ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - sivaroj
หน้า: [1]
1  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พระบวชใหม่ มีข้อข้องใจสอบถาม เมื่อ: ตุลาคม 10, 2013, 01:56:56 pm
อาตมาบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ได้ไม่กี่วัน
ตั้งใจบวชทดแทนพระคุณบิดาและมารดาที่ชราภาพและเจ็บป่วย
ช่วงกลางคืนที่วัดมีปฎิบัติธรรม นั่งสมาธิ อาตมาก็ได้ฝึกนั่งพร้อมๆญาติโยม
พอเสร็จแล้วจะมีญาติโยมนำน้ำ มะพร้าว (ทั้งผลผ่าเฉพาะหัว) น้ำฟักทอง
(ต้มสุก) ถวายพระ อาตมาก็ฉันตามพระรูปอื่น ( พระพี่เลี้ยง)
    ข้อสงสัยอาตมาคือ
1 ผิดธรรมวินัยหรือไม่
2 หากผิดผิดมากหรือไม่ ปลงอาบัติ ช่วยได้หรือไม่
3 หากผิดครั้งต่อไปจะทำอย่างไรเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ฉันตามรูปอื่น
ช่วยตอบข้อสงสัยให้พระใหม่อย่างอาตมาด้วย
2  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: สอบถามการนั่งวิปัสนากรรมฐาน (เพิ่งหัดยังไม่มีครูบาอาจารย์) เมื่อ: สิงหาคม 24, 2013, 09:18:10 pm
กราบเรียนทุกท่าน

วันนี้เป็นวันที่ผมปลื้มที่สุดอีกหนึ่งวัน

เนื่องจาก อยู่ๆ วันนี้คุณพ่อ ผมก็คุยกับผมเรื่อง การนั่งสมาธิ ท่านพยายามอธิบายวิธีการนั่งสมาธิ และ พยายามบอกให้ผมไปหาครูอาจารย์ ผู้สอนวิปัสนากรรมฐาน

ท่านพยายามอธิบายให้ผมฟังเรื่องการนั่งสมาธิ ว่าให้ตั้งมั่นจิตอยู่กับตัวเอง นึกถึง ผมขนเล็บกระดูก (ตามความทรงจำของคุณพ่อ) หากจิตฟุ้งซ่านไปคิดเรื่องอื่น ให้เรียกจิตกับมาที่กาย คุณพ่อบอกว่าให้หากมีเวลาให้ทำบ่อยๆ

ได้เล่าเรื่องนี้ให้คุณแม่ฟัง ท่านก็แปลกใจที่อยู่ๆ คุณพ่อชวนคุยเรื่องธรรมะ เพราะท่านไม่เคยพูดกับใครเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว

ขอเล่าถึงคุณพ่อเล็กน้อย
คุณพ่อเป็นคนเชื้อสายจีน มาอาศัยอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ยังเล็ก ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ เคยเป็นศิษย์นั่งวิปัสนากรรมฐาน วัดปทุมวนาราม กับ หลวงพ่อถาวร จิตตถาวโร (สมัยนั้น) ปัจจุบัน คุณแม่ก็ยังเคารพ หมั่นไปทำบุญที่วัดเสมอๆ แต่ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวย ท่านทั้งสองเลยไม่ได้ปฏิบัติธรรมด้วยวิธีวิปัสนากรรมฐานมานานแล้ว

ปัจจุบันคุณพ่อผมอายุ 85 ความจำยังดี แต่สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงเหมือนก่อน
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี้เอง คุณพ่อเข้า รพ. และตรวจพบ มะเร็งตับ ขนาด 11 ซม. (เกินกว่าระยะสุดท้ายไปแล้ว)
คุณหมอบอกว่าไม่ควรที่จะสู้โรคร้ายนี้ต่อไปเพราะร่างกายคุณพ่อ จะทนไม่ไหวหากต้องรักษาโดยผ่าตัดหรืออะไรก็ตามแต่

แม่และพี่น้องทั้งหมด ลงความเห็นตามคุณหมอ จะรักษาคุณพ่อตามอาการ และจะดูแลท่านให้ดีที่สุด จนถึงนาทีสุดท้าย ทั้งหมดนี้มีกำลังใจดี แต่ยังไม่บอกคุณพ่อ เพราะกลัวท่านอาการทรุดลง

