ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - Yotsatorn Pomthong
หน้า: [1]
1  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / Re: กลุ่ม ประสานงานเพื่อการเตือนภัย Kaokala เมื่อ: กันยายน 04, 2012, 04:39:56 pm
ไม่ทราบเหมือนกันครับ เฟิ่งเป็นรุ่นใหม่ครับ :c017:
2  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / Re: กลุ่ม ประสานงานเพื่อการเตือนภัย Kaokala เมื่อ: กันยายน 04, 2012, 06:12:12 am
ครับยังมีข้อมูลที่น่าสนใจอยู่มากมาย ครับ ;)
3  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / กลุ่ม ประสานงานเพื่อการเตือนภัย Kaokala เมื่อ: กันยายน 03, 2012, 08:59:22 pm

กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย (เขากะลา)


  เป็นกลุ่มประสานงานระหว่าง คน กับ มนุษย์ต่างดาว มานานกว่า 10 ปีแล้ว และ ระบบยังดำเนินไปอย่างต่อเนือง โดยใช้ชื่อว่า กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย (เขากะลา)
มนุษย์ได้ประสานงานกับต่างดาวและจักวาลเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ในยามเกิดภัยพิบัติต่างๆมาโดยตลอด


http://kaokalaufocontact.blogspot.com
ข้อความที่ถ่ายทอดมายังโลกมนุษย์

และมาพร้อมกับสอน ธรรมะ ให้กับมนุษย์ เพราะมนุษย์ต่างดาวมีจิตที่สูงกว่ามนุษย์มาก

 http://ufokaokala.com/index.php?topic=6279.0
ธรรมะเพื่อการละวางอัตตาตัวตน

 จุดเริ่มต้น....การติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว....ที่เขากะลา

กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)   ที่กำลังดำเนินภารกิจอยู่ในขณะนี้  มีการรวมกลุ่มกันทำกิจกรรมเพื่อการประสานงานกับกลุ่มต่าง ๆ กับบุคคลต่าง ๆ อยู่ในขณะนี้นั้น 

อาจมีหลายท่านได้รับทราบถึงที่มาที่ไปบ้างแล้ว  แต่เชื่อแน่ว่าบุคคลจำนวนมากที่เพิ่งเข้ามาพบ  เข้ามาสัมผัส เข้ามาศึกษา  อาจจะยังไม่ทราบว่า  เหตุใดจึงมีการรวมกลุ่มกันทำกิจกรรมเหล่านี้ขึ้นมา  จุดประสงค์เพื่ออะไร?  แล้วใครเป็นผู้ริเริ่ม?  เริ่มต้นจากจุดไหน?  มนุษย์ต่างดาวมาจากดวงดาวใด?  น่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน?  และการติดต่อสื่อสารกันเป็นระยะเวลาเท่าใด ?  นับจากวันติดต่อสื่อสาร  จนถึงวันนี้

กับเรื่องราวที่เล่าขานมายาวนานนับ 10 ปี  กับคำถามที่หลายท่านอยากได้คำตอบ   
ณ เว็บไซด์แห่งนี้    จะนำข้อมูลมากมายมาให้ท่านได้รับทราบ  ได้ศึกษา  ได้พิจารณา  และได้รับรู้ว่า  โครงการที่ยาวนานนับพันปีที่มนุษย์ต่างดาววางไว้  เพื่อช่วยเหลือมนุษย์โลกจากภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นนั้น   มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด ?


เว็บไซด์แห่งนี้  จะเป็นจุดศูนย์รวมของความเจริญทางจิต  และเทคโนโลยี  ควบคู่กันไป   

จะเป็นแหล่งรวบรวมเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวที่มาติดต่อสื่อสารกับมนุษย์โลก     ทั้งมนุษย์ต่างดาวที่มาจากจักรวาลนี้  และมาจากต่างจักรวาล     
รวมถึงเรื่องราวของดวงดาวต่าง ๆ นั้น    เขาอยู่กันอย่างไร    มีความเจริญมากน้อยแค่ไหน  แล้วเหตุใดจึงต้องเดินทางมาเพื่อช่วยเหลือโลกใบนี้ 

รวมถึงภาพ ufo   จำนวนมากมาย   ที่บันทึกไว้ได้ในประเทศไทย  ทั้งจากที่เขากะลา  และจากสถานที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ  ที่เพื่อน ๆ สมาชิกได้บันทึกภาพไว้ได้

เว็บไซด์  www.ufokaokala.com   แห่งนี้จะเป็นแหล่งรวมประสบการณ์ของบุคคลต่าง ๆ    ที่มีการพบเห็นจานบิน   พบเจอมนุษย์ต่างดาว    และมาเล่าประสบการณ์ไว้ให้ได้รับทราบ  ณ  เว็บไซด์แห่งนี้

จากนี้ไป   จะทยอยนำข้อมูล  ตั้งแต่เริ่มต้นการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว จนถึงปัจจุบันนี้  มาให้รับทราบ

