|
แสดงกระทู้
|
| This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to. |
Messages - raponsan
|
|
หน้า: [1] 2 3 ... 735
|
|
2
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นาค ในคัมภีร์ “อุรังคธาตุ” (หรือตำนานพระธาตุพนม)
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2025, 07:45:02 am
|
. นาค บันไดหอพระวัดพระแก้ว สปป.ลาว (ภาพจาก https://www.khaosod.co.th/lifestyle/news_716687)นาค ในคัมภีร์ “อุรังคธาตุ” (หรือตำนานพระธาตุพนม)นาค เป็นอมนุษย์ที่สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้อย่างสวยงาม ในวรรณคดีไทยมีเรื่องราวของ นาค เข้ามาเกี่ยวข้องหลายเรื่อง เช่น ในสุธนชาดกมีเรื่งราวของพญาจิตชมภูนาคราชแห่งเมืองอุดรปัญจาล์ ทำให้บ้านเมืองอุดมสมบูรณ์ ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ลักษณะเดียวกับช้างปัจจัยนาเคนทร์ในเรื่องเวสสันดรชาดก
ใน ตำนานอุรังคธาตุ กล่าวว่า แต่เดิมนาคทั้งหลายอาศัยอยู่ที่หนองแส แต่เมื่อธนมูลนาคทะเลาะกับพนทโยนกวตินาค ทำให้น้ำในหนองแสขุ่น นาคทั้งหลายจึงออกมาจากหนองแส ดังความในตำนานอุรังคธาตุว่า
“…นาคทั้งหลายมี สุวรรณนาค กุทโธทปาปนาค ปัพพารนาค สุกขรนาคหัตถี สีสาสัตตนาค มี 7 หัว คหัตถีนาค เป็นเค้า แลนาคทั้งหลายฝูงเป็นบริวารมากนัก อยู่น้ำหนองแสนนั้นบ่ได้ เหตุว่าน้ำหนองแสขุ่นมัวเสียมากนักจึงออกมา…”
@@@@@@@
นาค กับ พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ ในตำนานอุรังคธาตุ มีดังต่อไปนี้
(1) พินทโยนกวตินาค เดิมอยู่ที่หนองแส ต่อมาเมื่อหนองแสขุ่นจึงควัดแผ่นดินไปเป็นแม่น้ำปิง และเมืองโยนกวตินคร
(2) ธนมูลนาค เดิมอยู่ที่หนองแส ต่อมาเมื่อหนองแสขุ่นจึงควัดแผ่นดินไปเป็นแม่น้ำอุรังคนที หรือน้ำอู แล้วควัดต่อไปถึงเมืองินทปัตถนครถึงมหาสมุทร แล้วควัดไปยังเมืองกุรุนทะนคร เรียกว่า แม่น้ำมูลนที
(3) ชีวายนาค เดิมอยู่ที่หนองแส ต่อมาเมื่อหนองแสขุ่นจึงควัดแผ่นดินไปเป็นแม่น้ำอุรังคนที หรือน้ำอู แล้วควัดจากแม่น้ำมูลจนถึงเมืองหนองหาญหลวงหนองหาญน้อย ถึงเมืองกุรุนทะนคร เรียกว่า แม่น้ำชีวายนที
(4) สุวรรณนาค เดิมอยู่ที่หนองแส ต่อมาเมื่อหนองแสขุ่นจึงควัดแผ่นดินไปอยู่ที่ภูปู่เวียนเมืองสุวรรณภูมิ มีเกล็ดเป็นทองคำ หากเกล็ดหล่นที่ใด ที่นั้นจะเกิดเป็นบ่อคำ
(5) กุทโธทปาปนาค เดิมอยู่ที่หนองแส ต่อมาเมื่อหนองแสขุ่นจึงควัดแผ่นดินไปอยู่ที่หนองบัวบานเป็นหลานสุวรรณนาค พระพุทธเจ้าปราบพยศแล้วประทานรอยพระบาทไว้ให้ที่หนองบัวบาน
(6) ปัพพารนาค เดิมอยู่ที่หนองแส ต่อมาเมื่อหนองแสขุ่นจึงควัดแผ่นดินไปอาศัยอยู่ที่ภูเขาลวง มีสังวาลที่คอทำจากแก้วปัพพา
(7) สุกขนาคหัตถี เดิมอยู่ที่หนองแส ต่อมาเมื่อหนองแสขุ่นจึงควัดแผ่นดินไปอาศัยอยู่ที่เวินสุก ได้นำรอยพระบาทไปไว้ในที่อยู่ของตน ที่แห่งนั้นจึงได้ชื่อว่า เวินพระเจ้า
(8) สีสาสัตตนาค หรือ ศรีสัตตนาค เดิมอยู่ที่หนองแส ต่อมาเมื่อหนองแสขุ่นจึงควัดแผ่นดินไปอยู่ที่ดอยนันทกังฮี
(9) คหัตถีนาค เดิมอยู่ที่หนองแส ต่อมาหนองแสขุ่นจึงควัดแผ่นดินไปอยู่ที่เวินหลอด
(10) โธทนะนาค อาศัยอยู่ที่น้ำพุงสา อยู่ระหว่างทางจากภูกำพร้าไปเมืองหนองหาญหลวง เดิมเป็นเชื้อสายพญาศรีสุทโธทนะ ตายเพราะความโกรธจึงเกิดเป็นนาค ได้พังธรรมจากพระพุทธเจ้า เมื่อตายจึงไปจุติเป็นโธทนะนาคเทวบุตร อยู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
@@@@@@@
(11) ภังคียนาค เป็นลูกของกุทโธทปาปนาค แล้วสุวรรณนาคนำไปเลี้ยง ต่อมาแปลงกายเป็นกระรอกเผือกไปที่เมืองหนองหาญน้อย ถูกนายพรานยิงตายแล้วคนทั้งหลายเอาเนื้อภังคียนาคไปกิน กุทโธทปาปนาคโกรธจึงถล่มเมืองหนองหาญน้อย
(12) กายโลหนาค อาศัยอยู่ที่ป่ามหาพุทธวงศา ใกล้เมืองสุวรรณภูมิ
(13) เอกจักขุนาค อาศัยอยู่ที่ร่องซะแก ใกล้เรือนของบุรีอ้วยล่วย
(14) สุคันธนาค อาศัยอยู่หาดทรายกลางน้ำโขง
(15) เชษฐไชยนาค อาศัยอยู่หนองคันแทผีเสื้อน้ำ
(16) สหัสสพลนาค อาศัยอยู่หนองยางคำ
(17) คันธรรพนาค อาศัยอยู่ท่านาเหนือ
(18) สิทธิโภคนาค อาศัยอยู่ท่านาใต้
(19) สิริวัฒนนาค อาศัยอยู่กกคำ
(20) อินทจักรนาค อาศัยอยู่ปากห้วยมงคล
@@@@@@@
ในจำนวนของนาคที่กล่าวมาข้างต้น พบว่า นาคในลำดับที่ 1 ถึง 11 ปรากฏใน ตำนานอุรังคธาตุ ส่วนที่เป็นศาสนานครนิทาน และตอนที่กล่าวถึงการกำเนิดแม่น้ำสายต่างๆ ที่แทรกอยู่ตอนกลางของเรื่อง ส่วนนาคในลำดับที่ 12 ถึง 20 ปรากฏในตำนานอุรังคธาตุตอนที่กล่าวถึงบุรีอ้วยล่วยได้ครองเมืองเวียงจันทร์
โดย ตำนานอุรังคธาตุ ปว.04 ของสุเนตร โพธิสาร ได้อธิบายว่า นาคที่ปรากฏในตำนานอุรังคธาตุ คือ ผู้นำชาวลาวในอดีต ประกอบด้วย
1. สุวรรณนาค คือ ขุนลาวคำ 2. กุทโธทปาปนาค คือขุนลาวเคียด 3. ปัพพารนาค คือขุนลาวไล 4. สุขหัตถีนาค คือขุนลาวสุก 5. สีสัตตนาค คือ ขุนลาวล้านช้าง และ 6. คหัตถีนาค คือ ขุนลาวออก
@@@@@@@
ตารางแสดง เมือง ภูมินาม และที่ตั้งภูมิศาสตร์ปัจจุบัน ตารางแสดง เมือง ภูมินาม และที่ตั้งภูมิศาสตร์ปัจจุบันตารางแสดง นาค กับการกำเนิดแหล่งน้ำใน ตำนานอุรังคธาตุ ตารางแสดง นาคกับการกำเนิดแหล่งน้ำในตำนานอุรังคธาตุตารางแสดง ความสัมพันธ์ระหว่าง นาค กับพื้นที่พุทธสถาน ตารางแสดง ความสัมพันธ์ระหว่างนาคกับพื้นที่พุทธสถานอ่านเพิ่มเติม :-
• (นาง) นาคแม่น้ำโขง เชื่อมโยงเครือญาติ “ไทย-ลาว” กับ “มอญ-เขมร” • “พระธาตุพนม” เจดีย์บัวเหลี่ยมลาวล้านช้าง ปรากฏร่องรอย “ศิลปะจาม”
ขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : ยุทธพงศ์ มาตย์วิเศษ เผยแพร่ : วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ.2567 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 11 สิงหาคม 2566 website : https://www.silpa-mag.com/history/article_114787
|
|
|
|
|
3
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปิด 4 ตระกูลใหญ่ของ “พญานาค” มีอะไรบ้าง แตกต่างกันอย่างไร.?
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2025, 07:19:07 am
|
. จิตรกรรมพญานาคที่วัดโพธิ์ (ภาพโดย Andrea Kirkby ใน Flickr สิทธิการใช้งาน CC BY-SA 2.0)เปิด 4 ตระกูลใหญ่ของ “พญานาค” มีอะไรบ้าง แตกต่างกันอย่างไร.?“พญานาค” เป็นอมนุษย์ที่ปรากฏอยู่ในวรรณคดีไทยมากมาย มีความเชื่อว่าสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ (ยกเว้นเพียงตอนเกิด ตาย นอนหลับ ร่วมเพศ และเวลาลอกคราบ) ทั้งยังช่วยเหลือมนุษย์ในเรื่องต่าง ๆ มากมาย ขณะเดียวกันพญานาคแต่ละตนก็เกิดในที่ต่างกัน มีความแตกต่างกัน ดูได้จากลักษณะทางกายภาพ รวมถึงมีการแบ่ง 4 ตระกูลใหญ่ของพญานาค มกรคายพญานาคเจ็ดเศียร เชิงบันไดวัดพระธาตุดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ ภาพโดย Thanyakij จาก th.wikipedia.org/wiki/มกร มีความเชื่อว่าพญานาคเกิดขึ้นมาจากนางกัทรูและพระกัศยพราหมณ์ฤษี โดยนางกัทรูมีลักษณะเป็นสัตว์ เกิดจากฟองไข่ และให้กำเนิดลูกครั้งแรกจำนวน 1,000 ตัว
พญานาคแต่ละตนสามารถเกิดขึ้นมาได้ 4 ลักษณะ ได้แก่ เกิดในฟอง เรียกว่า “อัณฑชะ” เกิดในครรภ์ เรียกว่า “ชลาพุชะ” เกิดในที่หมักหมม เรียกว่า “สังเสทชะ” และเกิดแล้วโตทันที ได้แก่ “โอปปาติกะ”
ถึงแม้ว่าจะเกิดต่างกัน แต่ในคัมภีร์บาลีก็กล่าวไว้ว่านาคที่เกิดมาทั้ง 4 แบบนี้ล้วนแต่มีบุญและมีอำนาจ
พญานาคยังสามารถแบ่งตระกูลออกเป็น 4 ตระกูลใหญ่ ดูได้จากสีผิว
พญานาคที่วัด (ภาพ : pixabay)4 ตระกูลใหญ่ของพญานาค
1. ตระกูลวิรูปักขะหรือตระกูลวิรูปักข์ มีผิวกายเป็นสีทองคำ ตระกูลนี้เรียกได้ว่าเป็นราชาใหญ่แห่งนาคทั้งหมด และเป็นหนึ่งในสี่มหาราชที่ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศตะวันตก 2. ตระกูลเอราปักถะ มีผิวสีเขียว 3. ตระกูลฉัพยาปุตตะ มีผิวสีรุ้ง 4. ตระกูลกัณหาโคตมะ มีผิวสีดำ
พญานาคยังมีตระกูลยิบย่อยของตนเองอยู่อีก 1,024 ชนิด และเรียกได้ว่าเป็นสัตว์เลื้อยคลานประเภทงูและงูทุกชนิดก็ถือว่าเป็นลูกหลานของพญานาคทั้งสิ้น
อ่านเพิ่มเติม :-
• นาค ในคัมภีร์ “อุรังคธาตุ” (หรือตำนานพระธาตุพนม) • ถอดความเชื่อและเรื่องเล่า รูพญานาคกับพระเจ้าใหญ่ วัดโพนชัย จ.เลย • “พันปีไม่เคยแห้ง” น้ำศักดิ์สิทธิ์ ของพญานาค จากสระทั้งสี่ ที่เมืองสุพรรณบุรี
ขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : ปดิวลดา บวรศักดิ์ เผยแพร่ : วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ.2568 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 5 กันยายน 2567 website : https://www.silpa-mag.com/culture/article_138663อ้างอิง :- - https://www.matichonweekly.com/column/article_640940- วิเชียร นามการ, วทัญญู ภูครองนา, สุทธิวิทย์ จันทร์ภิรมย์ และประสิทธิ์ คำกลาง. บทบาทความเชื่อเรื่องพญานาคในพระพุทธศาสนาต่อสังคมไทย ใน วารสาร มจร อุบลปริทรรศน์ ปีที่ 6 ฉบับที่ 3 (กันยายน-ธันวาคม), 2564.
|
|
|
|
|
4
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “น้ำท่วมดีกว่าฝนแล้ง” คารมจอมพล ป. ที่ครูไพบูลย์ใช้แต่งเพลง“น้ำท่วม” จนดังระเบิด
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2025, 08:34:04 am
|
. น้ำท่วมบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ่ายจากด้านถนนราชดำเนินหน้าอาคารสี่แยกคอกวัว เมื่อ 12 ตุลาคม 2485 (ภาพจากหนังสือ บทประพันธ์นิราศน้ำท่วม กับลิลิตพระบรมอัฐิ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและอื่นๆ“น้ำท่วมดีกว่าฝนแล้ง” คารมจอมพล ป. ที่ครูไพบูลย์ใช้แต่งเพลง “น้ำท่วม” จนดังระเบิด “น้ำท่วมดีกว่าฝนแล้ง” คารมจอมพล ป. ที่ครูไพบูลย์ใช้แต่งเพลง “น้ำท่วม” จนดังระเบิด
ทุกครั้งที่เกิด “น้ำท่วม” ขึ้นในประเทศไทย เพลงดังที่สถานีวิทยุและโทรทัศน์ “ต้อง” ใช้เป็นเพลงประกอบเสมอก็คือ “เพลงน้ำท่วม” ที่ร้องว่า “น้ำท่วมดีกว่าฝนแล้ง” ซึ่งเป็นเพลงที่ ครูไพบูลย์ บุตรขัน เป็นผู้แต่ง
เนื้อเพลงตอนต้นที่ร้องว่า “น้ำท่วม น้องว่าดีกว่าฝนแล้ง” นั้น ครูไพบูลย์ บุตรขัน (4 กันยายน 2461 – 29 สิงหาคม 2515) นำมาจากเหตุการณ์จริงเมื่อน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ ปี 2485 จนบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าสามารถใช้เป็นที่แข่งเรือได้
จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในเวลานั้นจึงพูดแก้เกี้ยวว่า “น้ำท่วมดีกว่าฝนแล้ง” ครูไพบูลย์ บุตรขัน และคนในครอบครัว (ภาพจาก ราชานักแต่งเพลงลูกทุ่งไทย ไพบูลย์ บุตรขัน)น้ำท่วมปี 2485 สร้างความเดือดร้อนไปทั่วพระนคร พระยาอรรถศาสตร์โสภณ (สว่าง จุลวิธูร) บันทึกเหตุการณ์ดังกล่าว โดยเขียนกลอนสุภาพ ชื่อ “นิราศน้ำท่วม” ดังความความตอนหนึ่งว่า
สนามหลวง เหมือนทะเล สาบน้อยๆ
ถาวรวัตถุ เหมือนลอย อยู่กลางหาว
มีละลอก คลื่นซัด สะบัดวาว
มองดูขาว เป็นน้ำหมด จดสะพาน
เชิงสะพาน ผ่านฟ้า ทั้งสองข้าง
น้ำสล้าง ท่วมสิ้น ทุกถิ่นฐาน
เรือใหญ่น้อย พายแจว แถวอาคาร
คล้ายกับบ้าน ริมคลอง มองไม่วาง
……………..
ราชดำเนิน นอกลางใน ใช่หนองคลอง
แต่ก็นอง ไปด้วยน้ำ เกิดทำเข็ญ
พระบรม รูปทรงม้า ถ้าจะเย็น
เพราะดูเด่น อยู่ในน้ำ หน้าอนันต์ น้ำท่วมปี 2485 บริเวณ ลานพระบรมรูปทรงม้า จนประชาชนนำเรือมาใช้แทน (ภาพจาก หนังสือบทประพันธ์นิราศน้ำท่วม กับลิลิตพระบรมอัฐิ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและอื่นๆ)ส่วนพื้นที่น้ำท่วมได้แก่ พื้นที่ริมน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งสองฝั่ง, เชิงสะพานพุทธ, กระทรวงสาธารณสุข (เดิมที่อยู่เทเวศร์), บ้านหม้อ, เจริญกรุง, เฉลิมกรุง, โรงพยาบาลกลาง, ถนนวรจักร, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ลานพระบรมรูปทรงม้า, สนามหลวง, กระทรวงมหาดไทย, อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย, นางเลิ้ง, ถนนราชดำเนิน, อุณากรรณ, ถนนเพชรบุรี ฯลฯ
เมื่อพิจารณาพื้นที่น้ำท่วมก็จะเห็นว่ากินบริเวณกว้าง ระยะเวลาที่น้ำท่วมประมาณ 35 วัน (ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน ถึงวันที่ 2-3 พฤศจิกายน 2485) ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะเรื่องสำคัญอย่างอาหารการกิน ดังที่มีการบันทึกในนิราศตอนหนึ่งว่า “ของสดสด ปลาผัก ชักแพงมาก ทั้งก็ยาก ที่จะใฝ่ ไปซื้อหา”
จอมพล ป. จึงสั่งให้ทางการชักชวนประชาชน “เพาะถั่วงอก” โดยเริ่มจากเพื่อรับประทานในครอบครัว เพราะถั่วงอกไม่ต้องอาศัยพื้นดินซึ่งนับว่าเหมาะกับสถานการณ์น้ำท่วมอย่างยิ่ง
“น้ำท่วม ดีกว่าฝนแล้ง” ที่จอมพล ป. กล่าวนั้น คงต้องการให้กำลังใจประชาชน เจ้าหน้าที่ รวมทั้งตนเอง
@@@@@@@
กลับมาที่เพลง “น้ำท่วม” ของครูไพบูลย์ นอกจากคำพูดของจอมพล ป. แล้ว ครูไพบูลย์ยังรวมเอาประสบการณ์จริงของศรคีรี ศรีประจวบ ผู้ขับร้องเพลงดังกล่าวมาผนวกเข้าไปในเนื้อเพลงอีกด้วย
ศรคีรี ศรีประจวบ ชื่อจริงว่า “สงอม ทองประสงค์” ชื่อเล่นว่า “น้อย” ส่วนชื่อ “ศรคีรี ศรีประจวบ” นั้นนายประหยัด สมานมิตร ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ขณะนั้นเป็นผู้ตั้งให้ ศรคีรีพื้นเพครอบครัวเป็นคนอำเภอบางคนที จังหวัดสมุทรสงคราม
ภายหลังเขาได้ย้ายมาอำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทำไร่สับปะรด ก่อนเข้าวงการเมื่อประมาณปี 2511-2512 อายุประมาณ 31-32 ปี เมื่อศรคีรีฝากตัวเป็นศิษย์ครูไพบูลย์ ได้เล่าประสบการณ์ของตนเองที่ต้องเผชิญกับน้ำท่วมไร่สับปะรดที่ประจวบเสียหายให้ครูไพบูลย์ฟัง
ครูเพลงอัจฉริยะก็แต่งเป็นเพลง “น้ำท่วม” ที่ขึ้นต้นด้วยคำพูดของผู้นำประเทศ และเรื่องราวประสบการณ์ของผู้ร้องไว้ในเพลงเดียวกัน จนทำให้ชื่อของศรคีรีเป็นที่รู้จักของแฟนเพลง และเพลงก็ดังระเบิดจนถึงทุกวันนี้
@@@@@@@
เพลงน้ำท่วม
น้ำท่วม น้องว่าดีกว่าฝนแล้ง
พี่ว่าน้ำแห้ง ให้ฝนแล้งเสียยังดีกว่า
น้ำท่วมปีนี้ทุกบ้านล้วนมีแต่คราบน้ำตา
พี่หนีน้ำขึ้นบนหลังคา น้ำตาไหลคลอสายชล
น้ำท่วม ใต้ฝุ่นกระหน่ำซ้ำสอง
เสียงพายุก้อง เหมือนเสียงของมัจจุราชบ่น
น้ำท่วมที่ไหน ก็ต้องเสียใจด้วยกันทุกคน
เพราะต้องพบกับความยากจน เหมือนคนหมดเนื้อสิ้นตัว
บ้านพี่ ก็ถูกน้ำท่วมเหมือนกัน
ที่ประจวบคีรีขันธ์ เหมือนกันไปทุกครอบครัว
ผืนนาก็ล่ม ไร่แตงก็จมเสียหายไปทั่ว
พี่จึงเหมือนคนหมดตัว หมดตัวแล้วนะแก้วตา
น้ำท่วม พี่ต้องผิดหวังชอกช้ำ
พี่คิดเช้าค่ำ ปล่อยให้น้ำท่วมตายดีกว่า
น้องอยู่บ้านดอน ช่างไม่อาทรถึงพี่สักครา
ไม่มาช่วยพี่ซับน้ำตา ไม่มามองพี่บ้างเลย
อ่านเพิ่มเติม :-
• กำเนิด “เพลงค่าน้ำนม” ครูไพบูลย์แต่งให้แม่ที่ดูแล ไม่รังเกียจโรคร้ายของลูก • “กลิ่นโคลนสาบควาย” เพลงดังขายดีที่สุดแห่งยุค โดนใครสั่ง “แบน” ?ขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : เสมียนนารี เผยแพร่ : วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2568 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 3 สิงหาคม 2562 website : https://www.silpa-mag.com/history/article_38197อ้างอิง :- - พระยาอรรถศาสตร์ไพศาลโสภณ (สว่าง จุลวิธูร). บทประพันธ์นิราศน้ำท่วม กับลิลิตพระบรมอัฐิ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและอื่นๆ , พิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ อำมาตรย์เอก พระยาอรรถศาสตร์ไพศาลโสภณ (สว่าง จุลวิธูร) ณ วัดมกุฏกษัตริยาราม วันที่ 12 กรกฎาคม 2501, โรงพิมพ์อักษรประเสริฐ - วัฒน์ วรรลยางกูร.คีตกวีลูกทุ่ง ไพบูลย์ บุตรขัน, พิมพ์ครั้งที่ 4, สำนักพิมพ์ฟรีฟอร์ม มิถุนายน 2555
|
|
|
|
|
5
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “พระยม” เทพประจำทิศทักษิณ เจ้าแห่งนรกและความตาย ผู้ทรง “กระบือ” เป็นพาหนะ
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2025, 06:37:43 am
|
. พระยม (ภาพ : Wikimedia Commons)“พระยม” เทพประจำทิศทักษิณ เจ้าแห่งนรกและความตาย ผู้ทรง “กระบือ” เป็นพาหนะ “พระยม” เทพประจำทิศทักษิณ เจ้าแห่งนรกและความตาย ผู้ทรง “กระบือ” เป็นพาหนะ
พระยม (Yama) เทพประจำทิศ “ทักษิณ” (ทิศใต้) เป็นที่รู้จักในหลายพระนาม ทั้งพญายม พระยมราช มัจจุราช และธรรมเทพ
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 อธิบายความหมายของ “ยม” ว่า “เทพเจ้าผู้เป็นใหญ่ประจำโลกของคนตาย” และอธิบายความหมายของ “มัจจุราช” ไว้ว่า “เจ้าแห่งความตาย คือ พญายม”
ส่วนคำว่า “ยมทูต” หมายถึง “ผู้นำคนตายไปยังบัลลังก์พระยมเพื่อรอคำตัดสิน” ว่าง่าย ๆ คือเป็นบริวารของพระยมนั่นเอง
ในคติพราหมณ์-ฮินดู พระยมเป็นหนึ่งในเทพประจำทิศทั้ง 8 ซึ่งจะต่างจากพุทธศาสนาที่มีท้าวมหาราชทั้ง 4 หรือจตุโลกบาล โดยทิศใต้มีท้าววิรุฬหกเป็นผู้ปกครอง ขณะที่ฝ่ายฮินดูเป็นพระยม ทั้งนี้ พระยมเป็น “เทพแห่งความตาย” และ “เจ้าแห่งนรก” ดำรงอยู่ฐานะผู้ตัดสินคดีคนที่สิ้นชีพไปแล้ว พระยม (ภาพ : Wikimedia Commons)ตำนานประวัติของพระยมมีหลายกระแส บ้างว่าเป็นกษัตริย์ครองเมืองเวศาลี ผู้ตั้งจิตอธิษฐานอย่างแน่วแน่ว่า หากตายแล้วขอไปจุติเป็นเจ้าแห่งนรกภูมิ ปรากฏว่าสิ้นชีพแล้วได้เป็นพระยมเจ้าแห่งนรกจริงอย่างที่ตั้งใจไว้ ทั้งมีข้าทาสบริวารแวดล้อมในแดนนรกเป็นจำนวนมาก
อีกตำนานระบุว่า พระยมเป็นโอรสของพระวิวัสวัต หรือสุริยาทิตย์ (พระอาทิตย์) กับพระนางสัญญา (บางเอกสารเรียกว่านางศรันยา) มีฝาแฝดนามว่า ยมุนา
พระยมครองเมืองยมปุระ (ยมโลก) ซึ่งอยู่ขอบจักรวาลด้านทิศทักษิณ เป็นเทพเจ้าผู้มีรูปร่างใหญ่โต มี 4 กร พระพักตร์ดุร้าย ผิวพรรณเลื่อมประภัสสรเหมือนแก้ว พระวรกายสีดำ บางตำราว่ามีพระวรกายสีเขียวเข้ม ทรงพระภูษาสีแดง ทรงถือยมทัณฑ์ (คทาใหญ่) ชื่อ “กาลทัณฑ์” และยมบาส (บ่วงบาศ) เป็นเชือกสำหรับมัดจับสัตว์บาปทั้งหลาย มีชายา 13 นาง ทั้งหมดเป็นธิดาของพระทักษะประชาบดี
พระยมมีกระบือเป็นพาหนะ นามว่า “ทุณพี” พร้อมสัตว์เลี้ยงเป็นสุนัข 2 ตัวชื่อ “สามะ” (ดำ) และ “สวละ” (ด่าง) เป็นสุนัข 4 ตา รูจมูกกว้างผิดแผกไปจากสุนัขทั่วไป มีบริวารคือ “ยมทูต” ทำหน้าที่เป็นคนเดินสาร นำดวงวิญญาณคนตายมายังยมโลก มี “ยมบาล” เป็นผู้คุมนักโทษในนรก มี “จิตรคุปต์” เป็นผู้ทำหน้าที่นายทะเบียนและที่ปรึกษา คอยบันทึกกรรมดีกรรมชั่วไว้ในสมุดอัครสันธานี มี “ฉันทะ” กับ “กาลบุรุษ” เป็นผู้รับใช้ใกล้ชิด และมี “ไวธยต” เป็นคนเฝ้าประตูปราสาทแห่งยมโลก พระยม ในคติอินเดีย ทรงกระบองยมทัณฑ์ บ่วงยมบาศ ทรงกระบือเป็นพาหนะ มียมทูตเป็นบริวาร (ภาพจาก British Museum)วรรณคดีของอินเดียกล่าวถึงพระยมในเชิงเทพเจ้าผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรม อย่างใน มหาภารตะ พระยมคือ “ธรรมเทพ” หรือธรรมราช ผู้ประทานโอรสแก่พระนางกุนตี พระมเหสีของท้าวปาณฑุ นามว่า “ยุธิษฐิระ” บุตรคนแรกของกลุ่มพี่น้องปาณฑพ
ยุธิษฐิระมีอุปนิสัยสำคัญคือ เป็นผู้รักคุณธรรมและรู้หลักธรรม ตอนวณบรรพ เมื่อพี่น้องปาณฑพถูกเนรเทศไปอยู่ในป่า มีพระฤๅษีเล่าเรื่อง สาวิตรี ให้เหล่าปาณฑพฟัง โดยเป็นเรื่องราวของนางสาวิตรี ชายาของพระสัตยวาน ผู้สามารถเอาชนะใจพระธรรมเทพด้วยหลักธรรม นางจึงขอพรพระธรรมเทพให้ช่วยพระสัตยวานฟื้นคืนพระชนม์ชีพ
ตอนสวรรคโรหณบรรพ ภายหลังมหาสงครามทุ่งราบกุรุเกษตรระหว่างฝ่ายปาณฑพกับเการพสิ้นสุด พี่น้องปาณฑพพากันเดินทางไปสู่เขาหิมาลัย ระหว่างทางน้อง ๆ ของยุธิษฐิระทยอยสิ้นชีพไปทีละพระองค์ นี้เอง พระธรรมเทพแปลงเป็นสุนัขมาทดสอบคุณธรรมของพระโอรส ปรากฏว่ายุธิษฐิระผ่านบททดสอบทั้งหมด จึงสามารถเดินทางไปถึงสวรรค์เป็นผลสำเร็จ
พระยมยังมีอีกนามหนึ่งว่า “ศิรณบาท” แปลว่า “ผู้มีเท้าเน่า” เรื่องเล่าเบื้องหลังพระนามนี้มีอยู่ว่า ครั้งหนึ่งพระยมใช้พระบาทเตะนางฉายา ผู้ที่นางสัญญา (มารดา) ให้อยู่แทนตนเมื่อคราวพระนางหนีไปจากพระสุริยาทิตย์ เพระทนรัศมีอันร้อนแรงของพระสวามี (พระอาทิตย์) ไม่ไหว การกระทำดังกล่าวของพระยมทำให้นางฉายาพิโรธ จึงสาปให้พระยมมีแผลและหนอนกัดกินขา ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส พระสุริยาทิตย์นึกสงสารพระโอรส จึงประทานไก่ตัวผู้ให้ 1 ตัว คอยจิกหนอนบนแผลจนหายเป็นปกติ
@@@@@@@
แม้พระยมจะเป็นเทพฮินดู แต่หลักฐานการเคารพนับถือเทพองค์นี้ในพื้นที่ต่าง ๆ ของไทยและภูมิภาคอุษาคเนย์ ทั้งในฐานะเทพเจ้าประจำทิศใต้ และเจ้าแห่งโลกหลังความตาย ดังจะพบโบราณวัตถุที่เกี่ยวกับพระยมในศาสนาพราหมณ์หลายแห่ง เช่น กลีบขนุนสลักภาพพระยมทรงกระบือ ที่ปราสาทพนมรุ้ง บุรีรัมย์, ปราสาทหินพิมาย นครราชสีมา, ปราสาทศรีขรภูมิ สุรินทร์ และพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ทุกชิ้นมีอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 17 ตรงกับศิลปะเขมร แบบนครวัด
นอกจากนี้ ศานสถานที่เรียกว่า “สุคตาลัย” (ส่วนหนึ่งของอโรคยศาล) ตามคติพุทธนิกายมหายาน ยังพบประติมากรรมลอยตัวรูปพระยมทรงกระบือ เช่น กู่พันนา สกลนคร กู่แก้ว ขอนแก่น อายุช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 ตรงกับศิลปะบายน สะท้อนคติการนับถือพระยมในฐานะเทพเจ้าแห่งความตายและนรกภูมิ มากกว่าการเป็นเทพเจ้าประจำทิศใต้ เพราะไม่พบเทพประจำทิศองค์อื่น ๆ
ในจารึกปราสาทพระขรรค์ เมืองพระนคร ยังมีข้อความกล่าวถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 กษัตริย์เขมรโบราณว่า ทรงส่งรูปประติมากรรม “พระยม” ไปทั่วราชอาณาจักรของพระองค์
อ่านเพิ่มเติม :-
• “พระพิฆเนศ” มหาเทพที่เก่าแก่กว่าพระอิศวร? จากเทพพื้นเมือง ปรุงแต่งเป็นเทพฮินดู • “พระตรีมูรติ” ภาวะรวมร่าง 3 มหาเทพ กับเทวรูปหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ ที่คนไปขอพรความรัก • ทำไม “มาร” ของคนอินเดียคือ “กามเทพ” ผู้พลีชีพเพื่อความสุข-ความรักแห่งทวยเทพขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม เผยแพร่ : วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ.2568 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 21 สิงหาคม 2566 website : https://www.silpa-mag.com/culture/article_115517อ้างอิง :- - มาลัย (จุฆารัตน์). (2562). กำเนิดเทวดา. กรุงเทพฯ : สถาพรบุ๊ค. - สุรศักดิ์ ทอง. (2553). สยามเทวะ . กรุงเทพฯ : มติชน. - พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์. บันแถลงพระยมทรงกระบือ. สืบค้นเมื่อ 22 สิงหาคม 2566. (ออนไลน์) - พิพิธภัณสถานแห่งชาติ พระนคร, กรมศิลปากร. พระยม’เทพประจำทิศใต้ ที่ปรากฏบนทับหลังปราสาทหนองหงส์. สืบค้นเมื่อ 22 สิงหาคม 2566. (ออนไลน์) - สำรวย นักการเรียน, สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. พระยม. 4 กรกฎาคม 2551. (ออนไลน์) - เสฐียรโกเศศ. (2497). เรื่องเมืองสวรรค์. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร. พิมพ์อุทิศในงานฌาปนกิจศพ นางล้วน คุ้มรอด. (ออนไลน์)
|
|
|
|
|
7
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “คะน้า” ผักในตำนานพระโพธิสัตว์กวนอิม เหตุใดจึงมีชื่อเรียกว่า คะน้า.?
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 14, 2025, 10:03:44 am
|
. ผัดผักคะน้า (public domain - pixabay.com)“คะน้า” ผักในตำนานพระโพธิสัตว์กวนอิม เหตุใดจึงมีชื่อเรียกว่า คะน้า.? คะน้า ผักในตำนานพระโพธิสัตว์กวนอิม เหตุใดเรียก คะน้า?
ผัก ชนิดหนึ่งที่คนไทยเรารู้จักกันดีทุกครอบครัว นั่นคือ คะน้า (CHINESE KALE)…เป็นที่ยอมรับกันดีว่า ผักคะน้าเป็นราชาแห่งผักจีนชนิดหนึ่ง ที่ชาวจีนโพ้นทะเลแต่กาลก่อนได้นำเมล็ดพันธุ์จากแถวมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) และฟูเจี้ยน (ฮกเกี้ยน) ติดตัวเข้ามาปลูกในประเทศไทย พร้อม ๆ กับผักกวางตุ้ง ขึ้นฉ่าย กุยช่าย ตัวไฉ่ เป็นต้น
แต่สิ่งหนึ่งที่ติดใจผมมาโดยตลอดก็คือ ทำไมคนจีนจึงได้เรียกชื่อของผักชนิดนี้ว่า “ผักคะน้า” ทำไมจึงไม่เรียกว่า —ไฉ่ หรือช่าย ในสำเนียงของคนไทย (ไฉ่ หรือช่าย แปลว่า ผัก) เหมือนผักชนิดอื่น ๆ เพราะถ้าดูตามรูปคำศัพท์แล้ว คำว่า “คะน้า” ก็ไม่น่าที่จะมาเป็นชื่อของ ผัก ได้ หรือว่าชื่อของผักชนิดนี้จะมีตำนานความเป็นมาของชื่อคำอยู่?