เราหวังว่าช่วงสุดท้ายนี้ พวกเราดูแลท่านเป็นอย่างดี สมกับที่ท่านเป็น อรหันต์ ประจำบ้าน
ผมได้ทำทุกอย่างที่อยากทำให้ท่าน ไม่ว่า ป้อนข้าว ป้อนน้ำ พยุง จูงเดิน กอด ใส่รองเท้า ก้มกราบเท้า
แต่สิ่งที่ผมอยากทำให้ท่านมากที่สุดในตอนนี้ คือ ให้ท่านได้ฟังธรรมะทุกๆวัน  โดยเฉพาะผมอยากจะบวชให้ ท่านตอนที่ท่านยังรับรู้ได้

วันนี้คุณพ่อยังบอกให้ผมค้นหาคำสอนสมาธิ เพิ่มเติมใน internet (คุณพ่อทันสมัย) เพื่อเปิดให้ฟังเพราะท่านจำไม่ค่อยแม่น โดยให้หาของ พระอาจารย์มั่น ผมจึงได้โอกาสเปิด คำสอนของหลวงตามหาบัว เรื่องการอบรมสมาธิ วิปัสนากรรมฐาน เปิดฟังจนจบ พร้อมๆ กับพ่อที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้ ผมฟังไปกลั้นน้ำตาไม่อยู่ แต่ก็ฟังจนจบตอน

สิ่งที่คุณพ่อสอนผมวันนี้ถึงแม้จะสั้นๆ แต่ผมกลับรู้สึกว่าเป็นคำสอนที่ลึกซึ้งและกินใจผมมาก ผมจะจำไปปฏิบัติตลอดไปครับ ถึงแม้ว่าตอนนี้ผมจะปลีกตัวไปใหนไม่ได้เพราะอยากเฝ้าคุณพ่อ แต่ก็หาเวลานั่งวิปัสนากรรมฐาน ข้างๆ คุณพ่อนี่แหละ
3  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: สอบถามการนั่งวิปัสนากรรมฐาน (เพิ่งหัดยังไม่มีครูบาอาจารย์) เมื่อ: สิงหาคม 22, 2013, 07:44:02 am
กราบเรียนทุกท่าน
จนถึงขณะนี้ผมก็ยังไม่ได้ไปขึ้นกรรมฐานใดๆ เลย จะโทษก็ด้วย บุญบารมีตัวเองยังมีไม่เพียงพอ
มักจะติดขัดไม่ราบรื่นไปหมดตั้งแต่ ต้องดูแลลูก ส่งให้เรียนหนังสือ วันเสาร์ อาทิตย์ คอยรับส่งเรียนพิเศษ วันธรรมดาเลิกงานถึงบ้านก็มืดค่ำ  นี่เป็นข้ออ้างประจำ

แต่ก็ยังตั้งใจปฏิบัตินั่งสมาธิ แบบเดิมๆ (แบบที่ยังไม่มีครูบาอาจารย์) หาความรู้ในเวป เป็นครูอาจารย์ต่อไป  ทั้งเวปนี้ก็ได้เข้ามาอ่านหาความรู้และบทความดีๆ อยู่เป็นประจำ

มีเรื่องอยากเล่าให้ทุกท่านฟัง  เกิดกับตัวกระผมเองเมื่อไม่นานมานี้

เมื่อปีกว่าๆ เกือบ 2 ปี ผมเกิดป่วยเป็นโรคติดเชื้อเข้ากระแสเลือด ต้องเข้า ICU ถึง 5 วัน มีอาการข้างเคียงตามมาคือ มีอาการ "ลมชัก" (ผมไม่เคยมีประวัติตั้งแต่เด็กไม่เคยเป็นโรคนี้) อาการเหมือนคนเป็นลมบ้าหมู ชักเกร็ง ควบคุมตัวเองไม่ได้ เมื่อเป็นแล้วสักพักจะหมดสติไปเลย

หลังจากออกจากร.พ. ก็เกิดอาการลมชัก เว้นระยะได้ 3-4 เดือนจะเกิดสักครั้ง ไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด แต่โชคยังดีที่ส่วนใหญ่ จะเกิดวันอาทิตย์ และเป็นที่บ้าน ตอนเข้าห้องน้ำ และจะเป็นตอนอยู่คนเดียว อาการเหมือนเดิมคือ ชักเกร็ง หมดสติในเวลารวดเร็ว มาฟื้นอีกทีหลังจากนั้น เป็นอย่างนี้ 3-4 ครั้ง

