jpg
https://www.dhammathai.org/suphasit/dbview.php?No=40
33  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระนามของ 'พระพุทธเจ้า' (องค์ปัจจุบัน) | "ตถาคต" มี ๘ ความหมาย เมื่อ: สิงหาคม 04, 2025, 08:49:35 am
.



พระนามของพระพุทธเจ้า



 :25: :25: :25:

พระนามของ 'พระพุทธเจ้า' (องค์ปัจจุบัน)

พระพุทธเจ้าในที่นี้หมายถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย หรือ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนั้นเอง มีคำเรียกกล่าวนามพระพุทธเจ้าของเรามากมาย ซึ่งพอจะนำมาประมวลไว้ได้ ดังต่อไปนี้

@@@@@@@

๑. พระบรมโพธิสัตว์, พระโพธิสัตว์ หมายถึงท่านผู้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งกำลังบำเพ็ญบารมี ๑๐ คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิฐาน เมตา อุเบกขา

๒. อังคีรส หมายถึง มีรัศมีแผ่ซ่านจากพระกาย เป็นพระนามแรก เมื่อพราหมณ์ ๘ คน ผู้ทำหน้าที่ถวายพระนามและทำนายลักษณะพระกุมาร กล่าวถึงเมือพินิจจากลักษณะแรกพบเห็น

๓. สิทธัตถกุมาร เป็นพระนามที่พราหมณ์ ๘ คนผู้ทำหน้าที่ถวายพระนามและทำนายลักษณะพระกุมาร ตั้งถวาย "สิทธัตถ" แปลว่า มีความต้องการสำเร็จ หรือสำเร็จตามที่ต้องการ คือสมประสงค์จะต้องการอะไรได้หมด

๔. สิทธัตถะ , เจ้าชายสิทธัตถะ , พระสิทธัตถะ พระนามเดิมของพระพุทธเจ้าก่อนเสด็จออกบรรพชา

๕. พระมหาบุรุษ หมายถึง บุรุษผู้ยิ่งใหญ่เป็นคำใช้เรียกพระพุทธเจ้าเมื่อก่อนตรัสรู้


@@@@@@@

๖. โคดม , โคตมะ , พระโคดม ,พระโคตมะ , พระสมณโคดม, โคดมพระพุทธเจ้า หมายถึง ชื่อตระกูลของพระพุทธเจ้า มหาชนเรียกพระพุทธเจ้าตามพระโคตรของพระองค์

๗. ตถาคต พระนามอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า เป็นคำที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกหรือตรัสถึงพระองค์เอง แปลได้ความหมาย ๘ อย่างคือ
       ๗.๑ พระผู้เสด็จมาแล้วอย่างนั้น
       ๗.๒ พระผู้เสด็จไปแล้วอย่างนั้น
       ๗.๓ พระผู้เสด็จมาถึงตถลักษณะ
       ๗.๔ พระผู้ตรัสรู้ตถธรรมตามที่มันเป็น
       ๗.๕ พระผู้ทรงเห็นอย่างนั้น
       ๗.๖ พระผู้ตรัสอย่างนั้น
       ๗.๗ พระผู้ทำอย่างนั้น
       ๗.๘ พระผู้เป็นเจ้า

๘. ตถาคตโพธิสัทธา หมายถึง เชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคต

๙. ธรรมกาย หมายถึง ผู้มีธรรมในกาย เป็นพระนามอย่างหนึ่งของ พระพุทธเจ้า

๑๐. ธรรมราชา คือพระราชาแห่งธรรม หมายถึงพระพุทธเจ้า

@@@@@@@

๑๑. ธรรมสวามิศร, ธรรมสามิสร คือผู้เป็นใหญ่โดยฐานเป็นเจ้าของธรรม หมายถึง พระพุทธเจ้า

๑๒. ธรรมสามี คือ ผู้เป็นเจ้าของธรรม เป็นคำเรียกพระพุทธเจ้า

๑๓. ธรรมิศราธิบดี คือ ผู้เป็นอธิปดีโดยฐานเป็นใหญ่ในธรรมเป็นคำกวีหมายถึงพระพุทธเจ้า

๑๔. บรมศาสดา, พระบรมศาสดา คือ ศาสดาที่ยอดเยี่ยม พระผู้เป็นครูสูงสุด พระบรมครู หมายถึง พระพุทธเจ้า

๑๕. พระผู้มีพระภาคเจ้า หมายถึง พระนามของพระพุทธเจ้า





๑๖. พระพุทธเจ้า คือ พระผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ แล้วสอนผู้อื่นให้รู้ตาม, ท่านผู้รูดีรู้ชอบด้วยตนเองก่อนแล้ว สอนประชุมชนให้ประพฤติชอบด้วยกาบ วาจา ใจ