ผมจึงได้นำความใคร่อยากรู้นี้ไปเรียนถามชาวจีนผู้รู้สูงวัยท่านหนึ่ง ท่านได้เล่าให้ฟังว่า คำว่า “คะน้า” นี้มาจากภาษาจีนแต้จิ๋ว ที่เรียกว่า แก๋ะหน่าไฉ่ ในภาษาจีนกลางเรียกว่า เจี้ยหลานไฉ่ (JÌE LÁN CÀI)
แก๋ะ หมายถึง กั้นไว้, หน่า หรือน้า หมายถึง ตะกร้า ผัดคะน้าไฟแดง (ภาพโดย กฤช เหลือลมัย ในศิลปวัฒนธรรม ฉบับตุลาคม 2560)ที่มาของชื่อนี้นั้นเล่าสืบกันมาว่า ในตำนานประวัติของเจ้าแม่กวนอิม เมื่อครั้งยังเป็นเจ้าหญิงเมี่ยวซาน พระธิดาของพระเจ้าเมี่ยวจวง กษัตริย์ผู้มีอุปนิสัยอันโหดร้าย ชอบฆ่าฟันและก่อสงครามอยู่เป็นนิตย์ เมื่อเจ้าหญิงเมี่ยวซานเจริญวัยพระชันษาขึ้น ก็มีพระสิริโฉมอันงดงาม ทั้งยังมีน้ำพระทัยที่เมตตากรุณาต่อมวลสรรพสัตว์อย่างสุดประมาณมิได้ แม้เชลยศึกที่พระบิดาได้นำมากักขังไว้ ก็แอบเสด็จไปช่วยเหลือมิให้พระบิดาทรงทราบ
แล้ววันหนึ่ง พระเจ้าเมี่ยวจวงรับสั่งให้พระธิดาเมี่ยวซานเข้าเฝ้า เพื่อให้เตรียมเลือกคู่ครอง พระธิดาเมี่ยวซานทูลขอระงับการนี้ เพราะตั้งพระทัยที่จะบำเพ็ญเนกขัมบารมี ออกอุปสมบทเป็นภิกษุณี ฉันมังสวิรัติ เพื่อบำเพ็ญพรตภาวนาจนให้บรรลุพระโพธิสัตว์ภูมิ พระเจ้าเมี่ยวจวงกริ้วนัก แต่อุบายว่า ลองให้บวชก็ได้ เมื่อทนลำบากไม่ไหว ก็คงสึกหาลาเพศกลับคืนพระราชวังเอง จึงรับสั่งให้พระธิดาเมี่ยวซานออกบวชได้ โดยให้ทำงานหนักทุกชนิดด้วยตนเอง
เมี่ยวซานภิกษุณีกระทำกิจตามรับสั่ง แต่โดยบารมีแต่ปางก่อน และปณิธานอันแน่วแน่จึงยังผลให้เทพยดามาช่วยงานทั้งปวง ท่านจึงบำเพ็ญภาวนายิ่งขึ้น เวลาล่วงเลยไป ดูเหมือนไม่มีทีท่าที่พระธิดาจะเสด็จนิวัตพระราชวัง พระเจ้าเมี่ยวจวงวิตกว่า บารมีของพระธิดาจะทำให้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเลื่อมใส ผู้คนจะออกบวชเสียสิ้น
@@@@@@@
ความที่พระองค์ทรงมีนิสัยโหดร้ายในพระกมลสันดานอยู่แล้ว จึงมีพระบัญชาให้เผาอารามที่เมี่ยวซานภิกษุณีจำวัดเสีย พร้อมรับสั่งให้ทั่วทั้งเมืองงดปรุงและจำหน่ายอาหารมังสวิรัติ ผู้ใดขัดขืนให้ประหารชีวิตทิ้งเสีย ทั้งนี้เพื่อหมายให้พระธิดาทนอดอยากและลำบากไม่ไหวจนต้องลาสึกเสียเอง
ความที่ไพร่ฟ้าประชาชนสงสารในพระจริยาวัตรอันงดงามของเมี่ยวซานภิกษุณี ที่ถูกพระบิดารังแกทำร้ายถึงเพียงนี้ แม้แต่อาหารมังสวิรัติยังมิให้ปรุงหารับประทาน ชาวบ้านจึงได้นำเอาตะกร้ามาแยกกันในบริเวณหม้อต้มน้ำที่ใส่กระดูกสัตว์ แล้วเด็ดเอาผักชนิดหนึ่งมาลวกต้มในตะกร้านั้นโดยมิให้ถูกเนื้อสัตว์ เพื่อให้เมี่ยวซานภิกษุณีได้ฉันเป็นอาหารเพื่อดำรงชีวิตอยู่รอดได้ต่อมา
ผักชนิดนี้จึงได้รับการเรียกขานว่า “แก๋ะหน่าไฉ่” หรือ ผักที่ถูกกั้นอยู่ในบริเวณตะกร้า
เมื่อกาลเวลาผ่านไป จึงเรียกเพี้ยนสำเนียงไปเป็น “คะหน่าไฉ่” และคนไทยได้เรียกให้ง่ายขึ้นตามสำเนียงในภาษาไทยว่า “ผักคะน้า” มาจนถึงทุกวันนี้
@@@@@@@
หรือในอีกคำอธิบายหนึ่ง เล่ากันว่า
เมื่อพระเจ้าเมี่ยวจวงรับสั่งให้ทั่วทั้งเมืองงดปรุงและจำหน่ายอาหารมังสวิรัติแล้วนั้น ก็ยังรับสั่งให้ทหารนำน้ำมันวัวไปรดลงผักที่ปลูกอยู่ทั่วเมือง เพื่อหมายให้พระธิดาทนลำบากหาอาหารมังสวิรัติรับประทานมิได้
แต่ด้วยความที่เมี่ยวซานภิกษุณีมีปณิธานอันแน่วแน่นั่นเอง ความจึงได้ทราบถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์จึงทรงแปลงร่างลงมายังโลกมนุษย์ เพื่อตรัสกับเมี่ยวซานภิกษุณีว่า ผักที่ถูกราดด้วยน้ำมันสัตว์นั้น ให้รับประทานเพื่อยังชีพได้ เมี่ยวซานภิกษุณีจึงได้นำผักชนิดนั้นมาล้างน้ำสะอาดแล้วปรุงเป็นอาหาร
ต่อมาผักชนิดนี้จึงเป็นที่นิยมของชาวบ้านโดยทั่วไป และมีชื่อเรียกว่า ผักคะน้า คะน้าฮ่องกงผัดน้ำมันหอย (ภาพจากศูนย์อาชีพและธุรกิจมติชน Matichon Academy)สำหรับคำอธิบายนี้มิได้เล่าถึงความเป็นมาของชื่อคำ เพียงแต่เล่าถึงที่มาของผักชนิดนี้ไว้เท่านั้น ซึ่งผมขอเล่าประกอบไว้ ณ ที่นี้ด้วย เพราะมีผู้อาวุโสชาวจีนบางท่านได้เล่าให้ฟังไว้
ผมได้ไปเดินสำรวจย่านตลาดเก่าเยาวราช เพราะทราบมาว่า ในย่านนี้มีคนนำผักคะน้าจากจีนเมืองซั้นโถว (ซัวเถา) และกว่างโจว เข้ามาขาย…เมื่อพินิจดูแล้ว ผักคะน้าต้นตำรับที่ปลูกในประเทศจีน จะมีขนาดของลำต้นและใบคล้ายคะน้าก้านอ่อนของบ้านเรา โดยมีสีเขียวเข้มทั้งใบและลำต้น ต่างจากที่ปลูกในไทย ที่ลำต้นจะมีสีเขียวอ่อนกว่าสีใบ เมื่อนำมาปรุงเป็นอาหารแล้ว พบว่ามีรสชาติที่ใกล้เคียงกัน
ดังนั้น เมื่อเราจะรับประทานผักคะน้ากันในครั้งต่อ ๆ ไป โปรดช่วยกันรำลึกถึงที่มาของชื่อผักชนิดนี้กันสักเล็กน้อย แล้วน้อมรำลึกนึกถึงพระเมตตาคุณขององค์พระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม ที่ได้อาศัยผักชนิดนี้ในการดำรงชีพเพื่อบำเพ็ญกุศลธรรมอันยิ่งใหญ่ จนสำเร็จพระโพธิสัตว์ภูมิ และเป็นที่นับถือของทั้งชาวไทยและชาวจีนมาจนถึงทุกวันนี้
อ่านเพิ่มเติม :-
• “คะน้าเม็กซิกัน” ที่ต่างจากคะน้าผัดหมูกรอบ ทำอาหารได้หลายอย่าง อย่ากินยอด-ใบสด • ทีเด็ด “ก๋วยเตี๋ยว 8 สูตร” ยุคจอมพล ป. ต่างจากปัจจุบันอย่างไร มี “ก๋วยเตี๋ยวไบกาน้า-ผัดกะทิ”?
ขอขอบคุณ :- ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเมษายน 2544 ผู้เขียน : ปริวัฒน์ จันทร เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ.2568 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 23 กันยายน 2564 website : https://www.silpa-mag.com/history/article_75026อ้างอิง :- - ธรรมเกียรติ กันอริ. บารมีพระโพธิสัตว์กวนอิม สาวิกาแห่งหนานไห่. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ธารวิมล, 2536. - สาทิส อินทรกำแหง. ชีวจิต. สำนักพิมพ์คลีนิคบ้านและสวน, 2541. - มหัศจรรย์ผัก 108. โครงการหนูรักผักสีเขียว, มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย และมหาวิทยาลัยมหิดล, 2541. หมายเหตุ : คัดเนื้อหาส่วนหนึ่งจากบทความ “คะน้า ผักในตำนานพระโพธิสัตว์กวนอิม” เขียนโดย ปริวัฒน์ จันทร ในศิลปวัฒนธรรม ฉบับเมษายน 2544
|
|
|
|
|
11
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วัฒนธรรมเร่งรีบ : ผลกระทบที่เป็นพิษต่อสุขภาพจิต
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2025, 06:41:13 am
|
. วัฒนธรรมเร่งรีบ : ผลกระทบที่เป็นพิษต่อสุขภาพจิต วัฒนธรรมการเร่งรีบ
วัฒนธรรมเร่งรีบ (Hustle culture) อธิบายถึงสภาพแวดล้อมการทำงานแบบสมัยใหม่ที่เน้นการทำงานหนักและชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ วัฒนธรรมนี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน โดยหลายบริษัทสนับสนุนให้พนักงานทุ่มเทความพยายามและเวลาทำงานมากขึ้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม พบว่าวัฒนธรรมนี้ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตและทำให้สถานที่ทำงานแย่ลง แทนที่จะทำให้องค์กรมีประสิทธิผลและมองโลกในแง่ดีมากขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้พนักงานรู้สึกเหนื่อยล้าจากการทำงานและอาจกระตุ้นให้เกิดภาวะสุขภาพจิต เช่นความวิตกกังวลทางสังคมในที่ทำงานหรือโรคสมาธิสั้นในที่ทำงานอ่านต่อเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับพิษของวัฒนธรรมการทำงานแบบเร่งรีบ
“วัฒนธรรมการทำงานเร่งรีบคือการทำงานมากเกินไปโดยไม่คำนึงถึงความต้องการในการดูแลตนเองและความสัมพันธ์ของตนเองเพื่อให้ประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน” – นักบำบัดของ Talkspace ดร. Olga Molina, DSW, LCSW
วัฒนธรรมการเร่งรีบคืออะไร.?
วัฒนธรรมเร่งรีบคือเมื่อสภาพแวดล้อมในที่ทำงานเน้นไปที่ผลงาน ความทะเยอทะยาน และความสำเร็จอย่างมาก โดยแทบไม่คำนึงถึงการพักผ่อน การดูแลตัวเอง หรือความสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงานเลย
วิถีชีวิตแบบนี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากผู้คนมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายทางอาชีพให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้จะได้รับความนิยม แต่แนวคิดแบบเร่งรีบไร้ขีดจำกัดก็มีความเชื่อมโยงกับปัญหาสุขภาพจิต เช่น ความวิตกกังวล ความเครียด และภาวะซึมเศร้าที่เพิ่มขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ในปัจจุบัน เรารู้แล้วว่าผลตรงกันข้ามในระยะยาวคือ ประสิทธิภาพการทำงาน ที่ลดลงวัฒนธรรมการทำงานเร่งรีบที่เป็นพิษนี้ทำให้พนักงานรู้สึกหมดไฟ
@@@@@@@
ความเป็นพิษต่อผลผลิตคืออะไร.?
ภาวะผลิตภาพที่เป็นพิษ หมายถึงความเชื่อที่ว่าเราต้องผลิตผลงานอย่างต่อเนื่องจึงจะประสบความสำเร็จ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะหมดไฟและความเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจ แนวคิดเบื้องหลังภาวะผลิตภาพที่เป็นพิษคือ คุณจะก้าวหน้าได้เร็วกว่าหากทำงานหนักกว่าคนอื่น อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่สิ่งนี้ไม่ได้เป็นความจริงเสมอไป ภาวะผลิตภาพที่เป็นพิษที่เกิดจากวัฒนธรรมการทำงานแบบเร่งรีบอาจส่งผลเสียต่อความเป็นอยู่ที่ดีของคุณในระยะยาว
เหตุใด วัฒนธรรมการเร่งรีบ จึงได้รับการยกย่อง.?
แนวคิดวัฒนธรรมการทำงานแบบเร่งรีบถูกยกย่องโดยผู้ประกอบการที่ถูกมองว่า “ประสบความสำเร็จ” เพราะพวกเขาทำงานหนักเป็นเวลานานโดยไม่หยุดพักเพื่อตัวเองหรือครอบครัว บุคคลเหล่านี้มักถูกยกย่องให้เป็นแบบอย่างสำหรับเจ้าของธุรกิจรุ่นใหม่ที่อาจไม่รู้ว่าการให้ความสำคัญกับงานมากกว่าสิ่งอื่นใดในชีวิตนั้นสร้างความเสียหายได้มากเพียงใด
มีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่นระหว่างโซเชียลมีเดียกับสุขภาพจิตและยิ่งทำให้ปัญหาเลวร้ายลงไปอีก อินสตาแกรม ติ๊กต็อก และเฟซบุ๊ก ทำให้เหล่าอินฟลูเอนเซอร์และคนดังแชร์ภาพตัวเองทำงานดึกดื่นได้อย่างง่ายดาย เป็นการยกย่องและปลูกฝังทัศนคติอันตรายในหมู่คนรุ่นใหม่ที่มองพวกเขาเป็นแรงบันดาลใจ
ตัวอย่างวัฒนธรรมการทำงานเร่งรีบในสถานที่ทำงาน
ตัวอย่างหนึ่งของวัฒนธรรมการทำงานเร่งรีบที่เป็นพิษในที่ทำงานคือนายจ้างคาดหวังให้พนักงานอยู่ทำงานดึกหรือมาทำงานเช้า รายการสิ่งที่ต้องทำหรือข้อเรียกร้องที่สูงเกินไปโดยไม่มีเวลาหรือทรัพยากรเพียงพอในการทำงานให้เสร็จก็เป็นเรื่องปกติเช่นกัน นี่เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดกระแสการลาออกครั้งใหญ่
ตัวอย่างอีกประการหนึ่งคือ ผู้จัดการให้ความสำคัญกับปริมาณมากกว่าคุณภาพ โดยยอมเสียสละงานที่ทำได้ดีเพื่องานที่ทำได้ดีพอใช้
ท้ายที่สุด บางบริษัทอาจส่งเสริมการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมระหว่างเพื่อนร่วมงาน ด้วยการให้รางวัลแก่ผู้ที่ทำผลงานได้ดีกว่า แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่ความร่วมมือ การทำงานเป็นทีม การสนับสนุน และทัศนคติแบบ “ลงมือทำเพื่อชัยชนะ” กล่าวโดยสรุปแล้ว วัฒนธรรมเช่นนี้ไม่เป็นผลดีต่อความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานทุกคน ผลกระทบเชิงลบของวัฒนธรรมการเร่งรีบต่อสุขภาพจิต
วัฒนธรรมเร่งรีบกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตสมัยใหม่ ผู้คนพยายามผลักดันตัวเองจนถึงขีดสุดเพื่อความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม การแสวงหาประสิทธิภาพและความสำเร็จอย่างไม่ลดละนี้อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตอย่างรุนแรง
"วัฒนธรรมการทำงานแบบเร่งรีบส่งผลกระทบด้านลบต่อปัญหาทางจิตใจ เช่น ความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า และความเครียด นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดภาวะหมดไฟจากความเครียดที่เกี่ยวข้องกับงานและชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน พนักงานในวัฒนธรรมการทำงานแบบเร่งรีบสูญเสียความสามารถในการสร้างสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพจิตที่ดี" – นักบำบัดของ Talkspace ดร. Olga Molina, DSW, LCSW
1. ความวิตกกังวล
วัฒนธรรมการทำงานแบบเร่งรีบส่งเสริมให้เกิดทัศนคติแบบสุดโต่ง ซึ่งอาจนำไปสู่ความเครียดและความวิตกกังวลในการทำงานเมื่อไม่บรรลุเป้าหมายในอาชีพการงานหรือพลาดกำหนดส่งงาน นอกจากนี้ แรงกดดันที่ต้องทำงานให้เต็มศักยภาพในแต่ละวันมักมากเกินไปสำหรับหลายคน นำไปสู่วังวนแห่งความกังวลและความกลัวเกี่ยวกับอนาคต
2. ความรู้สึกผิด
คนที่ยึดติดกับวัฒนธรรมการทำงานแบบเร่งรีบและเร่งรีบอาจรู้สึกผิดหากต้องหยุดพักหรือพักผ่อน ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว โซเชียลมีเดียอาจทำให้ความรู้สึกผิดนี้รุนแรงขึ้น โพสต์จากเพื่อนฝูง ครอบครัว และเพื่อนฝูงที่ดูเหมือนจะประสบความสำเร็จและมีจรรยาบรรณในการทำงานที่มุ่งมั่น อาจทำให้เกิดความเชื่อที่ว่าการหยุดพักนั้นขี้เกียจหรือไม่เกิดประโยชน์ได้อย่างรวดเร็ว
3.ทัศนคติเฉยเมย
เมื่อใครบางคนพยายามดิ้นรนเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีกว่าโดยไม่ได้หยุดพักเลย มันอาจนำพาพวกเขาไปสู่เส้นทางที่อันตราย ทันใดนั้นก็ไม่มีอะไรดูดีหรือคุ้มค่าพอ ทัศนคติที่เฉยเมยต่อชีวิตเช่นนี้จะส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตในระยะยาว
4. ความคิดบวกที่เป็นพิษ
การผลักดันตัวเองมากเกินไปก็หมายความว่า จะไม่มีที่ว่างสำหรับความล้มเหลว แม้แต่ความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ก็อาจกลายเป็นหายนะได้ การมองโลกในแง่ดีที่เป็นพิษจะทำลายความคาดหวังที่เป็นจริงเกี่ยวกับสิ่งที่สามารถบรรลุได้จริงในชีวิตและการทำงานของเรา
5. มีความเสี่ยงสูงต่อการเจ็บป่วยและโรคภัยไข้เจ็บ
การทำงานหนักเกินไปโดยไม่ได้พักผ่อนนำไปสู่ความเหนื่อยล้าทางร่างกาย การเหนื่อยล้าจะทำให้เกิดความเครียดทางจิตใจและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย การนอนหลับไม่เพียงพอ การเลือกรับประทานอาหารที่ไม่ดี และอื่นๆ ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง งานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าการทำงานเป็นเวลานานหลายสัปดาห์เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองและโรคหัวใจและหลอดเลือด
6. ความไม่สมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัว
วัฒนธรรมการทำงานแบบเร่งรีบสร้างสมดุลที่ไม่ดีต่อสุขภาพระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว โดยเน้นความสำเร็จในหน้าที่การงานมากกว่าสิ่งอื่นใด รวมถึงความสัมพันธ์กับครอบครัว เพื่อน และคู่รัก น่าเสียดายที่สิ่งนี้ทำให้มีพื้นที่สำหรับกิจกรรมดูแลตัวเองอย่างการออกกำลังกาย หรือเทคนิคการจัดการความเครียดอย่างโยคะหรือการทำสมาธิ น้อยมาก ซึ่งอาจเป็นสิ่งสำคัญต่อการรักษาสุขภาพจิต วิธีหลีกหนีจากวัฒนธรรมเร่งรีบ
การหลุดพ้นจากวัฒนธรรมการทำงานแบบเร่งรีบอาจดูน่ากังวล แต่ก็เป็นไปได้ จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรม รวมถึงความเต็มใจที่จะสร้างนิสัยที่ยั่งยืน โดยให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตมากกว่าประสิทธิภาพการทำงาน นี่คือเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับวิธีการหลุดพ้นจากวัฒนธรรมการทำงานแบบเร่งรีบ
1. กำหนดขอบเขต
การรู้จักกำหนดขอบเขตที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการดูแลสุขภาพจิตของคุณ ซึ่งหมายถึงการกำหนดขอบเขตเวลาทำงานหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับงานนอกเวลาทำการปกติ นอกจากนี้ คุณจำเป็นต้องกำหนดความคาดหวังที่ชัดเจนกับเพื่อนร่วมงานและผู้จัดการเกี่ยวกับเวลาที่คุณจะพร้อมสำหรับการสื่อสารและงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับงาน
2. พักสักครู่
การพักเป็นระยะๆ ตลอดทั้งวันช่วยลดระดับความเครียดและทำให้จิตใจได้พักผ่อน เพื่อให้คุณยังคงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่รู้สึกเหนื่อยล้า จัดสรรเวลาพักสั้นๆ ระหว่างวัน เช่น ลุกจากโต๊ะทำงาน ออกไปเดินเล่น ฟังเพลง หรือทำอย่างอื่นที่ทำให้คุณมีความสุข
3. ให้ความสำคัญกับการดูแลตนเอง
การดูแลตัวเองควรมาก่อนภาระผูกพันหรือภาระผูกพันอื่นๆ เพื่อรักษาสุขภาพจิตที่ดี ในแต่ละวันควรมีกิจกรรมอย่างน้อยหนึ่งอย่างที่อุทิศให้กับการดูแลตัวเอง การอ่านหนังสือการเขียนบันทึกเพื่อสุขภาพจิตการวิ่ง การฝึกโยคะ/นั่งสมาธิ หรือการใช้เวลากับเพื่อนๆ ถือเป็นทางเลือกที่ดี
4. ใจดีกับตัวเอง
อย่าตำหนิตัวเองหากสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปตามแผน จงมุ่งเน้นไปที่สิ่งที่ทำได้ดีในแต่ละวัน และเฉลิมฉลองความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ แม้จะดูเล็กน้อยก็ตาม จำไว้ว่าทุกคนมีจังหวะในการบรรลุเป้าหมายที่แตกต่างกัน ดังนั้นอย่าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นๆ รอบตัว แต่จงมุ่งเน้นไปที่การทำสิ่งที่เหมาะกับคุณที่สุด
5. หลีกหนีจากพิษของวัฒนธรรมที่เร่งรีบด้วย Talkspace
วัฒนธรรมเร่งรีบคืออะไร.? พูดสั้นๆ ก็คือ วัฒนธรรมเร่งรีบเป็นทัศนคติที่แพร่หลายในสังคมปัจจุบันที่ยกย่องการทำงานหนักและชั่วโมงทำงานที่ยาวนาน ซึ่งมักจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและสุขภาพกาย
ความคิดที่เป็นพิษนี้เชื่อมโยงกับระดับความเครียดที่เพิ่มขึ้น ภาวะหมดไฟ และภาวะซึมเศร้า หากต้องการเรียนรู้วิธีป้องกันภาวะหมดไฟและหลุดพ้นจากวัฒนธรรมเร่งรีบและผลกระทบด้านลบต่อสุขภาพจิต Talkspace สามารถให้การสนับสนุนผ่านการบำบัดออนไลน์กับนักบำบัดที่ได้รับใบอนุญาต
ที่มา :- 1. Rosa Rdela. ทำไมวัฒนธรรมการเร่งรีบจึงส่งผลเสียมากกว่าผลดีต่อสุขภาพจิตของคุณ? Psychreg. https://www.psychreg.org/hustle-culture-harm-mental-health/เผยแพร่เมื่อ 26 กันยายน 2022 เข้าถึงเมื่อ 21 ธันวาคม 2022 2. Virtanen M, Kivimäki M. ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานและความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด Current Cardiology Reports. 2018;20(11). doi:10.1007/s11886-018-1049-9. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6267375/ . เข้าถึงเมื่อ 21 ธันวาคม 2022 Thank to : https://www-talkspace-com.translate.goog/blog/hustle-culture/?_x_tr_sl=en&_x_tr_tl=th&_x_tr_hl=th&_x_tr_pto=sge#:~:text=วัฒนธรรมเร่งรีบ (Hustle culture) อธิบาย,ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ตรวจสอบทางคลินิกโดย ซินเทีย วี. แคตชิงส์ LCSW-S | เขียนโดย โอลกา โมลินา, DSW, LCSW | 20 กุมภาพันธ์ 2566
|
|
|
|
|
12
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Hustle Culture วัฒนธรรมการเร่งรีบ เรากำลังทำงานหนัก หรือแค่พยายามให้ดูยุ่ง.?
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2025, 06:21:50 am
|
. Hustle Culture วัฒนธรรมการเร่งรีบ เรากำลังทำงานหนัก หรือแค่พยายามให้ดูยุ่ง.?คุณทำงานหนัก…หรือแค่พยายามให้คนอื่นเห็นว่าคุณยุ่ง.?
โลกทุกวันนี้เต็มไปด้วยวาทกรรมของความขยัน เราโตมากับคำว่า “คนขยันไม่อดตาย”, “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” และภาพลักษณ์ของคนทำงานที่ดูเหน็ดเหนื่อยแต่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจถูกยกย่องให้เป็นต้นแบบของ “ความสำเร็จ”
แต่เคยถามตัวเองไหมว่า เรากำลังทำงานหนักเพื่ออะไร.? เพื่อสร้างชีวิตที่มั่นคง หรือเพื่อให้คนอื่นมองว่าเรากำลัง “พยายาม”.?
Hustle Culture เมื่อ ‘การยุ่ง’ กลายเป็นตราสัญลักษณ์ของความสำเร็จ ยิ่งทำให้ Hustle Culture เป็นกระแสที่ปลูกฝังความเชื่อว่า “ยิ่งทำงานหนัก ยิ่งมีคุณค่า” คนที่ทำงาน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ถูกมองว่า “ขี้เกียจ” คนที่ยังออนไลน์ตอบอีเมลตอนตีสองได้รับคำชื่นชมว่า “ขยันสุดยอด” และโพสต์เกี่ยวกับการทำงานดึกดื่นบน Facebook มักได้รับไลก์มากกว่าคอนเทนต์เกี่ยวกับชีวิตที่สมดุล
มันทำให้เราเชื่อว่าการทำงานมาก คือการทำงาน ดี และหากวันไหนคุณรู้สึกเหนื่อยล้า คุณต้องบอกตัวเองว่า “อย่าหยุด ฝืนต่อไป” เพราะความสำเร็จเป็นของคนที่ไม่ยอมพัก
แต่ความจริงแล้ว สิ่งนี้คือความพยายาม หรือเป็นแค่กลไกกดขี่รูปแบบใหม่.? เราทำงานหนักจริง ๆ หรือแค่กลัวถูกมองว่าไม่พยายามกันแน่
@@@@@@@
ลองย้อนดูไลฟ์สไตล์ของตัวเอง คุณเคยอยู่ทำงานดึก เพราะอยากให้หัวหน้ารู้ว่าคุณใส่ใจไหม.? คุณเคยตอบอีเมลทันทีที่ได้รับ เพราะไม่อยากให้คนอื่นคิดว่าคุณช้า.?
คุณเคยโพสต์เกี่ยวกับการทำงาน เพื่อให้คนอื่นเห็นว่าคุณ “ยุ่ง” แค่ไหน.? หรือที่จริงแล้ว… เราไม่ได้ทำงานหนักเพราะอยากประสบความสำเร็จ แต่เพราะกลัวว่าถ้าหยุด คนอื่นจะมองว่าเราไม่ดีพอ
Hustle Culture สร้างความรู้สึกผิดให้คนที่อยากพักผ่อน มันทำให้การหยุดพักดูเหมือน “ความขี้เกียจ” และทำให้เรารู้สึกผิดทุกครั้งที่เราวางมือจากคอมพิวเตอร์ ในขณะที่มนุษย์ต้องการสมดุลระหว่างงานและชีวิต แต่วัฒนธรรมนี้ทำให้เรารู้สึกว่า… ถ้าคุณไม่ทำงานหนักกว่าคนอื่น คุณกำลังตามหลัง
และนี่คือปัญหา ผลลัพธ์ของวัฒนธรรมนี้ เราสำเร็จจริง หรือแค่หมดไฟ.? เราอยู่ในยุคที่คนรุ่นใหม่จำนวนมาก Burnout ตั้งแต่อายุยังน้อย สุขภาพจิตเสื่อมโทรม ความสัมพันธ์พังทลาย และความสุขในชีวิตถูกลดทอนจนเหลือเพียงตัวเลขในบัญชี
หลายคนทำงานหนักเพราะหวังว่าเมื่อมีเงินมากพอ พวกเขาจะได้พัก แต่พอถึงเวลานั้น พวกเขากลับลืมไปแล้วว่าการพักผ่อนคืออะไร เราทำงานหนักเพื่ออนาคต… แต่เรากลับสูญเสีย “ปัจจุบัน” ไปอย่างช้า ๆ
@@@@@@@
ในขณะที่ Facebook เต็มไปด้วยคนที่โชว์ความสำเร็จ Instagram เต็มไปด้วยคนที่โชว์ไลฟ์สไตล์หรูหรา และ โลกธุรกิจเต็มไปด้วยคนที่เชื่อว่า ‘ต้อง Hustle’ ถึงจะมีคุณค่า
มีใครบ้างที่กำลังพูดถึง “คุณค่าของความสุข”.? ชีวิตที่ดีไม่ใช่ชีวิตที่ยุ่งที่สุด แต่เป็นชีวิตที่มีความหมาย
การทำงานหนักเป็นสิ่งที่ดี แต่การทำงานหนักโดยไม่มีเป้าหมาย คือการกดขี่ตัวเอง เราไม่จำเป็นต้องทำงานตลอดเวลาเพื่อพิสูจน์ตัวเองให้ใครเห็น เราไม่จำเป็นต้องโพสต์เกี่ยวกับงานทุกวันเพื่อให้โลกรับรู้ว่าเราขยัน
และที่สำคัญ… เราไม่จำเป็นต้องยุ่งตลอดเวลา เพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองมีค่า เพราะท้ายที่สุดแล้ว ชีวิตที่ดี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราทำงานหนักแค่ไหน แต่มันขึ้นอยู่กับว่า เราทำงานเพื่ออะไร
แล้วคุณล่ะ กำลังทำงานเพื่อสร้างชีวิตที่ดี หรือแค่ทำให้ตัวเองดู “ยุ่ง” มากพอ.?
ผศ.ดร.ธีรศานต์ สหัสสพาศน์ ผู้อำนวยการหลักสูตร DNA by SPU และอาจารย์ประจำคณะบริหารธุรกิจ ม.ศรีปทุมThank to : https://thestructure.live/hustle-culture-trap-of-life-2025-03-05/Articles > บทความนักเขียน > Hustle Culture วัฒนธรรมการเร่งรีบ เรากำลังทำงานหนัก หรือแค่พยายามให้ดูยุ่ง.? | On 2025-03-05
|
|
|
|
|
13
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ‘ภูเขาสีทอง’ ที่กาญจน์ กับ “ทรัพย์ใต้ดินเมืองกาญจนบุรี”
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2025, 09:55:37 am
|
. ภาพจาก เฟซบุ๊ก Ploy' Slurpee ‘ภูเขาสีทอง’ ที่กาญจน์วันนี้ คุย “นอกเรื่อง-นอกโลก” กันซักวันนะ
สืบเนื่องจากภาพฮือฮากันเมื่อ ๓-๔ วันก่อน เรื่องก็เป็นตามข้อความนี้
"ภูเขาสีทอง" จ.กาญจนบุรี
ปรากฏการณ์ประหลาด ที่ "ยอดเขาแหลม" อ.ทองผาภูมิ (ถ่ายวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568) ยอดภูเขากลายเป็นสีทอง นานถึง 5 นาที ก่อนจะกลับสู่สภาพเดิม
ผมดูในโซเชียลออนไลน์ ก็พลันนึกถึง “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ” (พระราชพรหมยาน) วัดท่าซุง อุทัยธานี
เคยดูคลิปที่ท่านเล่าให้ญาติโยมฟัง เมื่อปี ๒๕๓๒ เรื่อง “ทรัพย์ใต้ดินเมืองกาญจนบุรี”
พอมาประจวบกับภาพ “ภูเขาสีทอง” ก็อยากนำคำหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ที่ท่านเล่าไว้เมื่อ ๓๖ ปีที่แล้วมาให้อ่านกัน
ค่อนข้างยาว เพื่อเหมาะสมกับพื้นที่ กราบขออนุญาตเลยไปถึงตอนหลวงพ่ออาพาธ และเรื่องราวก็ปรากฏตามที่หลวงพ่อเล่าให้ญาติโยมฟัง ดังต่อไปนี้ “ทรัพย์ใต้ดินเมืองกาญจนบุรี”
ในวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๓๒ สิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น นั่นคือ มีรูปร่างของคน เป็นคนเนื้อเต็ม
อันดับแรก ขณะอาตมานอนตะแคงขวา ท่านนั่งอยู่ข้างหลัง เห็นสองมือพนม การเห็น...บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่ใช่ทิพยญาณ ไม่ใช่ฌานสมาบัติ
ขณะนั้นสมาทานภาวนาเล็กน้อยพอจิตเป็นสุข การเห็นท่านก็เหมือนเห็นคนธรรมดา มีสภาพปกติ ไม่ใช่เงา
ก็สงสัย พลิกกายมานอนหงาย เจอหน้าท่านพอดี
ถามท่านว่า "ท่านเป็นใคร?"
ท่านบอก ผมคืออดีต "พระยากาญจนบดินทร์" แต่ว่าเวลานี้เป็นพรหม ลืมถามไปว่า ท่านเป็นพรหมชั้นไหน
จึงเรียนถามท่านว่า "ท่านเจ้าคุณ" คำว่าท่านเจ้าคุณ เขานิยมเรียกพระยาต่างๆ ว่า “ท่านเจ้าคุณ” ถามว่าท่านเจ้าคุณเป็นพระยาตั้งแต่สมัยไหน?
ท่านบอกว่า “ผมเป็นพระยาตั้งแต่สมัย ‘พระเจ้าสามพระยา’” ท่านก็รายงานต่อไปว่า “ผมเป็นลูกชายของ ‘พระยากาญจนบุรี’”
ก็เลยถามไปว่า “พระยากาญจนบุรีเป็นพระยาสมัยไหน” ท่านก็บอก “พระยากาญจนบุรี เป็นนักรบ นักรัก นักแสวงหาโชคลาภ”
คือพระยากาญจนบุรีนี่ เป็นนายทหารสมัย “พระเจ้าอินทรราชา” พ่อพระเจ้าสามพระยา รับราชการตั้งแต่ตอนนั้นมา
บรรดาศักดิ์ครั้งสุดท้าย หลังจากเป็นพระยาอื่นในนามนักรบมาแล้ว ก็เป็น “พระยากาญจนบุรี” ปกครองกาญจนบุรี
การที่ท่านพระยากาญจนบุรี ปกครองกาญจนบุรี นี่
๑.กาญจนบุรีเป็นชายแดน ประการที่ ๒ ทางราชการในสมัยนั้น ถือว่าเมืองกาญจนบุรีเป็นแหล่งสำคัญในการหาโชคลาภและทรัพย์สิน
ท่านพระยากาญจนบุรีนี่ ท่านแสวงหาโชคลาภ คือหาทอง ท่านเจ้าคุณกาญจนบดินทร์เล่าให้ฟังว่า คุณพ่อชอบหาทอง หาทรัพย์สินส่งราชการ
เพราะเวลานั้น ทางราชการต้องใช้ทรัพย์สินมาก จำต้องหาทรัพย์สินใต้ดินกัน
ก็ลืมบอกไป บรรดาท่านพุทธบริษัท ว่าเรื่องนี้ เป็นให้เรื่องว่า “ทรัพย์สินใต้ดินเมืองกาญจนบุรี”
ก็เลยถามท่านเจ้าคุณกาญจนบดินทร์ว่า การหาทรัพย์สินเวลานั้น ท่านหาที่ไหนบ้าง ท่านบอกว่า ในฐานะผมเป็นลูกชายคนที่สองของพระยากาญจนบุรี
ได้ร่วมทำการหากับพ่อ ทางราชการมอบหมายให้หาแร่ทองกับแร่เงินส่งทางราชการ
ถามท่านว่า ทางราชการมีกำหนดมั้ยว่าเดือนต้องส่งเท่าไหร่ ท่านตอบ “เมืองกาญจนบุรีไม่ใช่เมืองเสียส่วย” จึงไม่กำหนด
กำหนดแต่ว่า ได้เท่าไหร่ ซื้อหมด จึงถามว่า “การซื้อทองทางราชการเวลานั้นราคาเท่าไร?”