จากที่เริ่มหัดนั่งสมาธิ ก็ประมาณเวลาเดียวกันกับที่เป็นโรคนี้ เพราะเห็นว่านี่คือทุกข์ที่เรามีส่วนหนึ่ง (ทุกข์อื่นก็มีอีกมากไม่ขอกล่าว) หมอก็หา 2 รพ. ตรวจรักษาทั้ง x-ray สมอง ทั้งใส่เครื่องตรวจวัดความถี่หัวใจ เพื่อดูสิ่งผิดปรกติ ก็ไม่พบอะไรเป็นสาเหตุที่เป็น หมอเลยให้ดูอาการและยังไม่จ่ายยากันชักให้

       จนเมื่อประมาณ 3 เดือนที่แล้ว เกิดอาการชักเกร็ง (เป็นครั้งที่ 5 แล้ว) อาการเหมือนเดิม คืออยู่ๆ ก็เซล้มลงควบคุมตัวเองไม่ได้ ล้มลงไปกองกับพื้น มือเท้าหงิกงอ เกร็งไปทั้งตัว แล้วแขนขาก็ปัดป่าย ฟาดไปมาตามเรื่อง (แบบคนเป็นลมบ้าหมู)
       แต่ครั้งนี้รวบรวมสมาธิ ทั้งหมด นึกถึงสิ่งที่เคยฝึกปฏิบัติมา (ด้วยตัวเอง) ตอนแรกก็กลัวตาย ต่อมาก็กลัวว่าไม่มีใครจะส่งเสียลูก  ตั้งสติ คิดถึงคุณมารดา เรียกแม่ให้ช่วยผมด้วย แล้วก็เหมือนกับสติที่ตั้งมั่นได้นี้ยังคงอยู่ต่อได้ ไม่หมดสติไปเหมือนครั้งก่อน ต่อมาคิดว่าจะต้องตายตอนนี้เวลานี้แน่ๆแล้ว เพราะนอกจากจะชักแล้วยังรู้อีกว่าหายใจไม่ทัน เริ่มหายใจทางปาก จึงนึกถึงคุณพระรัตนตรัย ตอนนี้อาการชักเต็มที่แล้ว รู้ตัวว่าอยากพนมมือไหว้ แต่ไม่สามารถบังคับมือและแขนได้ คงปล่อยร่างกายไปตามสภาพที่บังคับไม่ได้ แต่ บังคับ ความคิดตามลมหายใจ เข้า พุทธ ออก โธ ตามอาการหอบหายใจทางปาก เพราะหายใจทางจมูกไม่ทัน

     ไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นตัวเองนอนกลิ้งกับพื้นนั้นเห็นจากตาเนื้อหรือไม่ รู้แต่ว่าตัวเองกระเสือกกระสน มือไม้ตีไปตีมาควบคุมไม่ได้ก็ปล่อยเลยตามเลย เมื่อไม่หมดสติ และรู้ตัวดี มีสติอยู่กับตัว สามารถรู้ พุทธ ตอนลมหายใจเข้า โธ ตอนลมหายใจออก ก็อธิฐาน
      หากข้าพเจ้าต้องตายในวันนี้ตอนนี้ ขออย่าได้มาเกิดอีก หากข้าพเจ้าต้องเกิดอีกขอเกิดในศาสนาของพระพุทธเจ้า ขอเป็นสาวกของพระพุทธองค์ตลอดไป นึกอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ไม่มีอารณย์อื่นมาแทรกเลย
ใจกลับสงบร่มเย็น ไม่ได้คิดถึงอาการชักที่เป็นอยู่ในขณะนั้นเลย แปลกนะ อาการกลัวตาย กลัวโน่นนั่นนี่ หายไปหมด

     สักพักอาการชัก ก็เริ่มลดน้อยลง มือหงิก ขาเกร็ง ก็เริ่มคลาย ตลอดเวลา สติอยู่กับตัว รู้ตัวตลอด รู้ลมหายใจ อาการหายใจทางปากก็เบาลง ในที่สุดก็สงบได้ รู้ตัวเองว่านอนอยู่กับพื้นห้องน้ำในบ้าน สัก 10 นาทีก็ลุกขึ้นเดินได้เอง ผิดกับครั้งก่อนๆ อย่างมากที่จะสลบหมดสติไปเลย

    สิ่งที่เกิดกับผมในครั้งนี้เป็นครั้งที่มีค่าที่สุดในชีวิต (ไม่อยากเป็นหรอกโรคภัยไข้เจ็บ มันทรมาน) แต่ก็ได้สอนให้ผมเตรียมตัวรับกับอะไรก็ตามที่จะเกิดในช่วงสุดท้าย ให้พยายามนึกถึงสิ่งที่ดี สิ่งที่ได้ถูกฝึกมาอย่างน้อยก็ช่วยให้หายจากอาการทุรนทุราย ได้ระดับหนึ่ง