๑๗. พระศาสดา หมายถึงผู้สอนเป็นพระนามเรียกพระพุทธเจ้า

๑๘. พระสมณโคดม เป็นคำที่คนภายนอกนิยมใช้เมื่อกล่าวถึงพระพุทธเจ้า

๑๙. พระสัมพุทธเจ้า, พระสัมมาสัมพุทธเจ้า,พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า,สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ พระผู้ตรัสรู้เอง หมายถึงพระพุทธเจ้า

๒๐. ภควา คือ พระนามของพระพุทธเจ้า แปลว่า ทรงเป็นผู้มีโชค คือหวังพระโพธิญาณก็ได้สมหวัง ประกาศพระศาสนาก็ชักจูงผู้คนให้ได้บรรลุธรรมสมปรารถนา มีผู้คิดร้ายก็ไม่อาจทำร้ายได้ คำแปลอีกนัยหนึ่งว่า ทรงเป็นผู้จำแนกแจกธรรม

@@@@@@@

๒๑. มหาสมณะ พระนามหนึ่งสำหรับเรียกสมเด็จพระสัมพุทธเจ้า

๒๒. โลกนาถ, พระโลกนาถ เป็นที่พึ่งแห่งโลก หมายถึงพระพุทธเจ้า

๒๓. สยัมภู,พระสัมภู พระผู้เป็นเอง คือตรัสรู้ได้เองโดยไม่มีใครสั่งสอน หมายถึง พระพุทธเจ้า

๒๔. สัพพัญญู, พระสัพพัญญูสัมพุทธเจ้า หมายถึง ผู้รู้หมด,ผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง คือ พระนามของพระพุทธเจ้า

๒๕. พระสุคต,พระสุคโต หมายถึง ผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นพระนามของพระพุทธเจ้า





ขอขอบคุณ :-
ที่มา : หนังสือ ความรู้เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า โดย ภัทรวรรณ วันทนชัยสุข
DhammathaiTeam | หมวดที่ ๒ - พระพุทธเจ้า พระนาม
website : https://www.dhammathai.org/buddha/dbview.php?No=12
ภาพจาก : pinterest
34  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ให้เอาชนะตัวเอง อย่าเอาชนะคนอื่น | สอนตนเอง อย่าพยายามสอนคนอื่น เมื่อ: สิงหาคม 04, 2025, 08:01:33 am
.



ให้เอาชนะตัวเอง อย่าเอาชนะคนอื่น | สอนตนเอง อย่าพยายามสอนคนอื่น




 :25:

"ให้เอาชนะตัวเอง" (หลวงพ่อชา สุภทโท)

" .. การตั้งไว้ในใจของผู้ประพฤติปฏิบัตินี้ "ให้เอาชนะตัวเอง" ไม่ต้องเอาชนะคนอื่น "ให้สอนตัวเอง" ไม่ต้องพยายามสอนคนอื่นให้มากที่สุด เดินไปก็ให้สอนตัวเองทั้งนั้น

นั่งก็ให้สอนตัวเองได้ทุกอย่างให้มีในตัวของเราอยู่เสมอ "เรียกว่าสติ สตินั้นแหละเป็นแม่บทของผู้เจริญกรรมฐาน" สติอันนั้นเมื่อมันมีความรู้สึกขึ้นปัญญาก็จะวิ่งมา "ถ้าสติไม่มี ปัญญาก็เลิก ไม่มี"

ฉะนั้นจงพากันตั้งใจถึงแม้ว่าเราจะมีเวลาน้อยก็ช่างมัน "เวลาน้อยก็ยังเป็นอุปนิสัย ยังเป็นปัจจัย" อย่างอื่นจะหาเป็นที่พึ่งอย่างพุทธศาสนานี่ไม่มี มันจบอยู่ตรงนี้ไปไหนก็ไม่จบ "แต่พุทธศาสนาทำให้มันจบอยู่ตรงนี้" .. "

                 "ตามดูจิต การปฏิบัติที่ให้ผลเร็ว"

             พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทโท) 




ขอบคุณ : https://www.dhammathai.org/monktalk/dbview.php?No=2396
โดย วิริยะ12 
35  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ชนะศึกสงครามใด ไม่ยิ่งใหญ่เท่าชนะตน : ชนะตนนั้นแหละเป็นดี เมื่อ: สิงหาคม 03, 2025, 07:55:52 am
.