ซึ่งเป็นการเรียกเพื่อเข้าใจได้ง่ายว่า   จากรุ่น 1  ถึงรุ่น 2  และกำลังจะเข้าสู่รุ่นที่ 3  อยู่ในขณะนี้   

ซึ่งโดยความจริงแล้ว  ไม่ได้มีการแบ่งเป็นรุ่นนั้น  รุ่นนี้แต่อย่างใด  ทุกคนร่วมรุ่นเดียวกัน  มาพร้อมกัน  อาจจะโดยฝึกเดี่ยวเฉพาะบุคคลแล้วเพิ่งถึงเวลามาร่วมกันนั่นเอง 

ดังนั้น  จึงไม่มีการแบ่งแยก  ว่าเป็นกลุ่มนั้น  กลุ่มนี้แต่อย่างใด   เพราะทุกคนมาตามงาน  มาตามเวลา  มาตามหน้าที่   ที่ขันอาสากันลงมาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์โลก
ทุกกลุ่ม  ทุกรุ่น  ทุกบุคคล   ที่ขันอาสาลงมาในโครงการช่วยเหลือภัยพิบัติในครั้งนี้  ก็คืองานเดียวกัน  ไม่ว่าท่านอยู่ในกลุ่มใด ๆ ก็ตาม

เว็บไซด์แห่งนี้  อาจมีข้อมูลหลากหลาย    ที่เกิดขึ้นจริงกับบุคคลต่าง ๆ  ที่ได้เข้ามาสัมผัส  เข้ามารับรู้  และมีประสบการณ์ด้วยตนเอง   แต่เกินกว่าที่บุคคลทั่วไปจะเชื่อได้ 

ดังนั้น   จึงมิได้เป็นการโน้มน้าวให้ท่านเชื่อในข้อมูลเหล่านี้   แต่หากท่านที่จะเข้ามาศึกษาข้อมูลทั้งหลายเหล่านี้  ต้องใช้การพิจารณา  ไตร่ตรองของท่านเอง ว่าจะเชื่อได้หรือไม่ ?

ทางกลุ่มประสานงานฯ  ได้เพียงนำเสนอข้อมูล   และนำหลักฐานของการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว  รวมถึงพยานวัตถุ  พยานบุคคล  และประสบการณ์จากผู้ที่เคยได้พบเจอ  ได้สัมผัส  หรือได้เข้ามาศึกษาแล้วพบเห็นได้ด้วยตนเองเท่านั้น

จึงได้นำข้อมูลทั้งหลายเหล่านี้    ขอบันทึกไว้ในฐานะ  แจ้งเพื่อทราบ    เท่านั้น 

นอกนั้น  ท่านต้องพิจารณาไตร่ตรองด้วยตัวท่านเอง


ผมเป็นคนในกลุ่มประสานงาน รุ่น 5 ครับ  ได้มาเจอเว็บนี้จึงมาแจ้ง
เพราะเป็นกลุ่มที่ปฏิบัติธรรมเหมือนกัน


http://ufokaokala.com/index.php?topic=5607.msg45752;topicseen#msg45752
สำหรับผู้เริ่มต้นเข้าศึกษา
4  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: การบรรลุธรรม จำเป็นต้อง เสียสละ ทรัพย์ อวัยวะ ชีวิต ใช่หรือไม่ ? เมื่อ: กันยายน 01, 2012, 03:32:29 pm
การบรรลุธรรม ไม่จำเป็นต้องลงทุนขนาดนั้นหลอกครับ

เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับปัญญาในการไตร่ตรองของแต่ละภูมิธรรมนั้นๆ ซึ่งก็ไม่พ้นจากบัว 4 เหล่าไปได้

การมองทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้


หากมองด้วยอวิชชา คือความไม่รู้จริง จะเห็นว่าทุกสรรพสิ่ง ทุกสรรพวิชชา จะมีความสำคัญทั้งหมด น่าอยากได้ใคร่ดี น่าเอา น่าเป็นไปเสียทั้งหมด ทุกศาสตร์ ทุกสิ่ง ทุกอิทธิปาฏิหาริย์มีความน่าสนใจ น่าค้นคว้า น่าจะหาเอามาเพื่อประดับอัตตาทั้งสิ้น เท่าไรก็ไม่พอ

   หากมองด้วยวิชชา ด้วยปัญญาไตร่ตรองตามคำสอนของพระพุทธองค์แล้ว จึงจะมองเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของทุกสรรพสิ่ง มันเป็นของมันอย่างนั้นเองมานานแล้ว มันมีทุกอย่างอยู่ในกลไกของธรรมชาติ ฤทธิ์เดชอิทธิปาฏิหาริย์ มันมีมาเนิ่นนานควบคู่กับจักรวาลทั้งปวง มิใช่ของใหม่ใดๆ ผู้ที่มีความเข้าใจ ปฏิบัติถึงกลไกของธรรมชาติ ก็ย่อมเกิดฤทธิ์เดช เกิดอิทธิปาฏิหาริย์ขึ้นได้เสมอ ตั้งแต่ครั้งโบราณมาแล้ว ฤๅษี พราหมณ์ นักพรต เก่งกว่า ปาฏิหาริย์กว่า อิทธิฤทธิ์มากกว่าเราๆผู้มาทีหลังทั้งสิ้น