ท่านบอก ถ้าเป็นทองบริสุทธิ์จริงๆ ไม่มีสิ่งเจือปน ทองหนักบาทต่อ ๙ บาท เรียกว่า “ทองเนื้อเก้า”
ถ้ามีสิ่งเจือปนเล็กน้อย เรียก “ทองเนื้อแปด” ราคาบาทละ ๘ บาท ถ้าสิ่งเจือปนมากนิดหน่อย ก็ให้บาทละ ๖ บาท เรียก “ทองเนื้อหก”
ท่านบอกว่า การรู้เรื่องเงินและทองในพื้นที่ แต่การรู้เรื่องแร่ รู้เรื่องวิชา ถามว่ามีมั้ย ท่านว่ามีทุกอย่าง แต่ของบางอย่างสมัยนั้น ไม่เหมาะกับคนไทย
คนไทยยังไม่มีเครื่องไม้-เครื่องมือ ยังไม่มีความรู้เรื่องการถลุงแร่ประเภทนั้น ท่านบอก วิชาความรู้เรียนจากพ่อ ถามว่า พ่อของท่านเรียนมาจากใคร?
ท่านตอบว่า “พ่อของท่านเรียนมาจากอาจารย์คง”
“อาจารย์คงอยู่วัดไหน” ท่านบอก อาจารย์คงเป็นพระลูกวัด“วัดป่าเลไลย์” เมืองจังหวัดสุพรรณบุรี
วัดป่าเลไลย์ มีอาจารย์เก่งๆ อยู่ ๓ ท่าน โดยเฉพาะอาจารย์คง เก่งทางด้านนี้มาก ถามท่านว่า วิธีดูพื้นดินทำยังไง การหาทองใช้วิธีอะไรบ้าง ท่านบอกว่า ๑.ดูดิน ลักษณะของดินว่าจะมีแร่ประเภทใดอยู่ ไม่ใช่เฉพาะทอง
คือว่า ดินอย่างนี้ ต้องมีอย่างนั้น เวลาที่จะดูดิน ก็ต้องขุดลงไปสักประมาณ ๑ คืบก่อน
พอถึงดินเนื้อแท้ของพื้นที่จริงๆ เมื่อถึงดินแข็ง ก็นำขึ้นมาดู ก็พิสูจน์กันว่า ถ้าดินอย่างนี้จะมีทอง ลักษณะอย่างนี้ จะมีแร่เงินธรรมชาติ แร่ทองธรรมชาติ
อันนี้ ไม่ใช่ของยาก ถ้ารู้ปริมาณ รู้กำลังดิน ก็จะทราบว่าความลึกของแร่ต่างๆ จะอยู่ขนาดไหน นี่เป็นวิชาการของโบราณ ซึ่งยังไม่ได้เรียนจากฝรั่ง
ต่อมาก็อีกวิธีหนึ่ง “อาจารย์คง” ก็สอนเหมือนกัน ใช้วิธี “หลับตาดู” เรื่องนี้เรื่องใหญ่ นี่ก็แปลก
ถ้าหลับตาดู ใช้กำลังใจถาม อย่างนี้จะเห็น แร่เงิน แร่ทอง แร่ต่างๆ ใต้พื้นดิน ใต้ภูเขาทั้งหมด
จะรู้กำหนดว่า มีสีสันวรรณะเป็นยังไง ตื้นลึกหนาบางเป็นยังไง จะใช้อะไรได้บ้าง รู้หมด
แต่ว่าวิธีที่ ๑ และวิธีที่ ๒ นี่ก็ใช้กันตามปกติ แต่ยังไม่แน่ใจ เขายังไม่นิยมกันนัก ใช้แล้วก็ต้องใช้วิธีที่ ๓
ถามว่า วิธีที่ ๓ คือวิธีแบบไหน ท่านตอบว่า ต้องถาม “ผีพรายประจำท้องถิ่น” จะบอกได้ตรงไป-ตรงมาทั้งหมด
ฉะนั้น ในเรื่องโบราณต่างๆ ที่ว่ามีการพบผีพราย คุยกับผีพราย จึงถามได้ว่า ในเวลานี้ คำว่าผีพรายหมดไปแล้ว ไม่มีใครนิยมเรียกกัน
อยากจะถามว่าในสมัยปัจจุบัน คำว่าผีพรายหมายถึงอะไร
ท่านก็ตอบว่า ผีพรายประจำถิ่นนั้น เรียกว่า “ภุมมะเทวดา” จะว่ากันไปก็คือ "พระภูมิเจ้าที่" นั่นเอง
ภูมิเจ้าที่ย่อมรักษาถิ่นจำกัด ที่นี้-ถึงที่โน้น, จากที่นั้น-ถึงที่โน้น รวมความว่า ภายในเขตของท่าน มีทรัพย์สินอะไรบ้าง อยู่ที่ไหน มีปริมาณเท่าไร ขุดลึกเท่าไร ถึงดินชั้นไหน มีสีสันวรรณะเป็นอย่างไร จึงจะพบทองและเงิน
ผีพรายประจำถิ่้นหรือภุมมะเทวดาต้องบอกชัด เวลาท่านบอกจริงๆ จะมีสภาพศีล ด้วยอำนาจเทวานุภาพ เห็นชัดในแผ่นดิน ไม่มีบัง วิธีที่ ๓ นี้ เป็นที่นิยมกันมาก
ถามต่อไปว่า “ถ้าจะขุด จะอนุญาตไหม?”
บางจุดท่านก็อนุญาต บางจุดไม่อนุญาต เพราะว่ายังไม่ถึงวาระ ต้องถึงกาลเวลาอันควร แต่ทั้งนี้ ก็ต้องยอมรับนับถือเทวดา
เพราะได้ทดลองมาแล้ว จุดใด ที่มองเห็นชัดตามหลักวิธีการ ๓ รายการนี่ เห็นหมด แต่ทีนี้ปรากฏว่า ขุดแล้วไม่ได้ ขุดลึกเท่าไหร่ก็ไม่ได้ เพราะอำนาจเทวานุภาพ
เพราะฉะนั้่น กล่าวว่า ถ้าที่ใดท่านอนุญาตให้ จะขุดได้ง่ายๆ และก็ขุดไม่ลึก การหาแร่เงิน แร่ทอง สมัยนั้น หาแค่ๆ ผิวดิน
ลึกลงไปมากเท่าไร ก็ได้มากขึ้น ปริมาณทองก็สูง ปริมาณเงินก็สูง
ถามท่านว่า แร่เงินกับแร่ทองอยู่รวมกันมั้ย ท่านบอกว่าไม่ได้รวมกัน มันต้องคนละแห่ง ที่ของใคร ก็ที่ของใคร ภุมมะเทวดาจะชี้ที่ให้
ก็เลยคิดว่า เวลานี้ การหาเงิน-หาทองก็เป็นของดี อยากจะถามท่านว่าวิธีจะติดต่อกับภุมมะเทวดาหรือผีพรายประจำท้องถิ่นต้องมีเครื่องสังเวยมั้ย?
ท่านบอกว่า “เป็นของธรรมดา ต้องมีเครื่องสังเวย”
“เครื่องสังเวยจะต้องใช้เป็นอะไร” ท่านก็ยิ้ม ท่านบอกว่า “หลักวิชานี้ ไม่มีใครเขาบอกกัน”
“เวลานี้ท่านเป็นพรหม น่าจะบอกได้” ท่านว่า “ยิ่งเป็นพรหมยิ่งหนัก ต้องรักษาระเบียบ”
ถามท่าน เวลานี้ ถึงการสมควร ประเทศชาติต้องการทรัพย์สินมาก ชาติต้องการแร่เงิน แร่ทอง แร่อย่างอื่น จะหาได้มั้ยในเขตกาญจนบุรี?
ท่านยิ้ม และก็ตอบว่า “ในเขตกาญจนบุรี...มี ถ้าว่ากันจริงๆนะ เนื้อที่ ๙๐% ของกาญจนบุรี เป็นทองและเงิน และแร่ต่างๆ ที่มีค่าสูงมาก”
ท่านพูดต่อมาอีกนิดหนึ่ง ในฐานะที่ผมก็เคยเป็นทหาร เคยรักษาเขตประเทศชาติมาแล้ว เอาชีวิตและเลือดเนื้อเข้าแลกเพื่อความคงอยู่ของชาติ
ก็อยากจะเตือนพี่น้องชาวไทยทั้งหมดว่า “จังหวัดกาญจนบุรีนี้อย่าให้ตกไปอยู่ในมือของใคร” เพราะเป็นแหล่งทรัพย์สินต่างๆ มากมาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "แห่งเดียวในเมืองไทย" คือกาญจนบุรี
ถ้ากาลเวลาถึง คำว่ากาลเวลาถึง หมายถึงว่า บุคคลผู้มีปฏิปทาอันสมควรที่พึงได้ทรัพย์สินเหล่านั้นขึ้นมา
ถ้านำขึ้นมา เฉพาะในเขตจังหวัดเดียว ประเทศไทยจะเป็นมหาเศรษฐีของโลก!!!
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มี “ภูเขาลูกหนึ่ง” ท่านไม่บอกชื่อ ไม่บอกสถานที่ สูงตระหง่านกว่าเขาลูกอื่นทั้งหมด โดดเดี่ยวขึ้นไป และก็มีเทือกเขาทั้งซ้ายและขวา หันหน้าไปทางทิศตะวันออก
จากเขาลูกนั้นมา เป็นเทือกเขาข้างซ้ายที่จะเป็นคันกั้นน้ำ เขาลูกนี้ มีแร่ธาตุวิเศษจริงๆ ทางด้านซ้ายมือ ไหลขึ้นไปทางเหนือ
ไม่ใช่แร่เงินและแร่ทอง แต่เป็นแร่หลายอย่างในพื้นที่นั้น แล้วแร่ประเภทนี้ สามารถจะนำมาผสมกัน เป็น “เงินคงคลังของชาติ”ได้เป็นอย่างดี และมีปริมาณมากมหาศาล
ถ้าได้ขุดเจาะจริงๆ ถ้าได้แร่นี้ขึ้นมา ต่อไปนักวิทยาศาสตร์ของไทยจะเก่งกล้าขึ้น สามารถทำได้หลายๆ อย่างที่เราคาดคิดไม่ถึง แม้แต่การใช้รังสีต่างๆ ก็ทำได้เยอะ
เรื่องเหล่านั้น คนถามไม่สนใจ สนใจอย่างเดียวว่า สามารถจะนำเป็นเงินคงคลังแท่ง เงินแท่งคงคลัง ก็ถามว่า เงินแท่งคงคลังหมายถึงอะไร?
ท่านยิ้ม บอกว่า “ทองคำ” เอาขึ้นมาผสมกัน แร่ในนั้นมีครบถ้วน ให้ผสมตามสูตร ต่อไปนักวิทยาศาสตร์จะทำได้
แต่ว่าเวลานี้ ยังทำไม่ค่อยจะได้ กาลเวลายังไม่สมควร นักวิทยาศาสตร์ทำได้
และในถ้ำนั่นแหละ มีแร่อยู่ มันจะไหลขึ้นไป มีจุดหนึ่งเป็นธารน้ำไหล น้ำนั้นใส กระแสน้ำนี้ ยังไม่ปรากฏต่อสายตาภายนอก
จะไหลภายในเขา จะไหลเป็นน้ำซับซึมๆ ออกมา ตักเท่าไหร่ไม่หมด ขออย่างเดียว อย่าทำลายต้นน้ำลำธาร
ต้นน้ำลำธารอยู่ในสายพม่า แต่ยังไม่ถึงพม่า ตรงจุดนั้นอย่าทำลาย
เมื่อได้แร่ทั้ง ๓ อย่าง นำมาผสมกันแล้ว ท่านใช้คำว่า "ผสมกันแล้ว" และใช้น้ำอันนี้ช่วย ทั้ง ๓ อย่างนั้น จะกลายเป็น “ทองคำ ๑๐๐%” เนื้อจะอ่อน ไม่ผิดจากทองคำทั้งหลาย-ทั้งหมด ถามว่า แร่ทั้งหมดนี้ ถ้านำมาใช้จริงๆ ซักกี่สิบปีจึงจะหมด?
ท่านบอกว่า นำขึ้นมาใช้จริง ๑,๐๐๐ ปี หมดรอบนี้แล้ว ก็ยังมีเป็นธรรมชาติของมัน เกิดขึ้นเรื่อยๆ เวลานี้ มีหลายชั้น นอกจากอยู่ในเขา ยังยาวลงไปถึงใต้ดิน แยะมาก
ท่านย้ำว่า “จงอย่าลืม นอกจากนำแร่นี้มาทำเป็นทองคำแล้ว ประโยชน์จากแร่อื่นๆ บริเวณนี้ มีปริมาณมากมายเหลือเกิน
พูดอย่างคร่าวๆ ปริมาณของแร่ ส่วนหนึ่งจะทำเหล็กเหนียว เหล็กแข็งได้ดี อีกส่วนของแร่ จะใช้รังสีได้อย่างวิเศษ อีกส่วนหนึ่ง จะทำอะไรก็ได้ ผมประมาณไม่ไหว เป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์
แต่ว่าผมเอง มีนามว่า "พระยากาญจนบดินทร์” เป็นผู้ค้นคว้าการมาของแหล่งทองคำ จึงสนใจเฉพาะทองคำ ถามท่านว่า สมัยของท่าน เคยนำแร่นี้ขึ้นมาใช้มั้ย
ท่านบอกว่า บางส่วนนำมาครับ แต่ไม่ได้นำมาจากเขา ถามท่านว่า พื้นที่เชิงเขาและที่ราบจะมีมั้ย บอกว่ามี
ถามว่า “ที่ตรงไหน” ท่านก็ชี้จุดให้ เอาไม้ไปปักให้ดู เป็นสัญลักษณ์ ถ้าไม้อย่างนี้ปริมาณมาก อย่างนี้ปริมาณน้อย
ทั้งนี้ ต้องใช้วิธีการบวงสรวง
ถามว่า “จะขอพิธีกรรมได้มั้ย” ท่านบอก พิธีกรรมเป็นของไม่ยาก แต่ว่าสมาธิที่ทำใจใสซี
ก็ถามท่าน “สมาธิทำใจใส” สามารถเห็นผี เห็นเทวดาได้ จะเรียนจากใคร?
ท่านบอก “เรียนจากอาจารย์คง” วิชาเฉพาะของท่านจริงๆ ก็คือสมาธิธรรมดา แต่ว่ามีบทคาถาเป็นบทภาวนาเชิญเทวดา จะได้เชิญภูตผีพรายประจำถิ่น
“การบวงสรวงเชิญเทวดามายากมั้ย?
ท่านบอก “จิตใจของพวกกระผมก็ดี คุณพ่อก็ดี คนสมัยก่อนก็ดี มีความเคารพในพระพุทธศาสนามาก ถือเทวดาและพรหมมาก
อัญเชิญจึงเป็นของไม่ยาก เริ่มพิธีบวงสรวงปั๊บ ก็จะเห็นภุมมะเทวดามายืนเรียงราย ท่านจะประกาศชื่อท่าน ประกาศเขตที่ท่านอารักขา
จะประกาศทรัพย์สินเท่าที่มีทั้งหมด เวลาที่ท่านประกาศ ภาพทั้งหมดจะปรากฏชัด ถามในการอนุญาตหรือไม่อนุญาต ท่านจะบอกชัดด้วยความเมตตา
ครับ การเมืองให้เขาบ้ากันไป ส่วนเราไป “ขุดทอง” กันดีกว่า เนอะ!
-เปลว สีเงิน- ๗ พฤศจิกายนขอบคุณที่มา : https://www.thaipost.net/columnist-people/892114/8 พฤศจิกายน 2568 เวลา 0:01 น. ขอบคุณภาพจาก : https://hilight.kapook.com/view/250293https://www.amarintv.com/news/social/529602
|
|
|
|
|
14
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / คำแนะนำในการใช้ภาษาบาลี
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2025, 07:36:32 am
|
. คำแนะนำในการใช้ภาษาบาลีผมเห็นญาติมิตรทางเฟซบุ๊กหลายท่าน เมื่อโพสต์ข้อความ นิยมใส่ภาษาบาลีเข้าไว้ในคำพูดด้วย เป็นอย่างคำพูดติดปาก เช่น “สาธุ อนุโมทามิ” และ “นิพฺพานปจฺจโย โหตุ” เป็นต้น
ภาษาบาลีเป็นภาษาที่มีกฎเกณฑ์แน่นอน จะเขียนสะกดเอาเองตามใจชอบไม่ได้ ถึงทำเช่นนั้นได้ ก็กลายเป็นคำบาลีที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อน
คำบาลีที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนที่เราพบเห็นดื่นดาษ-โดยเฉพาะในวงการนักนิยมคาถาอาคม-ก็เกิดมาจากการเขียนสะกดเอาเองตามใจชอบนี่เอง
เช่น “พระสยามมินทร์โธ” คำแบบนี้ไม่มีในภาษาบาลี เป็นบาลีวิปริต คำบาลีที่ถูกคือ “สฺยามินฺโท”
ที่อ้างต้นฉบับแบบหัวชนฝาก็มี เช่น – อาสุํ อานนฺทราหุโล (อาสุง อานันทะราหุโล) ในพระคาถาชินบัญชร “อาสุํ” เป็นคำกริยา พหูพจน์ “-ราหุโล” ประธานเป็นเอกพจน์ ผิดหลักภาษา
@@@@@@@
เทียบกับภาษาอังกฤษ I ต้อง am We ต้อง are เกิดใครไปพูดว่า I are หรือ We am ก็คือเพี้ยน
อาสุํ อานนฺทราหุโล คำที่ถูกต้องคือ อาสุํ อานนฺทราหุลา -ราหุลา พหูพจน์ ไม่ใช่ -ราหุโล ซึ่งเป็นคำที่เขียนผิดและลอกกันมาผิดๆ
ผมเคยท้วงโดยยกเหตุผลแบบนี้ ถูกยันกลับมาว่า นี่เป็นการสะกดตามต้นฉบับ ต้นฉบับเขียนมาอย่างนี้ ต้องสะกดอย่างนี้ ไปแก้ของท่านไม่ได้ เพราะฉะนั้น ก็ I are We am กันต่อไปเถิด
น่าเสียดายที่นักเล่นคาถาก็ดี ผู้นิยมอ้างคำบาลีก็ดี มักพอใจที่จะพูดหรือเขียนไปตามที่ตนศรัทธา พอใจ เข้าใจ โดยไม่นิยมที่จะตรวจสอบสืบสวนหรือสอบถามจากผู้ที่รู้ภาษาบาลีให้ถูกต้องชัดเจนเสียก่อน
เขียนเองเก็บไว้อ่านเองเป็นส่วนตัวก็ไม่เป็นไร แต่นี่เขียนแล้วก็เอาออกเผยแพร่ให้คนอื่นได้เห็นได้อ่านต่อไปอีกด้วย คนที่อ่านก็ลอกต่อๆ กันไป สมัยนี้ใช้วิธีแชร์ให้แพร่หลายมากขึ้นไปอีก
@@@@@@@
คำบาลีผิดๆ จึงระบาดหนักขึ้นไปเรื่อยๆ ยกตัวอย่างสักคำ-ที่ตำตาอยู่ทุกวัน คือ คำที่ออกเสียงกันว่า นิบ-พาน-นะ-ปัด-จะ-โย-โห-ตุ
ถ้าพูด ก็พอตีกินไปได้ ไม่รู้ว่าผิดถูกตรงไหน แต่เวลาเขียนออกมาเป็นตัวหนังสือ มั่วมากที่สุด ที่แรกผมคิดว่าจะยกตัวอย่างที่เขียนกันมั่วๆ มาให้ดู แต่คิดอีกที อย่าดีกว่า ยกคำที่ถูกต้องมาให้ดูกันจะๆ ดีกว่า
คำที่ว่านี้เขียนได้ ๒ แบบ คือ แบบบาลีและแบบไทย (แบบไทยคือแบบคำอ่าน) เขียนแบบบาลี : นิพฺพานปจฺจโย โหตุ เขียนแบบไทย : นิพพานะปัจจะโย โหตุ หลักวิชา
เขียนแบบบาลี “นิพฺพาน” มีจุดใต้ พฺ ตัวหน้าด้วยเพื่อให้เป็นตัวสะกด เขียนแบบบาลี “นิพฺพาน” ถ้าไม่มีจุดใต้ พ ตัวหน้า คือ เขียนเป็น “นิพพาน” ต้องอ่านว่า นิ-พะ-พา-นะ- ซึ่งก็คือคำที่ผิด
เขียนแบบบาลี “ปจฺจโย” มีจุดใต้ จฺ ตัวหน้าด้วยเพื่อให้เป็นตัวสะกดโดยหลักการเดียวกัน ถ้าไม่มีจุด คือเขียนเป็น “ปจจโย” ต้องอ่านว่า ปะ-จะ-จะ-โย ซึ่งก็คือคำที่ผิด
@@@@@@
“นิพฺพานปจฺจโย” ต้องเขียนติดกันแบบนี้ เพราะเอา ๒ คำมาชนกันกลายเป็นคำเดียวกัน “นิพฺพาน ปจฺจโย” แยกกันแบบนี้ คือคำที่ผิด
“โหตุ” อ่านว่า โห-ตุ เป็นคำกริยา เอกพจน์ “โหนฺตุ” (มีจุดใต้ นฺ) อ่านว่า โหน-ตุ เป็นคำกริยา พหูพจน์ ข้อความที่กำลังพูดถึงนี้เป็นเอกพจน์ เพราะฉะนั้น เขียนว่า “โหตุ” ไม่ใช่ “โหนฺตุ”
เขียนแบบไทย “นิพพานะ” ไม่ต้องมีจุดใต้ พ “นิพพานะ” -นะ ต้องมีสระอะ เพราะเขียนแบบคำอ่าน
“ปัจจะโย” เขียนตามเสียงอ่าน ปัจ- ใช้ไม้หันอากาศ ไม่ต้องมีจุดใต้ จ กล่าวอีกนัยหนึ่ง “ปัจจะโย” ก็คือคำอ่านของ “ปจฺจโย” นั่นเอง
@@@@@@@
“นิพพานะปัจจะโย” ต้องเขียนติดกันแบบนี้ เพราะเอา ๒ คำมาชนกันกลายเป็นคำเดียวกัน “นิพพานะ ปัจจะโย” แยกกันแบบนี้ คือคำที่ผิด
“นิพฺพานปจฺจโย โหตุ” หรือ “นิพพานะปัจจะโย โหตุ” แปลเป็นไทยว่า “(ขอบุญกุศลที่ได้บำเพ็ญนี้) จงเป็นปัจจัยแก่พระนิพพาน”
ขอความตั้งใจเขียนชี้แจงคำผิดคำถูกที่กระทำด้วยจิตอันเป็นกุศลนี้ จงเป็นปัจจัยแก่พระนิพพานด้วยเทอญ (เหนื่อยครับ)
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๒Thank to : https://dhamtara.com/?p=3227713 ตุลาคม 2025 | suriyan bunthae
|
|
|
|
|
15
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ได้เปรียญธรรมแล้ว ต้องช่วยกันเผยแผ่และรักษาพุทธศาสนา โดยเต็มกำลัง
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2025, 07:18:53 am
|
. คำอาราธนาโบราณท่านถือว่า เปรียญธรรม ๓ ประโยค ๖ ประโยค และ ๙ ประโยค เป็น “ประโยคหลัก”
๓ ประโยค เป็นบันไดขั้นแรกหรือประตูแรก ถ้าสอบผ่านก็เสมือนว่าได้รับอนุญาตให้ก้าวขึ้นหรือก้าวเข้ามาเดินในเส้นทางแห่งผู้สืบทอดพระศาสนา
๖ ประโยค เหมือนขึ้นมาได้ครึ่งทาง ถ้าเป็นการเดินทางก็คือผ่านประสบการณ์มามากพอที่จะรักษาตัวและรักษาพระศาสนาสืบต่อไปได้
๙ ประโยค เหมือนขึ้นบันไดขั้นสูงสุด ถ้าเป็นการเดินทางก็คือมาถึงปลายทางแล้ว มีประสบการณ์สมบูรณ์พร้อมที่จะเป็นผู้นำในการรักษาพระศาสนา ทั้งในฐานะผู้พิทักษ์ ปกป้อง พัฒนา และแก้ไขปัญหาทั้งปวง นำพาและส่งมอบพระศาสนาให้ถึงมืออนุชนเพื่อสืบทอดต่อไปชั่วกาลนาน
ขออาราธนาพระเดชพระคุณทั้งปวง ที่สอบผ่านพระปริยัติธรรมแผนกบาลีในศกนี้ รับภารธุระในการรักษาพระศาสนาโดยเต็มกำลังต่อไปด้วย เทอญ
นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย ๑๘ มีนาคม ๒๕๖๐ , ๒๑:๕๐Thank to : https://dhamtara.com/?p=325394 พฤศจิกายน 2025 | suriyan bunthae
|
|
|
|
|
16
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ตากระตุก อาจไม่ใช่ลางบอกเหตุ แต่สะท้อนปัญหาสุขภาพดวงตาที่ต้องรีบรักษา!