    ปัจจุบันก็ยังนัดหาหมอที่ รพ. เพื่อหาสาเหตุและกันไม่ให้เกิดอาการนี้อีก

ขอบคุณทุกท่าน
4  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / เมื่อผมนั่งสมาธิวันพ่อ เมื่อ: ธันวาคม 05, 2012, 11:50:24 am
วันนี้ (5 ธันวาคม) ผมนั่งสมาธิเหมือนปรกติทุกๆ วัน
แต่วันนี้พิเศษกว่าวันก่อนๆ เพราะเป็นวันพ่อ
ตื่นมาตี 4.30 เหมือนทุกวันตั้งใจว่าจะนั่งสมาธิ
แล้วจะขอส่งผลบุญทั้งหมด (ถ้ามี) ถวายแด่ในหลวง ที่ผมรัก

อาจเป็นเพราะอารมณ์ คิดถึง ในหลวง อย่างมาก อยู่ๆ จาก
หายใจเข้า "พุท" หายใจออก "โธ" กลับเป็น
หายใจเข้า "ถวาย" หายใจออก "ในหลวง" แทน
เหมือนจิตจะเปลี่ยนของเขาเอง แล้วก็จับคำ "ถวาย ในหลวง" เป็นอารมณ์แทน
ใจก็สงบนิ่ง เกิดปิติ น้ำตาไหล และอื่นๆ อีกเล็กน้อย
ออกจากสมาธิ เวลา 7.00 นานที่สุดที่เคยนั่งได้

วันนี้หยุดอยู่บ้านทั้งวัน ไม่ได้ไปลานพระรูปเฝ้าในหลวง ได้แต่นั่งดูหน้าจอทีวีแทน
แต่ตั้งใจอยู่บ้านจะนั่งสมาธิทั้งวัน (นั่งบ่อยๆ)
และอธิฐานจิต ส่งผลบุญทั้งหมด(ถ้ามี)  ถวายแด่ในหลวง

ขอพระองค์ทรงจงพระเจริญ....
5  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ถ้าจิตเราไม่เป็นทุกข์ เราจะปฏิบัติ กรรมฐาน ไปทำไมคะ เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2012, 09:52:59 pm
ขออนุญาตินะครับ
ผมเคยคิดอย่างนี้เมื่อเร็วๆนี้เองครับ ขอเล่าให้ฟัง

ผมเพิ่งเข้ามาหาข้อมูลในเวปนี้เมื่อไม่นาน เพื่อหาทางดับทุกข์ที่มันเกิด
จนคิดว่าการนั่งสมาธิวิปัสนา น่าจะช่วยได้เพราะเหลือทางเดียวแล้ว ตอนนั้นทุกข์มันมากเหลือเกิน จนคิดว่าไม่อยากเกิดมาอีกแล้ว
จากที่ฝึกนั่งมาเรื่อยๆ (แบบ งูๆ ปลาๆ) พอตอนเสร็จจากนั่งสมาธิ ก็มานั่งดูตัวเอง แรกๆ ก็เห็นความทุกข์ตัวเองยังทุกข์อยู่ ยังทำใจไม่ได้ ก็ฝืนนั่งสมาธิต่อเนื่อง
ผ่านไปอีก ทำแบบนี้เรื่อยๆ จนเริ่มเห็นว่า ไอ้ที่เราเคยทุกข์เมื่อหลายเดือนก่อน มันไม่ทุกข์แล้ว
ไอ้ที่เคยทุกข์เมื่อปีก่อน มันคลายลงแล้ว ทุกข์ที่สั่งสมมาหลายๆปี วางมันลงได้แล้ว มันไม่กวนใจเราแล้ว
ความรู้สึกกับตัวเอง ว่าเออ...เราไม่ทุกข์แล้วหรือไรนี่ อย่างนี้ก็ไม่ต้องนั่งสมาธิอีกแล้วเพราะไม่มีอะไรทุกข์เท่าที่ผ่านมาอีกแล้ว ผมคิดอย่างนี้จริงๆ นะ