แต่ก็ยังต้องเวียนเกิด เวียนตาย อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
   ทุกอย่างมีได้ เป็นได้ แต่ยังต้องเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารอีกเนิ่นนานเหลือเกิน



 แต่ผู้รู้ ผู้เห็นด้วยปัญญา ท่านจะไม่สรรเสริญ ถึงมี ถึงได้ ท่านก็ไม่ยินดี ท่านมุ่งหวังที่จะออกจากวัฏสงสาร เข้าสู่ความเป็นผู้ไม่ต้องมาเวียนว่ายในสังสารวัฏอีกเท่านั้น ทุกสิ่งมีได้ และเคยมี เคยได้กันมาแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าฤทธิ์เดชใดๆ มีมากันแล้วทั้งนั้นในภพชาติอเนกอนันต์ที่ผ่านๆมา เรื่องอื่นๆเป็นเรื่องเก่า เรื่องเดิมๆ เรื่องที่เคยมี เคยเป็นมาก่อนทั้งสิ้น จึงยังต้องมาเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่อย่างนี้

   แต่การหลุดพ้น การบรรลุธรรม เป็นเรื่องใหม่ ยังไม่เคยทำได้มาก่อน การเบาบาง การละวางจากอุปาทานขันธ์ห้า ยังไม่เคยจางคลายได้จริง นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องใหม่ ที่ควรจะใส่ใจศึกษาให้รู้แจ้งเห็นจริง แล้วควรทำให้ได้ในชาติปัจจุบันนี้...



   จะได้ไม่ต้องเกิดมา เพื่อศึกษาขันธ์ห้ากันอีก


   หากยังมีอุปาทาน ยังมีความเห็นที่ไม่ถูกต้อง หลงยึดมั่นถือมั่นว่า มีตัวเรา เป็นตัวเรา เป็นของๆเราอยู่ ต่อให้เร่งเดินเท่าไร เพียรมากมายแค่ไหน ก็เหมือนกับยิ่งเดินห่างไกลออกไปจากแก่นแท้ของธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมีผู้มาแนะนำ เมื่อมีผู้มาชักชวน เมื่อมีผู้ชี้ทางให้เดิน ผู้ที่มีปัญญา ก็ควรต้องพิจารณาไตร่ตรองอย่างยิ่งยวด ต้องนำไปเทียบเคียงกับธรรมะของพระพุทธองค์ให้แน่ใจก่อนว่า ทางที่มาบอก ทางที่มาชี้ ทางที่มาแนะนำให้เดินไปนี้ เป็นไปเพื่อการละวาง เป็นไปเพื่อการจางคลายจากการยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ห้าหรือไม่ เป็นไปเพื่อการปล่อยวาง เป็นไปเพื่อเห็นความว่างจากการยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวตนของตนหรือไม่

   ถ้าการใด ทำไปแล้ว ปฏิบัติไปแล้ว ไม่มีความเบาสบาย ไม่จางคลายจากทุกข์ได้จริง ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งยึดมากขึ้น ยิ่งสะสมมากขึ้น ยิ่งแบกหนักขึ้น ก็อย่าเดินไปไกล เพราะยิ่งเดินไปไกลก็จะยิ่งหนัก ต้องรีบหยุดไว้ก่อน แล้วหันมาพิจารณาไตร่ตรองในธรรมะที่เป็นแก่นแท้อีกครั้ง ว่าสอนไว้อย่างไร ซึ่งจุดมุ่งหมายคือ เป็นไปเพื่อการปล่อยวาง การละอุปาทานขันธ์ห้า การละอัตตาตัวตน ทั้งสิ้น ไม่ได้ให้ไปหา ให้ไปยึด ให้ไปเพิ่มอัตตา ให้ไปสะสมอุปาทานให้มากขึ้น

   ของเก่า ที่ยังมีอยู่ในขันธ์ห้า ที่ติดตามมาตลอดนั้น ความยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานที่ติดตามมาหลายภพหลายชาตินั้น ยังเอาออกไม่หมดเลย ยังต้องเพียรเพื่อจะละ เพื่อจะวางจากการยึดมั่นถือมั่นให้ได้ ยังต้องเพียรเพื่อละอยู่ทุกวัน

   แล้วจะไปเอาอุปาทานของใหม่เข้ามาอีก เอามาเพิ่ม เอามาแบก เอามายึดถือไว้อีก แล้วเมื่อไรจะเบาสบายกันเสียที


โดยธรรมชาติแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมไม่ได้เป็นตัวใครของใคร เป็นธรรมชาติล้วนๆที่มาประชุมรวมกัน แล้วเกิดการอุปาทานในขันธ์ห้าว่าเป็นตัวเราของเรา