อตฺตา หเว ชิตํ เสยฺโย : ชำนะตนนั้นแหละเป็นดี

พุทธศาสนสุภาษิต /ธรรมบท ขุทกนิกาย/



 :25: :25:

ชนะศึกสงครามใด ไม่ยิ่งใหญ่เท่าชนะตน : ชนะตนนั้นแหละเป็นดี

๏ พุทธสุภาษิต : อตฺตา หเว ชิตํ เสยฺโย
   คำอ่าน : อัด-ตา หะ-เว ชิ-ตัง เสย-โย
   คำแปล : ชำนะตนนั้นแหละเป็นดี

ที่มา : พุทธศาสนสุภาษิต /ธรรมบท ขุทกนิกาย/
หมายเหตุ : ชิตฺวา แปลว่า ชำนะแล้ว, ชนะแล้ว

คำอธิบาย : พุทธสุภาษิตบทนี้เป็นคำสอนที่เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเอาชนะตนเอง การเอาชนะในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการเอาชนะผู้อื่นในการแข่งขันหรือการต่อสู้ แต่เป็นการเอาชนะกิเลส ตัณหา ความโลภ ความโกรธ ความหลง และอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของตนเอง

@@@@@@@

การชนะตนเองนั้นประเสริฐกว่าการชนะผู้อื่น ด้วยเหตุผลหลายประการ ดังนี้ :-

   • เป็นการชนะที่ยั่งยืน : การชนะผู้อื่นเป็นชัยชนะภายนอกที่ไม่แน่นอน วันหนึ่งเราอาจชนะ แต่อีกวันหนึ่งอาจแพ้ได้ แต่การชนะใจตนเองเป็นการเปลี่ยนแปลงจากภายใน เป็นการพัฒนาคุณธรรมและความเข้มแข็งทางจิตใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยั่งยืนและติดตัวเราไปตลอด

   • เป็นการชนะที่แท้จริง : การชนะผู้อื่นบางครั้งอาจมาจากการใช้เล่ห์เหลี่ยม กลโกง หรือการเอาเปรียบ ซึ่งไม่ใช่ชัยชนะที่แท้จริง แต่การชนะตนเองเป็นการต่อสู้กับกิเลสอย่างตรงไปตรงมา เป็นการพัฒนาตนเองอย่างแท้จริง

   • นำมาซึ่งความสุขที่แท้จริง : การชนะผู้อื่นอาจนำมาซึ่งความสุขชั่วคราว ความพึงพอใจในชัยชนะ แต่การชนะตนเองนำมาซึ่งความสงบสุขภายใน ความเบิกบานใจ และความพึงพอใจในคุณงามความดีที่ได้สั่งสมไว้

   • เป็นการพัฒนาตนเอง : การเอาชนะกิเลสและความอ่อนแอของตนเองเป็นการฝึกฝนตนเองให้เป็นคนที่ดีขึ้น เข้มแข็งขึ้น มีสติปัญญามากขึ้น และสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขและไม่เบียดเบียนผู้อื่น

   • เป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข : เมื่อแต่ละคนสามารถเอาชนะตนเอง ควบคุมอารมณ์ และลดละกิเลสได้ สังคมก็จะมีความสงบสุข ลดปัญหาความขัดแย้งและการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน


@@@@@@@

สรุป :-

พุทธสุภาษิต "อตฺตา หเว ชิตํ เสยฺโย" สอนให้เราเห็นความสำคัญของการฝึกฝนและเอาชนะจิตใจตนเอง การเอาชนะกิเลสและความอ่อนแอภายในเป็นชัยชนะที่ประเสริฐที่สุด ยั่งยืนที่สุด และนำมาซึ่งความสุขที่แท้จริง นอกจากนี้ยังเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาตนเองและสร้างสังคมที่สงบสุข การมุ่งมั่นเอาชนะตนเองจึงเป็นหนทางสู่ความเจริญก้าวหน้าทั้งทางโลกและทางธรรม

ดังนั้น แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่การแข่งขันและการเอาชนะผู้อื่น เราควรหันกลับมาพิจารณาตนเอง ฝึกฝนจิตใจ และพยายามเอาชนะกิเลสที่คอยรบกวนจิตใจของเรา นั่นแหละคือหนทางแห่งความสุขและความสำเร็จที่แท้จริงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ๛





ที่มา : http://www.dhammathai.org/suphasit/data/Page_01.jpg
ขอบคุณ : https://www.dhammathai.org/suphasit/dbview.php?No=130
36  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / การภาวนาก็เหมือน "การคอยเช็ดกระจกรถ" (ที่สุดแล้ว..ต้องทำลายกระจกนั้นเสีย) เมื่อ: สิงหาคม 03, 2025, 07:46:56 am
.