จนกระทั่ง เมื่อสองอาทิตย์ก่อน มารู้ตัวอีกทีตอนนั่งอยู่หน้าแม่ (แม่ผมอายุ 82 แล้ว)
ท่านนอนคุยกับผมอยู่บนเตียงเรื่องท่านจะไปทำบุญถวายสังฆทานที่วัดต่างจังหวัดที่ท่านรับปากว่าจะไปอีก 2 วันและจัดเตรียมข้าวของต่างๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว
ผมเอาเงินให้แม่ช่วยเรื่องทำบุญ แม่ลุกขึ้นนั่งจะหยิบซอง ท่านลุกเร็วไป ท่านเกิดอาการปวดหลังอย่างมาก ถึงกับน้ำตาซึม ท่านหลับตาภาวนา พุทโธๆๆ อยู่อย่างนั้น พร้อมบ่นว่าขอให้หายเจ็บเถอะจะไปทำบุญแล้วกลัวไม่ได้ไป

ผมได้แต่ประครองแม่ ได้แต่ถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง หายเจ็บบ้างมั๊ย หาหมอมั๊ย
แม่บอกผมว่า ไม่เป็นไรๆ แม่แก่แล้ว สังขารมันไม่เที่ยง มันก็ต้องเจ็บเป็นธรรมดาอย่างนี้ ห้ามมันไม่ได้
ผมอยากเจ็บแทนแม่จริงๆ
ถึงตอนนี้ไอ้ที่ผมคิดว่าผมพ้นทุกข์แล้ว ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ก็กลับมาคิดได้ว่านี่แหละทุกข์จริงๆ ยังมีอยู่ ยังมีอีกหลายอย่างที่ผมลืมไปว่าจริงๆ แล้วมันทุกข์
และยังมีทุกข์ที่รอผมอยู่และต้องมาถึงแน่ๆ
ดังนั้นผมบอกตัวเองว่าต้องปฏิบัติต่อไปอย่างจริงจังกว่าเดิม อย่างน้อยก็ไม่ต้องการเกิดมาให้เป็นทุกข์อีก
6  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ถ้าคุณรู้ว่า ลูก คุณ โกหกคุณ หลาย ๆ เรื่อง คุณจะทำอย่างไร ? เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2012, 10:31:58 pm
"ธรรมะ ปุจฉา"
อนุโมธนา สาธุ ได้คติธรรมดีๆ อีกแล้ว

ขอเสริมข้อสุดท้าย
เรื่อง ความฟุ้งเฟ้อ เมื่อลูกสาวอยากได้ IPhone

ถึงวัยจะเด็กๆ ก็มีความฟุ้งเฟ้อต่างๆ อยากได้ อยากมี โดยเฉพาะถ้าเพื่อนมี เขาไม่มี เขาก็อยากได้เป็นธรรมดา
ผมให้เขาใช้โทรศัพท์เก่าๆ รุ่นโบราณ เป็นของเก่าที่ผมยกให้ สังเกตุ เขาไม่ค่อยใช้โทรศัพท์ต่อหน้าคนอื่น
คงอายเพื่อน เพราะเคยตะล่อมถาม บอกเพื่อนใช้ Iphone กัน

เขาเคยมาขอผมตรงๆ (ไม่นานนี้เอง) ว่าเป็นไปได้มั๊ยอยากได้ Iphone บ้าง
ผมบอกว่าทำไมจะเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าจะซื้อเลยตอนนี้คงไม่ง่ายนะ
เก็บเงินเองส่วนหนึ่ง ทำความดีอีกส่วนหนึ่ง พ่อออกให้ส่วนหนึ่ง คงพอซื้อได้
ผมไม่อยากปฏิเสธเธอทันที เพราะตัวเองก็เป็น อยากได้อยากมี มาก่อน
เหมือนท่าน ธรรมะ ปุจฉา อธิบายไว้ข้างต้น


จนกระทั่ง ลูกชายต้องใช้ Note book ตัวใหม่สำหรับเรียน (เรียน ออกแบบ อยู่ มหาวิทยาลัย ปีสองแล้ว จำเป็นต้องใช้ )

ผมก็พาไปเลือกซื้อ (ก่อนเปิดเทอมนี้) พาไปกันหมด ทั้ง 3 คน
บอกลูกสาว ว่า ที่ซื้อให้พี่ เพราะจำเป็น พี่เขาใช้ในการเรียน และจะเป็นอาชีพของพี่ในอนาคต
อิจฉามั๊ย ถ้าอิจฉา จะพาไปซื้อโทรศัพท์ให้
แล้วก็พาไปดู Galaxy SIII 2x,xxx ก็บอกเขาตรงๆ (ทั้งลูกชาย และลูกสาว)
ว่า พ่อ มีรายได้เท่านี้ ดูเหมือนเยอะ แต่พ่อก็มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ต้องเก็บอะไรบ้าง เหลือเท่าไร
และถ้าพ่อซื้อให้สองคน พ่อต้องอด ต้องงดอะไรบ้าง