ดังนั้น ผู้ที่ปฏิบัติเพื่อการละวางอัตตาตัวตน ย่อมต้องทำความเข้าใจในข้อความนี้ให้ถูกต้อง ให้เห็นจริง และเพียรเพื่อที่จะปฏิบัติให้เห็นกลไกการปรุงแต่งของขันธ์ห้า ที่มันปรุงแต่งเองตามเหตุปัจจัยที่มากระทบ แล้วไม่ให้อุปาทานไปเกาะ รับว่าเป็นตัวเราของเรา

   ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย พึงระลึกอยู่เสมอว่า ร่างกายนี้ ความคิด ความรู้สึก อารมณ์เหล่านี้ ที่เกิดขึ้นภายในขันธ์ห้านี้ เป็นการปรุงแต่งของธรรมชาติ ไม่ได้มีตัวใครของใคร จึงไม่สามารถบังคับบัญชาให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ตามต้องการ



แม้ภิกษุผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านยังต้องออกธุดงค์ ปลีกวิเวก เพื่อที่จะไปพิจารณาขันธ์ห้าตามความเป็นจริง ให้เห็นการปรุงแต่ง ให้เห็นการเกิดดับของขันธ์ห้า ให้เห็นจริงว่าขันธ์ห้าทั้งหลายไม่ได้เป็นตัวตน ไม่ได้เป็นตัวใคร ความคิดทั้งหลายก็สักแต่ว่าคิด อารมณ์ทั้งหลายก็สักแต่ว่าอารมณ์ ความคิด ความรู้สึก ก็เพียรเพื่อเห็นการเกิดดับ เห็นความเป็นเช่นนั้นเองของทุกสรรพสิ่งที่รวมกันขึ้นมา จนเห็นเหมือนว่ามีตัวคน ตัวสัตว์ ตัวเรา ตัวเขา นั่นเอง

นี่คือการปฏิบัติที่เป็นแก่น ของพระธรรมคำสั่งสอน

   ดังนั้น เราก็ต้องเพียรเพื่อที่จะพิจารณาเนืองๆว่า ความคิดนี้ สักแต่ว่าคิด จะคิดอะไร จะฟุ้งซ่านมากน้อยแค่ไหน ก็อย่าตามความคิดไป ให้มีสติเห็นความคิดเหล่านั้น ว่ามันไม่ได้เป็นตัวตนของตน สักแต่ว่าคิดไปตามเหตุปัจจัยที่มากระทบ อย่าไปให้ความสำคัญมากนัก เพราะไม่อย่างนั้น จะพาแต่คิดไปหาเหตุแห่งทุกข์อยู่เรื่อย

   การเห็นนี้สักแต่ว่าเห็น เพราะอายตนะมันทำหน้าที่รับภาพ รับเสียง รับสิ่งต่างๆเข้ามาเพื่อให้ขันธ์ห้า ขันธ์อื่นๆรับช่วงต่อ ทำหน้าที่ปรุงแต่งต่อไป ทางธรรมะจึงบอกว่า เห็นสักแต่ว่าเห็น

อย่าได้นำมันมาปรุงแต่ง เพราะมันไม่ได้มีความสำคัญพอที่จะทำให้เราต้องไปสุขทุกข์กับมัน

   ความจำนี้สักแต่ว่าจำได้ ก็มันเคยบันทึกไว้ มันก็ส่งออกมาแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา มันไม่ใช่ว่าเราจำเก่ง เราจำแม่น เราดีกว่าเขา เพราะจำได้ดีกว่าเขา พออายุมาก ก็ลืมเลือนพอกัน เพราะมันไม่ใช่ของใคร มันก็เสื่อมถอยไปตามกลไกธรรมชาติ

   หรือแม้ว่าร่างกาย การเปลี่ยนแปลงก็แปรปรวนไปเรื่อย เซลล์เปลี่ยนแปลง แปรปรวน ถ้าจะไปยึดเกาะสิ่งหนึ่งสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมเป็นทุกข์ได้ตลอดเวลา


ดังนั้น การเปลี่ยนแปลง การไหลไปของกระแสธรรมชาติ มันไหลไปตลอดเวลา ไม่ได้เป็นของใครแม้แต่น้อยนิด เพียงแต่ถ้าใครอุปาทานว่าสิ่งนี้ ความคิดนี้ ความจำนี้ อารมณ์นี้เป็นของเรา เขาก็ต้องรับสิ่งที่ขันธ์ห้ามันปรุงหลากหลายอารมณ์เหล่านั้น ว่าเป็นของเขาไปด้วย เท่ากับไปปั้นอุปาทาน ไปปั้นสิ่งที่เป็นความว่างให้มีตัวตนขึ้นมา

   แล้วมันก็เป็นกลไกธรรมชาติ เมื่อมีตัวตน มีตัวเราผู้กระทำ ก็ย่อมมีการบันทึกผลของกรรมนั้นๆไว้ให้ตัวตนของผู้กระทำ จึงต้องมีการรับผลของการกระทำนั้นๆที่บันทึกไว้ เพื่อชดใช้ทั้งกรรมดี กรรมชั่ว