การภาวนาก็เหมือน "การคอยเช็ดกระจกรถ" (ที่สุดแล้ว..ต้องทำลายกระจกนั้นเสีย)

การดำเนินชีวิตของคนเรา เหมือนการขับรถบนทางขรุขระ เต็มไปด้วยหลุมและบ่อ ความคิดเข้าข้างตัวเอง การถือตัวถือตน ความอยากต่างๆ เหมือนขี้ฝุ่นที่ตลบทางตลอด การภาวนา ก็เหมือนการคอยเช็ดกระจกรถ

                      พระอาจารย์ชยสาโร




ที่มา : https://www.facebook.com/photo/?fbid=4927257797382867&set=pb.100064337808864.-2207520000.
ขอบคุณ : https://www.dhammathai.org/khatitham/dbview.php?No=193
37  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มส.แก้กฎมหาเถรฯ "พระผิดวินัยขั้นปาราชิก" หลักฐานชัดจบเรื่องใน 10 วัน เมื่อ: สิงหาคม 03, 2025, 07:22:44 am
.




มส.แก้กฎมหาเถรฯ "พระผิดวินัยขั้นปาราชิก" หลักฐานชัดจบเรื่องใน 10 วัน

ที่ประชุม มส.เห็นชอบแก้กฎมหาเถรสมาคม 2 ฉบับ กรณีพระสงฆ์ทำผิดพระธรรมวินัย อำนาจวินิจฉัยชี้ขาดเป็นของคณะสงฆ์ และหากปรากฏหลักฐานชัดขั้นปาราชิก ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จใน 10 วัน

วันนี้ (21 ก.ค.2568) มีการประชุมนัดพิเศษของมหาเถรสมาคม (มส.) อีกครั้ง หลังจากสมเด็จพระสังฆราช ได้ทรงแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อยกร่างกฎมหาเถรสมาคม ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา และวันนี้ทรงมีพระวินิจฉัยเห็นชอบในร่างกฎมหาเถรสมาคมฉบับแก้ไขเพิ่มเติมที่คณะทำงานนำขึ้นถวาย และมีพระบัญชาให้นำเสนอ มส.พิจารณา

การประชุมกรรมการ มส. ที่ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร มีกรรมการ มส. อาทิ สมเด็จพระธีรญาณมุนี วัดเทพศิรินทราวาส, สมเด็จพระพุฒาจารย์ และสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี วัดไตรมิตรวิทยาราม, สมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร, สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม รวมทั้งนายอินทพร จั่นเอี่ยม ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) และ ศ.พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ ที่ปรึกษา มส. เข้าร่วมประชุม





ศ.พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ ที่ปรึกษา มส. เปิดเผยว่า จากปัญหาพระภิกษุจำนวนหนึ่งประพฤตินอกพระวินัยตามที่เป็นข่าวในขณะนี้ วันนี้ (21 ก.ค.) ที่ประชุม มส.มีมติเห็นชอบในร่างแก้ไขเพิ่มเติมกฎมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการลงนิคหกรรม (คือการวินิจฉัยตัดสินโทษพระภิกษุที่กระทำผิด) ฉบับหนึ่ง และว่าด้วยการให้พระภิกษุสละสมณเพศ อีกฉบับหนึ่ง ซึ่งกฎมหาเถรสมาคมทั้ง 2 ฉบับมีเนื้อหาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน

กฎทั้ง 2 ฉบับบัญญัติขึ้นมาตั้งแต่ปี 2521 และ 2538 (เป็นเวลา 47 ปีและ 30 ปีตามลำดับ) การกล่าวหาอธิกรณ์ (ข้อกล่าวหาว่าพระภิกษุกระทำผิดพระวินัย) อาศัยพยานหลักฐานในยุคนั้น คือพยานบุคคลและพยานเอกสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผิดฐานเสพเมถุน ที่ทำให้ขาดจากความเป็นพระภิกษุด้วยเหตุที่เรียกว่าปาราชิก ยากต่อการหาพยานหลักฐานที่แน่ชัด อีกทั้งยังกำหนดกระบวนการพิจารณาให้มีการพิจารณาชั้นต้น อุทธรณ์และฎีกาด้วย ทำให้กว่าที่จะปรากฏผลสุดท้ายว่าเป็นเช่นไรต้องใช้เวลานานแรมปี

แต่ปัจจุบันพยานหลักฐาน เช่น คลิปวิดีโอ การตรวจสอบข้อมูลสนทนาทางโทรศัพท์ ฯลฯ สามารถเข้าถึงได้ หากพิสูจน์ได้ว่าพยานหลักฐานเหล่านั้นเป็นข้อเท็จจริง ชัดเจนเพียงพอที่จะรับฟังเพื่อชี้ขาดอธิกรณ์ได้ จึงสมควรที่จะมีการแก้ไขกฎมหาเถรสมาคมในเรื่องนี้

ศ.พิเศษ ธงทอง กล่าวอีกว่า การแก้ไขกฎมหาเถรสมาคมทั้ง 2 ฉบับ ยังรักษาหลักการตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ซึ่งสอดคล้องกับพระธรรมวินัยในพระพุทธศาสนา ที่กำหนดให้การวินิจฉัยอธิกรณ์และการลงนิคหกรรม เป็นเรื่องของคณะสงฆ์ดำเนินการ ไม่ใช่ฆราวาสหรือข้าราชการจะเป็นผู้ชี้ขาด แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องเอื้อเฟื้อสนับสนุนเรื่องพยานหลักฐานและการทำงานของคณะสงฆ์



ศ.พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ ที่ปรึกษา มส.