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2025, 10:24:12 am
|
. ตากระตุก อาจไม่ใช่ลางบอกเหตุ แต่สะท้อนปัญหาสุขภาพดวงตาที่ต้องรีบรักษา!เปลือกตากระตุก หลายคนมักไม่คิดถึงโรคภัยแต่คิดถึงลางบอกเหตุ และแน่นอนหากรู้ไม่ทันโรคต้องเป็นลางร้ายแน่ๆ จึงควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หากกระตุกถี่เกินจากความผิดปกติของกล้ามเนื้อเปลือกตาที่เป็นเรื่องใหญ่กว่าที่คิดได้
อาการเปลือกตากระตุก (Eyelid Twitching) หลายคนเชื่อว่ากระตุกขวาร้าย ซ้ายดี เป็นเรื่องของโชคลางที่มีผลกับการตัดสินใจในบางเรื่อง แต่ในทางการแพทย์ระบุว่า เกิดขึ้นจากกล้ามเนื้อเปลือกตาเกิดการเกร็งกระตุก สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งเปลือกตาบนและเปลือกตาล่าง ส่วนใหญ่จะเป็นที่เปลือกตาบน มีอาการตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง และหากมีการกระตุกของส่วนอื่น ๆ บนใบหน้า อาจเป็นสัญญาณบอกโรคได้
เปลือกตากระตุกบอกความผิดปกติ กล้ามเนื้อเปลือกตาเขม่น (Eyelid Myokymia)
ภาวะที่เปลือกตามีอาการเต้นหรือกระตุก เป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยมีอาการเต้นหรือกระตุกเฉพาะบริเวณเปลือกตา ส่วนมากจะเป็นเพียงข้างเดียว พบว่าเกิดกับเปลือกตาล่างบ่อยกว่าเปลือกตาบน อาการมักเป็นสั้น ๆ และหายเองได้ในเวลาไม่กี่วินาทีหรือเป็นชั่วโมง แต่บางครั้งอาจมีอาการนานหลายสัปดาห์ได้
สาเหตุกล้ามเนื้อเปลือกตาเขม่น
• ความเหนื่อยล้า • ความเครียด ความวิตกกังวล • การดื่มคาเฟอีน แอลกอฮอล์ • การออกกำลังกาย • การสูบบุหรี่ • อาการระคายเคืองตา • แสงจ้า ลมหรือมลภาวะทางอากาศ • ยาบางชนิด เช่น Topiramate, Clozapine, Gold Salts, Flunarizine ฯลฯ
นอกจากนี้โรคทางระบบประสาทบางอย่างอาจทำให้เกิดภาวะเปลือกตากระตุกได้ แต่ส่วนใหญ่จะมีอาการทางระบบประสาทอื่นร่วมด้วย เช่น Demyelinating Diseases, Autoimmune Disease, Brainstem Pathology ฯลฯ ส่วนใหญ่แล้วกล้ามเนื้อเปลือกตาเขม่นมักจะหายได้เองถ้าหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น แต่หากมีอาการดังต่อไปนี้ควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว
• ตาเขม่นไม่หายเป็นเวลานาน 2 – 3 สัปดาห์ • ตาเขม่น ทำให้ลืมตายากหรือตาปิด • มีการกระตุกบริเวณอื่นของใบหน้าหรือร่างกายร่วมด้วย • ตาแดงหรือมีขี้ตาเปลือกตาตก
@@@@@@@
รักษากล้ามเนื้อเปลือกตาเขม่น
ส่วนมากสามารถหายเองได้ โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นต่าง ๆ หากเป็นมากจนรบกวนชีวิตประจำวันหรือนานเกิน 3 เดือน อาจพิจารณาให้รักษาด้วยการฉีด Botulinum Toxin
กล้ามเนื้อเปลือกตาเกร็งกระตุก (Blepharospasm)
คือ ภาวะที่กล้ามเนื้อเปลือกตาหดตัวผิดปกติ ทำให้กะพริบตาบ่อยขึ้น หลับตาทั้งสองข้างโดยไม่ได้ตั้งใจ มักเริ่มจากอาการกล้ามเนื้อเปลือกตากระตุกเล็กน้อย และอาการค่อย ๆ เป็นมากขึ้น จนอาจรบกวนการมองเห็น เนื่องจากไม่สามารถลืมตาได้ พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และมักพบในช่วงอายุ 40 – 60 ปี ตากระตุกสาเหตุของโรคกล้ามเนื้อเปลือกตาเกร็งกระตุก
สาเหตุกล้ามเนื้อเปลือกตาเกร็งกระตุกยังไม่ทราบแน่ชัด อาจมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรมในบางรายอาจมีความเกี่ยวข้องกับการทำงานผิดปกติของสมองส่วน Basal Ganglia
ปัจจัยกระตุ้นโรค
• อุบัติเหตุที่ศีรษะหรือใบหน้า • ประวัติครอบครัวที่มีโรคการเคลื่อนไหวผิดปกติ เช่น Dystonia, Tremor ฯลฯ • Reflex Blepharospasm จากโรคทางตา เช่น ตาแห้ง, เปลือกตาอักเสบ, ตาอักเสบ, ภาวะไวต่อแสง ฯลฯ • มีสิ่งระคายเคืองเยื่อหุ้มสมอง • ภาวะเครียด • ผลจากยา เช่น กลุ่มยารักษาโรคพาร์กินสัน ฯลฯ • การสูบบุหรี่ • พบได้ในโรคการเคลื่อนไหวผิดปกติอื่น ๆ เช่น Tardive Dyskinesia, Generalized Dystonia, Wilson Disease, และ Parkinsonian Syndromes
รักษากล้ามเนื้อเปลือกตาเกร็งกระตุก
รักษาปัจจัยที่กระตุ้น Reflex Blepharospasm ได้แก่ การใช้น้ำตาเทียม, การรักษาเปลือกตาอักเสบ, การใช้แว่นตาดำ โดยเฉพาะชนิด FL-41 ฯลฯ
• กลุ่มยาคลายกล้ามเนื้อ กลุ่มยานอนหลับ • การฉีด Botulinum Toxin มักให้ผลการรักษาที่ดี • การผ่าตัด เฉพาะในกรณีที่ไม่ตอบสนองต่อการฉีด Botulinum Toxin
@@@@@@@@
กล้ามเนื้อใบหน้าเกร็งกระตุกครึ่งซีก (Hemifacial Spasm)
ภาวะที่มีการกระตุกของกล้ามเนื้อใบหน้าครึ่งซีก มักพบในช่วงอายุ 50 – 60 ปี และพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย อาการมักเริ่มที่เปลือกตาก่อนแล้วค่อย ๆ เป็นมากขึ้น โดยมีอาการกระตุกที่แก้มและริมฝีปากด้านเดียวกัน อาการกระตุกนี้ไม่สามารถควบคุมได้ เมื่อโรครุนแรงขึ้นจะมีอาการกระตุกเกือบตลอดเวลา อาจพบอาการกระตุกขอบใบหน้าอีกฝั่งได้ แต่พบน้อยมาก และจะมีอาการกระตุกไม่พร้อมกัน
ปัจจัยกระตุ้นโรค
• การเคลื่อนไหวใบหน้า • ความวิตกกังวล ความเครียด ความเหนื่อยล้า
รักษากล้ามเนื้อใบหน้าเกร็งกระตุกครึ่งซีก
• กลุ่มยากันชัก อาจช่วยลดอาการได้บ้างในบางราย • การฉีด Botulinum Toxin • การผ่าตัด Microvascular Decompression ในกรณีที่มีเส้นเลือดกดทับเส้นประสาท
แม้อาการเปลือกตากระตุกสามารถหายได้เอง แต่อย่านิ่งนอนใจ หากมีอาการเรื้อรังนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน มีอาการผิดปกติของดวงตาที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ควรรีบพบจักษุแพทย์โดยเร็วขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลกรุงเทพ https://www.pptvhd36.com/health/care/6830โดย PPTV Online | เผยแพร่ : 19 เม.ย. 2568
|
|
|
|
|
17
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ‘หนังตากระตุก’ อาจไม่ใช่ลางบอกเหตุ แต่เป็นสัญญาณเตือนเรื่องสุขภาพ
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2025, 10:09:37 am
|
. ‘หนังตากระตุก’ อาจไม่ใช่ลางบอกเหตุ แต่เป็นสัญญาณเตือนเรื่องสุขภาพ กรมการแพทย์ เผยภาวะตาปิดเกร็ง หนังตากระตุก หลายคนมักคิดว่าเป็นลางบอกเหตุ อาจสร้างความรำคาญได้ แท้จริงแล้วเป็นสัญญาณบอกโรค หมั่นสังเกตอาการ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษา
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า Blepharospasm หรือภาวะตาปืดเกร็ง เป็นส่วนหนึ่งของอาการ focal dystonia ซึ่งเป็นภาวะความผิดปกติที่เกิดจากอาการเกร็งของกล้ามเนื้อดวงตา มักพบในผู้ป่วยเพศหญิงมากกว่าเพศชาย และช่วงอายุที่พบบ่อยคือ ช่วงอายุประมาณ 40-60 ปี มักเกิดขึ้นพร้อมกันทั้ง 2 ตา
นพ.สมศักดิ์ กล่าวต่อว่า อาการเริ่มต้นของภาวะนี้คือ มีกระพริบตาบ่อยครั้ง ผู้ป่วยมักให้ประวัติว่ารู้สึกเคืองตาแสบตา จากนั้นจะเริ่มมีอาการเกร็งหรือรู้สึกดึงรั้ง หรือแน่นรอบดวงตาโดยเกิดขึ้นทั้งด้านบนและด้านล่าง ทำให้มีความลำบากในการลืมตา ตาเริ่มหรี่แคบลงจนถึงตาเปิดไม่ได้ชั่วขณะ อาการจะเป็นๆ หายๆ โดยระยะเวลาที่เกิดเป็นวินาทีถึงหลายนาทีได้
ทั้งนี้ การโดนแสงแดดหรือไฟสว่างจ้า ความเครียดวิตกกังวล มักกระตุ้นให้เกิดอาการมากขึ้น ผู้ป่วยอาจมี sensory trick หรือการบรรเทาอาการจากการสัมผัสเบาๆที่บริเวณอื่น เช่น หางตาหรือแก้มแล้วทำให้กล้ามเนื้อรอบดวงตาคลายตัว พบได้ในระยะแรกของโรค จากนั้นอาการจะค่อยๆหายไป ผู้ป่วยควรมาพบแพทย์ประเมินหาสาเหตุ เพื่อการรักษาที่ถูกต้องต่อไป

นพ.ธนินทร์ เวชชาภินันท์ ผู้อำนวยการสถาบันประสาทวิทยา กล่าวว่า ผู้ป่วยจะมีอาการ ภาวะอื่นที่อาจมีอาการคล้าย Blepharospasm เช่น หนังตาตกจากกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรืออาการที่ไม่สามารถเปิดตาได้จากสมองส่วนกลาง หรือใบหน้ากระตุกครึ่งซีก เป็นต้น การแยกโรคต้องอาศัยแพทย์ในการตรวจวินิจฉัย
นอกจากนี้ Blepharospasm อาจเป็นส่วนหนึ่งของอาการเกร็งของใบหน้าคือ พบร่วมกับอาการเกร็งบริเวณปาก หรือในบางรายอาการเกร็งอาจลามถึงบริเวณคอหรือทั้งร่างกาย การรักษาด้วยการรับประทานยาไม่ค่อยได้ประสิทธิภาพ ผู้ป่วยอาจได้รับผลข้างเคียงจากยาลดอาการเกร็ง เช่น ง่วงนอน ปากคอแห้ง อาการสับสน เป็นต้น
นพ.ธนินทร์ กล่าวว่า ในปัจจุบันการรักษาจึงเน้นยา ที่ออกฤทธิ์เฉพาะที่และไม่มีผลข้างเคียง การฉีดยาโบทูลินัมจึงเป็นการรักษาที่ใช้ในผู้ป่วยเพื่อลดอาการเกร็งรอบดวงตา ได้นาน 3-6 เดือนต่อการฉีด 1 ครั้ง ซึ่งมีผลข้างเคียงค่อนข้างน้อยและหายได้เองเมื่อยาหมดฤทธิ์
อย่างไรก็ตาม การฉีดโบทูลินัมไม่ได้ทำให้หายขาดจากโรคเป็นเพียงการรักษาตามอาการเท่านั้น ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้อาการแย่ลง หลีกเลี่ยงการขับรถหากยังคุมอาการได้ไม่ดีพอ และเฝ้าระวังอาการทางระบบประสาทอื่นๆ ด้วย
ขอบคุณ : https://www.thecoverage.info/news/content/3792The Coverage • Movement • 25 กรกฎาคม 2565
|
|
|
|
|
18
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ถอดรหัสการสูงวัยแบบมีคุณภาพด้วย 9 นิสัยง่ายๆ จากคนที่อายุยืนที่สุดในโลก
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2025, 07:59:32 am
|
. ถอดรหัสการสูงวัยแบบมีคุณภาพด้วย 9 นิสัยง่ายๆ จากคนที่อายุยืนที่สุดในโลกประเทศไทย ได้ก้าวเข้าสู่ "สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์" (Complete Aged Society) อย่างเป็นทางการ พูดให้ชัดคือ ทุกวันนี้ 1 ใน 5 ของคนไทย (กว่า 20%) คือผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และตัวเลขนี้กำลังพุ่งทะยานไม่หยุด
คาดการณ์ว่าภายในปี 2576 หรืออีกไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า ไทยจะกลายเป็น "สังคมสูงวัยระดับสุดยอด" (Super Aged Society) ที่มีผู้สูงอายุมากถึง 30% ของประเทศ
คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ "เราจะมีอายุยืนยาวแค่ไหน" แต่คือ "เราจะสูงวัยอย่างไรให้มีคุณภาพ" ซึ่งแน่นอนว่าค่าเฉลี่ยอายุขัยของคนทั่วไปอาจอยู่ที่ราว 78 ปี แต่ปัจจุบันก็ยังมีคนกลุ่มหนึ่งบนโลกที่อายุทะลุ 100 ปีได้อย่างสบายๆ แล้วอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาเหล่านี้มีความสูงวัยอย่างมีคุณภาพและความสุข
คำตอบอาจไม่ได้อยู่ที่ยาราคาแพง แต่อยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่า "Blue Zones (บลูโซน)" ซึ่งเป็น 5 พื้นที่มหัศจรรย์ทั่วโลก ที่ทีมนักวิจัยจาก National Geographic ค้นพบว่ามีประชากรที่อายุยืนยาวที่สุดและมีอัตราการป่วยเรื้อรังต่ำที่สุด ได้แก่ ซาร์ดิเนีย, อิตาลี ที่มีผู้ชายอายุ 100 ปี มากที่สุดในโลก, โอกินาวา, ญี่ปุ่น สถานที่ที่มีผู้หญิงอายุยืนที่สุดในโลก อิคาเรีย, กรีซ ประเทศที่มีอัตราการตายวัยกลางคนและภาวะสมองเสื่อมต่ำที่สุด นิโคยา, คอสตาริกา ประเทศที่มีอัตราการตายวัยกลางคนต่ำที่สุด และ โลมาลินดา, แคลิฟอร์เนีย กลุ่มที่อายุยืนกว่าค่าเฉลี่ยของชาวอเมริกัน 10 ปี
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือการค้นพบว่า "ยีน" หรือพันธุกรรม มีผลต่ออายุขัยของเราเพียง 20% เท่านั้น ส่วนที่เหลืออีก 80% คือ "วิถีชีวิตและสิ่งแวดล้อม" และนี่คือ 9 วิถีชีวิตและนิสัยที่คนใน Blue Zones ทำเหมือนกัน ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญสู่การมีอายุยืนอย่างมีคุณภาพ
@@@@@@@
9 นิสัยง่ายๆ ที่ทำให้อายุยืนอย่างมีคุณภาพ จากคนที่อายุยืนที่สุดในโลก
1. การขยับแบบไม่ตั้งใจ
สังเกตรอบๆ ตัว คนอายุยืน ส่วนใหญ่เขาไม่วิ่งมาราธอนหรือยกเวทหนักๆ แต่พวกเขามีวิถีชีวิตและพฤติกรรมที่ทำให้เคลื่อนไหวตลอดวัน เช่น เดินไปซื้อของ ทำสวนด้วยมือ หรือทำงานบ้านเองโดยไม่พึ่งเครื่องจักร
2. กฎอิ่ม 80%
การกินให้อิ่มแต่พอดี เป็นการกินอย่างมีคุณภาพอย่างหนึ่ง โดยชาวโอกินาวามีคติว่า "ฮาระ ฮาจิ บุ" คือ กินให้อิ่มแค่ 80% เว้นช่องว่าง 20% ในกระเพาะ นี่คือจุดชี้ขาดระหว่าง "น้ำหนักลด" กับ "น้ำหนักเพิ่ม"
3. เน้นกินพืช-ถั่ว
น่าสนใจอย่างมาก เพราะอาหารหลักของคนอายุยืนยาว คือ "ถั่ว" หลากชนิด เพราะจริงๆ แล้วถั่วเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี และย่อยง่าย ซึ่งเป็นมิตรทั้งร่างกาย และสุขภาพส่วนอื่นๆ โดยปกติ คนสูงอายุส่วนใหญ่กินเนื้อสัตว์น้อยมาก เฉลี่ยเพียงเดือนละ 5 ครั้ง
4. จิบไวน์พอเข้าสังคม มีอายุยืนยาวกว่าผู้ที่ไม่ดื่ม
แม้ว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมดไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่ทำให้สุขภาพยืนยาว แต่การจิบไวน์ระดับกลาง (โดยเฉพาะไวน์แดง) เป็นกุญแจสำคัญเพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดีอย่าง "เรสเวอราทรอล" อย่างไรก็ตาม ความสำคัญ คือ "บริบทการดื่ม" เสียมากกว่า เพราะวัฒนธรรมของกลุ่มคนอายุยืนไม่ได้ดื่มเพื่อเมา แต่ดื่ม 1-2 แก้ว พร้อมมื้ออาหารกับเพื่อนฝูง เพื่อเข้าสังคม ดังนั้น ประโยชน์ที่แท้จริงจึงอาจมาจาก "การลดความเครียด" และ "ความสัมพันธ์ทางสังคมที่แน่นแฟ้น"
5. อิคิไก
อิคิไก (Ikigai) เป็นแนวคิดจากญี่ปุ่น โดยเฉพาะโอกินาวา ที่แปลว่า "เหตุผลของการมีชีวิตอยู่" หรือ "ความสุขที่ทำให้คุณอยากตื่นนอนในทุกเช้า" มันไม่ใช่แค่การตั้งเป้าหมายทั่วไป แต่คือจุดตัดที่ลงตัวของ 4 องค์ประกอบสำคัญในชีวิต ได้แก่ สิ่งที่คุณรัก สิ่งที่ถนัด สิ่งที่โลกต้องการ และสิ่งที่เป็นรายได้ให้คุณ
6. หาเวลาเบรกความเครียด
เครียดได้ แต่ต้องคลายให้เป็น คนอายุยืนก็เครียด แต่พวกเขามี กิจวัตรประจำวันเพื่อคลายเครียด เช่น ชาวอิคาเรียจะงีบหลับในตอนบ่าย หรือชาวซาร์ดิเนียมีแฮปปี้อาวร์ แม้ชาวโอกินาวาจะใช้เวลาสงบนิ่งเพื่อระลึกถึงบรรพบุรุษ ทั้งหมดเป็นการหาเวลาพักสมองในทุกวันเพื่อผ่อนคลาย โดยเราสามารถทำได้ เช่น การสวดมนต์ นั่งสมาธิ หรือแค่งีบก็ช่วยได้อย่างมหาศาล
7. ครอบครัวเป็นอันดับหนึ่ง
แน่นอนว่า "ครอบครัว" คือเครือข่ายความปลอดภัยทางอารมณ์และร่างกายที่สำคัญที่สุด เริ่มจากการสร้างบ้านที่มีความสุข ข้ามรุ่นที่อยู่ใกล้เคียงกัน เช่น "ปู่ย่าตายาย" สามารถช่วยเลี้ยงหลาน ซึ่งลดความเครียดให้พ่อแม่, ลดความเสี่ยงโรคให้เด็ก หรือแม้กระทั่ง "คู่ชีวิต" ที่คอยสนับสนุนพฤติกรรมสุขภาพที่ดีให้แก่กัน ลดความเหงา ส่วน "ลูกหลาน" คือ หลักประกันความมั่นคงในบั้นปลาย ลดความกังวลในอนาคต ทั้งหมดนี้สร้างสภาพแวดล้อมที่ปราศจากความเครียดเรื้อรัง และความโดดเดี่ยว ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้อายุยืนยาว
8. สังกัดชุมชนความเชื่อ
"การสังกัดชุมชนความเชื่อ" แท้จริงแล้วคือพลังของ "การเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม" และการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งทำหน้าที่เป็นวัคซีนต้านความเหงาและความโดดเดี่ยว ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงร้ายแรงเทียบเท่าการสูบบุหรี่ การเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มเป็นประจำ เช่น 4 ครั้งต่อเดือน ยังช่วยสร้างกิจวัตรที่ "ลดความเครียดเรื้อรัง" เพราะเป็นที่พึ่งทางใจ และยังถูก "เหนี่ยวนำ" โดยค่านิยมของกลุ่มให้มีพฤติกรรมสุขภาพที่ดีขึ้น เช่น ไม่ดื่ม ไม่สูบ ดังนั้น การมีอายุยืนยาวขึ้น 4-14 ปี จึงเป็นผลรวมอันทรงพลังของสุขภาพจิตที่แข็งแกร่ง สุขภาพกายที่ดี และการมีเครือข่ายสังคมที่คอยเกื้อหนุน
9. คบกัลยาณมิตรที่ใช่
การคบกัลยาณมิตรที่ใช่ คือ หนึ่งในกุญแจสำคัญที่สุดของการมีอายุยืน เพราะวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่า พฤติกรรมสุขภาพนั้นติดต่อกันได้ ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความอ้วน หรือแม้แต่ความเหงา แนวคิดนี้เห็นได้ชัดจาก “โมอาย (Moai)” ของชาวโอกินาวา ซึ่งคือกลุ่มเพื่อนสนิท 5 คนที่มุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลกันไปตลอดชีวิต ดังนั้น การเลือกแวดล้อมตัวเองด้วยคนที่ใช้ชีวิตในทางบวกและมีสุขภาพดี จึงเปรียบเหมือนการสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคม ที่จะช่วยเหนี่ยวนำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีและอายุยืนยาวตามไปด้วยโดยอัตโนมัติ
@@@@@@@
การจะมีอายุถึง 100 ปี อาจต้องพึ่ง "โชค" เรื่องพันธุกรรมอยู่บ้าง แต่พวกเราอาจมีความสามารถที่จะมีอายุยืนยาวถึง 90 ปี ได้แบบแข็งแรง และแทบไม่มีโรคเรื้อรัง หากเราเริ่มปรับใช้วิถีชีวิตแบบ "Blue Zones" ตั้งแต่วันนี้ เพราะในวันที่ประเทศไทยกำลังก้าวสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด 9 นิสัยง่ายๆ เหล่านี้ คือคำตอบที่ดีที่สุดของการ "สูงวัยอย่างมีคุณภาพ"Thank to :- ข้อมูล : bluezonesURL : https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/28940617 พ.ย. 2568 14:37 น. | ไลฟ์สไตล์ > ไลฟ์ | ไทยรัฐออนไลน์
|
|
|
|
|
19
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สูตรดูแลสมองเชิงวิทยาศาสตร์ ใช้สมองทุกวัน-ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2025, 07:46:51 am
|
. สูตรดูแลสมองเชิงวิทยาศาสตร์ ใช้สมองทุกวัน-ออกกำลังกายสม่ำเสมอไม่ต้องใช้วิธีการที่สลับซับซ้อนแต่ก็ทำให้สมองฟิตได้ ด้วยวิธีการของ บิล ไน ผู้ดำเนินรายการวิทยาศาสตร์ชื่อดัง ด้วยสองวิธีง่ายๆ แค่ใช้สมองและขยับร่างกายเป็นประจำ
บิล ไน (Bill Nye) ผู้ดำเนินรายการวิทยาศาสตร์ชื่อดัง “The Science Guy” วัย 69 เผยเคล็ดลับการดูแลสมองด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ ด้วยการ “ใช้สมองกับของใหม่ทุกวัน” และ “ขยับร่างกายสม่ำเสมอ”
บิล ไน บอกว่า วิธีการลับสมองของเขาเริ่มจากการเล่นปริศนาคำไขว้ การประกอบโมเดลรถไฟ เพราะการเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ เป็นการใช้มือ-ตา-สมองไปพร้อมกัน ทำให้สมองตื่นตัวเสมอ ไปจนถึงปั่นจักรยานกลางแจ้ง สัปดาห์ละหลายรอบ ซึ่งเป็นการเปิดรับอิสระของการเคลื่อนไหว บิล ไนแรงผลักดันของบิล ไน โยงกับประวัติครอบครัวที่มีภาวะทางระบบประสาทชนิดหนึ่ง (spinocerebellar ataxia) ซึ่งกระทบการทรงตัวและการประสานงานของกล้ามเนื้อ เขาจึงเลือกใช้ชีวิตให้แอ็กทีฟตั้งแต่วัยรุ่น เล่นกีฬาแทบทุกชนิด อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรการันตีว่าจะป้องกันโรคร้ายได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ประโยชน์ต่อสุขภาพโดยรวมคือเหตุผลที่ทำให้เขาไม่หยุดขยับ
งานวิทยาศาสตร์ก็ไปในทางเดียวกัน นักประสาทวิทยาชี้ว่า การเรียนรู้สิ่งใหม่ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของสมอง ทำให้สมองยังสร้างและเชื่อมต่อเส้นทางประสาทใหม่ๆ ได้เมื่ออายุมากขึ้น
ขณะที่ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยเสริมสมองส่วนความจำ และการตัดสินใจให้ทนทานขึ้น แม้ไม่ได้รักษาภาวะสมองเสื่อมหรือหยุดยั้งวัย แต่ช่วยให้สมองรับมือกับอายุที่มากขึ้นได้ดีขึ้น พูดง่ายๆ คือยืดเวลาที่สมองทำงานได้เต็มที่
ขอขอบคุณ :- ที่มา : Business Insiderwebsite : https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/28942128 พ.ย. 2568 12:20 น. | ไลฟ์สไตล์ > ไลฟ์ | ไทยรัฐออนไลน์
|
|
|
|
|
20
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / บทบาทและภาพลักษณ์ใหม่ “พระราชินีไทย” ในยุคโลกาภิวัตน์
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 07, 2025, 07:52:43 am
|
.  สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินเคียงคู่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนสหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2503 (ภาพจากหนังสือ "ประมวลภาพเสด็จฯ เยือน 17 ประเทศ ฉบับทูลเกล้าฯ ถวาย" จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ก้าวหน้า พ.ศ. 2503) บทบาทและภาพลักษณ์ใหม่ “พระราชินีไทย” ในยุคโลกาภิวัตน์ภาพที่คุ้นตาประชาชนไทยส่วนใหญ่ภาพหนึ่ง คงหนีไม่พ้นภาพการเสด็จฯ ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กับสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9
เสด็จฯ ไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจที่ต่างๆ เคียงคู่กัน
บทบาทและภาพลักษณ์ของพระองค์ที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ แตกต่างไปจากพระอัครมเหสีองค์ก่อนๆหรือไม่อย่างไร
นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนธันวาคม พ.ศ. 2560 วีระยุทธ ปีสาลี เขียนถึงบทบาทและภาพลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ วิเคราะห์ประเด็นต่างๆ ได้อย่างน่าสนใจ ในบทความชื่อว่า “ ‘The King with the Smile at His Side’ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 กับการเสด็จพระราชดำเนินเคียงคู่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทศวรรษ 2490-2500”
แต่เดิมในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือยุคจารีต เจ้านายทุกพระองค์ทรงดำเนินชีวิตภายใต้กฎมณเฑียรบาลอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งราชสำนักฝ่ายใน เจ้านายหลายพระองค์จะประทับและรับรองแขกในเขตพระราชฐาน มากกว่าการออกมาสู่พื้นที่สาธารณะพบปะผู้อื่นได้
@@@@@@@
มองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาสมัยสมเด็จพระนารายณ์ กล่าวถึงการเก็บพระองค์ของสมเด็จพระอัครมเหสี ความว่า
“พระอัครมเหสีมีช้างพระที่นั่งกับเรือพระที่นั่งสำหรับทรงและมีขุนนางเจ้าพนักงานบำรุงรักษาฉลองพระเดชพระคุณและโดยเสด็จพระราชดำเนิน ยามเสด็จประพาสที่ใดๆ มีแต่เฉพาะนางกำนัลกับขันทีเท่านั้นที่มีโอกาสได้เห็นพระนาง ด้วยพระนางทรงซ่อนพระวรกายจากสายตาของไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั้งปวง
เมื่อเสด็จออกประพาสทางสถลมารคโดยช้างพระที่นั่ง หรือทางชลมารคโดยเรือพระที่นั่งก็ตาม พระนางย่อมประทับในกูบหรือในเก๋งมีพระวิสูตรกั้นพอให้พระนางทอดพระเนตรเห็นอะไรๆได้ แต่บุคคลที่อยู่ภายนอกจะมองไม่เห็นพระโฉมเลย และเพื่อให้เป็นการแสดงความเคารพก็มีธรรมเนียมอยู่ว่า ถ้าแม้เวลาพระนางเสด็จผ่านมา และไม่ทันจะเลี่ยงให้พ้นได้ ก็จะหันหลังให้แก่พระนางและหมอบก้มหน้าลงเสีย”
@@@@@@@
บทบาทของพระอัครมเหสีเริ่มมีมากขึ้น ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อเริ่มมีอิทธิพลจากตะวันตกเข้ามา เจ้านายจากยุโรปเดินทางเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีมากขึ้น ราชสำนักจึงลดหย่อนธรรมเนียมลง โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ในฐานะสมเด็จพระอัครมเหสี เสด็จต้อนรับแขกเมืองด้วย โดยเสด็จต้อนรับอยู่ในห้องรับแขกส่วนตัวของพระองค์ และมีโอกาสตามเสด็จไปเจริญสัมพันธไมตรีในต่างประเทศบ้างในบางวโรกาส แต่ยังคงปฏิบัติพระองค์ตามอย่างเจ้านายแบบจารีตอยู่
เมื่อเข้าสู่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการเสด็จพระราชดำเนินเคียงคู่ระหว่างพระมหากษัตริย์กับพระมเหสีบ่อยครั้งขึ้น กระทั่งเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 วีระยุทธอธิบายไว้ว่า
“รัชกาลที่ 7 ในสมัยนี้มีการเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมปฏิบัติเกี่ยวกับสมเด็จพระอัครมเหสีหลายประการ สังเกตได้จากพระราชจริยวัตรของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ที่ทรงปฏิบัติพระองค์เช่นเดียวกับสมเด็จพระบรมราชินีในโลกตะวันตก พระราชจริยวัตรหลายประการสะท้อนความเป็นสากล” พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมเยียนราษฎรภาคตะวันออกเฉียงเหนือใน พ.ศ. 2498 (ภาพจากหนังสือ “ราชพัสตราภรณ์” จัดพิมพ์โดยสำนักงานเสริมสร้างเอกลักษณ์ของชาติ พ.ศ. 2547)การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลให้พระอัครมเหสีมีบทบาทเคียงคู่กับพระมหากษัตริย์มากขึ้นในการเสด็จพระราชดำเนินประกอบพระราชกรณีกิจต่างๆ และเด่นชัดขึ้นในสมัยของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมเยียนราษฎรในทุกภูมิภาค โดยมีสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินไปในพื้นที่นั้นๆ ด้วย
“การเสด็จพระราชดำเนินไปยังพื้นที่ต่างๆ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ทรงประกอบพระราชพิธีและประทับพระราชอาสน์ร่วมกับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเฉกเช่นสมเด็จพระบรมราชินีในโลกสมัยใหม่”
@@@@@@@
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ทรงเป็นกันเองกับราษฎร โดยลดหย่อนจารีตแบบเดิมที่เคร่งครัดในการใช้คำราชาศัพท์ ตามบันทึกของท่านผู้หญิงเกนหลง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา นางสนองพระโอษฐ์ บันทึกไว้ว่า
“ในรายผู้เฒ่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี ก็จะทรงเรียกว่า ‘ยาย’ หรือ ‘พ่อเฒ่า’ แม้แต่ภาษาก็ไม่มีราชาศัพท์ มีสิทธิ์พูดทุกอย่างที่อยากพูด บางคนเรียกพระองค์ท่านว่า ‘พ่อ’ และ ‘แม่’ เช่น จะกราบบังคมทูลว่า ‘แม่สวยเหลือเกิน ขอให้แม่อายุมั่นขวัญยืนเถิดนะแม่นะ’”
การวางพระองค์อย่างเป็นกันเองของสมเด็จพระบรมราชินีไทยนั้นสอดคล้องกับสถานการณ์บ้านเมืองหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ที่มิได้ทรงวางพระองค์เป็นนางกษัตริย์แบบจารีตอีกต่อไป ส่งผลให้สถาบันกษัตริย์เข้าถึงราษฎรได้มากขึ้น โดยเฉพาะราษฎรที่อยู่ต่างจังหวัด พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศสหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2503 ประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์ รับเสด็จ(ภาพจากหนังสือ “สมเด็จพระบรมราชินี ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์” จัดพิมพ์โดยกรมศิลปากร พ.ศ. 2547)นอกจากนั้น ทั้งสองพระองค์ยังเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศ โดยพระบาทสมเด็จปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 ในแถบเพื่อนบ้านทวีปเอเชีย และต่อด้วยการเยือนยุโรปในปี พ.ศ. 2503 รวมทั้งหมด 14 ประเทศ
วีระยุทธอธิบายถึงเหตุการณ์นี้ว่า “การเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศแต่ละครั้ง ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนทั่วโลก ดังจะเห็นได้จากจำนวนผู้มาเฝ้าฯ รับเสด็จ ภาพข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ทั้งของไทยและต่างประเทศที่ลงข่าวและภาพพระราชกรณียกิจของทั้ง ๒ พระองค์ นับว่าเป็นการเผยแพร่ชื่อเสียงของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักแก่ชาวต่างชาติ”
การเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่างๆ ของทั้งสองพระองค์ เนื่องจากสภาพการเมืองระหว่างประเทศในขณะนั้นอยู่ในยุคสงครามเย็น การเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศของพระมหากษัตริย์และพระราชินีจึงเป็นการแสดงจุดยืนของรัฐบาลไทยต่อสภาวะสงครามเย็น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของสหรัฐอเมริกาและโลกเสรี “สถาบันกษัตริย์จึงมีบทบาทสำคัญในการสานสัมพันธไมตรี แสดงอัตลักษณ์ และสร้างตัวตนของไทยในสังคมระหว่างประเทศ”
@@@@@@@@
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ทรงมีบทบาทในการตามเสด็จและทรงเผยแพร่ชื่อเสียงของประเทศไทยให้กับนานาประเทศได้รู้จัก ซึ่งพระองค์ทรงได้รับคำชมเชยทั้งจากรัฐบาล เจ้าหน้าที่รัฐ และผู้สื่อข่าวของทุกประเทศ
การเสด็จพระราชดำเนินเคียงคู่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 นั้น แสดงให้เห็นถึง “บทบาทใหม่ของสมเด็จพระบรมราชินีของไทยในเวทีนานาชาติ” ซึ่งพระองค์ทรงมีภาพลักษณ์เป็น “สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง” อีกบทบาทด้วย
นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่น่าสนใจอื่นๆ รวมถึงรายละเอียดอีกมากมายที่วีระยุทธชี้ว่านำไปสู่ภาพลักษณ์ของความเป็น “ไทย” ในสายตาชาวโลก และภาพลักษณ์ของความเป็น “แม่” ในสายตาประชาราษฎร์ ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ซึ่งจะมีรายละเอียดอย่างไรนั้น คงต้องให้ท่านผู้อ่านติดตามใน “ศิลปวัฒนธรรม” ฉบับเดือนธันวาคมนี้ ปกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับธันวาคม ๒๕๖๐ขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : เกรียงศักดิ์ ดุจจานุทัศน์ เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 14 ธันวาคม พ.ศ.2560 website : https://www.silpa-mag.com/history/article_13673
|
|
|
|
|
21
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ “พระราชินี” ที่สื่อต่างชาติยกย่องว่า “ทรงพระสิริโฉม”
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 07, 2025, 07:24:12 am
|
. รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ขณะเสด็จเยือนประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ. 2503สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ “พระราชินี” ที่สื่อต่างชาติยกย่องว่า “ทรงพระสิริโฉม” “พระราชินีผู้ทรงพระสิริโฉม” สื่อต่างชาติยกย่อง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ หรือ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเป็นพระราชินีไทยพระองค์แรกๆ ที่สื่อต่างชาติยกย่องว่าทรงเป็น “พระราชินีผู้ทรงพระสิริโฉม”
เมื่อครั้งที่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ เสด็จพระราชดำเนินเยือนทวีปอเมริกาและทวีปยุโรประหว่างวันที่ 14 มิถุนายน – 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2503 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินเคียงคู่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนสหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2503 (ภาพจากหนังสือ “ประมวลภาพเสด็จฯ เยือน 17 ประเทศ ฉบับทูลเกล้าฯ ถวาย” จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ก้าวหน้า พ.ศ. 2503)พระราชภารกิจหลักในการเสด็จฯ ครั้งนั้น มีเหตุจูงใจทางการเมือง ที่ไทยถูกจัดตั้งให้เป็นศูนย์กลางของโลกเสรีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ขององค์การ สปอ. (SEATO) ในการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสม์ที่กำลังคุกคามเสถียรภาพของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ในเวลานั้น
หากตลอดเวลาเกือบ 5 เดือน ในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่างๆ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ทรงเป็น “จุดสนใจ” ของสื่อต่างชาติหลายสำนัก ที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับพระองค์ ไม่ว่าจะเป็น พระราชเสาวนีย์, ฉลองพระองค์, พระราชจริยวัตร ฯลฯ โดยการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับพระองค์ สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันคือ “ทรงเป็นพระราชินีผู้ทรงสิริโฉม”
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทั้ง 2 พระองค์เสด็จฯ ถึงกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ภาพลักษณ์ของสมเด็จพระราชินียิ่งเป็นจุดสนใจของชาวโลกมากขึ้น นิตยสารยักษ์ใหญ่ของปารีสที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งความงามและสาวสวย ขนานพระนามของพระองค์ว่าเป็น “SIRIKIT, LA PLUS JOLIE REINE DU MONDE พระราชินีผู้ทรงสิริโฉมโสภาที่สุดในปฐพี” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพักพระราชอิริยาบถระหว่างเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรจังหวัดนราธิวาส (พ.ศ. ๒๕๐๒)เอกสารเก่า พ.ศ. 2503 อย่าง LE PATRIOTE ILLUSTRÉ, Brusels Belgium (9 Octobre 1960) สะท้อนภาพฉากหนึ่งของสมเด็จพระราชินีแห่งประเทศไทย ที่เสด็จฯ ไปปรากฏพระองค์ในโลกตะวันตก และทรงได้รับคัดเลือกเป็นพระราชินีผู้ทรงแต่งพระองค์ได้งดงามและถูกกาละเทศะที่สุด ประจำ ค.ศ. 1960
ฯลฯ
ดังนั้น ในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่างๆ เมื่อ พ.ศ. 2503 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ จึงทรงเป็นกำลังสำคัญในการเผยแพร่ชื่อเสียงของไทยให้เป็นที่รู้จักแก่ชาวโลก
อ่านเพิ่มเติม :-
• เบื้องหลังการเสด็จฯ เยือนสหรัฐอเมริกาของรัชกาลที่ 9 ตามหลักฐาน SEATO
หมายเหตุ : บทความนี้เขียนเก็บความจาก ไกรฤกษ์ นานา. “พระราชินีไทยผู้ทรงโสภาในประวัติศาสตร์” ใน, ศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนสิงหาคม 2560.ขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : วิภา จิรภาไพศาล เผยแพร่ : วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ.2568 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 31 พฤษภาคม 2567 website : https://www.silpa-mag.com/history/article_133255
|
|
|
|
|
22
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / การแต่งกายในงานศพสมัยโบราณ
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 06, 2025, 08:45:44 am
|
. ข้าราชบริพารฝ่ายใน งานพระบรมศพ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ (พระเมรุมาศ พระเมรุ และเมรุ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดย ศาสตราจารย์ น.อ.สมภพ ภิรมย์ ร.น. ราชบัณฑิต)การแต่งกายในงานศพสมัยโบราณสมัยโบราณ การแต่งกายไปงานศพแบ่งเป็นหลายแบบ ตามอายุและความเกี่ยวข้องกับผู้ตาย โดยกำหนดจากการใช้สีเสื้อผ้าต่างกัน 3 สี คือ สีดำ สีขาว และสีม่วงแก่หรือสีน้ำเงินแก่ดังนี้ สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ และสมเด็จพระศรีสวรินทิรา บรมราชเทวี พร้อมด้วยพระราชชายา พระเจ้าลูกเธอ เจ้าจอมมารดา พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชบริพารฝ่ายใน ทรงฉายภาพเป็นที่ระลึกในงานพระเมรุ พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าศรีวิไลยลักษณ์ สุนทรศักดิ์กัลยาวดี กรมขุนสุพรรณภาควดี ณ พระราชวังบางปะอิน โดยผู้มีพระชันษาสูงกว่าพระเจ้าลูกเธอในพระโกศ จะทรงสีดำไว้ทุกข์ส่วนผู้ที่มีพระชันษาอ่อนกว่าจะทรงชุดขาว ตามธรรมเนียมในสมัยนั้น1. สีขาว สำหรับผู้เยาว์หรือผู้ที่มีอายุอ่อนกว่าผู้ตาย เช่น ลูกหลานญาติสนิทหรือผู้อยู่ในอุปการะและสำหรับพระราชพิธีพระบรมศพ
2. สีดำ สำหรับผู้ใหญ่หรือผู้ที่อายุแก่กว่าผู้ตาย
3. นุ่งสีม่วงแก่หรือน้ำเงินแก่สวมเสื้อขาว สำหรับผู้ที่มิได้เกี่ยวข้องเป็นญาติกับผู้ตาย
4. นุ่งดำสวมเสื้อขาว สำหรับมิตรสหายที่สนิทกับผู้ตาย
การแต่งกายสีต่างกันในงานศพสมัยโบราณทำให้ผู้พบเห็นสามารถรู้ทันทีว่าผู้นั้นเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับผู้ตายอย่างไร เพียงไร และทำให้ผู้ที่จะไปงานนั้นๆ ต้องมีความรู้เกี่ยวกับตนเอง และเทือกเถาเหล่ากอหรือผู้ที่เกี่ยวข้องในสกุลของตน เพื่อที่จะได้แต่งสีให้ถูกต้อง ข้าราชบริพารฝ่ายใน งานพระบรมศพ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ (พระเมรุมาศ พระเมรุ และเมรุ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดย ศาสตราจารย์ น.อ.สมภพ ภิรมย์ ร.น. ราชบัณฑิต)อย่างไรก็ตาม เรื่องสีของการแต่งกายนี้ มีเรื่องที่ถือเป็นกรณีพิเศษอยู่บ้าง เช่น การฉลองพระองค์ขาวของพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อสด็จในงานพระศพของพระราชธิดาบางพระองค์
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงฉลองพระองค์พระภูษาลายพื้นขาว ในการพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ กรมขุนศรีสุนทรเทพ
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์พระภูษาขาว ในงานพระเมรุพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิลาส กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ
และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์พระภูษาขาว ในงานพระเมรุพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีวิลัยลักษณ์ กรมขุนสุพรรณภาควดี
อ่านเพิ่มเติม :-
• “หนังสือแจกงานศพ” เกิดขึ้นครั้งแรกในไทยเมื่อไหร่?ขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม เผยแพร่ : วันเสาร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ.2568 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 9 ตุลาคม 2560 website : https://www.silpa-mag.com/history/article_3358อ้างอิง : หนังสือ สี่แผ่นดิน กับเรื่องจริงในราชสำนักสยาม ของ ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย. สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งที่ 4. 2554
|
|
|
|
|
23
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / งานศพดั้งเดิมแบบไทยๆในอุษาคเนย์ แต่งชุดสีต่างๆ ชุดดำไว้ทุกข์เป็นประเพณีไจากฝรั่ง
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 06, 2025, 08:35:15 am
|
. สุจิตต์ วงษ์เทศ : งานศพดั้งเดิมแบบไทยๆในอุษาคเนย์ แต่งชุดสีต่างๆ ชุดดำไว้ทุกข์ เป็นประเพณีได้จากฝรั่ง เพิ่งมีสมัย ร.5 ประเพณีแต่งกายไปงานศพในสังคมไทย ตั้งแต่โบราณกาล ไม่ผูกมัดเคร่งครัดแบบใดแบบหนึ่ง เพราะมีหลายแบบ
เท่าที่พบหลักฐานขณะนี้มี 3 แบบ ได้แก่ ชุดดำตามแบบฝรั่ง, ชุดขาวตามแบบจีนกับอินเดีย, ชุดสีต่างๆ ตามแบบพื้นเมืองดั้งเดิม
ไว้ทุกข์ หมายถึง แต่งกาย หรือติดเครื่องหมายแสดงความไว้อาลัย เพื่อร่วมแสดงความเสียใจต่อผู้ล่วงลับ (พจนานุกรม ฉบับมติชน หน้า 816) เป็นประเพณีมีอยู่ปัจจุบัน
@@@@@@@
ชุดดำแบบฝรั่ง
ชุดดำ แต่งไว้ทุกข์แสดงความเสียใจเศร้าโศกไปงานศพตามวัฒนธรรมฝรั่ง
เพิ่งมีในกลุ่มคนชั้นสูง สมัย ร.5 แล้วค่อยๆ แพร่หลายสู่คนทั่วไปเฉพาะใน“สังคมเมือง” สมัยหลังๆตราบจนปัจจุบัน
แต่เข้าไม่ถึงทุกหมู่บ้าน เพราะบางแห่งยังแต่งตัวไปงานศพตามประเพณีพื้นเมืองดั้งเดิมด้วยสีสันฉูดฉาดต่างๆ ตามสะดวก
@@@@@@@
ชุดขาวแบบจีน–อินเดีย
ชุดขาว แต่งไว้ทุกข์ไปงานศพตามวัฒนธรรมจีนกับอินเดีย
แต่โดยทั่วไปแล้วชุดขาวเป็นเครื่องแต่งตัวปกติในชีวิตประจำวันของคนแต่ก่อนที่รู้จักเทคโนโลยีทอผ้าแล้ว ซึ่งหาง่ายที่สุด เพราะเป็นสีธรรมชาติของฝ้ายที่ใช้ทอผ้า เช่น ผ้าดิบ
ขณะเดียวกันก็เป็นชุดของนักบวชตามประเพณีอินเดีย เช่น พราหมณ์, ชี น่าจะรับเข้ามาในไทยพร้อมศาสนาพราหมณ์-พุทธ ราวหลัง พ.ศ. 1000
แต่เข้าไม่ถึงทุกหมู่บ้าน เพราะชาวบ้านทั่วไปแต่งตัวตามประเพณีดั้งเดิมด้วยสีสันต่างๆตามสะดวก ส่วนมากไม่มีเสื้อใส่ ได้แต่นุ่งผ้าเตี่ยว ชุดสีต่างๆแบบไทยๆในอุษาคเนย์
ชุดสีต่างๆ เป็นเครื่องแต่งตัวไปงานศพของคนพื้นเมืองดั้งเดิมดึกดำบรรพ์ของอุษาคเนย์ เมื่อหลายพันปีมาแล้ว สืบจนปัจจุบันในท้องถิ่นไกลๆ
เพราะพิธีกรรมเกี่ยวกับศพในคนพื้นเมืองยุคดึกดำบรรพ์ เกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องขวัญ ว่า ศพ คือ คนที่ขวัญหายจากร่างไปชั่วคราว แล้วหาทางกลับเข้าร่างไม่ถูก ถ้าญาติทั้งหลายร่วมกันดีดสีตีเป่าร้องรำทำเพลงอึกทึกครึกโครมดังๆให้ขวัญได้ยิน ขวัญก็จะกลับถูกทาง คืนสู่ร่างตามเดิม แล้วลุกขึ้นทำงานตามปกติ
พิธีศพตามประเพณีพื้นเมืองจึงมีต่อเนื่องนานหลายวัน แล้วต้องมีมหรสพสืบจนทุกวันนี้ เช่น โขน ละคร ดนตรีปี่พาทย์ ฯลฯ
[ประเพณีโบราณดั้งเดิมอย่างนี้ คือต้นเหตุให้มีสิ่งที่นักโบราณคดี เรียก “พิธีศพครั้งที่ 2” เอาศพใส่โกศ มีเก็บกระดูก ฯลฯ ซึ่งมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมาก]
คนไปงานศพต้องแต่งตัวสีฉูดฉาดเหมือนไปงานมงคลสนุกสนานรื่นเริง ไม่ทุกข์โศก มีวรรณคดีโบราณหลายเล่มพรรณนาไว้ เช่น อิเหนา (พระราชนิพนธ์ ร.2) ดังนี้
๏ บัดนั้น ประชาชนพลเมืองทั้งหลาย จะดูชักพระศพตบแต่งกาย หญิงชายโอ่อวดประกวดกัน
คนบ้านนอกราว 50 ปีมาแล้ว จะไปเผาศพบนเชิงตะกอน (ยังไม่มีเมรุเผาศพ) แต่งตัวเหมือนไปดูลิเกงานประจำปี บางคนมีสายสร้อยทองคำก็ขนออกมาใส่อวดกันทั้งๆในชีวิตประจำวันไม่ใส่ แม่ผมนุ่งโจงกระเบนต้องเลือกผ้าลายอย่างดี สีสวยสดที่เก็บไว้แต่งไปทำบุญมานุ่งไปเผาศพ ถือเป็นการแสดงความรักและเคารพนับถืออย่างยิ่ง
ฉะนั้นงานศพตอนผมยังเด็กเป็นงานสีสันฉูดฉาด (บาดตามาสำหรับสมัยนี้)
@@@@@@@
ขวัญมีในอวัยวะทุกส่วนของร่างกาย ถ้าคนมีอวัยวะ 32 ประการ ขวัญก็มี 32 แห่ง และอาจมากกว่านั้นก็ได้ เพราะมีขวัญอยู่กลางกระหม่อม เรียก จอมขวัญ
นอกจากในคนแล้ว ขวัญยังมีในพืช, สัตว์, สิ่งของ, สถานที่ เช่น ขวัญควาย, ขวัญข้าว, ขวัญเกวียน, ขวัญยุ้ง, ขวัญนา, ขวัญลานนวดข้าว ฯลฯ
วิญญาณเป็นคติฮินดู-พุทธจากอินเดีย เชื่อกันว่ามีดวงเดียวประจำตัวคนทุกคน เมื่อคนตายวิญญาณก็ออกจากร่าง แล้วล่องลอยไปหาที่เกิดใหม่
หลังรับคติตามอินเดีย ความเชื่อเกี่ยวกับงานศพก็เปลี่ยนไป ดังเป็นอยู่ทุกวันนี้ขอบคุณ : https://www.matichon.co.th/columnists/news_323920คอลัมน์ : สุจิตต์ วงษ์เทศ | ผู้เขียน : สุจิตต์ วงษ์เทศ วันที่ 16 ตุลาคม 2559 - 15:29 น.