ลูกสาวบอกว่า "หนูไม่เอาแล้ว แพงก็แพง กลัวพ่อเหนื่อย" แต่ยังบอกว่า  ไว้เก็บเงินเองรอซื้อ IPhone 10 แล้วกัน

ความฟุ้งเฟ้อ อยากได้อยากมี มันเป็นกิเลส สำหรับทุกคนไม่ว่าวัยใหน หวังว่าถึงเวลา ลูกสาวจะลดละได้บ้าง


7  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ถ้าคุณรู้ว่า ลูก คุณ โกหกคุณ หลาย ๆ เรื่อง คุณจะทำอย่างไร ? เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2012, 08:29:43 pm
sivaroj เป็นผู้ชายครับ เป็นพ่อของลูก 2 คนครับ

8  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ถ้าคุณรู้ว่า ลูก คุณ โกหกคุณ หลาย ๆ เรื่อง คุณจะทำอย่างไร ? เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2012, 07:12:15 pm
ฐานะผมเป็นพ่อลูกสาวอายุ 13 แล้วนะ พอมีประสบการ์ณเรื่องนี้เล็กน้อย

เรื่องเรียน
ตอนลูกสาวเรียน ป.6 ผมถูกคุณครูโทรมาบอกว่าลูกไม่ส่งการงานหลายวิชา จะไม่ให้เข้าสอบ ถ้าจะให้ลูกสอบให้ส่งงานให้ทันอีก 3 วัน
ตายเลย ผมถามลูกๆ อยู่บ่อยๆ ว่ามีอะไรค้างมั๊ย เธอก็โกหกบอกว่าส่งแล้วๆ ไม่มีงานค้าง เป็นอย่างนี้เสมอๆ

ทีแรกผมโมโห มาก  ว่าไปด่าไป ขนาดน้ำตาผมร่วงเองเลย ไม่ต้องพูดถึงลูก เอาแต่ร้องให้ อย่างเดียวอย่างอื่นคงฟังแล้วไม่เข้าใจตอนนี้แน่ๆ
แต่ด้วยความรักที่มีให้เขา รู้ว่าโมโหไปมันก็ไม่ดี แต่กลับโทษตัวเองที่สอนเขาไม่ดี ดูไม่ละเอียดปล่อยให้ไม่ส่งงาน

กลับกันคิดว่าถ้ามัวแต่โมโห แล้วตีลูกจะได้อะไรดีขึ้นหรือเปล่า พอคิดได้ ก็เปลี่ยนวิธี
พอคุยกับเขาดีๆ ถามว่าทำไมถึงโกหก แล้วทำไมไม่บอกความจริง
เธอมองหน้าแบบไร้เดียงสา ว่าหนูไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยสอนเขา มีอะไรก็ขอให้บอกความจริง
แล้วก็ช่วยกันปั่นงานที่ค้างส่ง ให้ทัน ผลก็คือส่งทันได้เข้าสอบ แล้วก็สอบขึ้นชั้นได้ แถมเขาไปสอบเข้าโรงเรียนรัฐ ก็สอบติดอีก

ม.1 ทะเลาะกับเพื่อน
มี message เข้าโทรศัพท์ลูก พอดีเธอไม่อยู่ ผมเลยแอบอ่าน (นิสัยไม่ดีเลย) ก็มีข้อความ หยายคายมากๆ
มาต่อว่าลูกผม ข้อความที่ไม่น่าจะเป็นเด็กนักเรียน ม.1 เลย
ผมโทรศัพท์กลับไปเจ้าของเบอร์ เป็นเสียงเด็กผู้หญิงรับสาย ก็เลยถามไปว่าหนูส่งข้อความมาเบอร์นี้หรือเปล่า
เธอปฏิเสธและจะวางหู ผมเลยพูดกับเธอดีๆ ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ใส่อารมณ์ บอกว่าไม่ได้โทรมาจะว่าจะด่า แต่อยากรู้ว่าทำไมส่งข้อความ หากมีเรื่องอะไรทะเลาะกัน พ่อก็จะพูดคุยให้เข้าใจกัน
สุดท้ายเธอก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง มีการทะเลาะกันจริงๆ สาเหตุแบบเด็กๆ ทะเลาะกัน