สำหรับสาระสำคัญที่มีการแก้ไขเพิ่มเติม คือ หากปรากฏหลักฐานที่เชื่อถือได้ ไม่ว่าจะเป็นหลักฐานจากหน่วยงานต่างๆ ว่ามีภิกษุกระทำความผิดถึงปาราชิก หรือแม้ไม่ถึงปาราชิก เช่น ความผิดในระดับสังฆาทิเสส แต่เกิดผลความเสียหายร้ายแรงแก่คณะสงฆ์ พศ.ต้องนำเสนอเรื่องพร้อมพยานหลักฐาน เพื่อให้ผู้มีอำนาจพิจารณาชี้ขาด

กรณีพระภิกษุทั่วไปกระทำผิด เป็นหน้าที่และอำนาจของเจ้าคณะภาคเป็นผู้ตัดสิน หากเป็นกรณีพระสังฆาธิการ (พระภิกษุผู้มีตำแหน่งในทางปกครอง) เป็นหน้าที่และอำนาจของเจ้าคณะใหญ่เป็นผู้ตัดสิน แต่หากผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดเป็นเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค เจ้าคณะใหญ่ หรือเป็นพระราชาคณะ เป็นหน้าที่และอำนาจของ มส.เป็นผู้พิจารณา

ทั้งนี้ การพิจารณาอธิกรณ์เรื่องปาราชิก หรือมีความร้ายแรง ตามที่กำหนดในกฎมหาเถรสมาคม ซึ่งมีหลักฐานชัดเจน ผู้มีหน้าที่และอำนาจต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในเวลาไม่เกิน 10 วัน และเมื่อมีคำวินิจฉัยชี้ขาดให้ผู้กระทำผิดต้องสละสมณเพศแล้ว แต่ยังไม่ปฏิบัติตาม ให้ พศ.ประสานขอกำลังจากเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติตามคำสั่งนั้น

สำหรับขั้นตอนหลังร่างกฎมหาเถรสมาคม 2 ฉบับได้รับความเห็นชอบแล้ว พศ.จะได้นำขึ้นถวายสมเด็จพระสังฆราช เพื่อทรงลงพระนาม และนำไปประกาศในหนังสือแถลงการณ์คณะสงฆ์ เพื่อให้มีผลใช้บังคับในเร็วๆ นี้

    "การแก้ไขเพิ่มเติมกฎมหาเถรสมาคมทั้ง 2 ฉบับ จะเป็นผลให้การพิจารณาอธิกรณ์ร้ายแรงปรากฏผลในเร็ววัน เชื่อว่าจะทำให้พุทธศาสนิกชนมีความสบายใจที่ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในแนวทางนี้"

อ่านข่าว

- "กฎห้ามถือเงินแสน" วัดป่าเห็นด้วย-วัดเมืองชี้ต้องปรับให้เหมาะสม
- จ่อรื้อใหญ่ พศ. ทำ “อลัชชี” เต็มวงการสงฆ์ ซ้ำสะเทือน





ขอบคุณ : https://www.thaipbs.or.th/news/content/354477
21 ก.ค. 68 , 19:22
38  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เจ้าอาวาสดัง ‘วัดบางคลาน’ จ.พิจิตร ยื่นหนังสือลาออก – เตรียมตั้งรักษาการทำหน้าที เมื่อ: สิงหาคม 03, 2025, 07:15:01 am
.

   

เจ้าอาวาสดัง ‘วัดบางคลาน’ จ.พิจิตร ยื่นหนังสือลาออก – เตรียมตั้งรักษาการทำหน้าที่แทน

จากกรณีที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และพนักงานเจ้าหน้าที่จาก ป.ป.ท. พร้อมด้วยรักษาการเจ้าคณะจังหวัดพิจิตร ได้เดินทางมาที่วัดหิรัญญาราม หรือวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน ต.บางคลาน อ.โพทะเล จ.พิจิตร โดยได้ขอเข้าพบพูดคุยกับ พระครูพิสุทธิวรากร เจ้าอาวาสวัดหิรัญญาราม หรือวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร ได้ยกเหตุผลต่างๆ ในการเจรจาว่าเจ้าอาวาสขาดคุณสมบัติในการบริหารวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน ก่อให้เกิดความแตกแยก และความไม่สงบรวมถึงความไม่เหมาะสมอีกหลายประการ พระครูพิสุทธิวรากร เจ้าอาวาสวัดหิรัญญาราม หรือวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน

จนกระทั่งพระครูพิสุทธิวรากรเจ้าอาวาสวัดหิรัญญารามหรือวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน ได้ลงนาม ในหนังสือลาออกจากการเป็นเจ้าอาวาสวัดบางคลาน เมื่อวันที่ 31 กรกฏาคม 2568 ที่ผ่านมา

ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2568 นายคม ภัทรกุลประเสริฐ ผอ.สำนักพุทธศาสนา จังหวัดพิจิตร กล่าวว่า หลังจากที่พระครูพิสุทธิวรากร เจ้าอาวาสวัดหิรัญญาราม หรือวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน อำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร ได้ลงนามลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบางคลาน เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 โดยไม่ได้ ให้เหตุผลว่าลาออกเพราะอะไร แต่หลังจากที่ท่านลาออก ที่ผ่านมามีผลตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคมเป็นต้นไป

ซึ่งเรื่องดังกล่าว ต้องรอให้ครบกำหนดภายใน 15 วัน และคณะสงฆ์จะต้องแต่งตั้งรักษาการเจ้าอาวาสวัดบางคลานแทนตำแหน่งที่ว่าง เพื่อปฎิบัติหน้าที่แทน ซึ่งตามขบวนตามกฎของมหาเถรสมาคม ก็ต้องให้ทางเจ้าคณะตำบล อำเภอโพทะเล คัดเลือกจากพระที่อยู่ในวัด ดังนั้น ต้องมีการประชุมกัน ส่วนประชาชนหรือชาวบ้านจะเข้าไปมีส่วนร่วมไหม ต้องดูทางคณะสงฆ์ว่าจะให้เข้าไปหรือเปล่า ตรงนี้ต้องรอ





ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมอีกว่า ถึงแม้ว่าพระครูพิสุทธิวรากร เจ้าอาวาสวัดหิรัญญาราม หรือวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน จะลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบางคลานแล้ว แต่ประชาชนชาวจังหวัดพิจิตร ยังมั่นใจว่าศึกวัดบางคลานยังไม่จบ เนื่องจากชาวบ้านแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย อีกฝ่ายหนึ่งเป็นคนของลูกศิษย์อดีตเจ้าอาวาส คนเก่า และอดีตเจ้าอาวาสที่เพิ่งลาออกจากตำแหน่งไป เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากนักการเมืองเข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้ ทำให้ปัญหายืดเยื้อ มีตลอดมาปัญหาความแตกแยก มันเกิดขึ้นมานานแล้ว ไม่ใช่เดี๋ยวนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เบื้องลึกของการยอมสละตำแหน่งลาออกจากเจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน ในครั้งนี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับข่าวฉาวที่เกิดขึ้น รวมถึงฝ่ายต่อต้านที่ต้องการได้เจ้าอาวาสรูปใหม่เพื่อให้เข้ามาเป็นโจทก์ในคดี อดีตนักการเมืองและพวก รวมถึงชายชุดดำที่ตกเป็นจำเลยในคดีบุกรุกและปิดวัดหลวงพ่อเงินบางคลาน รวมถึงคดีหมิ่นประมาทและคดีอื่นๆ นับรวมเกือบ 10 คดี ที่ศาลยุติธรรมกำลังจะมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในช่วงเร็วๆ วันนี้ จึงเป็นแรงกดดันให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้นก็อาจเป็นได้






ขอบคุณ : https://www.matichon.co.th/local/news_5304840
วันที่ 2 สิงหาคม 2568 - 15:45 น.
39  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หลวงพ่อจรัญแนะนำ “หนทางในการบรรเทาวิบากกรรม” ด้วยวิธีสร้างบุญให้ถูกวิธี เมื่อ: สิงหาคม 01, 2025, 10:12:20 am
.

ขอบคุณภาพจาก https://www.dhammathai.org/monktalk/dbview.php?No=967


หลวงพ่อจรัญแนะนำ “หนทางในการบรรเทาวิบากกรรม” ด้วยวิธีสร้างบุญให้ถูกวิธี




 :25: :25: :25:

หลวงพ่อแนะ ใครกำลังดวงตก ทุกข์ใจมากมาก ให้สร้างธรรมทานแจกบทสวดมนต์
 
หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม หรือ พระธรรมสิงหบุราจารย์ เป็นที่รู้จักดีของผู้ที่มักปฎิบัติธรรม เนื่องจากมีความศรัทธาในคำสอนและหลักการปฏิบัติธรรมที่ท่านได้เผยแพร่คำสอนมาอย่างนาวนาน