   จึงยังต้องเวียนเกิดเวียนตาย ใช้บุญใช้กรรมกันต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

นั่นคือ เมื่อมีตัวตนผู้กระทำ จึงมีตัวตนของผู้รับกรรม

ก็มีการบันทึกวิบากต่างๆเก็บไว้ให้ตัวตนของผู้กระทำนั่นเอง

ต้องชดใช้กันไปไม่มีที่สิ้นสุด ต้องเวียนเกิดเวียนตายเพื่อมาชดใช้วิบากเหล่านั้น



ต้องมาเกิดเป็นเศรษฐี เป็นผู้ใจบุญ เพราะสร้างวิบากดีไว้เยอะ แม้จะไม่อยากเกิด อยากไปนิพพาน แต่มีตัวผู้ทำบุญก็ต้องมารับบุญ ไปนิพพานยังไม่ได้ เพราะยังมีตัวตนผู้ทำบุญอยู่
   
กฎแห่งกรรม ก็ต้องเก็บบุญไว้ให้ตัวผู้ทำกรรมดีนั้น มารับไป



ต้องเกิดมาเป็นยาจก มาเป็นผู้ร้าย เพราะสร้างวิบากไม่ดีไว้เยอะ ต้องมาชดใช้เวียนไปไม่มีที่สิ้นสุด เพราะยังมีตัวตนผู้รับวิบากไม่ดีอยู่
   
ถ้ายังไม่เห็นว่า ทุกอย่างล้วนเป็นของธรรมชาติ ไม่ได้มีตัวตน ไม่ได้มีตัวใคร ของใคร ที่ควรจะต้องไปเกาะ ไปยึด ไปบังคับบัญชา แล้วถอยออกมาดูการปรุงแต่งของแต่ละขันธ์ด้วยความเข้าใจ

จะทำสิ่งใดก็มีสติรู้เห็นการกระทำนั้นๆว่าเป็นการสมควรเพียงใด เหมาะสมเพียงใด แล้วทำไปตามเหตุปัจจัยที่ควรกระทำ แล้วไม่ไปยึดเอาธรรมชาติขณะที่กระทำนั้น ว่าเป็นเราผู้กระทำ เราผู้ช่วยเหลือ เราผู้ให้ เราผู้ไม่ให้ เราผู้ทำอย่างนี้ อย่างนั้น
   
ไม่รับทั้งบุญ และบาป ไม่มีทั้งเขาและเรา ไม่ได้มีใครให้ใคร มีแต่การช่วยเหลือกันไปของธรรมชาติกับธรรมชาติเท่านั้น มันจึงไม่ได้มีใครทุกข์ มีใครสุข เพราะอยู่เหนือขันธ์ห้า อยู่เหนืออารมณ์ปรุงแต่งสุขทุกข์ทั้งหลาย

  มองเห็นว่ามันเป็นสักแต่ว่าสุข ทุกข์ในอารมณ์ ในความรู้สึกเท่านั้น
   ถ้ายังเกาะเกี่ยว มีตัวผู้ทำ ผู้ให้ ผู้รับ ผู้ทำดี ผู้ทำชั่วอยู่ล่ะก็
   ยังต้องเวียนอยู่ในวัฏสงสาร ออกไม่ได้แน่นอน



เหมือนเช่นพระอรหันต์ พระองคุลิมาล ถ้าท่านยังไม่บรรลุธรรม ที่ได้รับฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้วนั้น ท่านต้องชดใช้กรรมอีกเท่าไร กว่าที่ท่านจะใช้ได้หมดในการฆ่าคนจำนวนมหาศาลเหล่านั้น
   
แต่เพราะท่านได้มารู้ความจริงที่เป็นกฎของธรรมชาติ เป็นสิ่งที่คนทั่วไปรู้ได้ยาก ท่านเห็นว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ได้เป็นตัวตน ไม่ได้เป็นตัวใครของใคร เป็นเพียงธรรมชาติ แต่ด้วยความไม่รู้จึงทำสิ่งที่ผิดจากหลักธรรมชาติ ไปยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตน จึงต้องมีตัวเรา ทำร้ายตัวเรา จึงต้องรับกรรม วิบากกรรมมาเป็นของเรา
   

แต่เมื่อรู้เห็น รู้ความจริง ท่านจึงออกจากตัวตน ออกจากอุปาทานขันธ์ห้า ท่านจึงอยู่เหนือสุข เหนือทุกข์ เหนือกรรม วิบากกรรม คือบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ไม่ต้องเกิดมาเพื่อใช้กรรมอีก