|
|
|
|
|
24
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พัฒนาการการแต่งกาย ในพิธีศพของไทย
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 06, 2025, 08:20:23 am
|
. จิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถวัดทองธรรมชาติ แสดงภาพประชาชนทั่วไปที่มาชมมหรสพในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่างแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่มีสีสันหลากหลายพัฒนาการการแต่งกาย ในพิธีศพของไทยในปัจจุบัน การแต่งกายด้วยชุดดำสำหรับไว้ทุกข์ในพิธีศพเป็นธรรมเนียมสากลที่ยึดถือกันโดยทั่วไป ซึ่งเป็นสิ่งที่รับมาจากอิทธิพลของชาติตะวันตกในราวสมัยรัชกาลที่ ๕
แต่สำหรับสังคมไทยในอดีตนั้นมีการใส่ชุดไว้ทุกข์หลากหลายสี ทั้งขาว ดำ และสีอื่นๆ เช่นน้ำเงิน ม่วง ฯลฯ ซึ่งได้มีการพัฒนาปรับเปลี่ยนไปตามแต่ละยุคสมัย ซึ่งก็มีหลายแห่งเคยกล่าวไว้บ้างแล้ว ในที่นี้จะขอเรียบเรียงและลงรายละเอียดให้ครอบคลุมมากขึ้นในหลายๆ ประเด็นครับ
สันนิษฐานว่าดั้งเดิม ชุดที่ใช้ในการไว้ทุกของคนไทยโบราณเป็นชุดขาวหรือนุ่งห่มด้วยผ้าที่ไม่ได้ย้อมสี ธรรมเนียมการสวมชุดสีขาวหรือผ้าที่ไม่ได้ย้อมสีในการไว้ทุกข์ เป็นวัฒนธรรมร่วมที่พบในหลายอารยธรรมทั้งในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูของอินเดีย จีน รวมถึงอีกหลายวัฒนธรรมในทวีปเอเชีย สันนิษฐานว่าภูมิภาคอุษาคเนย์ได้รับถ่ายทอดวัฒนธรรมในเรื่องนี้มาจากอิทธิพลของชาวอินเดียอีกต่อหนึ่งอีกต่อหนึ่ง
@@@@@@@
ข้อสันนิษฐานมูลเหตุของการแต่งชุดขาวในการไว้ทุกข์ ปรากฏในเอกสารสาส์นสมเด็จ ที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงมีลายพระหัตถ์โต้ตอบกับสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ ฉบับลงวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๔๘๐ ความว่า
“มีเรื่องที่หม่อมฉันทูลผัดไว้อีกเรื่อง ๑ คือ ที่ตรัสถามถึงหลักการนุ่งขาวนุ่งดำและสีกุหร่าในงานศพนั้น หม่อมฉันคิดใคร่ครวญดูตามที่เคยรู้เห็น เห็นว่าการนุ่งขาวในงานศพน่าจะมีมาก่อนเก่าช้านาน ข้อนี้พึงเห็นด้วยประเพณีนุ่งขาวในงานศพมีทุกประเทศทางตะวันออกนี้ ตั้งแต่อินเดียไปจนตลอดเมืองจีน เมื่อคิดต่อไปว่าเหตุใดจึงนุ่งขาว เห็นว่า ผ้าขาวเป็นขั้นต้นของเครื่องนุ่งห่มที่ใช้กันในบ้านเมืองเป็นสามัญ คือเอาฝ้ายอันธรรมชาติเป็นสีขาวมาปั่นทอเป็นผืนผ้า จึงเป็นสีขาวนุ่งห่มกันเป็นปกติ การนุ่งห่มด้วยสิ่งอื่น เช่นใบไม้ก็ดี คากรองก็ดี เป็นของมีมาก่อนรู้จักทอผ้า เป็นแต่คงนุ่งห่มตามแบบเดิมที่นุ่งห่มผ้าย้อมฝาด ก็เพื่อรักษาให้ผ้าทนทาน เพราะอัตคัดผ้าขาวนุ่งห่ม ต่อบุคคลที่มั่งมีศรีสุขหาผ้าขาวได้ง่าย ปรารถนาจะแต่งตัวให้สวยงามกว่าเพื่อน จึงคิดทำผ้านุ่งห่มย้อมสีสรรเขียนลวดลายต่าง ๆ เสมออย่างเป็นเครื่องประดับ ตลอดจนทำเสื้อแสงปักลวดลายก็เพื่อให้สวยงามอย่างเป็นเครื่องประดับในทำนองเดียวกัน ไม่แต่งในเวลามีทุกข์โศก คงแต่ผ้าขาวที่นุ่งห่ม นอกจากไว้ทุกข์ยังมีกรณีอื่นอีกหลายอย่างที่นุ่งขาวห่มขาว แต่พิเคราะห์ดูก็อยู่ในการงดเครื่องประดับทั้งนั้น จึงเห็นว่าการงดเว้นเครื่องประดับเป็นมูลของการนุ่งขาว ที่ทูลนี้อาจจะเป็นความเห็นอย่างฟุ้งซ่าน เมื่อคิดขึ้นทูลตามความคิดเห็น”
@@@@@@@
แต่ในภูมิภาคอุษาคเนย์ไม่ได้นุ่งห่มขาวในงานศพเท่านั้น มีหลักฐานว่าในงานศพของคนพื้นเมืองอุษาคเนย์เมีการแต่งกายนุ่งห่มด้วยผ้าสีทั่วไป พบหลักฐานสืบทอดมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นว่ามีการแต่งกายสวยงามอย่างเต็มที่พร้อมที่จะอวดโฉม แม้แต่ในงานพระศพของพระราชวงศ์ ดังที่ปรากฏในพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนาของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยว่า
๏ บัดนั้น..........................ประชาชนพลเมืองทั้งหลาย จะดูชักพระศพตบแต่งกาย..........หญิงชายโอ่อวดประกวดกัน
ใน “โคลงถวายพระเพลิงพระบรมอัฐิพระเจ้าหลวง” พระนิพนธ์ของกรมหมื่นศรีสุเรนทร์ บรรยายถึงงานพระเมรุถวายพระเพลิงพระบรมอัฐิของสมเด็จพระปฐมบรมชนกซึ่งได้อ้างอิงจากงานพระบรมศพสมัยกรุงศรีอยุทธยา กล่าวถึง
พลเมืองทั้งหนุ่มเถ้า..........ปานกลาง แต่งสกนธ์กายางค์....................ย่างเยื้อง
@@@@@@@
มูลเหตุของการแต่งกายในการศพสมัยโบราณงดงามถึงขั้น “ประกวด” กัน เพราะว่างานศพในสมัยโบราณถือว่าเป็นงานรื่นเริงประเภทหนึ่ง เนื่องจากมีมหรสพประกอบจำนวนมาก เช่น โขน หนังใหญ่ งิ้ว หุ่นกระบอก ฯลฯ พบได้ในประเพณีงานพระบรมศพของพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์
มีตัวอย่างปรากฏในเอกสาร “คำให้การเกี่ยวกับเหตุการณ์สมัยอยุธยาตอนปลาย” กล่าวถึงราษฎรที่มาร่วมงานพระบรมศพของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งกรุงศรีอยุทธยาว่า “แล้วก็พากันไปดูงานเล่นทั้งปวงอันมีต่างๆ ทั้งเด็กแลผู้ใหญ่ก็พากันรื่นเริงไปทั่วทั้งกรุงศรีอยุธยา”
ในโคลงถวายพระเพลิงพระบรมอัฐิพระเจ้าหลวง ที่ระบุว่ามีทั้งผู้คนมาเที่ยวชมงานมีหนุ่มสาวเมียงมองกัน มีการเล่นพนันขันต่อ หรือถึงขั้นมีการชกต่อยกัน จึงเป็นโอกาสสำคัญที่ประชาชนจะได้ออกมาเที่ยวเล่นและได้พบปะกับผู้คนหมู่มาก ประชาชนแต่งชุดไว้ทุกข์ในงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พ.ศ.๒๔๙๓ ตามธรรมเนียมรัฐนิยม คือชายแต่งกายด้วยสีขาวล้วน หญิงแต่งกายสีดำล้วนมูลเหตุของการมีมหรสพในงานศพ มีการสันนิษฐานว่ามาจากความเชื่อเรื่อง "ขวัญ" ของคนยุคดึกดำบรรพ์ในภูมิภาคอุษาคเนย์ โดย ศพ คือ คนที่ขวัญหายจากร่างไปชั่วคราว แล้วหาทางกลับเข้าร่างไม่ถูก ถ้าญาติทั้งหลายร่วมกันดีดสีตีเป่าร้องรำทำเพลงอึกทึกครึกโครมดังๆให้ขวัญได้ยิน ขวัญก็จะกลับถูกทาง คืนสู่ร่างตามเดิม แล้วลุกขึ้นทำงานตามปกติ จึงได้พัฒนามาเป็นรูปแบบของงานศพที่มีการละเล่นประกอบในสมัยหลัง ซึ่งภายหลังมีการตีความว่าเป็นการเฉลิมฉลองที่พระเจ้าแผ่นดินได้เสด็จกลับสู่สรวงสวรรค์ หรือให้ประชาชนได้คลายความทุกข์โศก
แม้ว่าสังคมไทยสมัยหลังจะไม่นิยมแต่งกายด้วยผ้าสีทั่วไปในงานศพแล้ว แต่ยังสามารถพบธรรมเนียมนี้ได้ในท้องถิ่นที่ห่างไกลจากวัฒนธรรมของส่วนกลาง ซึ่งสุจิตต์ วงษ์เทศได้เล่าเอาไว้ว่า
“คนบ้านนอกราว 50 ปีมาแล้ว จะไปเผาศพบนเชิงตะกอน (ยังไม่มีเมรุเผาศพ) แต่งตัวเหมือนไปดูลิเกงานประจำปี บางคนมีสายสร้อยทองคำก็ขนออกมาใส่อวดกันทั้งๆ ในชีวิตประจำวันไม่ใส่ แม่ผมนุ่งโจงกระเบนต้องเลือกผ้าลายอย่างดี สีสวยสดที่เก็บไว้แต่งไปทำบุญมานุ่งไปเผาศพ ถือเป็นการแสดงความรักและเคารพนับถืออย่างยิ่ง ฉะนั้นงานศพตอนผมยังเด็กเป็นงานสีสันฉูดฉาด (บาดตามาสำหรับสมัยนี้)”
สันนิษฐานว่า ธรรมเนียมการนุ่งห่มขาวในสังคมไทยโบราณนั้นนุ่งห่มในหมู่เครือญาติของผู้ตายเท่านั้น สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นเครือญาติสามารถแต่งกายสีใดก็ได้ ประชาชนแต่งกายไว้ทุกข์ด้วยชุดขาวล้วนในงานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวต่อมาโดยไม่ทราบช่วงเวลาและเหตุผลที่แน่ชัด ได้มีการเปลี่ยนแปลงการแต่งกายในงานศพ โดยกำหนดให้นุ่งห่มขาวเฉพาะญาติที่อายุน้อยกว่าผู้ตายหรือมีศักดิ์ต่ำกว่า เช่นเป็นบ่าวไพร่ของผู้ตาย แต่ก็ไม่ใช่ในทุกกรณี ดังที่ปรากฏหลักฐานว่าหลายครั้งผู้ใหญ่กว่าผู้ตายก็นุ่งผ้าขาวให้ ดังที่ปรากฏในสาส์นสมเด็จว่า
“อนึ่งการนุ่งขาวในงานศพน่าสันนิษฐานว่าแต่เดิมเห็นจะนุ่งหมดทั้งครัวเรือน ตั้งแต่พ่อแม่พี่น้องจนบ่าวไพร่ของผู้ตาย แต่ต่อมาน่าจะเป็นเพราะเหตุใดยังคิดไม่เห็น จึงกำหนดให้นุ่งขาวที่อายุอ่อนกว่าผู้ตายกับบ่าวไพร่ ถึงกระนั้นถ้าผู้ใหญ่ในสกุลจะนุ่งขาวก็นุ่งได้ตามใจสมัคร มีตัวอย่างในเมืองพม่าปรากฏว่าพระเจ้ามินดงทรงขาวในงานพระศพอัครมเหสีด้วยความอาลัย แล้วเลยทรงขาวไว้ทุกข์ต่อมาจนตลอดพระชนมายุ ในเมืองไทยนี้ก็มีตัวอย่างปรากฏในพงศาวดารรัชกาลที่ ๑ ว่าเมื่องงานพระศพสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงศรีสุนทรเทพใน พ.ศ. ๒๓๕๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงพระภูษาลายพื้นขาวทุกวัน ดำรัสว่า "ลูกคนนี้รักมากต้องนุ่งขาวให้" เรื่องที่กล่าวมานี้ส่อให้เห็นว่าประเพณีในสมัยนั้น การนุ่งขาวในงานศพ ไม่นุ่งแต่เฉพาะผู้ที่อ่อนกว่าผู้ตายอย่างเช่นถือกันในปัจจุบันนี้”
เช่นเดียวกับที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระภูษาขาวในงานพระเมรุของพระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าวิลาส กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ พระราชธิดาที่ทรงเสน่หามาก และในกรณีของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระภูษาขาวในงานพระเมรุของพระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าศรีวิลัยลักษณ์ กรมขุนสุพรรณภาควดี พระราชธิดาพระองค์ใหญ่
@@@@@@@
สำหรับการนุ่งผ้าของเครือญาติผู้ใหญ่หรือผู้ที่ไม่ใช่เครือญาติของผู้ตายในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น พบว่าผู้เป็นญาติผู้ใหญ่นิยมนุ่งผ้าสีเข้มที่ไม่ฉูดฉาดอย่างสีม่วงสำหรับ ผู้ไม่ได้เป็นญาตินุ่งผ้าสีน้ำเงิน แต่ห่มแพรสีขาวเหมือนกัน
“และมีปัญหาน่าคิดต่อไปด้วยว่า หากมิใช่งานศพเจ้านายซึ่งทรงเสน่หาเท่าเจ้าฟ้ากรมหลวงศรีสุนทรเทพจะทรงพระภูษาสีไร ข้อนี้มีเค้าเงื่อนปรากฏอยู่ในสมัยเมื่อผู้หญิงยังไม่แต่งดำในงานศพ ผู้หญิงที่เป็นญาติชั้นผู้ใหญ่ย่อมนุ่งผ้าลายพื้นม่วง ผู้หญิงที่มิใช่ญาตินุ่งผ้าลายสีน้ำเงิน ห่มแพรสีขาวทั้ง ๒ พวก ส่อให้เห็นว่าในงานศพสมัยรัชกาลที่ ๑ ญาติผู้ชายชั้นเป็นผู้ใหญ่ก็เห็นจะนุ่งผ้าสีม่วงหรือสีอื่นที่ไม่ฉูดฉาดและคาดพุ่งสีขาว ใช้ประเพณีเช่นนั้นมาจนรัชกาลที่ ๓”
การนุ่งผ้าสำหรับงานศพในสมัยโบราณไม่ซับซ้อนมาก เพราะคนไทยสมัยโบราณจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๓ ทั้งชายหญิงไม่นิยมสวมเสื้อ การแต่งกายจึงดูเพียงสีของผ้านุ่งเป็นหลัก เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ในงานพระราชทานเพลิงศพท่านผู้หญิงยมราช (ตลับ สุขุม) ผู้เป็นภรรยา ณ วัดปทุมวนาราม วันที่ ๒๓ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๔ โดยเจ้าพระยายมราชได้แต่งชุดดำไว้ทุกข์ โดยปฏิบัติตามธรรมเนียมในประกาศนุ่งขาวที่จะใส่ชุดดำเมื่อมีฐานะสูง (สามีถือเป็นผู้ใหญ่กว่าภรรยา) หรืออายุมากกว่าผู้ตายต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงออกประกาศให้ข้าราชการสวมเสื้อเข้าเฝ้า จึงเกิดความซับซ้อนสำหรับการแต่งกายในงานศพมากขึ้น โดยพบว่า
- ผู้มีอายุน้อยกว่าหรือเป็นบ่าวไพร่ของผู้ตายที่เดิมนุ่งผ้าขาวก็สวมเสื้อสีขาวตามอย่างธรรมเนียมเดิม
- ผู้ที่ไม่ใช่ญาติของผู้ตาย สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า เดิมน่าจะสวมเสื้อแพรสีกุหร่าซึ่งเป็นสีหม่นใกล้เคียงสีม่วง แต่ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ก็ไม่ปรากฏว่ามีใครได้ใส่อีกนอกจากสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)
“ถึงรัชกาลที่ ๔ มีการเปลี่ยนแปลงด้วยเรื่องเครื่องแบบแต่งตัว เริ่มด้วยให้ใส่เสื้อในการงาน ปัญหาน่าจะเกิดขึ้นในสมัยนี้ ว่าในงานศพควรจะใส่เสื้อสีใด พวกชั้นที่นุ่งขาวต้องใส่สีขาวอยู่เองไม่มีปัญหา เป็นปัญหาแต่ญาติชั้นผู้ใหญ่ที่นุ่งผ้าสีม่วงจะใส่เสื้อสีใด จึงบัญญัติให้ใส่เสื้อแพรสีกุหร่า ด้วยสีหม่นใกล้กับสีม่วง ที่ทูลมานี้เป็นอธิบายตามคาดคะเน ด้วยเมื่อแต่งสีกุหร่ากันในรัชกาลที่ ๔ หม่อมฉันยังเด็กนักจำไม่ได้ แต่มีกรณีที่ได้เห็นเค้าเงื่อนครั้งหนึ่งเมื่องานพระเมรุสมเด็จพระนางสุนันทา ในรัชกาลที่ ๕ ในสมัยนั้นเจ้านายใช้ประเพณีทรงดำทรงขาวตามชั้นพระชันษาอยู่แล้ว สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงปรารภถึงสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ซึ่งเป็นหัวหน้าราชนิกุล จะให้แต่งตัวอย่างเจ้าก็ไม่เข้าระเบียบ จะให้แต่งตัวอย่างขุนนางสามัญซึ่งนุ่งสมปักลายใส่เสื้อขาว (หรือเยียรบับหม่อมฉันจำไม่ได้แน่) ก็ทรงเกรงใจ ดูเหมือนจะทรงปรึกษาสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ เอาแบบแต่งสีกุหร่าอย่างแต่ก่อนมาใช้ มีรับสั่งให้ใส่เสื้อสีแก่ใกล้กับสีดำ หม่อมฉันได้เห็นนุ่งสมปักลาย (ดูเหมือนสีม่วง) ใส่เสื้อแพรสีน้ำตาลนั่งที่หน้าพลับพลาทุกวัน”
@@@@@@@
การแต่งชุดดำในงานศพ ปรากฏหลักฐานในสมัยรัชกาลที่ ๕ สันนิษฐานว่าไทยรับมาจากอิทธิพลของชาติตะวันตกในเวลานั้น โดยผู้ที่แต่งชุดสีดำคือผู้ที่มีอายุหรือฐานะสูงกว่าผู้ตาย เหมือนกับสีเข้มอื่นๆ ที่เคยใช้มาแต่ก่อน
สีเครื่องแต่งกายในงานศพ จึงเป็นหนึ่งในเครื่องบ่งบอกสถานะทางสังคมของไทย หากเป็นระดับพระราชวงศ์ก็ยิ่งมีธรรมเนียมรายละเอียดการแต่งกายมากกว่าคนทั่วไป
การแต่งกายชุดไว้ทุกข์ในสมัยต้นรัชกาลที่ ๕ มีหลายระดับ ดังต่อไปนี้ ๑. แต่งขาวล้วน ๒ .แต่งดำล้วน หรือห่มขาว ๓. นุ่งผ้าขาวลาย สวมเสื้อขาว หรือห่มขาว ๔. นุ่งผ้าม่วงสีน้ำเงิน สวมเสื้อขาวหรือห่มขาว
การแต่งขาวล้วนยังแบ่งออกได้อีกเป็นสองประเภทคือสีขาวล้วนหรือขาวแบบมีลาย ซึ่งขาวล้วนจะแต่งในวันเผาศพเท่านั้น หรืออาจแต่งในวันชักศพอีก ๒ วัน รวมเป็น ๓ วันเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นจะให้แต่งขาวลาย สตรีแต่งกายด้วยชุดขาวล้วนในงานพระเมรุพระองค์เจ้าอุรุพงษ์รัชสมโภช ที่สวนมิสกวัน พ.ศ.๒๔๕๒หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัยดิศกุล ทรงเล่าถึงการแต่งกายไว้ทุกข์สีต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ไว้ว่า
"พวกเราเด็กๆ มักถูกเอ็ดเสมอเพราะแต่งไม่ถูกบ่อยๆและชักจะสนุกในการได้เปลี่ยนสีเครื่องแต่งตัวเสียด้วย บางครั้งพอได้ข่าวว่าเสด็จป้า เสด็จอา พระองค์ใดสิ้นพระชนม์ ก็รีบแต่งดำขึ้นไปเฝ้า พอถึงก็ถูกสมเด็จหญิงทรงถามว่า ไว้ทุกข์ใคร.? เราทูลว่า พระองค์นั้นๆ เลยถูกไล่ให้ไปเปลี่ยนเร็ว เพราะท่านกำลังประชวรหนักไม่สิ้นสักที จะเป็นแต่งไปแช่งท่าน ส่วนในงานเวลาเมรุนั้นเราเด็กๆ ไม่ค่อยจะได้แต่งสีดำเลย เพราะไม่มีผู้ตายอายุอ่อนกว่า จึงต้องแต่งขาวอยู่ตลอดเวลา เมื่อใดมีพวกเด็กเล็กตาย เราได้แต่งดำรู้สึกภาคภูมิเสียจริงๆ ส่วนสีน้ำเงินแก่นั้น เคยแต่งครั้งเดียว คือเมื่องานพระราชทานเพลิงศพ "พระยาอิศรพันธ์โสภณ (หนู อิศรางกูร)" เพราะในเวลานั้นยังไม่มีนามสกุล เรารู้จักกันแต่ว่าเป็นขุนนางคนหนึ่ง สมเด็จหญิงและพระเจ้าลูกเธอที่ทรงมีชันษาคราวเดียวกันทรงเป็นลูกศิษย์ของเจ้าคุณอิศรพันธ์โสภณ ทรงเรียกว่า คุณหนู ถึงวันเผาท่านก็ทรงขาวกันทุกพระองค์ และตรัสสั่งให้ข้าพเจ้านุ่งสีน้ำเงินแก่ตามเสด็จเพราะไม่ได้เป็นลูกศิษย์ พวกเรารู้สึกว่าโก้แทบตายเพราะไม่เคยนุ่งเลยสักครั้งเดียว"
@@@@@@@
ธรรมเนียมปฏิบัติแต่งกายในงานศพที่ซับซ้อนทำให้เกิดปัญหาการแต่งกายที่ไม่เหมาะสมกับฐานะหลายครั้ง ดังที่ปรากฏในพระราชกิจจานุเบกษาที่กล่าวถึงงานพระศพของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นถาวรยศ และพระบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นสิทธิสุขุมการ ที่เมรุวัดสระเกศ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๑๙ ครั้งนั้นเจ้านายชั้นพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ (พระโอรสในรัชกาลที่ ๓) ทรงแต่งกายไม่เหมาะสม คือทรงผ้าขาวล้วนเหมือนกับพระเจ้าบรมวงศ์เธอชั้นผู้ใหญ่ และทรงในวันที่ไม่ใช่วันชักหรือวันเผาพระศพ
"ในวันนั้นพระบรมวงษานุวงษทรงผ้าลายพื้นขาวทั้งสิ้น แต่พระเจ้าราชวรวงษเธอ กรมขุนภูวไนยนฤเบนทราธิบาล กับพระเจ้าราชวรวงษเธอ กรมหมื่นเจริญผลภูลสวัสดิทรงผ้าขาวล้วน เหมือนกับพระเจ้าบรมวงษเธอ กรมหลวงวรศักดิพิศาล แลสมเดจพระเจ้าบรมวงษเธอ เจ้าฟ้ามหามาลากรมพระบำราบปรปักษ การก็เกินไปสักน้อยด้วยมิใช่บรมวงษเหมือนท่าน ถ้าโดยจะนับถือเคารพต่อท่านผู้ซึ่งสิ้นพระชนมไปนั้น ก็ควรจะทรงผ้าขาวล้วนแต่เวลาพระราชทานเพลิงวันเดียว ฤๅวันชักพระศพอีกวันหนึ่งเปนสองวันเท่านั้น แต่วันนอกนั้นไปไม่ควรจะทรงผ้าขาวล้วนเลย ซึ่งทรงทำดังนี้แรงไปนัก ถึงการพระศพ พระเจ้าบรมวงษเธอซึ่งมีมาแต่ก่อนๆ ในราชวรวงษก์ไม่เคยนุ่งขาวล้วนทั้งสามวันเลย"
@@@@@@@
ด้วยเหตุที่การแต่งกายไว้ทุกข์มีความซับซ้อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงออกพระราชกิจจานุเบกษาเรื่อง “ประกาศนุ่งขาว” ใน พ.ศ.๒๔๓๐ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ลดการแต่งกายไว้ทุกข์เหลือเพียงสองแบบคือ
๑. แต่งขาวล้วน สำหรับผู้ไว้ทุกข์ที่เป็นญาติที่มีอายุต่ำกว่าผู้ตาย ผู้ที่ไม่ได้เป็นญาติแต่มีบรรดาศักดิ์ต่ำกว่าผู้ตาย หรือต้องการแต่งเพื่อแสดงความนับถือต่อผู้ตาย
๒. แต่งดำล้วน หรือห่มขาว สำหรับผู้ไว้ทุกข์ที่เป็นญาติสนิทที่มีอายุมากกว่าผู้ตาย ผู้ที่ไม่ได้เป็นญาติแต่มีบรรดาศักดิ์สูงกว่าผู้ตาย หรืออาจเป็นเพียงญาติห่างๆ ที่มีอายุน้อยกว่า (ไม่ได้อยู่ในสาขาญาติตามผังเครือญาติในประกาศ)
ธรรมเนียมการแต่งกายแบบนี้เริ่มใช้ตั้งแต่งานพระศพสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ใน พ.ศ.๒๔๓๐ เป็นต้นมา
@@@@@@@
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามได้มีการออกนโยบาย "รัฐนิยม" เปลี่ยนแปลงธรรมเนียมการแต่งกายไว้ทุกข์ใหม่ โดยยกเลิกการแต่งกายตามอายุและบรรดาศักดิ์ แต่ให้แยกการแต่งกายตามเพศ ตามประกาศเรื่องระเบียบการแต่งกายไว้ทุกข์ในงานศพ วันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๘๔ ความว่า
(๑) ชาย ก. แต่งเครื่องแบบ ให้ใช้ผ้าสักหลาดหรือผ้าโปร่งดำขนาดกว้างระหว่าง ๗ ถึง ๑๐ เซ็นติเมตร พันแขนเสื้อซ้ายบน ข. แต่งกายสุภาพตามรัฐนิยม ให้ใช้เสื้อขาว กางเกงขายาวขาว (ถ้าเป็นเสื้อคอแบะ ให้ใช้เสื้อเชิ๊ตขาว ผ้าผูกคอดำเงื่อนกะลาสี) รองเท่าหนังดำ ถุงเท้าดำ และใช้ผ้าสักหลาดหรือผ้าโปร่งดำขนาดกว้างระหว่าง ๗ ถึง ๑๐ เซ็นติเมตร พันแขนเสื้อซ้ายเบื้องบน
(๒) หญิง แต่งกายสุภาพตามรัฐนิยม ให้ใช้เครื่องดำล้วน
การแต่งกายในงานศพหลังจากนั้นอ้างอิงตามระเบียบการแต่งกายไว้ทุกข์ในงานศพ พ.ศ.๒๔๘๔ เป็นหลัก แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้เปลี่ยนมาแต่งกายด้วยชุดดำทั้งชายและหญิงตามประเพณีสากลนิยม ดังที่พบในงานศพยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นทางราชการหรือในงานศพบุคคลทั่วไป
ขอบคุณที่มา :- โพสต์ของ วิพากษ์ประวัติศาสตร์ > เฟซบุ้ค วิพากษ์ประวัติศาสตร์ · 31 ตุลาคม 2016 https://www.facebook.com/WipakHistory/posts/พัฒนาการการแต่งกายในพิธีศพของไทยในปัจจุบัน-การแต่งกายด้วยชุดดำสำหรับไว้ทุกข์ในพิ/1210327449030723/?locale=th_TH เอกสารอ้างอิง :- - นนทพร อยู่มั่งมี, ธัชชัย ยอดพิชัย. ธรรมเนียมพระบรมศพและพระศพเจ้านาย - เกรียงไกร เกิดศิริ. งานพระเมรุ: ศิลปสถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมเกี่ยวเนื่อง ส่วนที่ ๒ : จากอยุธยาสู่รัตนโกสินทร์ - จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. แนวการสร้างชาติและป้องกันประเทศ - สุจิตต์ วงษ์เทศ : งานศพดั้งเดิมแบบไทยๆในอุษาคเนย์ แต่งชุดสีต่างๆ ชุดดำไว้ทุกข์ เป็นประเพณีได้จากฝรั่ง เพิ่งมีสมัย ร.5 ( http://www.matichon.co.th/news/323920) - ราชกิจจานุเบกษา เรื่อง "ประกาศนุ่งขาว" ( http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2430/005/35_1.PDF) - สาส์นสมเด็จ ฉบับลงวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๔๘๐ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทูล สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ (Cr. เพจพระเจ้ากรุงรัตนปุระอังวะ) หมายเหตุ : บทความทั้งหมดเรียบเรียงโดยผู้ดูแลเพจวิพากษ์ประวัติศาสตร์ ผู้ดูแลเพจขอสงวนสิทธิไม่อนุญาตให้นำข้อมูลที่เผยแพร่ในเพจไปแก้ไข คัดลอก ดัดแปลง ทำซ้ำ เผยแพร่ต่อ และห้ามนำไปแสวงหาผลกำไรทางพาณิชย์โดยเด็ดขาด หากมีความประสงค์จะขอบทความของเพจวิพากษ์ประวัติศาสตร์ไปเผยแพร่ต่อด้วยวิธีการใดๆ ก็ตามต้องได้รับการยินยอมจากผู้ดูแลเพจวิพากษ์ประวัติศาสตร์ในทุกกรณี ยกเว้นแต่การแชร์ (share) ในเฟสบุ๊คที่สามารถกระทำได้โดยไม่ต้องขออนุญาต
|
|
|
|
|
25
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทำไมงานศพต้องใส่ชุดดำ.? ย้อนรอยประวัติศาสตร์แห่งการไว้อาลัย
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 06, 2025, 07:24:03 am
|
. ไขข้อข้องใจ : ทำไมงานศพต้องใส่ชุดดำ.? ย้อนรอยประวัติศาสตร์แห่งการไว้อาลัยเมื่อเรานึกถึงภาพของงานศพหรืองานไว้อาลัย สิ่งแรกที่มักจะปรากฏขึ้นในความคิดคือภาพของผู้คนที่สวมใส่ชุด “สีดำ” ธรรมเนียมปฏิบัตินี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์สากลที่แสดงถึงความโศกเศร้า การให้เกียรติ และการไว้ทุกข์ต่อผู้ล่วงลับ
แต่เคยสงสัยหรือไม่ว่า ทำไมต้องเป็นสีดำ.? และธรรมเนียมนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากที่ใด.?