ท่านเคยแนะนำแม้แต่ใครที่คิดว่า กำลังดวงตก ทุกข์ใจมากมาก ให้สร้างธรรมทานแจกหนังสือธรรมะ แจกหนังสือสวดมนต์ (ทำให้ผู้อื่นได้ธรรม ได้พบความสุข ความสว่างแก้ปัญหาของชีวิต ) พร้อมวิธีสร้างบุญอย่างถูกวิธีไว้ดังนี้
 
@@@@@@@

วิธีสร้างบุญอย่างถูกวิธี

    1. ก่อนใส่บาตร… ให้จุดธูป 3 ดอกกลางแจ้ง ขอขมากรรม โดย ตั้ง นะโม 3 จบ แล้วกล่าวคำว่า ข้าพเจ้าขอขมากรรมต่อเจ้ากรรมนายเวร ศัตรู หมู่มาร หมู่พาล ทุกภพทุกชาติ ขอให้อโหสิกรรมให้ขาดจากกัน
 
    2. หลังใส่บาตรเสร็จ… ทุกครั้ง ให้ ตั้ง นะโม 3 จบ แล้วกล่าวว่า กุศลที่ลูกได้ทำแล้ว ขอถวายแด่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 5 พระองค์ ขอให้ทุกพระองค์ นำส่งบุญให้ข้าพเจ้า มีเดช ปัญญา โภคะ ขอให้สมหวัง สมปรารถนาทุกเรื่อง ขอให้มีบุญบารมีเต็มขั้น เกิดสภาวะธรรม ตามบุญวาสนาที่ได้ทำมา จากทุกภพทุกชาติโดยเร็วเทอญ และ ขออุทิศให้ เจ้ากรรมนายเวร ทุกภพทุกชาติ (วิญญาณ) ศัตรูหมู่มารหมู่พาล (เช่น มนุษย์,หุ้นส่วน,เพื่อน,ในครอบครัว) ทุกภพทุกชาติ (เอ่ยชื่อได้ยิ่งดี) ขอให้อโหสิกรรม ขอให้ขาดจากกัน ณ.เดี๋ยวนี้ เทอญ ขอให้อุปถัมภ์ค้ำจุนข้าพเจ้า
 
    3. ถ้าทำบุญด้วยข้าวสารเป็นกระสอบ หรือ ถมทราย ดิน ก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า … ผลบุญนี้ขอให้ข้าพเจ้าร่ำรวย เหมือนเมล็ดข้าวสาร เม็ดทราย ดิน เจ้ากรรมนายเวร ตามเมล็ดข้าวสาร ตามเม็ดทรายดิน ขอให้ได้รับ และขอให้อโหสิกรรม หลุดขาดจากกัน ณ บัดนี้เดี๋ยวนี้เทอญ ขอให้ข้าพเจ้า มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง พบแต่ ผู้อุปถัมภ์ค้ำชู
 
    4. กรณีที่ดวงตกมาก ขอให้แผ่บุญให้ตนเอง ให้มาก ๆ บางท่านก็แผ่ให้ผู้อื่น จนลืมให้ตัวเอง ตัวเราเอง ต้องมีบุญบารมี แก่กล้า จริง ๆ จึงจะช่วย และให้ผู้อื่นได้ ควรสวด อิติปิโส ฯ เลยอายุ 1 จบ มีเวลาขอให้ไป ปฏิบัติธรรม ฝึกวิปัสสนาด้วย จะเกิดผลเร็ว โทสะจะน้อยลง ควรแผ่เมตตาให้มากๆ วันละ 10 – 30 ครั้ง

การแผ่เมตตาที่ได้ผลนั้น ท่านพระธรรมสิงหบุราจารย์แนะนำว่า ถ้าจะกรวดน้ำ ต้องกรวดน้ำลงดิน ทุกครั้ง วันละ 100 ครั้ง เจ้ากรรมนายเวรจะหาย 100 เท่า 100 วิญญาณ
 
หรือ ใช้สมาธิกำหนดอธิษฐานจิต ด้วยความตั้งใจ ประกอบด้วยความมีสติ และสัมปชัญญะ แผ่เมตตาออกจาก ลิ้นปี่ แล้วอุทิศส่วนกุศล จากจักระ 6 หรือบริเวณตาที่สาม ที่กลางหน้าผาก ต่ำลงเล็กน้อย จะได้ผลมากขึ้น

อุทิศบุญใช้กับผู้ตาย นำส่งบุญใช้กับผู้ยังมีชีวิตอยู่ ถวายบุญกุศลใช้กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แก้กรรมให้ตนเองได้ผลดีเร็วขึ้น