   
แต่ขันธ์ห้า ที่เคยยึด เคยคิดว่าเป็นตัวตน มันก็ยังต้องรับกรรมของมัน กรรมของขันธ์ห้า ถูกขว้างปาทุบตี ถูกทำร้ายด้วยความอาฆาตจากชาวบ้าน พระองคุลิมาลท่านก็ไม่ทุกข์ ก็ขันธ์ห้าชดใช้ไป ก็ทุบตีไป ขันธ์ห้าก็ใช้กรรมไป เมื่อสิ้นขันธ์ห้า ก็แยกย้ายจากกันไป ไม่ต้องกลับมารวมกันเป็นขันธ์ห้า เพื่อเกิดใหม่อีกนั่นเอง
   
จะเห็นได้ว่า จุดแก่นจริงๆก็คือ ให้เห็นความเป็นจริงของขันธ์ห้า ให้เห็นความเป็นเช่นนั้นเองของธรรมชาติ ว่ามันไม่ได้เป็นตัวตน ไม่ได้มีตัวใคร เป็นเพียงอุปาทานขันธ์ห้าเท่านั้น ที่มันยึดเหนี่ยวเอาไว้
   
ดังนั้น การหลุดพ้น จึงหลุดพ้นจากอุปาทานขันธ์ห้า ที่มันปรุงแต่งแล้วหลอกล่อให้ยึดมั่นถือมั่นเท่านั้น ถ้าเห็นตามจริง และมีสติอยู่ในปัจจุบันขณะ ก็จะเห็นว่ามันไม่ได้เป็นตัวตนของตนจริงๆ
   
แต่ถึงพูด ถึงบอกยังไง มันก็ไม่เห็น เพราะมันเข้าใจไม่ได้ ยังไปไม่ถึง ยังวนอยู่ในขันธ์ห้ากันอยู่ เกาะติดอยู่ในขันธ์ห้า ไม่เคยคิดที่จะแยกออกมาดูมันทำงานกันเองเลยสักครั้ง ไม่เคยที่จะฉุกใจสักนิดว่ามันไม่ได้มีใคร ไม่ได้มีตัวตนของตนใดๆอยู่ในขันธ์ห้าเลย
   
การจะอยู่เหนือขันธ์ห้า มันจึงเป็นเรื่องที่เกินวิสัยจะคิดได้ แล้วจะไปโทษใคร ไปโทษอะไร เพราะเราไม่เข้าใจเอง เราจึงยังสุข ยังทุกข์กันอยู่นั่นเอง


ถึงเวลาหรือยัง ที่จะมีความเห็นให้ถูกต้อง ให้เข้าถึงแก่นของธรรมชาติ เข้าถึงแก่นของธรรม เพื่อออกจากสังสารวัฏอันยาวนานกันเสียที...

 ดังนั้นการบรรลุธรรม จำเป็นต้อง เสียสละ ทรัพย์ อวัยวะ ชีวิต อะไรทั้งสิ้น เพียงแค้ใช้จิต ใช้ปัญญาไตร่ตรอง

มองให้เห็นความเป็นเช่นนั้นเองของธรรมะชาติ ครับ
................จบ  :25:




5  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ถ้าเรามีทุกข์ เกิดขึ้น ควรจัดการกับทุกข์ อย่างไร จึงจะถูกวิธีของชาวพุทธครับ เมื่อ: สิงหาคม 31, 2012, 07:12:00 pm
เริ่มจาก การปล่อยวาง ก่อนนะคับ

  ธรรมะ ในขั้นปล่อยวาง ก็ คือการเห็นการเกิดขึ้นของอารมณ์ตามธรรมชาติ เห็นการปรุงแต่งไปตามกลไกของธรรมชาติ และไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวบังคับบัญชาธรรมชาตินั้นๆ

อารมณ์ที่มันเกิดขึ้นตามกลไกของธรรมชาตินั้น มันก็เกิดซ้ำๆเช่นนี้มานานแล้ว และขณะนี้ก็ยังคงเกิดอยู่ และก็จะยังเกิดขึ้นไปอีกในอนาคตต่อๆไป

เบื่อบ้างไหม? กับอารมณ์ที่รุ่มร้อน วิตกกังวล หดหู่ หม่นหมอง มึนซึม ที่มันเกิดขึ้นกับเราซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า มานานเหลือเกินแล้ว ทำให้จิตเราหวั่นไหวขึ้นลงไปกับอารมณ์เหล่านี้ไม่เคยหยุดนิ่ง ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ยิ่งอยากสงบ ก็ยิ่งฟุ้งซ่าน ยิ่งอยากเลิกกังวล ก็ยิ่งคิดยิ่งกังวลไม่เคยหยุด อารมณ์ก็ยิ่งร้อนรุ่มทุรนทุราย จะหาความสงบไม่ได้เลยในภาวะนั้นๆ

เพราะเราห้ามมันไม่ได้ เราสั่งมันไม่ได้ มันไม่อยู่ในบังคับบัญชาของใคร แต่เรารู้จักมันได้ เราเรียนรู้มันและเข้าใจมันตามที่มันเป็นนั่นแหละ ที่จะทำให้เราปล่อยวางมันได้ เพราะว่าเราอยู่ใกล้กับมันมานานเหลือเกิน และตอนนี้มันก็ยังอยู่กับเรา ถ้าคิดว่า ยังต้องอยู่กับมันไปอีกไม่รู้จะนานเท่าไรนั้น ถ้าต้องขึ้นลง วิ่งตามมันไปเรื่อยๆ แค่คิดก็เหนื่อยเหลือเกิน