สุดท้ายผมก็สอนทั้งเพื่อน ทั้งลูก ให้คืนดีกัน เป็นเพื่อนกันดีกว่าทะเลาะกัน

 
ม.2 เรื่อง ติดเพื่อนและไม่บอกความจริง
พอเริ่มวัยนี้ เขาเริ่มมีร่างกายเปลี่ยนไปตามวัยแล้ว ก็เริ่มมีความคิดว่าเพื่อนคือสิ่งที่ไกล้ชิดที่สุดและสนุกที่สุดของเขา เขามักจะขอไปบ้านเพื่อนบ่อยๆ ผมก็อนุญาติเสมอ แต่มีข้อแม้ว่าผมไปส่งและรับกลับตรงเวลา
มีครั้งหนึ่งไปเข้าค่าย เนตรนารี 3 วัน พอวันกลับผมก็ไปรอรับ ตั้งแต่ บ่าย 2 เพราะหมายกำหนดการจะมาถึง ร.ร. เวลานี้ (รอที่ทำงาน ปรกติ เธอเลิกเรียนแล้วจะเดินมาหาที่ทำงานเพราะไกล้กัน)
รอจน บ่าย 4 ก็ไม่มา โทรก็ไม่โทรมาบอก โทรกลับก็ไม่ติด
เริ่มกระวนกระวาย เดินไปที่โรงเรียน คุณครูบอกว่าเด็กกลับบ้านหมดแล้ว ลูกผมก็เซ็นต์ชื่อออกไปแล้ว
ตายเลย แล้วไปใหนล่ะนี่ ผมเดินวนเป็นหนูติดจั่น ระหว่าง ที่ทำงาน ร.ร. และสถานที่รอบๆ โรงเรียน ที่คิดว่าลูกจะไป จน 6 โมง ลูกถึงโทรศัพท์มา บอกว่าตอนนี้อยู่บ้านเพื่อน เท่านั้นแหละผมก็ระเบิดอารมณ์ ใส่เธอเลย

พอไปรับเธอ กลับ ก็ยังด่าอีก ด้วยความโมโห
แต่ เกิดคิดได้ว่า แก้ปัญหาด้วยโมโห ใส่เธอคงไม่ใช่วิธีที่ดีและถูกต้องแน่ๆ
เลยลดอารมณ์โมโหลงแบบทันทีทันใด แล้วพูดกับเธอแบบน้ำเสียง "พ่อที่ควรพูดกับลูกแบบรักลูก" อย่างที่เคยเป็นสอบถามก็ได้ความว่า อยากมาบ้านเพื่อน แต่ไม่โทรบอก เพราะกลัวพ่อไม่ให้มา และแบตโทร เพื่อนก็หมด
ผมก็ฟังและอธิบาย ไปว่า พ่อไม่เคยไม่ฟังลูกสักครั้ง พ่อฟังเสมอ และมีเหตุผลพอเสมอ แล้วรู้ได้อย่างไรว่า ถ้าบอกพ่อตรงๆ แล้วพ่อจะไม่ให้ เคยลองแล้วเหรอ
ทำโทษด้วยการลดเงินค่าขนมลง ให้เธอรู้ว่าผิดก็ต้องถูกลงโทษ แต่ไม่ทำร้ายร่างกายและจิตใจเธอ

ตอนนี้เธอก็ยังเป็นเด็กที่สดใสน่ารักในสายตาผมเสมอ ระยะหลังมานี้เธอมีอะไรก็จะเล่าให้ผมฟังเสมอๆ ทุกเรื่อง
(ที่คิดว่าเธอไม่ปิด) คงมีบางเรื่องแหละที่เธอไม่เล่า ก็คิดว่าเธอก็โตขึ้นทุกวันโลกส่วนตัวเธอก็มี ก็ปล่อยๆ เธอบ้างชีวิตของเธอเราเป็นเพียงผู้ดู และผู้พายเรือส่งให้ถึงฝั่ง