 
@@@@@@@

วิบากกรรมของแต่ละคน ล้วนแตกต่างกันไป บางคนป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ บางคนตกงานบ่อย บางคนลำบากมาก หากินไม่คล่อง บางคนลูกเกเร วิบากกรรมนี้ ตามมาหลายภพหลายชาติ ซึ่งมีส่วนทำให้เราเกิดมาแตกต่างกัน แต่อย่าเพิ่งสิ้นหวัง

หนทางในการบรรเทาวิบากกรรมนั้นมี ซึ่งอาจทำได้หลายวิธี ดังนี้
 
เวลาที่เราทำบุญ หรือทำความดีทุกครั้ง นอกจากบุญที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เช่น การใส่บาตร การถือศึล ฯลฯ

แล้วการพูดคุยที่ช่วยให้ผู้อื่นสบายใจ การสนทนาธรรม การให้ธรรมทาน การร่วมบริจาค หนังสือธรรมะ ชี้แนะแนวทาง แก้ไขปัญหาชีวิต ให้กับผู้สิ้นหวัง

การทำความสะอาดห้องพระ การถวายน้ำเปล่าเพียง 1 แก้ว ให้กับหิ้งพระพุทธฯ การร่วมอนุโมทนา การทำความดีของผู้อื่น โดยการใช้ จิตน้อมไปทางบุญกุศล

การกวาดใบไม้ ทำสวน ทำความสะอาด ห้องน้ำ หรือของส่วนรวม การดูแลคนแก่ เด็ก การที่เรามีจิตใจดี หรือตั้งใจดี ฯลฯ

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเป็นกุศล และเป็นบุญทั้งสิ้น
 
@@@@@@@

ให้ตั้ง นะโม 3  ข้าพเจ้า (บอกชื่อตัว) นามสกุล เกิดวันที่ วันนี้ ข้าพเจ้าขอตั้งจิต ถึงบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วสากลโลก รวมถึง องค์เทพ องค์พรหม ที่ปกปักรักษากายสังขารวิญญาณลูกอยู่ วันนี้ลูกตั้งจิตถวาย (บุญที่ทำ เช่นใส่บาตร ถือศีล สวดมนต์ ให้ทาน ฯลฯ)

ลูกขอถวายบุญกุศลนี้ แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกๆ พระองค์ นำส่งบุญให้ลูกเจริญขึ้น ทั้งการงานการเงิน และความรัก ให้ลูกมีเดช ปัญญาโภคะ (ความสมบูรณ์) ทุกภพทุกชาติ
 
และขออุทิศบุญกุศลนี้ ให้กับเจ้ากรรมนายเวรทุกภพทุกชาติ รวมถึงวิญญาณที่ตามมา ทุกผู้ทุกคน ศัตรูหมู่มารหรือหมู่พาล คือมนุษย์ เช่น บริวาร ญาติมิตร คนรับใช้ สามี บุตร ธิดา ทุกภพทุกชาติ ขอให้ได้รับมหากุศลนี้ รับแล้วขอให้อโหสิกรรม ซึ่งกันและกัน ให้ขาดจากกัน ณ.เดี๋ยวนี้บัดนี้

ขอให้ข้าพเจ้า มีบุญบารมีสูงขึ้นๆ เต็มขึ้น เพื่อช่วยสังคมให้สูงขึ้น และสร้างคนให้เป็นพระต่อไป และให้เกิด ปัญญาทางธรรม สมบูรณ์พูนผลทุกอย่าง ด้วยบุญที่ทำนี้เทอญ สาธุ





ขอบคุณที่มา : https://chantingbook.com/dhamma_0022/
40  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "บรมธรรม ๔ ประการ" (สมเด็จพระญาณสังวรฯ) เมื่อ: สิงหาคม 01, 2025, 10:01:35 am
.



"บรมธรรม ๔ ประการ" (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)



 :25: :25:

"บรมธรรม ๔ ประการ"

      - บรรดาลาภทั้งหลาย ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง
      - บรรดาทรัพย์ทั้งหลาย สันโดษเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง

     - บรรดาญาติทั้งหลาย ความคุ้นเคยไว้วางใจเป็นญาติอย่างยิ่ง
     - บรรดาความสุขทั้งหลาย นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

บรมธรรม ๔ ประการนี้ จึงเป็นมงคลให้ถึงความเจริญ ด้วยประการฉะนี้


แสงส่องใจ ๓ ตุลาคม ๒๕๒๑
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๙ 





ขอขอบคุณ :-
ข้อธรรม : https://www.dhammathai.org/monktalk/dbview.php?No=1545 | โดย วิริยะ12 
ภาพ : https://มูลนิธิสมเด็จพระสังฆราช.com/download-picture-detail.php?id=77
หน้า: [1] 2 3 ... 732