เรามาลองปล่อยวางอารมณ์เหล่านั้นกันดูบ้าง ดังที่หลวงพ่อชา สุภัทโท (พระโพธิญาณเถร) ท่านได้อุปมาอุปไมยไว้ว่า



อารมณ์ทั้งหลายเหมือนกับงูเห่าที่มีพิษร้าย

ถ้าไม่มีอะไรขวาง มันก็เลื้อยไปตามธรรมชาติของมัน แม้พิษมันจะมีอยู่

มันก็ไม่แสดงออกมา ไม่ได้ทำอันตรายเรา เพราะเราไม่ได้เข้าไปใกล้มัน


เพราะอารมณ์ มันก็ต้องเกิดอย่างนั้นอยู่แล้ว ตามเหตุปัจจัย เราแค่ยืนดูอยู่ห่างๆ แม้มันจะยังเกิดขึ้นอยู่ แต่มันก็ทำอะไรเราไม่ได้ เหมือนแม่น้ำที่กำลังเชี่ยวกราก ถ้าเรายืนดูอยู่บนฝั่ง เราก็จะเห็นน้ำนั้นมันก็ไหลเชี่ยวไปเรื่อยๆ ปะทะกับสิ่งต่างๆ แล้วพัดพาสิ่งนั้นๆไปด้วย เมื่อเรายืนดูเราก็เห็น แต่ถ้าเผลอลงไปในน้ำนั้น แม้จะว่ายน้ำเป็นก็ยังคงต้องเปียกปอน เหน็ดเหนื่อยในการว่ายเข้าหาฝั่งอยู่ดี


 ถ้าเรายังไม่รู้เท่าทันธรรมชาติของอารมณ์ ก็จะเข้าไปพยายามที่จะดับมัน ไม่ให้มันร้อนรน เศร้าหมอง และถ้าพยายามแล้วมันไม่ดับ ก็จะมีตัวเราเป็นผู้ทุกข์ตามอารมณ์นั้นๆ แต่ถ้ารู้ และเข้าใจในอารมณ์นั้นๆ ว่ามันก็เกิดเช่นนั้นเอง ไม่เข้าไปห้าม ไม่เข้าไปขวาง ไม่เข้าไปดับมัน มันก็ทำอะไรเราไม่ได้ ตัวเราผู้ทุกข์ก็ไม่มี แม้มันกำลังแสดงอารมณ์หดหู่ เศร้าหมอง วิตกกังวล ก็ดูความหดหู่เศร้าหมองวิตกกังวลนั้นตามที่มันกำลังเกิดขึ้นอยู่


 แต่มิใช่ว่า เข้าใจแล้วอารมณ์หดหู่ เศร้าหมอง วิตกกังวล จะหายไปนะคะ มันไม่หายไปหรอกในขณะนั้น เพราะแม้เราเข้าใจกลไกการปรุงแต่งของมันแล้วก็ตาม แต่เพราะมันเกี่ยวเนื่องกันหลายส่วน แต่ละส่วนมันก็ทำงานตามกลไกของมัน เมื่อคิดกังวลแล้ว มันก็ต้องมีอารมณ์หดหู่เศร้าหมองวิตกกังวลตามสารเคมีนั้น แม้เราจะรู้จะเข้าใจ แต่ก็ยังมีละอองของภาวะอารมณ์ขณะนั้นมาครอบคลุมอยู่ดี จึงได้แต่มองเห็นภาวะอารมณ์ขณะนั้นๆ แต่ไม่ได้เป็นความทุกข์นั่นเอง


เหมือนเรารู้สึกร้อนๆหนาวๆคล้ายจะเป็นไข้ แต่ยังไม่ได้เป็น ก็กินยาแก้ไข้หวัด แล้วทำงานต่อ แต่ยานั้นมีผลทำให้เกิดอาการง่วงนอน เพราะฤทธิ์ของยามีอาการง่วงนอนร่วมอยู่ด้วย ดังนั้น แม้เราจะไม่อยากนอน อยากทำงาน แต่เมื่อกินยาเข้าไปแล้ว สารเคมีออกฤทธิ์แล้ว ก็ทำให้เราง่วงนอน อยากนอน และต้องหลับในที่สุด แม้จะอยากหรือไม่อยากก็ต้องหลับอยู่ดีเพราะสารเคมีทำงานตรงไปตรงมา

คนที่ต้องผ่าตัด เมื่อเขาให้ดมยาสลบ แม้จะฝืนอย่างไรก็ต้องสลบอยู่ดี ร่างกายไม่สามารถต้านทานต่อสารเคมีที่มาทำปฏิกิริยากับกลไกในร่างกายได้
   