บทความนี้จะพาท่านย้อนรอยประวัติศาสตร์ เพื่อค้นหาคำตอบว่าทำไมสีดำจึงกลายเป็นสีแห่งการไว้ทุกข์
@@@@@@@
1. ความหมายเชิงสัญลักษณ์ของ “สีดำ”
ในเชิงจิตวิทยาและวัฒนธรรม สีดำมักถูกเชื่อมโยงกับความหมายที่ลึกซึ้งและหนักแน่น :-
• ความมืดมิดและการสิ้นสุด : สีดำคือสีที่ดูดกลืนทุกสเปกตรัมแสง เป็นสัญลักษณ์ของความมืดมิด “การดับสูญ” และการสิ้นสุดของชีวิต
• ความโศกเศร้าและความว่างเปล่า : เป็นสีที่แสดงถึงความรู้สึกสูญเสีย ความว่างเปล่า และความโศกเศร้าอย่างสุดซึ้ง
• ความเคร่งขรึมและเป็นทางการ : สีดำยังเป็นสีที่แสดงถึงความเคร่งขรึม ความสงบ และความเป็นทางการ การสวมชุดดำจึงเป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงต่อผู้ล่วงลับและครอบครัว
• การ “ซ่อน” ตัวตน : ในยามที่โศกเศร้า ผู้คนมักไม่อยากเป็นจุดสนใจ การสวมชุดสีดำซึ่งเป็นสีที่เรียบง่ายและไม่ฉูดฉาด ช่วยให้ผู้สวมใส่สามารถ “กลืน” ไปกับบรรยากาศโดยรวม และมุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่พิธีการและการไว้อาลัย
2. จุดเริ่มต้นในยุคโรมันโบราณ
ประวัติศาสตร์ของการสวมชุดสีเข้มเพื่อไว้ทุกข์นั้นย้อนไปได้ไกลถึงยุคจักรวรรดิโรมัน ชาวโรมันโบราณจะสวมใส่เสื้อคลุมที่เรียกว่า “โทกา” (Toga) ในยามปกติ แต่ในช่วงเวลาแห่งการไว้ทุกข์ พวกเขาจะเปลี่ยนไปสวม “โทกา พูลลา” (Toga Pulla) ซึ่งเป็นโทกาที่ย้อมด้วยสีเข้ม (สีน้ำตาลเข้มหรือดำ) เพื่อแสดงความอาลัย นี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่เก่าแก่ที่สุดจุดหนึ่งในวัฒนธรรมตะวันตก 3. ยุคกลางและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา : สีที่หลากหลาย
แม้ว่าสีเข้มจะถูกใช้ แต่ในยุคกลางและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) การไว้ทุกข์ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สีดำเสมอไป ในยุโรปบางพื้นที่ โดยเฉพาะในหมู่ราชวงศ์และขุนนางชั้นสูง สีอื่น ๆ เช่น สีม่วง หรือสีน้ำเงินเข้ม ก็ถูกใช้เป็นสีไว้ทุกข์เช่นกัน เนื่องจากเป็นสีที่ย้อมยากและมีราคาสูง แสดงถึงสถานะทางสังคม
ในขณะเดียวกัน บางวัฒนธรรมในยุคนั้น (เช่น สเปน) กลับใช้ “สีขาว” เป็นสีแห่งการไว้ทุกข์ โดยสื่อถึงความบริสุทธิ์และการส่งดวงวิญญาณไปสู่สุคติ
4. จุดเปลี่ยนสำคัญ : สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย
ธรรมเนียมการสวมชุดดำในงานศพอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน ถูกทำให้เป็นมาตรฐานสากลใน “ยุควิกตอเรียน” (Victorian Era) ในสหราชอาณาจักร (ช่วงศตวรรษที่ 19)
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1861 เมื่อเจ้าชายอัลเบิร์ต พระราชสวามีของสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (Queen Victoria) สิ้นพระชนม์ลง พระองค์ทรงโศกเศร้าอย่างหนักและได้สวมใส่ฉลองพระองค์ “สีดำ” เพียงสีเดียว เพื่อไว้ทุกข์ให้กับพระราชสวามีอันเป็นที่รักนับตั้งแต่วันนั้น จนกระทั่งพระองค์เสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 1901 รวมเป็นเวลานานถึง 40 ปี
ด้วยอิทธิพลอันยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิอังกฤษในยุคนั้น ประกอบกับการที่ราชสำนักเป็นผู้นำเทรนด์แฟชั่นและการปฏิบัติตน การกระทำของควีนวิกตอเรียจึงได้สร้างมาตรฐานใหม่ที่ทรงพลังว่า “สีดำคือสีแห่งการไว้ทุกข์ที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุด” ธรรมเนียมนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วโลกตะวันตก และขยายอิทธิพลไปทั่วโลกในเวลาต่อมา
ในยุควิกตอเรียน ยังมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดเกี่ยวกับการไว้ทุกข์ เช่น หญิงม่ายต้องสวมชุดดำทั้งตัว (Full Mourning) เป็นเวลาอย่างน้อย 1-2 ปี ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นสีเทาหรือสีม่วง (Half-Mourning)
5. บริบทในวัฒนธรรมอื่น (เช่น เอเชีย)
สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่า “สีดำ” ไม่ใช่สีสากลสำหรับการไว้ทุกข์ในทุกวัฒนธรรมตั้งแต่แรกเริ่ม :-
• วัฒนธรรมเอเชีย (จีน, อินเดีย, เวียดนาม ฯลฯ) : “สีขาว” คือสีหลักของการไว้ทุกข์ สีขาวสื่อถึงความบริสุทธิ์ การเกิดใหม่ และการส่งวิญญาณของผู้ล่วงลับให้ไปสู่ภพภูมิใหม่ที่สะอาดบริสุทธิ์
• วัฒนธรรมไทย : ในอดีต ราชสำนักไทยมีการใช้สีเครื่องแต่งกายตามวันในสัปดาห์ หรือใช้สีขาวในการไว้ทุกข์ แต่ในปัจจุบัน ประเทศไทยได้รับอิทธิพลจากตะวันตกอย่างมาก ทำให้ “สีดำ” กลายเป็นสีมาตรฐานที่คนไทยส่วนใหญ่ใช้ในการไปงานศพ เพื่อแสดงความสุภาพและให้เกียรติเจ้าภาพ แม้ว่า “สีขาว” ก็ยังคงเป็นสีที่ยอมรับได้และถูกต้องตามธรรมเนียม โดยเฉพาะสำหรับญาติสนิทหรือในพิธีการบางอย่าง สรุป
การสวมชุดดำไปงานศพ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่มีรากฐานมาจากประวัติศาสตร์ตะวันตกยาวนาน โดยมีจุดเปลี่ยนสำคัญในยุควิกตอเรียน และได้กลายเป็นบรรทัดฐานสากลในยุคโลกาภิวัตน์
หัวใจสำคัญของการเลือกเครื่องแต่งกายในงานไว้อาลัย ไม่ได้อยู่ที่ตัวสีเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ “เจตนา” ของการแสดงความเคารพ การให้เกียรติผู้ล่วงลับ และการแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อปลอบประโลมครอบครัวที่กำลังเผชิญกับความสูญเสีย สีดำจึงเป็น “ภาษาสากล” ที่เรียบง่ายที่สุด ที่ช่วยสื่อสารความรู้สึกอาลัยรักและความเคารพนั้น โดยไม่ต้องเอ่ยคำพูดใด ๆ
Thank to : https://thaiapply.com/7748/Posted on 28 ตุลาคม 2025 by ประโยชน์ และ ข้อดี
|
|
|
|
|
26
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เมรุ , เมรุ- : อ่านว่า เมน , เม-รุ- | รากศัพท์เดิม ไม่ได้แปลว่า "ที่เผาศพ"
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2025, 09:45:40 am
|
. เมรุ (บาลีวันละคำ 36)เมรุ บาลีอ่านว่า เม-รุ , “เมรุ” รากศัพท์มาจาก
1. มิ (ธาตุ = เบียดเบียน) + รุ ปัจจัย, แผลง อิ (ที่ มิ) เป็น เอ มิ + รุ = มิรุ > เมรุ แปลตามศัพท์ว่า (1) “ภูเขาที่เบียดบังภูเขาทั้งหมดด้วยความสูงกว่าของตน” (2) “ภูเขาที่เบียดเบียนความมืดด้วยรัศมี”
2. เม (ธาตุ = แลกเปลี่ยน) + รุ ปัจจัย เม + รุ = เมรุ แปลตามศัพท์ว่า “ภูเขาเป็นที่แลกเปลี่ยนความอภิรมย์กันแห่งพวกเทวดา”
@@@@@@@
“เมรุ” เป็นชื่อภูเขากลางจักรวาล คัมภีร์บรรยายว่า สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ตั้งอยู่บนยอดเขาลูกนี้
มีคติความเชื่อว่า เขาเมรุเป็นแดนสวรรค์ เมื่อเจ้านายสิ้นพระชนม์ สมมุติว่าเสด็จคืนสู่สวรรค์ สถานที่ถวายพระเพลิงจึงเรียกว่า “พระเมรุ” และเรียกที่เผาศพคนทั่วไปว่า “เมรุ”
เขานี้ยังมีชื่อว่า สิเนรุ และ สุเมรุ อีกด้วย คนไทยคุ้นกับคำว่า สุเมรุ จึงมักเรียกว่า “เขาพระสุเมรุ”
เมรุ หรือ สุเมรุ ถ้าเป็นคำสมาส อยู่กลางคำ อ่านว่า เม-รุ เช่น เมรุมาศ (เม-รุ-มาด) ถ้าไม่ได้สมาสกับคำอื่น อ่านว่า เมน เช่น “ขอเชิญขึ้นทอดผ้าบังสุกุลบนเมรุ” พูดว่า ขอเชิญขึ้นทอดผ้าบังสุกุลบน เมนไม่ใช่ … บน เม-รุ
@@@@@@@
เมรุ = เขาพระสุเมรุ, ภูเขาหลวง (เนรุ สิเนรุ สุเมรุ ติทิวาธาร) (ศัพท์วิเคราะห์) - มินาติ สพฺเพ ปพฺพเต อตฺตโน อุจฺจตรตฺเตนาติ เมรุ ภูเขาที่เบียดบังภูเขาทั้งหมดด้วยความสูงกว่าของตน
มิ ธาตุ ในความหมายว่าเบียดเบียน รุ ปัจจัย, พฤทธิ์ อิ เป็น เอ - มินาติ หึสติ รํสีหิ อนฺธการนฺติ เมรุ ภูเขาที่เบียดเบียนความมืดด้วยรัศมี (เหมือน วิ. ต้น) - เมนฺติ มยนฺติ วา อาทยนฺติ ปฏิททนฺติ เอตฺถาติ เมรุ ภูเขาเป็นที่แลกเปลี่ยนความอภิรมย์กันแห่งพวกเทวดา
เม ธาตุ ในความหมายว่าแลกเปลี่ยน รุ ปัจจัยThank to : https://dhamtara.com/?p=10088 มิถุนายน 2012 | Admin ชมรมธรรมธารา
เมรุ, เมรุ- (บาลีวันละคำ 4,530)เมรุ, เมรุ– ช่วยกันอ่านให้ถูก “พระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุวัด (ชื่อวัด)…”
ข้อความนี้ ผู้เขียนบาลีวันละคำได้ยินข้าราชการระดับสูงของหน่วยงานแห่งหนึ่งที่รับผิดชอบเรื่องภาษา อ่านว่า … นะ เม-รุ วัด …
เข้าใจว่าหลาย ๆ คน ก็จะอ่านแบบเดียวกันนี้ จึงขอถือเป็นโอกาสที่จะทำความเข้าใจเรื่องการอ่านคำว่า “เมรุ”
@@@@@@@
หาความรู้เกี่ยวกับรากศัพท์ก่อน
“เมรุ” บาลีอ่านว่า เม-รุ รากศัพท์มาจาก –
1) มิ (ธาตุ = เบียดเบียน) + รุ ปัจจัย, แผลง อิ (ที่ มิ) เป็น เอ (มิ > เม) มิ + รุ = มิรุ > เมรุ แปลตามศัพท์ว่า (1) “ภูเขาที่เบียดบังภูเขาทั้งหมดด้วยความสูงกว่าของตน” (2) “ภูเขาที่เบียดเบียนความมืดด้วยรัศมี”
2) เม (ธาตุ = แลกเปลี่ยน) + รุ ปัจจัย เม + รุ = เมรุ แปลตามศัพท์ว่า “ภูเขาเป็นที่แลกเปลี่ยนความอภิรมย์กันแห่งพวกเทวดา”
@@@@@@@
“เมรุ” เป็นชื่อภูเขากลางจักรวาล คัมภีร์บรรยายว่าสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ตั้งอยู่บนยอดเขาลูกนี้
บาลี “เมรุ” สันสกฤตก็เป็น “เมรุ” เช่น
สํสกฤต-ไท-อังกฤษ อภิธาน บอกความหมายของ “เมรุ” ไว้ดังนี้ (สะกดตามต้นฉบับ)
“เมรุ : (คำนาม) ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ในท่ามกลางเจ็ดทวีป, ชาวฮินดูกล่าวว่ามียอดสูง ๘๔,๐๐๐ โยชน์ ; แม่น้ำคงคาไหลจากสวรรค์บนยอดภูเขานั้น, และไหลจากนั้นไปยังปริสรสถโลกเปนลำน้ำสี่สาย, เทวดาประจำทิศตั้งรักษามุขต่างๆ แห่งบรรพตนั้น, สากลย์นั้นๆ ล้วนแล้วไปด้วยสุวรรณและมณี ; the sacred mountain in the centre of the seven continents, whose height said by Hindus to be 84,00 yojanas; the river Ganges falls from heaven on its summit, and flows thence to the surrounding worlds in four streams, the regents of the points of the compass occupy the corresponding face of the mountain, the whole of which consist of gold and gems.” ขยายความ
พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ที่คำว่า “เมรุ” อธิบายไว้ดังนี้
1. ชื่อภูเขาที่เป็นศูนย์กลางของจักรวาล บางทีเรียกพระสุเมรุ ตามคติของศาสนาฮินดู ถือว่าเป็นบริเวณที่มีสวรรค์อยู่โดยรอบ เช่น สวรรค์ของพระอินทร์อยู่ทางทิศเหนือ ไวกูณฐ์แดนสถิตของพระวิษณุหรือพระนารายณ์อยู่ทางทิศใต้ ไกลาสที่สถิตของพระศิวะหรือพระอิศวรก็อยู่ทางทิศใต้ เหนือยอดเขาพระสุเมรุนั้น คือ พรหมโลก เป็นที่สถิตของพระพรหม ; ภูเขานี้เรียกชื่อเป็นภาษาบาลีว่า สิเนรุ และตามคติฝ่ายพระพุทธศาสนา ในชั้นอรรถกถา ยอดเขาสิเนรุเป็นที่ตั้งของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ซึ่งเป็นที่สถิตของพระอินทร์ เชิงเขาสิเนรุ ซึ่งหยั่งลึกลงไปในมหาสมุทรเป็นอสูรพิภพ สูงขึ้นไปกึ่งทางระหว่างแดนทั้งสองนั้น เป็นสวรรค์ของท้าวจาตุมหาราช สวรรค์ชั้นอื่น ๆ และโลกมนุษย์เป็นต้น ก็เรียงรายกันอยู่สูงบ้างต่ำบ้างรอบเขาสิเนรุนี้ (ในวรรณคดีบาลียุคหลัง เช่น จูฬวงส์ พงศาวดารลังกา เรียก เมรุ และ สุเมรุ อย่างสันสกฤตก็มี)
2. ที่เผาศพ หลังคาเป็นยอด มีรั้วล้อมรอบ ซึ่งคงได้คติจากภูเขาเมรุนั้น
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 เก็บคำที่ขึ้นต้นด้วย “เมรุ” ไว้ 4 คำ ดังนี้
(1) เมรุ, เมรุ–
คำหน้าเขียนว่า “เมรุ” อ่านว่า เมน คำหลังเขียนว่า “เมรุ-” มีขีด – ท้าย หมายถึง มีคำอื่นมาต่อท้ายเป็นคำสมาส อ่าน เม-รุ-
เมรุ, เมรุ– : (คำนาม) ชื่อภูเขากลางจักรวาล มียอดเป็นที่ตั้งแห่งเมืองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ซึ่งพระอินทร์อยู่ ; ที่เผาศพ เดิมผูกหุ่นทำเป็นภูเขาเลียนแบบเขาพระสุเมรุ ซึ่งตั้งที่เผาขึ้นบนนั้น ของหลวงทำเป็นเรือนโถง เครื่องยอดหรือมณฑปครอบที่เผา เรียกว่า พระเมรุ, ต่อมาเรียกที่เผาศพทั่วไปทั้งมียอดและไม่มียอด ว่า เมรุ. (ป.).
(2) เมรุทอง
มีคำว่า “ทอง” มาต่อท้ายเป็นคำประสมแบบไทย ไม่ใช่คำสมาส อ่านว่า เมน-ทอง ไม่ใช่ เม-รุ-ทอง
เมรุทอง : (คำนาม) เมรุขนาดเล็ก มีรูปทองอย่างบุษบก สร้างอยู่ภายในพระเมรุมาศ ประดิษฐานพระโกศทรงพระบรมศพเพื่อถวายพระเพลิง เรียกว่า พระเมรุทอง.
(3) เมรุมาศ
มีคำว่า “มาศ” มาต่อท้ายเป็นคำสมาส อ่านว่า เม-รุ-มาด ไม่ใช่ เมน-มาด
เมรุมาศ : (คำนาม) สิ่งปลูกสร้างโดยขนบนิยมอย่างไทย มีลักษณะเป็นเครื่องยอดขนาดใหญ่ สูง สำหรับประดิษฐานพระบรมศพ ภายในมีพระเมรุทองซึ่งมีรูปทรงอย่างบุษบกขนาดเล็ก เป็นที่ประดิษฐานพระโกศทรงพระบรมศพสำหรับถวายพระเพลิง ราชาศัพท์ใช้ว่า พระเมรุมาศ.
(4) เมรุราช
มีคำว่า “ราช” มาต่อท้ายเป็นคำสมาส อ่านว่า เม-รุ-ราด ไม่ใช่ เมน-ราด
เมรุราช : (คำนาม) เขาพระสุเมรุ. (ป.). “เมรุ” อ่านอย่างไร.?
ดูวิธีเขียนคำตั้งหรือ “แม่คำ” ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน จะเห็นว่า พจนานุกรมฯ เขียนว่า เมรุ, เมรุ– และบอกคำว่า เมน, เม-รุ-
หมายความว่า :-
1. ถ้าอยู่โดด ๆ ไม่ได้สมาสกับคำอื่น หรือสมาสกับคำอื่น แต่อยู่ท้ายคำ อ่านว่า เมน เช่น “ขอเชิญขึ้นทอดผ้าบังสุกุลบนเมรุ” พูดว่า ขอเชิญขึ้นทอดผ้าบังสุกุลบน เมน, ไม่ใช่ ขอเชิญขึ้นทอดผ้าบังสุกุลบน เม-รุ “ออกพระเมรุ” อ่านว่า ออก-พฺระ-เมน ,ไม่ใช่ ออก-พฺระ-เม-รุ
2. ถ้าเป็นคำสมาส อยู่ต้นคำหรือกลางคำ อ่านว่า เม-รุ เช่น “เมรุมาศ” อ่านว่า เม-รุ-มาด ,ไม่ใช่ เมน-มาด “พระเมรุมาศ”อ่านว่า พฺระ-เม-รุ-มาด ,ไม่ใช่ พฺระ-เมน-มาด
3. ถ้ามีคำอื่นมาต่อท้ายในลักษณะเป็นคำประสมแบบไทย ไม่ใช่คำสมาส อ่านว่า เมน ไม่ใช่ เม-รุ เช่น “พระราชทานเพลิงศพ ณ เมรุวัดมหาธาตุ” อ่านว่า –เมน-วัด-มะ-หา-ทาด ,ไม่ใช่ –เม-รุ-วัด-มะ-หา-ทาด “เมรุชั่วคราว” อ่านว่า เมน-ชั่ว-คฺราว , ไม่ใช่ เม-รุ-ชั่ว-คฺราว
@@@@@@@
แถม
มีคำมาต่อท้าย จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นคำสมาสหรือเป็นคำประสม.?
วิธีสังเกต 1. ถ้าคำที่มาต่อท้าย เป็นคำบาลีสันสกฤตด้วยกัน ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นคำสมาส อ่านว่า เม-รุ- 2. ถ้าคำที่มาต่อท้าย เป็นคำไทย หรือคำที่มาจากภาษาอื่น ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นคำประสม อ่านว่า เมน
ถาม : แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่าเป็นคำบาลีสันสกฤต ตอบ : เรียนบาลี
ดูก่อนภราดา.! ถ้าคิดว่า อ่านผิดหรืออ่านถูกก็ตายทั้งนั้น ก็ไม่ต้องกิน เพราะกินหรือไม่กินก็ตายทั้งนั้น_______________________ #บาลีวันละคำ (4,530) , 6-11-67 Thank to : https://dhamtara.com/?p=306877 ธันวาคม 2024 | suriyan bunthae
|
|
|
|
|
27
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 200 ปี มาแล้ว แรกมี “เมรุ” ในวัดเผาศพทั่วไป
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2025, 07:29:25 am
|
. สภาพบ้านเมืองในกรุงเทพฯ เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ในภาพคือถนนบำรุงเมือง ตัดตรงจากพระบรมมหาราชวังไปทางทิศตะวันออกถึงวัดสุทัศเทพวราราม ทับบนแนวถนนเดิมจากประตูผีไปยังวัดสระเกศ200 ปี มาแล้ว แรกมี “เมรุ” ในวัดเผาศพทั่วไปร.5 (ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. 2411-2453) โปรดให้สร้างเมรุ เผาศพอย่างถาวรด้วยปูนไว้ในวัดเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายด้านต่างๆ
เมรุถาวรแห่งแรกอยู่ในวัดเทพศิรินทราวาส ราวเกือบ 100 ปีมาแล้ว ยังสืบเนื่องใช้งานพระราชทานเพลิงศพจนทุกวันนี้ แต่เอกสารบางเล่มระบุว่ามี “เมรุปูน” วัดสระเกศ ใช้เผาศพแล้วตั้งแต่สมัย ร.3 เมรุเผาศพ ค่อยๆ แพร่เข้าไปอยู่ในวัดสำคัญๆ ในเมืองกรุงเทพฯ ช่วงเรือน พ.ศ. 2500 นานเข้าก็กระจายไปวัดราษฎรเล็กๆ ตามชานเมืองจนถึงวัดสำคัญของจังหวัด แล้วมีไปทั่วประเทศ
“เมรุลอย” ถอดได้ (แบบ Knock-down) ทำด้วยไม้ชิ้นเล็กๆ ย่อส่วน เลียนแบบเมรุหลวงของเจ้านายเพื่องานศพขุนนางและคนมีฐานะมั่งคั่งเลียนแบบพิธีหลวง ต่อมามีผู้ทำขึ้นเพื่อให้คนมีฐานะเช่าไปทำงานศพสามัญชนคนทั่วไป
แต่คนฐานะด้อยกว่าก็ทำเชิงตะกอนประดับประดาด้วยเครื่องแกะสลักเป็นลวดลาย เช่น จักหยวก-แทงหยวก เป็นต้นขอขอบคุณ :- ข้อมูลจากหนังสือ “งานศพยุคแรกอุษาคเนย์” โดยสุจิตต์ วงษ์เทศ.สำนักพิมพ์นาตาแฮก 2560. เผยแพร่ : วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ.2564 เผยแพร่ครั้งแรกในระบบออนไลน์ : เมื่อ 20 กันยายน พ.ศ.2560 website : https://www.silpa-mag.com/history/article_11581
|
|
|
|
|
28
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 400 ปีมาแล้ว แรกมีเมรุเผาศพเลียนแบบนครวัด
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2025, 07:20:40 am
|
. ภาพลายเส้นพระเมรุและสิ่งปลูกสร้างในราชวัติ ซึ่งตัดทอนจากภาพงานพระเมรุสมเด็จพระเพทราชา วาดประมาณ พ.ศ.2247-2248 สมบัติของหอสะสมงานศิลปะแห่งรัฐเดรสเดน (Dresden State Art Collections) ประเทศเยอรมนี (Source : Terwiel, 2016)400 ปีมาแล้ว แรกมีเมรุเผาศพเลียนแบบนครวัดเมรุเผาศพ แรกมีราวหลัง พ.ศ. 2100 เริ่มสร้างเมรุ (อ่านว่า เมน) เป็นสัญลักษณ์เขาพระสุเมรุ เผาศพเจ้านายชั้นสูงในแผ่นดินพระเจ้าปราสาททอง ส่วนคนทั่วไปเผาศพบนเชิงตะกอนอย่างง่ายๆ ถ้าเป็นยาจกก็โยนให้แร้งกากิน
เมรุ หรือ พระเมรุ เมื่อแรกมียุคกรุงศรีอยุธยา สร้างเลียนแบบปราสาทนครวัด “วิษณุโลก” ที่จำลองเขาพระสุเมรุ ปราสาทนครวัดเป็นเทวสถานในศาสนาพราหมณ์ ถูกแปลงให้เกี่ยวข้องกับงานศพ โดยเป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิ
ทั้งนี้ ก่อนมีพระเมรุมาศ สมัยพระเจ้าปราสาททอง มีหลักฐานบ่งชี้ว่า การถวายพระเพลิงพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดินอยุธยาบนกองฟอน หรือเชิงตะกอน ที่ประดับตกแต่งเป็นพิเศษ เช่น จักหยวกลวดลายต่างๆ หุ้มห่อโครงสร้างที่เป็นไม้
และอาจถวายพระเพลิงด้วยวิธีอื่นได้อีก เช่น ในเรือนาคกลางแม่น้ำ ฯลฯ เพราะพบบันทึกในเอกสารชาวยุโรป แต่เอกสารที่แต่งสมัยหลังมักเขียนเหมารวมว่าถวายพระเพลิงบนเมรุทั้งหมดตั้งแต่ยุคต้นอยุธยา (สมัยที่ยังไม่มีพระเมรุมาศ) โดยเรียกตามประเพณีสมัยหลังมีพระเมรุมาศแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจคลาดเคลื่อน พระเมรุมาศซึ่งถูกอ้างว่าเป็นที่ประดิษฐานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมไปถึงพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ อ่านเพิ่มเติม :-
• “จำลองนครธม-รื้อนครวัด” ความพยายามของสยาม ?!? • บันทึก “โจวต้ากวาน” ใช้เป็นหลักฐานอ้างว่า “คนสยามสร้างนครวัด” ไม่ได้
ขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม เผยแพร่ : วันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน พ.ศ.2566 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 17 ตุลาคม 2560 website : https://www.silpa-mag.com/history/article_12246ข้อมูลจาก :- - หนังสือ “งานศพยุคแรกอุษาคเนย์” โดยสุจิตต์ วงษ์เทศ.สำนักพิมพ์นาตาแฮก 2560. - สุจิตต์ วงษ์เทศ : พระเมรุมาศ แรกมียุคอยุธยา สมัยพระเจ้าปราสาททอง, จาก https://www.matichon.co.th/columnists/news_362343
|
|
|
|
|
30
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 5 ความลับของ “การฝึกขอบคุณ” เรื่องเรียบง่าย แต่ช่วยซ่อมใจพังได้
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2025, 06:29:11 am
|
. 5 ความลับของ “การฝึกขอบคุณ” เรื่องเรียบง่าย แต่ช่วยซ่อมใจพังได้นพ.เจษฎา ทองเถาว์ แพทย์เฉพาะทางสาขาจิตเวชศาสตร์ จิตแพทย์ประจำ รพ.พระศรีมหาโพธิ์ จ.อุบลราชธานี ได้โพสต์ข้อึความลงบนเฟซบุ๊ก "คลินิกสุขภาพจิตนายแพทย์เจษฎา" เกี่ยวกับ 5 ความลับของ “การฝึกขอบคุณ” โดยระบุว่า
การฝึก “ขอบคุณ” ดูเหมือนเรื่องเรียบง่าย แต่ในเชิงจิตวิทยาแล้ว มันคือ “โปรแกรมซ่อมใจ” ที่ทำงานกับสมองลึกกว่าที่เราคิดครับนี่คือ 5 ความลับที่วงการจิตเวชและจิตวิทยาเริ่มเข้าใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
@@@@@@@
1. การขอบคุณ เปลี่ยนโครงสร้างสมองได้จริง
งานวิจัยพบว่าผู้ที่เขียนบันทึกขอบคุณติดต่อกัน 4 สัปดาห์ มีการเปลี่ยนแปลงในสมองส่วน medial prefrontal cortex ซึ่งเกี่ยวข้องกับความสุข การตัดสินใจ และความเห็นอกเห็นใจ เมื่อสมองถูกฝึกให้ “สังเกตสิ่งดี” ซ้ำ ๆ วงจรความคิดเชิงบวกจะค่อย ๆ แข็งแรงขึ้น เหมือนกล้ามเนื้อที่ผ่านการฝึก
2. แค่วันละ 2 นาที ก็ลดซึมเศร้าได้
งานวิจัยพบว่าคนที่จดสิ่งที่รู้สึกขอบคุณ 3 ข้อต่อวัน เป็นเวลา 2 สัปดาห์ มีระดับความเครียดลดลงเฉลี่ย 23% และมีแนวโน้มหลับดีขึ้นถึง 25% เหมือนเราให้ “รางวัลเล็ก ๆ” กับสมองทุกวัน และมันตอบแทนเราด้วยความสงบที่ลึกขึ้น
งานวิจัยพบว่าคนที่จดสิ่งที่รู้สึกขอบคุณ 3 ข้อต่อวัน เป็นเวลา 2 สัปดาห์ มีระดับความเครียดลดลงเฉลี่ย 23% และมีแนวโน้มหลับดีขึ้นถึง 25% เหมือนเราให้ “รางวัลเล็ก ๆ” กับสมองทุกวัน และมันตอบแทนเราด้วยความสงบที่ลึกขึ้น 3. การขอบคุณคือยาชะลอสมองเสื่อมทางอารมณ์
ในเชิงประสาทวิทยา การขอบคุณช่วยลดการทำงานของ amygdala ซึ่งเกี่ยวข้องกับความกลัวและความโกรธ
และเพิ่มการหลั่ง serotonin กับ dopamine ฮอร์โมนที่ช่วยให้เรารู้สึกสงบและมั่นคงทางใจ เมื่อเราฝึกบ่อย สมองจะ “จำได้” ว่าความสงบแบบนี้เกิดจากอะไร และจะพาเรากลับมาหามันได้ง่ายขึ้น แม้ในวันที่วุ่นวาย
4. ในโลกโซเชียล การขอบคุณ คือ การต่อต้านอัลกอริทึมแห่งความเปรียบเทียบ
ทุกวันเราถูกกระตุ้นให้ดูชีวิตคนอื่น ดูมากพอจนลืมดูชีวิตตัวเอง การฝึกขอบคุณคือ “การชะลอเวลา” เป็นช่วงที่เราหยุดเปรียบเทียบ แล้วมองสิ่งที่เรามี นักวิจัยพบว่า ผู้ใช้โซเชียลที่ฝึก gratitude journaling มีระดับความพึงพอใจในชีวิตสูงกว่ากลุ่มควบคุม 17% เพราะพวกเขา “ใช้สมองคนละโหมด” กับตอนเลื่อนฟีดครับ
5. การขอบคุณช่วยฟื้นความสัมพันธ์
ในมุมของจิตเวชสัมพันธ์ (interpersonal psychiatry) “คำขอบคุณ” เป็นภาษาของการยอมรับ เมื่อเราขอบคุณใครบ่อย สมองของเขาจะหลั่ง oxytocin ฮอร์โมนแห่งความไว้วางใจ
คนที่ฝึกขอบคุณเป็นประจำ ไม่ใช่แค่มีความสุขมากขึ้น แต่ยังมีสุขภาพกายดีขึ้น นอนหลับสนิทขึ้น แถมยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างมากขึ้นด้วยThank to : https://www.tnnthailand.com/health/216125/04 พ.ย. 2025 , 01:41 น | Health
|
|
|
|
|
31
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย แปลว่า อะไร.?
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2025, 11:09:29 am
|
. ส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย (บาลีวันละคำ 1,595)ส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย แปลว่าอะไร.? คำหลักคือ “สวรรคาลัย” อ่านว่า สะ-หฺวัน-คา-ไล ประกอบด้วย สวรรค + อาล้ย
(๑) “สวรรค”
บาลีเป็น “สคฺค” (สัก-คะ) รากศัพท์มาจาก สุ (คำอุปสรรค = ดี, งาม, ง่าย) + อชฺ (ธาตุ = ไป, เป็นไป) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, แปลง ชฺ เป็น ค, ซ้อน ค, ลบสระหน้า คือ อุ ที่ สุ (สุ > ส) : สุ > ส + คฺ = สคฺ + อชฺ = สคฺช + ณ = สคฺชณ > สคฺช > สคฺค แปลตามศัพท์ว่า (1) “ที่ซึ่งดำรงอยู่ยืนนานและสวยงาม” (2) “แดนอันแสนดีเลิศล้ำด้วยกามคุณ” (3) “แดนที่มีอารมณ์อันเลิศ” (คือได้พบเห็นสัมผัสแต่สิ่งที่น่าเพลิดเพลินเจริญใจ) (4) “แดนที่ติดข้อง”
พจนานุกรมบาลี-อังกฤษ แปล “สคฺค” ว่า heaven, the next world (สวรรค์, โลกหน้า) แล้วขยายความว่า popularly conceived as a place of happiness and long life (ตามมโนภาพทั่วๆ ไป เข้าใจกันว่าเป็นสถานที่มีความสุขและมีอายุยืน)
ตามปกติคำว่า “สคฺค” หมายถึง สวรรค์ที่ยังเกี่ยวข้องกับกาม 6 ชั้น คือ จาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตดี
“สคฺค” สันสกฤตเป็น สฺวรฺค ภาษาไทยเขียนอิงสันสกฤตเป็น “สวรรค์” (สะ-หฺวัน)
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า “สวรรค-, สวรรค์ : (คำนาม) โลกของเทวดา, เมืองฟ้า. (ส. สฺวรฺค; ป. สคฺค).”
@@@@@@@
(๒) “อาลัย”
บาลีเป็น “อาลย” (อา-ละ-ยะ) รากศัพท์มาจาก อา (คำอุปสรรค = ทั่ว, มาก, ยิ่ง) + ลิ (ธาตุ = ติดใจ, ติดแน่น) + ณ ปัจจัย, ลบ ณ, แปลง อิ ที่ ลิ เป็น ย (ลิ > ลย) : อา + ลิ = อาลิ + ณ = อาลิณ > อาลิ > อาลย แปลตามศัพท์ว่า “ที่เป็นที่ติดใจยินดีแห่งผู้คน” “สิ่งที่ใจไปติดแน่นอยู่”
นักภาษาอธิบาย “อาลย” เป็นรูปธรรมว่า เหมือน “คอน” ที่นกเกาะนอน เท้านกจะต้องยึดแน่นอยู่กับคอนนั้น มิเช่นนั้นก็ตก อาการที่จับติดแน่นไม่ยอมปล่อยนั่นเองคือ “อาลัย”
ตามรากศัพท์เช่นนี้ “อาลัย” ในทางรูปธรรมจึงหมายถึงสถานที่พักอาศัย, ที่อยู่, แหล่งรวมของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น ชลาลัย = แหล่งรวมแห่งน้ำ คือแม่น้ำ หรือทะเล เทวาลัย = ที่อยู่ของเทพยดา หิมาลัย = แหล่งรวมแห่งหิมะ คือภูเขาที่มีหิมะปกคลุมตลอดปี
“อาลย” ในบาลีใช้ในความหมายดังนี้ (1) คอนสำหรับนกหรือไก่เกาะหรือนอน (ความหมายเดิม), สถานที่พักอาศัย, บ้านเรือน (roosting place, perch, abode settling place, house) (2) เกาะเกี่ยวอยู่, ความรักใคร่, ความต้องการ, ตัณหา, ราคะ (hanging on, attachment, desire, clinging, lust) (3) การแสร้งทำ, มารยา, ข้อแก้ตัว (pretence, pretext, feint) สคฺค + อาลย = สคฺคาลย > สฺวรฺคาลย > สวรรคาลัย แปลตามศัพท์ว่า “ที่อยู่ คือ สวรรค์” หรือ “แดนสวรรค์”
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกไว้ว่า “สวรรคาลัย : (คำกริยา) ตาย (ใช้แก่เจ้านายชั้นสูง), (คำที่ใช้ในบทร้อยกรอง) ตาย.”