ดังนั้น ถ้าเราศึกษาให้ดี ดูให้ดี เรานำวิทยาศาสตร์ที่วิเคราะห์วิจัยแล้ว มาประยุกต์ใช้เพื่อเรียนรู้ร่างกายของเรา ขันธ์ห้าของเรา อารมณ์ของเราที่เกิดขึ้นในแต่ละขณะ แต่ละนาทีแล้ว ก็จะเห็นกลไกที่ ทำไม? ธรรมะจึงบอกว่า ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ทุกอย่างไม่ใช่ตัวตน ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เมื่อคิดเสียใจ อารมณ์ก็หดหู่ เศร้าหมอง มันรองรับกันตรงไปตรงมาตามเหตุตามปัจจัยอย่างนี้ เป็นเรื่องธรรมดา


ถ้าเป็นแค่ผู้ดู ที่ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับภาวะอารมณ์ในขณะนั้น ความหดหู่เศร้าหมอง ความเบื่อหน่าย ความห่อเหี่ยวใจ ที่เราคิดว่าเป็นความทุกข์ หรือแม้แต่ความพออกพอใจ ที่เราคิดว่าเป็นความสุขนั้น เมื่อดูก็จะเห็นว่ามันเป็นเพียงภาวะอารมณ์ลักษณะหนึ่ง กำลังดำเนินกลไกอยู่ในขันธ์ 5 ขณะนี้เท่านั้น และเมื่อเห็นมันจริงๆ อารมณ์เหล่านี้ก็ทำอันตรายเราไม่ได้เช่นกัน แม้มันจะยังคงแสดงอาการหดหู่เศร้าหมองเช่นนั้นอยู่ก็ตาม อย่างที่หลวงพ่อชา สุภัทโท ท่านได้อุปมาอุปไมยไว้ว่า

งูเห่า ก็เป็นไปตามเรื่องของงูเห่า มันก็อยู่อย่างนั้น

ถ้าหากเป็นคนที่ฉลาดแล้ว ก็จะปล่อยหมด

สิ่งที่ดีก็ปล่อยมันไป สิ่งที่ชั่วก็ปล่อยมันไป

สิ่งที่ชอบใจก็ปล่อยมันไป

เหมือนอย่างเราปล่อยงูเห่าที่มีพิษร้ายนั้น

ปล่อยให้มันเลื้อยของมันไป

มันก็เลื้อยไปทั้งที่มีพิษอยู่ในตัวมันนั่นเอง


ธรรมะ ก็คือธรรมชาติ การมองเห็นความเป็นธรรมชาติของขันธ์ห้าเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในการที่จะปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า ก็เพราะเข้าใจในกลไกของมันนั่นเอง

ดังที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ ในกระบวนการขันธ์ห้านั้น ก็เป็นธรรมชาติเช่นเดียวกัน แต่มีมุมมองที่กว้างขึ้นอีกในรูปแบบวิทยาศาสตร์ผสมผสานกันไปด้วย จึงเป็นในรูปแบบของวิทยาศาสตร์ทางจิต ที่สามารถเข้าใจได้เป็นรูปธรรม คือมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์เข้ามาสนับสนุนกลไกของขันธ์ห้าที่ได้กล่าวไว้นั่นเอง

บางครั้ง การมองเห็นธรรมชาติตามความเป็นจริงนั้น ก็สามารถทำให้เราเข้าใจถึงกลไกของธรรมชาติ และไม่อยากที่จะไปบังคับบัญชาให้ธรรมชาติเป็นไปอย่างที่เราต้องการ

ธรรมชาติย่อมปรุงแต่งให้แต่ละบุคคล เป็นไปตามแต่ละเหตุปัจจัยนั้นๆที่เขาได้สะสมมา ไม่ได้มีใครจะอยากเป็นหรือไม่อยากเป็นเช่นนั้น




ดังนั้น การเกิดมาตามกรรม ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ เพราะเมื่อยังมีตัวตนของตนอยู่ สิ่งที่กระทำย่อมถูกเก็บไว้เพื่อประมวลผลต่อไป


เหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ เมื่อตั้งโปรแกรมบวกเลขไว้ แล้วเราก็ใส่ตัวเลขไปเรื่อยๆ +15 -28 +32 -16 +88 +90 -43 -2 17 +343 -51 +8... แล้วบันทึกต่อไปเรื่อยๆ เมื่อกดให้คำนวณยอดสุทธิของข้อมูลตัวเลขที่ประมวลผลออกมาได้เท่าไร จะเป็นบวก หรือติดลบ เครื่องคอมพิวเตอร์ก็รายงานออกมาถูกต้องตามนั้น เราก็เช่นกัน เมื่อยังมีความเป็นตัวเรา ของเราอยู่ การบันทึกกุศล หรืออกุศลเข้าไว้ เมื่อประมวลผลออกมาอย่างไร กลไกของธรรมชาติก็ย่อมจัดสรรให้ไปอยู่ในแบบฟอร์มขันธ์ห้านั้นๆ ตามการประมวลผลออกมานั่นเอง ครับ...  
หน้า: [1]