@@@@@@@
อภิปราย
ในคัมภีร์บาลียังไม่พบศัพท์ “สคฺคาลย” (คือ “สวรรคาลัย”) แต่มีคำว่า “สคฺคคต” (สัก-คะ-คะ-ตะ) ตรงกับคำว่า “สวรรคต” และ “ทิวงฺคต” (ทิ-วัง-คะ-ตะ) ตรงกับคำว่า “ทิวงคต” ทั้งสองศัพท์นี้แปลว่า “ไปสวรรค์” หมายถึง ตาย
สันนิษฐานว่า “สวรรคาลัย” คำเดิมในภาษาไทยคงจะเป็น “สวรรค์ครรไล” (สะ-หฺวัน-คัน-ไล) แปลว่า “ไปสวรรค์” (ครรไล = ไป) ซึ่งมีความหมายอย่างเดียวกับ “สวรรคต” และ “ทิวงคต” = “ไปสวรรค์” คือ ตาย
“สวรรค์ครรไล” พูดเพี้ยนเป็น สะ-หฺวัน-คา-ไล แล้วเลยเขียนเป็น “สวรรคาลัย” ซึ่งตามรูปศัพท์เป็นคำนาม หมายถึง “สวรรค์” แต่เพราะความหมายของคำเดิม (“สวรรค์ครรไล”) หมายถึง ตาย แม้มาเขียนเป็น “สวรรคาลัย” ก็จึงยังคงใช้เป็นคำกริยาตามความหมายเดิม
มีคำเทียบที่คล้ายกัน คือรูปคำ “สวรรคาลัย” เทียบได้กับ “พิราลัย” ซึ่งมาจาก วีร (ผู้กล้า, นักรบ) + อาลัย (ที่อยู่) : วีร + อาลัย = วีราลัย > วิราลัย > พิราลัย แปลตามศัพท์ว่า “ที่อยู่ของนักรบ” ทั้งนี้ตามคติการปลุกใจทางทหารที่ว่า นักรบเมื่อตายในการรบ วิญญาณจะไปสถิตอยู่บนสรวงสวรรค์ ด้วยเหตุนี้ สวรรค์จึงมีคำเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “วีราลัย” = ที่อยู่ของนักรบ
วีราลัย = สวรรค์ สวรรคาลัย = สวรรค์
ในภาษาไทย เอาคำว่า “วีราลัย > พิราลัย” มาใช้ในความหมายว่า ตาย คือเล็งไปที่การตายของนักรบ “พิราลัย” คำนามจึงกลายเป็นคำกริยาในภาษาไทย ทำนองเดียวกับ “สวรรคาลัย” คำนามใช้เป็นคำกริยาว่า ตาย
@@@@@@@
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานจะว่าอย่างไร
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกว่า “สวรรคาลัย” เป็นคำกริยา หมายถึง ตาย ใช้แก่เจ้านายชั้นสูง
แต่วลีที่ว่า “ส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย” เห็นได้ชัดว่าผู้พูดเข้าใจว่า “สวรรคาลัย” หมายถึง สวรรค์
“ส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย” ก็คือ ส่งเสด็จไปสู่ “สวรรค์” “ส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย” จะแปลไม่ได้เลยว่า ส่งเสด็จไปสู่ “ตาย”
อย่างนี้กระมังที่พูดกันว่า “ใช้ตามความนิยม” คือ พจนานุกรมจะแปลว่าอะไรก็ช่างพจนานุกรม แต่ตามความนิยมเขาใช้กันอย่างนี้ การแก้พจนานุกรมให้ถูกกับความนิยม กับการแก้ความนิยมให้ถูกตามหลักภาษา วิธีไหนเป็นยอดแห่งความยากกว่ากัน ?
: จริงใจในการรู้รักสามัคคี : ตั้งใจทำความดีให้สำเร็จ : เป็นยอดแห่งการส่งเสด็จสู่สวรรคาลัยThank to : https://dhamtara.com/?p=568916 ตุลาคม 2016 | tppattaya2343@gmail.com
|
|
|
|
|
32
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พัฒนาการของพระราชพิธีพระบรมศพ จากอยุธยา-รัตนโกสินทร์ เมื่อความสูญเสียยิ่งใหญ่ไม่
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2025, 08:13:02 am
|
. พัฒนาการของพระราชพิธีพระบรมศพ จากอยุธยา-รัตนโกสินทร์ เมื่อความสูญเสียยิ่งใหญ่ไม่ได้มีแค่ความเศร้า Summary- การเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อ 24 ตุลาคม 2568) นำมาสู่การไว้ทุกข์ทั่วประเทศ และเกิดคำถามในสังคมถึงความเหมาะสมของงานรื่นเริงในช่วงเวลาแห่งความอาลัยนี้
- งานพระบรมศพสมัยอยุธยาถึงต้นรัตนโกสินทร์ ไม่ได้มีเพียงความโศกเศร้า แต่เป็นการเฉลิมฉลองการเสด็จกลับสู่สวรรค์ของสมมติเทพ ตามคติไตรภูมิ จึงมีการมหรสพสมโภช เช่น โขน ละคร การละเล่นพื้นบ้าน เพื่อสมพระเกียรติและเป็นการออกทุกข์ให้ประชาชน
- ประเพณีมหรสพถูกยกเลิกในสมัยรัชกาลที่ 6 ในงานพระบรมศพสมเด็จพระพันปีหลวง ปี 2463 เนื่องจากทรงรับอิทธิพลตะวันตกยุควิกตอเรียน ที่เน้นความสงบ และเปลี่ยนการไว้ทุกข์เป็นสีดำ แม้มหรสพจะถูกฟื้นฟูตั้งแต่ปี 2539 แต่ก็เปลี่ยนความหมายจากงานรื่นเริง เป็นการแสดงศิลปะชั้นสูงเพื่อเฉลิมพระเกียรติแทน
เป็นความสูญเสียและโศกเศร้ายิ่งของพสกนิกรชาวไทย เมื่อ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568 โดย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้สำนักพระราชวัง จัดการพระบรมศพ ถวายพระเกียรติยศสูงสุดตามราชประเพณี ประดิษฐานพระศพ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าทูลละอองธุลีพระบาทในราชสำนักไว้ทุกข์ถวาย มีกำหนด 1 ปี ตั้งแต่วันสวรรคตเป็นต้นไป
ขณะเดียวกัน รัฐบาลมีนโยบายขอความร่วมมือประชาชน พิจารณาปรับรูปแบบการจัดกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะงานรื่นเริง ให้เหมาะสมกับบรรยากาศแห่งความอาลัย
แต่แนวทางของรัฐบาลก็ยังไม่ชัดเจนในทางปฏิบัติ เพราะคำว่า ‘เหมาะสม’ ไม่มีนิยามตายตัว แค่ไหนเรียกว่าบันเทิง รื่นเริง แบบไหนควรงด แบบไหนควรไปต่อ จึงทำให้ประชาชนหลายภาคส่วนออกมาส่งเสียงสะท้อนผ่านโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะผู้ที่ต้องอาศัยรายรับจากธุรกิจความบันเทิง นักร้อง นักดนตรี คนจัดงานอีเวนต์ โดยเฉพาะช่วงปลายปีที่มีหลายเทศกาลใหญ่เป็นทางสว่างด้านเศรษฐกิจของใครหลายคน
เมื่อสูญเสียบุคคลชั้นสูงระดับพระมหากษัตริย์ พระราชินี พระบรมวงศานุวงศ์ ย่อมเป็นความโศกเศร้าของคนไทย แต่โดยประเพณีแต่ดั้งเดิมนั้น ‘งานศพ’ ของชนชั้นสูง จำเป็นจะต้องมีส่วนประกอบเป็นความเศร้าเพียงอย่างเดียวหรือไม่ หรือแท้จริงแล้ว ยังมีชิ้นส่วนที่ ‘ไม่เศร้า’ เกิดขึ้นได้ เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความยิ่งใหญ่ให้สมพระเกียรติ
@@@@@@@
การเสด็จกลับสู่สรวงสวรรค์ของสมมติเทพสมัยอยุธยา
ภาพจำของคนไทยต่องานพระราชพิธีพระบรมศพในยุคปัจจุบัน คือความงดงาม วิจิตรตระการตาของริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ และพระเมรุมาศที่สง่างามดั่งสถาปัตยกรรมจากสวรรค์ ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความโศกเศร้าอาลัยของคนทั้งชาติ แต่หากย้อนกลับไปยังรากฐานในสมัยกรุงศรีอยุธยา เราจะพบว่าราชพิธีนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยความเชื่อที่แตกต่างออกไป
พื้นฐานความเชื่อของราชสำนักโบราณได้รับอิทธิพลจากพราหมณ์-ฮินดู ที่ผสานกับพระพุทธศาสนา เป็นลักษณะเฉพาะของดินแดนกลางอุษาคเนย์แห่งนี้ โดยอ้างอิงความเชื่อหลักจาก ‘ไตรภูมิกถา’ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ‘ไตรภูมิพระร่วง’ วรรณกรรมชิ้นสำคัญสมัยสุโขทัย
ไตรภูมิพระร่วง เป็นวรรณคดีพุทธศาสนาชิ้นแรกของไทยเท่าที่มีหลักฐานเหลืออยู่ เป็นพระราชนิพนธ์ของ พญาลิไท แห่งกรุงสุโขทัย เมื่อประมาณปี 1888
ไตรภูมิ แปลตรงตัวว่า สามโลก ที่ทุกชีวิตยังต้องเวียนว่ายตายเกิด โดยแบ่งตามระดับจิตใจและผลกรรมที่ทำมา คือ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ ซึ่งเป็นพรหมชั้นสูงสุดที่ไร้รูปหรือร่างกาย เหลือเพียงจิตหรือนามในสภาวะว่างเปล่า
ตามคตินี้ ชนชั้นสูงระดับพระมหากษัตริย์สมัยอยุธยาทรงมีสถานะเป็น ‘สมมติเทพ’ หรือเทวราชา ที่อวตารลงมาปกครองมนุษย์ เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคต จึงมิใช่การ ‘ตาย’ หรือสูญสิ้นไปแบบสามัญชน แต่คือการเสด็จกลับคืนสู่ทิพยวิมานบนเขาพระสุเมรุ อันเป็นศูนย์กลางของจักรวาลตามหลักไตรภูมิ และเป็นที่อยู่ของเทวดา โดยมีชั้นดาวดึงส์เป็นที่ประทับของพระอินทร์บนยอดสูงสุดของเขาพระสุเมรุ
ดังนั้น พระราชพิธีพระบรมศพจึงไม่ใช่แค่ ‘พิธีศพ’ ที่อาลัยถึงความสูญเสีย แต่คือการจำลองกระบวนการเสด็จสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ดังที่ใช้คำว่า ‘เสด็จสู่สวรรคาลัย’
เช่น พระเมรุมาศในพระราชพิธีถวายพระเพลิง พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่สร้างขึ้นกลางท้องสนามหลวง จะถูกออกแบบให้เป็นเขาพระสุเมรุจำลอง มีไพชยนต์ปราสาทอยู่กลางเมือง เขาพระสุเมรุล้อมรอบด้วยทะเล 7 ชั้น (ทะเลสีทันดร) สลับด้วยภูเขา 7 ลูก (สัตตบริภัณฑ์) ส่วนเชิงเขาพระสุเมรุเป็นที่ตั้งของป่าหิมพานต์ เพื่อใช้เป็นสถานที่ส่งดวงพระวิญญาณของสมมติเทพกลับสู่สภาวะเดิมบนสรวงสวรรค์
@@@@@@@
‘มหรสพสมโภช’ เมื่อความตายมิใช่แค่ความเศร้า
เนื่องจากการสวรรคตคือการเสด็จกลับสู่สวรรค์ของสมมติเทพ ซึ่งความเชื่อนี้คงอยู่มาตั้งแต่สมัยอยุธยาต่อเนื่องมาจนถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ งานพระบรมศพจึงมีการเฉลิมฉลองควบคู่ไปกับความอาลัย โดยเรียกสิ่งนี้ว่า ‘มหรสพสมโภช’
มหรสพสมโภช มาจาก ‘มหรสพ’ แปลว่า การแสดงรื่นเริง การละเล่น สิ่งบันเทิง กับ ‘สมโภช’ แปลว่า การเฉลิมฉลอง เมื่อนำสองคำมารวมกันจะหมายความว่า การแสดงรื่นเริงที่จัดขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่
บันทึกของราชทูตชาวฝรั่งเศส ซีมง เดอ ลา ลูแบร์ สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (ปี 2230) บรรยายถึงความยิ่งใหญ่ของงานศพเจ้านายสมัยอยุธยาว่า มีความซ้อนกันของพิธีกรรม โดยไม่ได้มีแต่ความโศกเศร้าเท่านั้น
‘คำให้การของขุนหลวงวัดประดู่ในทรงธรรม’ กล่าวถึงพระเมรุชั้นสูงยุคก่อนไว้ว่า มีมหรสพหลายประเภทการแสดงต่างๆ รอบพระเมรุมาศ เช่น โขน หุ่นกระบอก ละครชาตรี ระบำ งิ้ว รวมถึงการแสดงพื้นบ้านและกายกรรม กุลาตีไม้ กระอั้วแทงควาย ลอดบ่วงเพลิง นอนหอกนอนดาบ
มหรสพสมโภชซึ่งส่วนใหญ่เป็นนาฏศิลป์ชั้นสูง มีจุดประสงค์หลักคือ เป็นการสมโภช เฉลิมฉลองการเสด็จกลับสู่สวรรค์ให้สมพระเกียรติยศ และเพื่อเป็นการออกทุกข์เมื่อพระราชพิธีดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย และให้บ้านเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
ดังนั้น บรรยากาศในงานพระเมรุสมัยอยุธยาถึงต้นรัตนโกสินทร์ จึงยึดอยู่กับพิธีกรรมที่ผสมผสานระหว่างพราหมณ์-พุทธ ความโศกเศร้าอาลัย และความรื่นเริงเฉลิมฉลอง เพื่อเป็นการแสดงพระเกียรติยศอันสูงสุดของพระบรมวงศานุวงศ์ผู้ล่วงลับ และเป็นการสำแดงพระบรมเดชานุภาพและพระกฤดาธิการขององค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงจัดงาน จุดเปลี่ยนสู่ความเศร้าอย่างสำรวมในสมัย รัชกาลที่ 6 กับงานพระบรมศพ พระพันปีหลวง
มหรสพสมโภชดำเนินสืบเนื่องมาจนถึงรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงมีพระราชปรารภก่อนสวรรคตว่า งานพระบรมศพของพระองค์นั้นให้จัดอย่างประหยัด ลดทอนความยิ่งใหญ่ลง และทรงไม่ประสงค์ให้มีการเล่นการมหรสพ เนื่องจากทรงเห็นว่าเป็นการสิ้นเปลืองและไม่เข้ากับยุคสมัยใหม่
การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของพระราชพิธีเกิดขึ้นหลังจากนั้น โดย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงรับอิทธิพลแนวคิดแบบตะวันตกจากการศึกษาที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดและโรงเรียนนายร้อยทหารบกแซนด์เฮิสต์ โดยเฉพาะยุควิกตอเรียนของอังกฤษ ที่มองว่างานศพควรถูกจัดบนบริบทของความเคร่งขรึม สงบ และเป็นการแสดงความอาลัยส่วนตัว
การตัดสินใจเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมงานพระบรมศพอย่างเป็นทางการเกิดขึ้นในการประชุมหลังจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตได้ไม่นาน โดยมีหลักฐานสำคัญคือบันทึกของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเองในพระราชนิพนธ์เรื่อง ‘ประวัติต้นรัชกาลที่ 6’ โดยที่ประชุมได้มีมติเห็นพ้องต้องกันว่า "ถึงสมัยอันควรที่จะเปลี่ยนธรรมเนียมทำงานศพ" นับเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปแนวคิดเกี่ยวกับงานศพในราชสำนักสยามครั้งใหญ่ที่สุด
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 จึงทรงดำเนินตามพระราชประสงค์ของพระราชบิดา และได้มีประกาศงดการแสดงมหรสพสมโภชในงานออกพระเมรุ อย่างเป็นทางการ
ต่อมา เมื่อถึงคราวงานพระบรมศพ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง (พระมารดาของรัชกาลที่ 6) ซึ่งเป็นพระพันปีพระองค์แรกของกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งจัดขึ้นในปี 2463 จึงเป็นงานพระบรมศพขนาดใหญ่งานแรกที่จัดตามธรรมเนียมใหม่อย่างเคร่งครัด คือไม่มีมหรสพสมโภชเพื่อความบันเทิง คงไว้แต่การบรรเลงโดยวงดนตรีเฉพาะกิจสำหรับงานศพเช่น วงปี่พาทย์นางหงส์ เพื่อประกอบพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรม
เหตุผลสำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนนิยามพื้นฐานของงานศพ โดยมีพระราชประสงค์ที่จะงดงานรื่นเริงเปลี่ยนให้เป็นวิธีแสดงความเคารพต่อผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว พระราชพิธีจึงเปลี่ยนรูปแบบจากการแสดงมหกรรมเพื่อสำแดงพระเกียรติยศต่อสาธารณะ ไปสู่การแสดงออกถึงความอาลัยและความเคารพของคนในชาติ รวมถึงเหตุผลด้านเศรษฐกิจที่รัชกาลที่ 6 และที่ประชุมทรงเห็นร่วมกันว่า การสร้างพระเมรุมาศขนาดใหญ่โตซึ่งใช้งานเพียงชั่วคราวและการจัดมหรสพใหญ่โตนั้นเป็นการสิ้นเปลืองและ "มิได้เพิ่มพูนพระเกียรติยศขึ้นเลย" สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงหัวใจของพระราชพิธีพระบรมศพ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จึงเปลี่ยนมาอยู่ที่ความสงบ ความศักดิ์สิทธิ์ของศาสนพิธี และความสง่างามเป็นระเบียบของริ้วขบวนพระบรมราชอิสริยยศ เปี่ยมด้วยความอาลัยและความเคารพ แทนที่ความครึกครื้นรื่นเริง บทบาทของประชาชนที่เข้าร่วมก็เปลี่ยนจากผู้ชมมหรสพเป็น ‘ผู้ถวายความเคารพ’ ในพระราชพิธีอันศักดิ์สิทธิ์
นอกจากการไม่มีมหรสพ สีแห่งความเศร้าของสยามก็เปลี่ยนไป จากประเพณีดั้งเดิม สีขาวเป็นสัญลักษณ์ของการไว้ทุกข์ทั้งคนธรรมดาและราชสำนัก โดยอ้างอิงมาจากคติพราหมณ์และพุทธ
แต่เนื่องจากรัชกาลที่ 6 ทรงอ้างอิงวิถีการปฏิบัติตามแบบวิกตอเรียน สีของการไว้ทุกข์จึงเปลี่ยนเป็นสีดำ โดยมีต้นแบบคือ พระราชินีวิกตอเรีย ที่ทรงฉลองพระองค์สีดำไว้ทุกข์ให้เจ้าชายอัลเบิร์ตนานถึง 40 ปี
ในยุคที่อังกฤษเป็นเจ้าอาณานิคม วัฒนธรรมของอังกฤษจึงแพร่หลายจนเป็นสากล การไว้ทุกข์ด้วยสีดำจึงเป็นการปรับตัวของสยามให้เข้ากับมาตรฐานสากล โดยรัชสมัยรัชกาลที่ 6 ได้มีการกำหนดให้ข้าราชการและประชาชนทั่วไปเปลี่ยนมาใช้ เครื่องแต่งกายสีดำเป็นหลักในการไว้ทุกข์ หรือใช้สีขาวสลับดำ ส่วนข้าราชการที่แม้จะใส่เสื้อขาว ก็ยังติดปลอกแขนสีดำเป็นสัญลักษณ์
งานพระบรมศพของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ของทั้งรูปแบบและการแต่งกาย แม้ว่าความยิ่งใหญ่ของพระเมรุมาศและริ้วขบวนยังคงงดงามและยิ่งใหญ่ตามความเชื่อพุทธและพราหมณ์แบบโบราณราชประเพณี แต่บรรยากาศของมหรสพและงานรื่นเริงแบบอยุธยาก็หายไป ถูกแทนที่ด้วยความเศร้าอย่างสงบตามแบบสากล กลายเป็นการสถาปนาบรรทัดฐานใหม่สำหรับงานพระศพของพระบรมวงศานุวงศ์และเจ้านายชั้นสูงใช้เป็นแนวปฏิบัติหลังจากนั้นเป็นต้นมา
@@@@@@@
การฟื้นฟูมหรสพในฐานะการแสดงเฉลิมพระเกียรติ
มหรสพยังไม่ปรากฏในงานพระบรมศพอีกหลายทศวรรษ กระทั่งงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ปี 2539 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชปรารภว่า บรรยากาศงานที่เงียบเหงาเกินไป อาจไม่เหมาะสม และเพื่อเป็นการอนุรักษ์โบราณราชประเพณี จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อฟื้นการมหรสพขึ้นมาอีกครั้ง
แต่การรื้อฟื้นมหรสพสมโภชตั้งแต่สมัยงานพระบรมศพสมเด็จย่า สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ จนถึงรัชกาลที่ 9 ไม่ได้เป็นงานรื่นเริงแบบอยุธยาอีกต่อไป แต่ถูกยกระดับเป็นการแสดงนาฏศิลป์และดนตรีชั้นสูงเพื่อเฉลิมพระเกียรติยศ เช่น การแสดงโขนหน้าพระเมรุมาศ หรือการประโคมดนตรี ถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นการถวายราชสักการะครั้งสุดท้ายด้วยศิลปะที่งดงาม เพื่อจารึกและสำนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ มากกว่าจะเป็นการเฉลิมฉลองการเสด็จกลับสู่สรวงสวรรค์
อย่างไรก็ตาม การฟื้นฟูมหรสพสมโภชในยุคสมัยใหม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญจากธรรมเนียมปฏิบัติในอดีต นี่ไม่ใช่การกลับไปสู่เทศกาลรื่นเริงไร้การควบคุม แต่เป็นการจัดแสดงทางวัฒนธรรมที่ผ่านการคัดสรรและวางแผนอย่างเป็นระบบ โดยมีกรมศิลปากรเป็นผู้รับผิดชอบหลัก
การแสดงที่ได้รับเลือกมักจะมีความเชื่อมโยงกับพระราชประวัติหรือพระราชนิยมของพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์นั้นๆ เช่น การบรรเลงบทเพลงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 9 บนเวทีที่เป็นทางการ โดยศิลปินชั้นนำของประเทศ และมีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ
การฟื้นฟูมหรสพจึงไม่ใช่การหวนคืนสู่อดีต แต่คือการสร้างประเพณีรูปแบบใหม่ขึ้นมา เปลี่ยนจากการแสดงในระดับ ‘ชาวบ้าน’ ให้ประชาชนทั่วไปร่วมชมและมีส่วนร่วม กลายเป็นเวทีจัดแสดงนาฏกรรมและดุริยางคศิลป์ชั้นสูงประจำชาติ ใช้ประวัติศาสตร์และจารีตมาเสริมสร้างอัตลักษณ์ พร้อมกับตอกย้ำเรื่องราวพระราชกรณียกิจและพระเกียรติคุณของสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ประชาชนชาวไทยและทั่วโลกได้รับรู้ทั่วกันอ้างอิง :- - คติจักรวาลวิทยาในพระเมรุมาศ - มหรสพในงานพระเมรุสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ - มหรสพสมโภช - รัชกาลที่ 6 ทรงเขียนถึงเรื่อง”ประชุมกะงานพระบรมศพ (ตกลงแปลงรูปงานเปนแบบใหม่)
Thank to : https://plus.thairath.co.th/topic/politics&society/105809Thairath Plus › Politics & Society | Current Issues › Social Issues 27 ต.ค. 68 | creator : กองบรรณาธิการ
|
|
|
|
|
33
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 5 ลำดับชั้น “พระสงฆ์” กับสถานภาพพิเศษพระไทยสมัยอยุธยา จากบันทึกชาวต่างชาติ
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2025, 09:44:18 am
|
. (ภาพประกอบเนื้อหา) จิตรกรรมภาพพระภิกษุ วัดบวรนิเวศวิหาร5 ลำดับชั้น “พระสงฆ์” กับสถานภาพพิเศษพระไทยสมัยอยุธยา จากบันทึกชาวต่างชาติเอนเยลเบิร์ต แกมป์เฟอร์ (Engelbert Kaempfer) นายแพทย์ชาวเยอรมันที่เดินทางมาเยือนสยามในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชถึงต้นสมัยสมเด็จพระเพทราชา ก่อนจะเดินทางต่อไปยังญี่ปุ่น ได้บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับราชอาณาจักรสยาม ซึ่งหลายส่วนเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาสภาพสังคมไทยสมัยอยุธยา หนึ่งในนั้นคือลำดับชั้นพระสงฆ์ไทยในอดีต ภาพวาด เอนเยลเบิร์ต แกมป์เฟอร์ (ภาพจาก Wikimedia Commons)ลำดับชั้นพระสงฆ์ไทยในอดีต
ในหนังสือ ไทยในจดหมายเหตุแกมป์เฟอร์ ที่กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร ได้เรียบเรียง และแปลเป็นภาษาไทยเอาไว้ แกมป์เฟอร์บันทึกเกี่ยวกับฐานานุกรม ลำดับชั้นพระสงฆ์ไทยสมัยอยุธยาว่ามีอยู่ 5 ระดับด้วยกัน ดังนี้
1. เจ้าเณร (Dsiaunce) หรือสามเณร ลำดับอ่อนสุด เสมอนักเรียนสงฆ์ เมื่ออายุบรรลุ 20 ปี จึงได้เลื่อนฐานะขึ้นเป็น “เจ้ากู” มีพิธีฉลองใหญ่โต หรือที่เรียกว่า “อุปสมบท”
2. เจ้ากู (Dsiakus) หรือพระภิกษุสงฆ์สามัญ แกมป์เฟอร์อธิบายว่า เจ้ากูจะอยู่รวมกันเป็นหมู่คณะ อาศัยในบ้านคล้ายคอนแวนต์ (สำนัก/ชุมชนนักบวช) เป็นหลัง ๆ ใกล้ ๆ กับตัวโบสถ์ วิหาร พระในแต่ละคอนแวนต์ จะมี “หลวงวัด” เป็นผู้ปกครอง
3. หลวงวัด (Luangwad) หรือสมภาร (Sompan) เป็นผู้ปกครองวัด (เจ้าอาวาส) โดยวัดทั้งหมดในจังหวัด หรือเมืองจะขึ้นกับ “พระครู”
4. พระครู (Prahkhru) หรือพระราชาคณะ แกมป์เฟอร์ให้ทัศนะว่าพระครูมีศักดิ์คล้าย “บิชอป” หรือมุขนายกของฝั่งตะวันตก ซึ่งพระครูและคณะสงฆ์ทั่วราชอาณาจักรจะอยู่ใต้บังคับบัญชาของ “พระสังฆราช” อีกที
5. พระสังฆราช (Prah Sankaraj) อยู่ในราชธานีอยุธยา ที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดินสยาม แกมป์เฟอร์ระบุว่าพระสังฆราชนับว่าทรงสังฆานุภาพสูงสุดในราชอาณาจักร เพราะแม้แต่พระเจ้าแผ่นดินก็ต้องถวายคารวะสักการ ภาพประกอบเนื้อหา – ภาพพิมพ์ พระสงฆ์ ถือตาลปัตร ปลายศตวรรษที่ 17 ภาพจากหอสมุดแห่งชาติ กรุงปารีส แกมป์เฟอร์เล่าด้วยว่า พระสงฆ์สยามนั้นมิได้เป็นชนชาติใดชนชาติหนึ่งโดยเฉพาะ เพราะใครที่มีจิตศรัทธาก็สามารถบวชเป็นพระภิกษุได้ รวมถึงผู้ที่มีครอบครัวแล้ว ก็สามารถละทิ้งชีวิตคฤหัสถ์ (ผู้ครองเรือน) มาบวชอยู่วัดได้เช่นกัน
นอกจากนี้ พระสงฆ์ยังมีสถานะพิเศษในสังคมไทย คือเป็นส่วนหนึ่งของศาสนจักร ตราบใดที่ยังเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ อาณาจักร (รัฐบาล) จะยื่นมือเข้าไปลงโทษทัณฑ์ในสถานใดก็ตามไม่ได้ เว้นแต่จะทำผิดทางโลก จึงจะถูกจับสึกเสียก่อน แล้วค่อยโดนลงอาญา
แต่แม้จะไม่เป็นที่เลื่อมใสนับถืออย่างแต่ก่อนแล้ว การลงทัณฑ์พระที่ถูกจับสึกก็ยังถือว่าเบากว่าฆราวาสอยู่ดี
จะเห็นว่าลำดับชั้นและสถานภาพพระสงฆ์สมัยอยุธยาไม่ได้ต่างจากสมัยปัจจุบันมากนัก เพียงสมณศักดิ์พระสงฆ์ไทยสมัยใหม่จะมี “ชั้น” และ “อันดับ” ละเอียดยิบย่อยมากขึ้น
อ่านเพิ่มเติม :-
• “พระสงฆ์” ไทย กับคิ้วที่หายไป พระสงฆ์ (ไทย) เริ่มโกนคิ้วตั้งแต่เมื่อไหร่? • แผนที่กรุงศรีอยุธยาของหมอแกมป์เฟอร์ เผยจุดปลงศพแม่นมโกษาปาน! • แกมป์เฟอร์ เล่าสภาพเกาะเมืองอยุธยา คล้าย “ฝ่าเท้า” ถนน-บ้านขุนนางล้วน “สกปรก”ขอขอบคุณ :- ผู้เขียน : ธนกฤต ก้องเวหา เผยแพร่ : วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ.2568 เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 18 ธันวาคม 2567 website : https://www.silpa-mag.com/history/article_145026อ้างอิง : อัมพร สายสุวรรณ กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์, กรมศิลปากร. (2545). ไทยในจดหมายเหตุแกมป์เฟอร์. (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพฯ : อาทิตย์ คอมมูนิเคชั่น.
|
|
|
|
|
34
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สมาร์ทโฟน 1 เครื่องมีทองคำอยู่เท่าไหร่.? เปิดโลหะล้ำค่าที่ถูกซ่อนไว้ ไม่ใช่แค่ทอ
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2025, 09:00:44 am
|
. สมาร์ทโฟน 1 เครื่องมีทองคำอยู่เท่าไหร่.? เปิดโลหะล้ำค่าที่ถูกซ่อนไว้ ไม่ใช่แค่ทอง.!!สมาร์ทโฟน 1 เครื่องมี "ทองคำ" ซ่อนอยู่เท่าไหร่.? เปิดมูลค่าจริงของขุมทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ที่เรามองข้าม เผยโลหะล้ำค่าที่รอการรีไซเคิล มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าภายในสมาร์ทโฟนที่พวกเขาใช้มีทองคำอยู่จำนวนหนึ่ง
สมาร์ทโฟนที่เราใช้งานอยู่ทุกวันนั้น มีทองคำและโลหะมีค่าอื่น ๆ ซ่อนอยู่จริง แม้จะมีปริมาณเพียงเล็กน้อย แต่โลหะเหล่านี้ถือเป็นวัสดุสำคัญที่ช่วยให้อุปกรณ์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยาวนาน เนื่องจากทองคำมีคุณสมบัตินำไฟฟ้าได้ดีเยี่ยมและไม่เป็นสนิม บทความนี้จะเปิดเผยปริมาณโลหะล้ำค่าในสมาร์ทโฟนหนึ่งเครื่อง รวมถึงเหตุผลที่การรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์มีความสำคัญอย่างยิ่ง
@@@@@@@
ปริมาณและมูลค่าของทองคำในสมาร์ทโฟน
โดยเฉลี่ยแล้ว สมาร์ทโฟนหนึ่งเครื่องจะมี ทองคำ อยู่ราว 0.03 กรัม หรือประมาณ 20–35 มิลลิกรัม ทองคำส่วนใหญ่มักถูกเคลือบไว้บนขั้วต่อวงจร ชิป และหน้าสัมผัส เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการนำไฟฟ้าและป้องกันการกัดกร่อนในระยะยาว
หากคำนวณจากราคาทองคำปัจจุบัน (ประมาณ 4,000 บาทต่อกรัม) จะพบว่าทองคำในสมาร์ทโฟนหนึ่งเครื่องมีมูลค่าประมาณ 120 บาท เท่านั้น ซึ่งเป็นมูลค่าที่น้อยมากเมื่อเทียบกับราคาเครื่องทั้งหมด แต่มีบทบาททางเทคนิคที่สำคัญอย่างยิ่ง โลหะมีค่าอื่น ๆ ที่สำคัญและถูกนำกลับมาใช้ใหม่ได้
นอกเหนือจาก ทองคำ สมาร์ทโฟนยังมีโลหะมีค่าและธาตุสำคัญอื่น ๆ ที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ การรวบรวมอุปกรณ์เก่าจำนวนมากจึงกลายเป็น "เหมืองขนาดจิ๋ว" ที่คุ้มค่าต่อการสกัดโลหะกลับมาใช้ใหม่ 1. เงิน (Silver) : พบประมาณ 0.25 กรัม ใช้ในแผงวงจรและหน้าสัมผัสไฟฟ้า ซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้ทองคำ 2. แพลเลเดียม (Palladium) : พบประมาณ 0.015 กรัม ใช้ในตัวต้านทานและตัวเก็บประจุ 3. ทองแดง (Copper) : พบในปริมาณมากที่สุด คือประมาณ 15–25 กรัม ใช้ในสายไฟและการเชื่อมต่อวงจรภายใน 4. ธาตุหายาก (Rare Earth Elements - REEs) : เป็นกลุ่มโลหะยุทธศาสตร์ เช่น นีโอดิเมียม และ ยูโรเพียม ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างแม่เหล็กกำลังสูงในลำโพง และสารเรืองแสงในหน้าจอแสดงผล
@@@@@@@
ความคุ้มค่าของการรีไซเคิลสมาร์ทโฟน
แม้ทองคำในสมาร์ทโฟนแต่ละเครื่องจะน้อย แต่เมื่อพิจารณาในภาพรวมการรีไซเคิลจะให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า หากต้องการทองคำบริสุทธิ์ 1 กรัม จะต้องใช้สมาร์ทโฟนเก่าประมาณ 33–34 เครื่อง มาผ่านกระบวนการสกัด
การรีไซเคิล สมาร์ทโฟน เก่าจึงไม่เพียงช่วยให้เราได้โลหะมีค่ากลับคืนมา แต่ยังเป็นแนวทางสำคัญในการลดปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างยั่งยืนThank to : https://www.sanook.com/hitech/1618971/01 พ.ย. 68 (12:26 น.) | papayatop_1 : สนับสนุนเนื้อหา
|
|
|
|
|
35
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปิดขุมทรัพย์โลก ภาพ 5 ห้องนิรภัยทองคำ "ใหญ่ที่สุด" เฉลยอันดับ 1 อยู่ประเทศไหน.
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2025, 08:50:10 am
|
. เปิดขุมทรัพย์โลก.! ภาพ 5 ห้องนิรภัยทองคำ "ใหญ่ที่สุด" เฉลยอันดับ 1 อยู่ประเทศไหน.?ห้องนิรภัยทองคำ 5 แห่งที่ "ใหญ่ที่สุดในโลก" เปิดภาพภายในตะลึง อร่ามจนแสบตาไปหมด! มั่นคง-ปลอดภัยระดับไหน.?
ทองคำถือเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและเป็นสินทรัพย์ทางยุทธศาสตร์ของหลายประเทศทั่วโลก คลังทองคำเหล่านี้จึงไม่ใช่เพียงสถานที่จัดเก็บ แต่เป็นศูนย์กลางที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในบทความนี้ เราได้รวบรวม 5 คลังทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลกมาให้คุณได้ทราบ
@@@@@@@
1. ธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขานิวยอร์ก (Federal Reserve Bank of New York)
คลังทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลกตั้งอยู่ที่อาคารเลขที่ 33 Liberty Street ใจกลางย่านการเงินของแมนฮัตตันตอนล่าง นครนิวยอร์ก อาคารแห่งนี้มี 14 ชั้นเหนือพื้นดินและ 5 ชั้นใต้ดิน โดยชั้นที่ลึกที่สุดอยู่ใต้ดิน 24 เมตร ใช้เป็นที่เก็บทองคำ
ณ ปี 2024 คลังแห่งนี้จัดเก็บทองคำสำรองไว้ประมาณ 6,331 ตัน คิดเป็น 507,000 แท่ง ธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขานิวยอร์ก ทำหน้าที่ดูแลและจัดการทองคำแทนเจ้าของบัญชี ซึ่งได้แก่ รัฐบาลสหรัฐฯ รัฐบาลต่างประเทศ ธนาคารกลาง และองค์กรระหว่างประเทศอย่างเป็นทางการ
ระบบรักษาความปลอดภัยของคลังทองคำนั้นเข้มงวดที่สุด ประตูเหล็กกล้าหนัก 90 ตันเป็นทางเข้าออกเดียว และจะเปิดได้ก็ต่อเมื่ออยู่ภายใต้การดูแลของบุคคลอย่างน้อย 3 คนเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีระบบเซนเซอร์ตรวจจับเสียงและการเคลื่อนไหว กล้องวงจรปิด และกำแพงหินที่แข็งแกร่ง ป้องกันการเจาะหรือการโจมตีด้วยระเบิด 2. ธนาคารกลางอังกฤษ (Bank of England - BoE)
คลังทองคำของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ตั้งอยู่ลึกใต้ดินในย่าน Threadneedle Street ใจกลางกรุงลอนดอน ถือเป็นคลังทองคำที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก คลังแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1930 ประกอบด้วยห้องนิรภัยที่แข็งแรงถึง 9 ห้อง
ปัจจุบันมีการจัดเก็บทองคำมากกว่า 400,000 แท่ง มีน้ำหนักรวมประมาณ 5,000 ตัน พื้นที่ของคลังทองคำแห่งนี้กว้างกว่า 27,870 ตารางเมตร หรือเทียบเท่าสนามฟุตบอลเกือบ 10 สนาม
การป้องกันภัยประกอบด้วยกำแพงที่แข็งแกร่งมากจนสามารถต้านทานระเบิดได้ ทางเข้าเดียวจะเปิดได้เมื่อใช้กุญแจยาว 30 เซนติเมตรถึง 3 ดอก ควบคู่ไปกับการสแกนเสียง และการรักษาความปลอดภัยหลายชั้น 3. ฟอร์ต น็อกซ์ (Fort Knox)
ฟอร์ต น็อกซ์ ตั้งอยู่ในรัฐเคนทักกี สหรัฐอเมริกา ถือเป็นหนึ่งในคลังสำรองทองคำที่ปลอดภัยที่สุดในโลก ที่นี่เก็บทองคำไว้ประมาณ 147.3 ล้านออนซ์ ซึ่งเทียบเท่ากับ 4,581 ตัน คิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของปริมาณทองคำสำรองทั้งหมดของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ
โครงสร้างของฟอร์ต น็อกซ์ แทบไม่สามารถทำลายได้ เนื่องจากสร้างขึ้นจากการรวมกันของหินแกรนิต เหล็ก และคอนกรีตเสริมเหล็ก ผนังภายนอกเป็นหินแกรนิตที่แข็งแรง ส่วนโครงสร้างภายในทำจากเหล็กและคอนกรีตเสริมเหล็ก
ส่วนที่โดดเด่นที่สุดของฟอร์ต น็อกซ์ คือประตูนิรภัยขนาดใหญ่ยักษ์หนักถึง 22 ตัน ซึ่งสร้างจากเหล็กกล้าและคอนกรีต เป็นระบบป้องกันที่แน่นหนามาก 4. บุนเดสแบงก์ (Bundesbank)
ประเทศเยอรมนีมีทองคำสำรองมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก ด้วยปริมาณ 3,351 ตัน เดิมทีทองคำส่วนใหญ่ของเยอรมนีถูกเก็บไว้ที่นิวยอร์ก ลอนดอน และปารีส อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา Bundesbank ได้เริ่มทยอยนำทองคำกลับประเทศ
จนกระทั่งปี 2017 ทองคำมากกว่าครึ่งหนึ่งได้ถูกเก็บไว้ในห้องนิรภัยที่แฟรงก์เฟิร์ต ทำให้ทองคำสำรองของประเทศอยู่ภายใต้การดูแลของธนาคารกลางเยอรมนีโดยตรง 5. ธนาคารกลางฝรั่งเศส (Banque de France)
คลังทองคำของธนาคารกลางฝรั่งเศสตั้งอยู่ใต้สำนักงานใหญ่ในกรุงปารีส สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1924 และอยู่ลึกจากพื้นดินถึง 27 เมตร ภายในมีการจัดเก็บทองคำ 194,944 แท่ง ซึ่งมีมูลค่ารวมประมาณ 197 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ความปลอดภัยของที่นี่สูงมาก โดยมีบุคคลที่ได้รับอนุญาตให้เข้าถึงพื้นที่ได้ไม่ถึง 10 คนเท่านั้น คลังแห่งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญที่จัดเก็บความมั่นคงทางการเงินของฝรั่งเศสไว้ สรุปความสำคัญของคลังทองคำ
คลังทองคำเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งและเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาติ การรักษาความปลอดภัยในระดับสูงสุดจึงเป็นสิ่งจำเป็น เนื่องจากทองคำสำรองมีบทบาทสำคัญในระบบการเงินโลกขอขอบคุณ :- ข้อมูล : soha S! News : สนับสนุนเนื้อหา https://www.sanook.com/news/9854058/01 พ.ย. 68 (07:27 น.)
|
|
|
|
|
36
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ไทยจะปลดล็อกปัญหาผู้สูงวัยสู่ "เศรษฐกิจอายุยืน" (Longevity Economy) ได้อย่างไร
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 01, 2025, 10:22:11 am
|
. ไทยจะปลดล็อกปัญหาผู้สูงวัยสู่ "เศรษฐกิจอายุยืน" (Longevity Economy) ได้อย่างไร เมื่อพูดถึง "สังคมสูงวัย" (Aged Society) ภาพที่มักปรากฏในหัวคือ "ค่าใช้จ่าย" และ "ความเชื่องช้า" แต่ในเวทีโลก กระแสลมกำลังเปลี่ยนทิศ ผู้คนไม่ได้มองว่าการมีอายุยืนคือวิกฤต แต่มองเป็น "เศรษฐกิจอายุยืน" (Longevity Economy)
นี่คือเทรนด์เศรษฐกิจมหาศาลที่ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วย "คนแก่ที่เจ็บป่วย" แต่ขับเคลื่อนด้วย "คนที่อยากอายุยืนอย่างมีคุณภาพ" (Health Span) ที่ได้สร้างตลาดใหม่ที่มีมูลค่ามหาศาล ตั้งแต่การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Wellness) ไปจนถึงอาหารโภชนาการขั้นสูง ทว่า... สำหรับประเทศไทยโอกาสทองนี้ กลับถูกพันธนาการไว้ด้วย "วิกฤตเชิงโครงสร้าง" ที่น่าปวดหัว
@@@@@@@
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ได้ฉายภาพใหญ่ในมุมเศรษฐศาสตร์ที่เฉียบคมว่า ประเทศไทยกำลังติดกับดักอะไรอยู่
พาราด็อกซ์" ของบัตรทอง ยิ่งสำเร็จ ยิ่งเสี่ยง โดยดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ชี้ว่า ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ของไทยนั้นทำหน้าที่ได้ "ดีเยี่ยม" ในการลดภาระค่าใช้จ่ายสุขภาพส่วนตัวของประชาชนจาก 34% เหลือเพียง 9% แต่ความสำเร็จนี้เอง กลับกำลังสร้างปัญหาใหญ่ถึง 2 ประการ
- ประการที่หนึ่ง คือ ค่าใช้จ่ายโตแซงเศรษฐกิจ สวัสดิการสุขภาพโตเฉลี่ยปีละ 4.53% ขณะที่ GDP โตไม่ถึง 2% กับ - ประการที่สอง เรื่องโครงสร้างประชากรที่พังทลาย โดยเรามีอายุยืนขึ้นจริง แต่สวนทางกับอัตราการเกิดใหม่ที่ลดลงจนน่าใจหาย ปัญหาโครงสร้างประชากรที่บิดเบี้ยวนี้ กำลังนำไปสู่ความท้าทายที่แท้จริง นั่นคือ "ผลิตภาพ (Productivity)"
@@@@@@@
ดร.ศุภวุฒิ ฉายภาพอนาคตอันใกล้ว่า “ในอีก 15 ปีข้างหน้า คนวัยทำงานเพียง 1.8 คน จะต้องแบกรับภาระดูแลผู้สูงอายุ 1 คน” “ไม่มีประเทศใดในโลกนี้ที่ประชาชนอยู่ในภาวะสูงอายุแล้วจะรักษาผลิตภาพให้โตได้ 2-3% นี่คือโจทย์ที่ยากที่สุดของไทย" ดร.ศุภวุฒิ ย้ำ
เมื่อสถานการณ์บีบคั้นขนาดนี้ "มันไม่ใช่เรื่องของพร้อม มันคือเรื่องของว่าต้องทำ" ดร.ศุภวุฒิ กล่าว โดยมี 2 สิ่งที่ต้องเร่งลงมือทันที คือ การสร้างคนคุณภาพ ในเมื่อเด็กเกิดน้อย ก็ต้องอัดฉีดคุณภาพให้สูงสุด รวมถึงการสร้าง Wellness ที่ต้องทำให้คนอายุเยอะมีสุขภาพดี ไม่ใช่แค่ "อายุยืน" แต่ "ป่วยออดๆ แอดๆ"
โดยโจทย์การสร้าง Wellness นั้นไม่ง่าย เพราะ ดร.ศุภวุฒิ ชี้ให้เห็นความจริงที่น่ากังวลว่า "ประเทศไทยล้มเหลวในการควบคุม NCDs" (โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง) ซึ่งเป็นคอขวดที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยใน 100 คนที่เป็นโรคเบาหวาน รักษาและควบคุมโรคได้มีเพียง 11 คน และใน 100 คนที่เป็นโรคความดัน ควบคุมโรคได้มีเพียง 16 คน ทั้งหมดนี้คือ "คอขวด" ที่ท้าทายที่สุด และเป็นเหตุผลว่าทำไม "Wellness" จึงกลายเป็น Keyword สำคัญในการอยู่รอดทางเศรษฐกิจของประเทศ
แง่ยุทธศาสตร์อุตสาหกรรม ดร.ศุภวุฒิ เสนอทางออกที่ชัดเจนว่า "ประเทศไทยต้องเลิกพยายามแข่งขันในอุตสาหกรรมที่เราสู้จีนไม่ได้ (เช่น แร่หายาก) และหันมาทุ่มเทสร้าง 2 อุตสาหกรรมหลักที่เรามีศักยภาพสูงและเป็นที่ต้องการของโลกยุค Longevity เช่น การทำอาหารที่ดี (อาหารออร์แกนิก, อาหารคุณภาพสูง) และการดูแลสุขภาพ (Wellness)
@@@@@@@
สรุปว่า เมื่อนำอุตสาหกรรม อาหารคุณภาพสูง มารวมกับ ภาคการดูแลสุขภาพที่แข็งแกร่ง ทั้งหมดนี้คือ "เครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่" ที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยในยุค Longevity Economy ได้อย่างน่าสนใจ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กล่าวทิ้งท้ายThank to : https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/289218031 ต.ค. 2568 ,14:59 น. | ไลฟ์สไตล์ > ไลฟ์ | ไทยรัฐออนไลน์
|
|
|
|
|
37
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เจาะลึก 5 สุดยอดสมุนไพร "ชะลอวัย" สารสำคัญตัวไหน ทำงานยังไง
|
เมื่อ: พฤศจิกายน 01, 2025, 10:10:24 am
|
. เจาะลึก 5 สุดยอดสมุนไพร "ชะลอวัย" สารสำคัญตัวไหน ทำงานยังไงใครๆ ก็อยากดูอ่อนกว่าวัยไปนานๆ แต่ความเสื่อมของร่างกายก็เป็นเรื่องธรรมชาติที่เลี่ยงไม่ได้ ไทยรัฐออนไลน์มีวิธี "ชะลอ" มันได้ด้วยสุดยอดสมุนไพร
"เจาะลึก" กันถึงระดับโมเลกุลว่า 5 สุดยอดสมุนไพรชะลอวัยที่คนทั่วโลกยอมรับ มันมีสารสำคัญ (Active Compound) ตัวไหนซ่อนอยู่ และมันทำงานยังไงในร่างกายเรา เพื่อหยุดเวลาให้เดินช้าลง
@@@@@@@
5 สุดยอดสมุนไพร ช่วยชะลอวัย
1. ขมิ้นชัน ราชาแห่งการต้านอักเสบ
ความแก่ ไม่ได้วัดกันที่ริ้วรอย แต่วัดกันที่ "การอักเสบเรื้อรัง" (Chronic Inflammation) ในระดับเซลล์ ซึ่งเป็นต้นตอของสารพัดโรคและความเสื่อม โดยมีสารสำคัญอย่าง เคอร์คูมิน (Curcumin) ที่เป็นสุดยอดสารต้านการอักเสบและอนุมูลอิสระที่ทรงพลังมาก มันจะเข้าไป "ดับไฟ" ที่กำลังลุกลามในเซลล์ ช่วยยับยั้งเอนไซม์และโปรตีนที่ก่อให้เกิดการอักเสบ (เช่น NF-kB) ผลลัพธ์ คือ เมื่อเซลล์อักเสบน้อยลง การเสื่อมสภาพก็ช้าลง ผิวพรรณจึงยังคงดูสดใส และร่างกายโดยรวมแข็งแรงขึ้น
2. ใบบัวบก สมุนไพรเพื่อผิวและสมอง
ใบบัวบก คือ สมุนไพรที่ไม่ได้มีดีแค่น้ำใบบัวบกแก้ช้ำใน แต่คืออาหารผิวและสมองชั้นเลิศ ด้วยสารไตรเทอร์พีนอยด์ (Triterpenoids) โดยเฉพาะ เอเชียติโคไซด์ และ มาเดคาสโซไซด์ สารกลุ่มนี้จะเข้าไปกระตุ้นการสร้าง คอลลาเจน และ อิลาสติน โดยตรง ซึ่งเป็นโครงสร้างสำคัญที่ทำให้ผิวเราเด้ง เต่งตึง และยืดหยุ่น ส่วนเรื่องสมอง ช่วยปกป้องเซลล์ประสาท เพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมอง ช่วยเรื่องความจำ และลดความเครียด ซึ่งความเครียดคือตัวการทำลายคอลลาเจนชั้นดี
3. โสม พลังแห่งการปรับสมดุล
หนึ่งในราชาแห่งสมุนไพรที่ขึ้นชื่อ ช่วยคืนความอ่อนเยาว์จากภายในสู่ภายนอก ด้วยจินเซนโนไซด์ (Ginsenosides) ที่ช่วย "รีบูท" ระบบต่างๆ ในร่างกาย เพิ่มพลังงานให้เซลล์ และปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ ส่งผลให้ร่างกายผ่อนคลาย ไม่เครียด เซลล์ไม่ล้า ก็เหมือนได้คืนความหนุ่มสาวกลับมา
4. ชาเขียว ผู้พิทักษ์เซลล์จากอนุมูลอิสระ
เครื่องดื่มที่คนรักสุขภาพทั่วโลกขาดไม่ได้ในปัจจุบัน ที่มีเหตุผลที่ลึกซึ้งกว่าแค่การดื่มเพื่อสดชื่น ด้วย EGCG (Epigallocatechin gallate) เป็นสารในกลุ่มคาเทชิน ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลังที่สุด เปรียบเหมือน "เกราะกันสนิม" ให้กับเซลล์ ทำหน้าที่ไล่จับและทำลายอนุมูลอิสระ (Free Radicals) ที่เกิดจากมลภาวะ แสงแดด อาหารขยะ ซึ่งเป็นตัวการหลักที่ทำให้ DNA ของเราเสียหายและเซลล์แก่ก่อนวัย แถมยังช่วยบูสต์ระบบเผาผลาญให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. อัญชัน พลังสีน้ำเงินต้านชรา
สมุนไพรสีสวยที่เราคุ้นเคยนี่แหละ คือขุมทรัพย์ต้านความเสื่อมชั้นดีด้วยสาร "สีน้ำเงินม่วง" ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่โดดเด่นเรื่องการปกป้องผิวจากการทำลายของแสงแดดและมลภาวะ อย่าง แอนโทไซยานิน นอกจากนี้ยังช่วยเสริมความแข็งแรงของหลอดเลือดฝอย ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ได้ดีขึ้น เมื่อเลือดไหลเวียนดี ออกซิเจนและสารอาหารก็ถูกส่งไปเลี้ยงผิวหนังและดวงตาได้เต็มที่ ผิวพรรณจึงเปล่งปลั่งสดใส และยังช่วยบำรุงสายตาที่ต้องสู้แสงสีฟ้าตลอดเวลาอีกด้วย
@@@@@@@
การชะลอวัยไม่ใช่การหยุดเวลา แต่คือการดูแลร่างกายให้เสื่อมช้าที่สุด การเลือกใช้สมุนไพรเหล่านี้ก็เหมือนการ "เติมอาวุธ" ให้ร่างกายไปสู้กับความแก่ในระดับเซลล์ เพราะเราไม่ได้แค่กินตามๆ กัน แต่เรารู้ว่าสารสำคัญตัวไหนที่กำลังทำงานเพื่อเรา
แน่นอนว่าสมุนไพรเป็นแค่ตัวช่วย อย่าลืมพื้นฐานที่สำคัญที่สุดคือ ทานอาหารดี นอนหลับเพียงพอ ออกกำลังกาย และจัดการความเครียดกันเพิ่มเติมด้วย
Thank to : https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/289259931 ต.ค. 2568 ,17:41 น. | ไลฟ์สไตล์ > ไลฟ์ | ไทยรัฐออนไลน์
|
|
|
|
|
39
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทำอย่างไร.? จึงจะดู "พระสมเด็จฯ" เป็น
|
เมื่อ: ตุลาคม 30, 2025, 09:15:32 am
|
. ทำอย่างไร.? จึงจะดู "พระสมเด็จฯ" เป็นการดูพระสมเด็จฯให้เป็นนั้น เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความพยายามสูงในการทำความเข้าใจเพื่อแยกแยะพระสมเด็จฯแท้ที่สร้างโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ออกจากพระสมเด็จฯกลุ่มอื่น ตรียัมปวาย ได้พูดถึงแนวทางพิจารณาพระสมเด็จฯทางทรรศนียะ ไว้ในหนังสือปริอรรถาธิบายแห่งพระเครื่องฯ เล่มที่ 1 เน้นที่การพิจารณาพระสมเด็จฯพิมพ์ทรงมาตรฐาน 9 พิมพ์ทรงของวัดระฆังฯและวัดบางขุนพรหม เป็นหลัก โดยตัดเอาพระแบบพิมพ์พิเศษและเนื้อพิเศษออกไป
ตรียัมปวายได้จำแนกแนวทางการพิจารณาออกเป็น 3 ส่วนหลักๆคือ 1. พิมพ์ทรง 2. มวลสาร 3. ลักษณะของปลอม โดย “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตสรุปความนำเสนอเพื่อประโยชน์ทางการศึกษาดังต่อไปนี้
@@@@@@@
การพิจารณาพิมพ์ทรง
ตรียัมปวายบอกว่าการพิจารณาพิมพ์ทรงนั้น เป็นงานขั้นง่ายและแรกที่สุดสำหรับการศึกษาพิจารณา ผู้ศึกษาจำเป็นจะต้องทำความเข้าใจและจดจำลักษณะต่างๆ ทางพิมพ์ทรงให้ได้แม่นยำก่อนเป็นปฐม เพื่อประโยชน์ในการคัดของปลอม และพระเครื่องฯสกุลสมเด็จฯของพระเกจิอาจารย์อื่นๆออกไปเสียก่อนในชั้นแรก เพื่อลดภาระการพิจารณาทางมวลสาร ซึ่งเป็นขั้นตอนถัดไปให้ได้มากที่สุด
ตรียัมปวายได้อธิบายเรื่องการพิจารณาพิมพ์ทรง โดยแบ่งเป็น 2 ขั้นตอน ขั้นตอนแรกเป็นการอธิบายเชิงทฤษฎี เรียกว่า “สกายทฤษฎี” และ ขั้นตอนที่สองเป็นการอธิบายเชิงปฏิบัติ เรียกว่า “ทรรศนภาพลักษณะทางพิมพ์ทรง”
“สกายทฤษฎี” นั้นเป็นหลักการพิจารณาทางพิมพ์ทรง 6 ประการ ประกอบด้วย พุทธลักษณะพระสมเด็จฯโดยทั่วไป (เช่นพุทธศิลป์ประณีต พุทธศิลป์พื้นเมือง พุทธศิลป์สังเขป) มูลกรณีของพิมพ์ทรง (มีจำนวน 9 พิมพ์ทรง คือ พิมพ์ทรงพระประธาน พิมพ์ทรงเจดีย์ พิมพ์ทรงฐานแซม พิมพ์ทรงเกตุบัวตูม พิมพ์ทรงปรกโพธิ์ พิมพ์ทรงเศียรบาตรอกครุฑ พิมพ์ทรงสังฆาฏิ พิมพ์ทรงเส้นด้าย พิมพ์ทรงฐานคู่
โดยที่ 3 พิมพ์ทรงหลัง มีเฉพาะของวัดบางขุนพรหม) อิทธิพลของพิมพ์ทรง (พิมพ์ทรงที่ต่างกันมีผลที่ต่างกันต่อแรงบันดาลใจ มูลค่าการเช่าบูชา และการปลอมแปลง) มูลสูตรสัญลักษณ์และการจำแนกพิมพ์ทรง (มูลสูตรสัญลักษณ์ เช่น มูลสูตรพุทธลักษณะ (ลักษณะของพระเกตุ พระศิระและวงพระพักตร์ พระกรรณ ฯลฯ) มูลสูตรพระอาสนะ มูลสูตรซุ้มประภามณฑล มูลสูตรภาคพื้นผนังคูหา มูลสูตรทรงกรอบ มูลสูตรพื้นที่ชายกรอบ มูลสูตรสัณฐานมิติ,
การจำแนกแบบพิมพ์ เช่น แบบพิมพ์เขื่อง แบบพิมพ์โปร่ง แบบพิมพ์ชะลูด แบบพิมพ์ป้อม แบบพิมพ์สันทัด แบบพิมพ์ย่อม แบบพิมพ์เลือน แบบพิมพ์เขื่องเส้นด้าย เป็นต้น)
สัญลักษณ์ของขอบข้าง (แนวดิ่งทางขอบ รอยเส้นตอกตัด แอ่งเล็กๆและรูพรุนปลายเข็ม) สัญลักษณ์ด้านหลัง (เช่น ริ้วรอยธรรมชาติ 8 ประการ คือ รูพรุนปลายเข็ม รอยปูไต่ รอยหนอนด้น รอยย่นตะไคร่น้ำหรือฟองเต้าหู้ รอยกาบหมาก รอยสังขยา รอยลายนิ้วมือ รอยริ้วระแหง)
“ทรรศนภาพลักษณะทางพิมพ์ทรง” เป็นการอธิบายเชิงปฏิบัติ โดยฝึกจากการดูรูปพระสมเด็จฯ ทั้งรูปจากองค์จริง (หรืออาจจะดูจากองค์จริงเลย)และรูปทรงภาพขีดเขียน (รูปแบบร่าง) ตรียัมปวายบอกว่า เส้นรอบวงของแต่ละพิมพ์ทรงจะเป็นคนละลักษณะ นอกจากพิมพ์ทรงฐานแซมกับพิมพ์ทรงฐานคู่ ที่จะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน การพิจารณาทางมวลสาร
ตรียัมปวาย ได้อธิบายถึงเรื่องการพิจารณาเนื้อหามวลสาร โดยบอกว่าเป็นการพิจารณาในขั้นที่สองต่อจากการพิจารณาทางพิมพ์ทรงและเป็นขั้นสุดท้ายทางทรรศนียะ เป็นแนวทางไปสู่การตัดสินใจขั้นเด็ดขาด ตรียัมปวายบอกด้วยว่า ในทางปฏิบัตินั้น มักจะพิจารณาทั้ง 2 ประการไปพร้อมๆกัน เพียงแต่ตอนแรกวางน้ำหนักไปทางพิมพ์ทรง แล้วจึงวินิจฉัยทางเนื้อโดยละเอียด และผลต้องสอดคล้องกัน คือต้องไม่ปรากฏลักษณะของแท้และของปลอมอยู่ในพระองค์เดียวกัน
ในการพิจารณาเรื่องนี้ ตรียัมปวายได้ใช้หลักเกณฑ์ทฤษฎีต่างๆ 5 ประการดังนี้คือ 1. สารทฤษฎี ว่าด้วย ลักษณะของเนื้อ 2. ฉัพยทฤษฎี ว่าด้วย ลักษณะของผิว 3. มิญชทฤษฎี ว่าด้วย ลักษณะของคราบกรุ 4. รงคทฤษฎี ว่าด้วย ลักษณะของวรรณะ 5. ทรรศนภาพลักษณะทางมวลสาร เป็นการพิจารณาภาพขยาย ตามที่ปรากฏในทฤษฎีข้างต้น
@@@@@@@
การพิจารณาของปลอม
ในส่วนของการพิจารณาของปลอมนั้น ตรียัมปวายบอกว่าลักษณะของปลอมที่สามารถตัดออกไปจากการพิจารณาพระสมเด็จฯแท้ได้ทันทีนั้น มีลักษณะดังเช่นต่อไปนี้ แบบที่มีปริมาตรเขื่อง แบบรูปเจ้าพระคุณสมเด็จ แบบตราแผ่นดิน แบบที่มีอักษรจารึก แบบที่มีอักขระเลขยันต์ แบบที่มีวรรณะประหลาด ตรียัมปวายยังพูดถึง งานฝีมือ ที่เป็นของปลอม ที่เรียกกันว่า “ฝีมืออานนท์” เริ่มทำขึ้นมาประมาณ 40 ปีก่อนหน้านั้น ซึ่งปลอมโดยการถอดพิมพ์มีลักษณะใกล้เคียงของแท้มากทั้งพิมพ์ทรงและเนื้อหามวลสาร สมควรที่จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเมื่อพบพระลักษณะดังกล่าว
“ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตแสดงความเห็นว่า การทำความเข้าใจเรื่องพิมพ์ทรงนี้ ในความเป็นจริงแล้วเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย มีความยากไม่น้อยกว่าการทำความเข้าใจเรื่องเนื้อพระสมเด็จฯ การทำความเข้าใจเรื่องพิมพ์ทรงขั้นพื้นฐานรวมถึงการจำตำหนิแม่พิมพ์นั้นไม่ยาก แต่เมื่อถึงขั้นที่ต้องแยกพระสมเด็จฯพิมพ์ทรงนิยมที่มีมูลค่าเช่าหาสูง ออกมานั้นเป็นเรื่องค่อนข้างยากและต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ
(พระที่ทำเลียนแบบจำนวนมากนั้นสามารถทำได้ใกล้เคียงจนกระทั่งเรียกว่ามีครบทุกอย่างตามลักษณะพิมพ์ทรงขั้นพื้นฐานรวมถึงตำหนิแม่พิมพ์ก็ว่าได้ หรือแม้กระทั่งพิมพ์ทรงนิยมก็สามารถทำได้ใกล้เคียงมากเช่นกัน แต่ถ้ามีความเข้าใจเรื่องพิมพ์ทรงอย่างแท้จริงแล้วจะสามารถแยกพระที่ไม่ใช่พิมพ์ทรงนิยมออกไปได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่จำเป็นที่จะต้องเสียเวลานำไปพิจารณาด้านเนื้อหามวลสารอย่างละเอียด)
การที่พิมพ์ทรงนิยมเข้าใจได้ยากนั้น เป็นที่มาของคำถามที่ว่า “พระสมเด็จฯแท้ในพิมพ์ทรงเดียวกันนั้น แต่ละองค์ดูไม่เหมือนกันเลย ดูรู้ได้ยังไงว่าเป็นพระแท้” นิรนาม แห่งนิตยสารพรีเชียส ของผู้ช่วยศาสตราจารย์รังสรรค์ ต่อสุวรรณ เคยกล่าวไว้ว่า
“...การดูพระแท้นั้น ไม่ใช่หยิบพระขึ้นมาแล้วส่องเลย อันนี้ถือว่าผิดแนวทางอย่างยิ่ง การหยิบพระขึ้นมาในมือเรา ให้สังเกตลักษณะแม่พิมพ์และส่วนประกอบต่างๆของแม่พิมพ์พระก่อนว่าถูกต้องหรือไม่ ...ท่านไม่ได้ดูหน้าดูตา ดูลักษณะ หยิบพระขึ้นมาก็ส่องกล้องเลย แล้วท่านจะจำพระได้อย่างไร”
อาจารย์ประจำ อู่อรุณ ผู้เชี่ยวชาญพระสมเด็จฯอีกท่านหนึ่ง ได้กล่าวถึงหลักการพิจารณาพระสมเด็จฯ ที่สำคัญมากเช่นกันด้วยว่า
“การดูพระสมเด็จฯ ให้ดูเป็นศิลป์ พระแต่ละองค์ ทำออกมาจะไม่เหมือนกัน เหมือนดูลายเซ็น ที่เป็นลักษณะของศิลป์เช่นเดียวกัน เมื่อเซ็นชื่อแต่ละครั้งจะไม่เหมือนกัน แต่จะคล้ายกัน โดยเราสามารถบอกได้ว่าเป็นลายเซ็นของใคร”
ซึ่งล้วนสอดคล้องกับทฤษฎี “การพิสูจน์ลายเซ็นพระสมเด็จฯ” ตามแนวทางพิจารณาพระสมเด็จฯตามแนวทางพิสูจน์หลักฐานที่ “ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” เคยนำเสนอมาบ้างแล้วนั่นเอง
@@@@@@@
บทส่งท้าย
“ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ” ขออนุญาตส่งท้ายด้วยบทความของอาจารย์ประชุม กาญจนวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญพระสมเด็จฯ กัลยาณมิตรในทางการศึกษาพระสมเด็จฯของท่านอาจารย์ประกิต หลิมสกุล หรือพลายชุมพล แห่งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ที่ได้พูดถึงเรื่องหลักการดูพระสมเด็จฯที่มาจากประสบการณ์ตรงของท่าน ในหนังสือ “สามสมเด็จ” ตีพิมพ์เมื่อปี พ.ศ. 2523 หัวข้อเรื่อง “ทำอย่างไรจึงจะดูพระสมเด็จเป็น” ไว้อย่างลึกซึ้งน่าสนใจดังต่อไปนี้
“ผู้ที่จะซึ้งถึงแก่นแท้ของพระสมเด็จได้นั้น อย่างน้อยก็ควรผ่านชีวิตการเป็น “นักเลงพระ” มาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย พูดง่าย ๆ ก็คือ ท่านควรจะรู้ถึงความเก่าใหม่ของพระเครื่องแต่ละเนื้อมาบ้างพอสมควร หรือได้สนใจกับพระประเภทเนื้อผงขาว อย่างเช่น พระวัดเงินคลองเตย, พระวัดสามปลื้ม, หรือ พระวัดพลับมาก่อนบ้างแล้ว ... 7 หัวข้อดังต่อไปนี้ ก็คงจะช่วยเปิดทางนำท่านสู่อาณาจักรของขลังขององค์สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ได้อย่างปลอดภัย โดยให้ถือเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความสำเร็จด้วยความเพียรพยายามไว้ดังต่อไปนี้
1. จงเริ่มต้นศึกษา “ความเก่าใหม่” ของพระเนื้อผงขาวไว้ให้แม่นก่อน เป็นปฐมของการเรียนพระสมเด็จฯ
2. จงจำ “พิมพ์” และ “ขนาด” ของพระสมเด็จ (พิมพ์นิยม) องค์ที่เชื่อถือได้ของแต่ละวัดไว้ให้ติดตา หรือดูภาพที่เป็นของแท้ ดูซ้ำ ๆ บ่อย ๆ จนสามารถเรียกชื่อแต่ละพิมพ์ได้ถูกต้อง
3. “เนื้อ” และ “ผิว” รวมทั้งเคล็ดลับของพระสมเด็จแต่ละวัดจะต่างกันมาก โปรดพิจารณาช้า ๆ แยกแยะพิมพ์และแบบให้ถูกต้อง
4. น้ำหนัก, ขนาด, การตัดขอบ, และความหนา เป็นองค์ประกอบที่สามารถบ่งบอกให้รู้ถึงของแท้และปลอมได้ ซึ่งก็จะต้องเรียนรู้เป็นขั้นตอนต่อไปอย่างละเอียด
5. “หนึ่งภาพดี มีค่ากว่า พันคำพูด” ภาษิตจีนบทนี้ดีที่สุดสำหรับการเป็นนักเลงพระหรือผู้สนใจในพระสมเด็จยิ่ง
6. จงเลิกสะสมพระสมเด็จฯพิมพ์ประหลาด ๆ ที่ขาดเหตุผล และอย่าเห็นแก่ “ของถูก” ซึ่งมีแต่ทางเสียทั้งเงินและเวลา ในที่สุดก็จะไม่ได้อะไรเลย
7. ไม่มีท่านผู้ชำนาญการระดับ “อาจารย์” ท่านใดเลย ที่สำเร็จวิชานี้มาได้ โดยไม่ลงทุนเช่าพระเลย! แม้พระพุทธองค์ยังให้ข้อคิดว่า ถ้าหวังผลก็ต้องหว่านพืชลงไป จึงจะประสบความสำเร็จ
ทั้ง 7 หัวข้อดังได้กล่าวไปแล้วนี้ ล้วนแต่ “หลักการใหญ่” ซึ่งผมได้ปฏิบัติมาก่อนเกือบทั้งสิ้น”
@@@@@@@
ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่เพจ พระสมเด็จศาสตร์ โดย พ.ต.ต. คมสัน สนองพงษ์ และขอขอบคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รังสรรค์ ต่อสุวรรณ ที่กรุณาเอื้อเฟื้อรูป พระสมเด็จวัดระฆังฯ องค์ครูอีกองค์หนึ่ง เพื่อให้ความรู้ และขอขอบคุณท่านเจ้าของพระท่านปัจจุบัน พระองค์นี้เป็นพระสมเด็จวัดระฆังฯ พิมพ์ใหญ่ ที่มีความงดงามมาก มีคราบรักเก่าปรากฏทั้งบริเวณด้านหน้าและด้านหลังองค์พระ แทบไม่ปรากฏการแตกลายงาเนื่องจากเป็นเนื้อหนึกนุ่ม (พระที่แตกลายงาเมื่อลงรักมักเป็นพระเนื้อหนึกแกร่ง) มีวรรณะขาว
มีองค์ประกอบพระสมเด็จแท้ ทั้ง 3 อย่างปรากฏให้เห็น คือเม็ดพระธาตุ รอยหนอนด้น และรอยรูพรุนเข็ม (เนื้อค่อนข้างละเอียดแน่นตัวทำให้ปรากฏน้อย) พิมพ์ทรงถูกต้องตามตำรา ตัดขอบชิดด้านซ้ายมือองค์พระ เห็นเส้นกรอบแม่พิมพ์เล็กน้อย
ด้านหลังเป็นแบบหลังเรียบ มีรอยยุบย่นแยก รอยริ้วระแหงให้เห็น มีขอบปริกระเทาะ (รอยปูไต่) ให้เห็นบ้างเล็กน้อย แสดงให้เห็นถึงธรรมชาติความเก่า ซึ่งมักพบในพระสมเด็จวัดระฆังฯ เป็นองค์ต้นแบบที่ดีเพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระสมเด็จวัดระฆังฯ ติดตามอ่านบทความอื่นเพิ่มเติมได้ที่คอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ
ผู้เขียน พ.ต.ต.คมสัน สนองพงษ์ อดีตตำรวจพิสูจน์หลักฐาน เพจเฟซบุ๊ก – พระสมเด็จศาสตร์
อ่านคอลัมน์ ศาสตร์แห่งพระสมเด็จ เพิ่มเติมThank to : https://www.thairath.co.th/lifestyle/amulet/289204729 ต.ค. 2568 11:23 น. | ไลฟ์สไตล์ > พระเครื่อง | ไทยรัฐออนไลน์
|
|
|
|
|