ผมได้ความรู้จากลูกสาวผมเพิ่มเติมดังนี้
1. ไม่ใช้อารมณ์แก้ปัญหา โดยเฉพาะความโมโห เพราะมันจะปิดบังความคิดเรา
2. พยายามปลูกฝังให้เขาไว้ใจและพูดคุยกับเรา และให้รู้ว่าเราจะฟังเขาเสมอ
3. ยอมรับและให้อภัยในสิ่งที่เขาทำไปแล้ว ผิดก็ต้องทำโทษ (พอประมาณให้รู้) แต่ไม่ทำร้ายร่างกายและจิตใจ
4. ยอมรับความคิดของเขาอาจไม่ตรงใจไม่ถูกใจเรา หากมันไม่ดีมากๆ ก็ต้องยกเหตุผลอธิบายหักร้าง
5. เข้าใจวัยของเขาในแต่ละวัย ว่าแต่ละวัยของเขาจะมีอะไรบ้าง เช่น วัยนี้จะเริ่มมีเพื่อน อยากแสดงออก อยากให้คนอื่นยอมรับ อะไรทำนองนี้
6. สอดแทรกอะไรบางอย่างทำร่วมกัน เช่นตอนนี้ ผมชอบนั่งสมาธิ แต่ก่อน ผมกลัวคนอื่นจะว่าผมแปลกๆ หลบๆ ซ่อนๆ ในห้องมิดชิด (หามุมสงบ) ตอนนี้ผมบอกเธอตรงๆ เลย นั่งแล้วดีนะ สมองดี ความจำดี และชวนนั่งสมาธิด้วยกัน
7.  สนับสนุนให้เขาได้แสดงออกในสิ่งที่เขาชอบ เช่น เขาอยากร้องเพลงชอบร้องเพลง ก็ให้เขาไปเรียน (ทำเท่าที่เรามีกำลัง) เขาจะได้มีอะไรที่เขาชอบทำและแสดงออก

สำหรับผมแค่นี้ครับ
9  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: สอบถามการนั่งวิปัสนากรรมฐาน (เพิ่งหัดยังไม่มีครูบาอาจารย์) เมื่อ: ตุลาคม 14, 2012, 07:59:07 pm
ไม่ทราบว่าที่ใหนมีที่สอนกรรมฐานบ้าง
จะพยายามหาที่ ที่ผมสามารถไปฝึกเรียนได้
ขอบคุณครับ
10  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: สอบถามการนั่งวิปัสนากรรมฐาน (เพิ่งหัดยังไม่มีครูบาอาจารย์) เมื่อ: ตุลาคม 12, 2012, 06:36:22 am
ขอบคุณทุกคำแนะนำครับ
จะลองนำไปปฏบัติครับ
11  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: สอบถามการนั่งวิปัสนากรรมฐาน (เพิ่งหัดยังไม่มีครูบาอาจารย์) เมื่อ: ตุลาคม 09, 2012, 09:23:33 pm
ขอบคุณทั้งสองท่านที่กรุณาชี้แนะ
ตอนนี้ผมยังนั่งสมาธิต่อเนื่อง เริ่มไม่กลัวกับสิ่งที่ปรากฏกับผมแล้วพยายามทำใจว่านี่คือสิ่งปรกติที่ต้องเกิด
ที่สำคัญตอนนี้มีความรู้สึกว่าอยากนั่งสมาธิมากๆ เช้าหลังจากถึงที่ทำงานจัดการเรื่องธุระเสร็จก็นั่งประมาณ 7.30-8.30 โดยประมาณ เที่ยงก็ 12.15-13.00 โดยประมาณ กลางคืนก็อีกรอบประมาณ 11.00-01.00

ตอนนี้ผมกลับพบว่าหลังจากนั่งสมาธิแล้วมีสิ่งดีๆ เกิดกับผมอย่างน้อยก็ทำให้รู้จักวางทุกข์ลง (ไม่ถึงกับหมดไป)
แต่น้อยลงกว่าเดิมแน่ๆ ทำให้จิตใจเยือกเย็นลง ยังไม่ถึงกับปลงได้แต่เริ่มคิดว่าอะไรสำคัญกับเราและอะไรไม่จำเป็นกับเราก็ปล่อยๆ มันไป

ขอสอบถามเพิ่มเติมครับ
- ผมนั่งสมาธิที่ทำงาน เป็นห้องทำงานส่วนตัว เก้าอี้นั่งเป็นพนักพิงทรงสูงเสมอหัวเอนหลังได้ (ไม่ได้นั่งกับพื้น)
ตอนเช้าและตอนเที่ยงเงียบสงบมากไม่มีใครเข้ามารบกวน
ผมสามารถนั่งแบบนี้ต่อไปได้หรือไม่
- ที่บ้านผมนั่งบนเก้าอี้ไม้ มีพนักพิงหลัง ใช้ผ้ารองให้นุ่ม และไม่ได้นั่งต่อหน้าพระพุทธรูป (ที่บ้านไม่มีโต๊ะหมู่บูชา) ตอนนี้เหลือพระพุทธรูปองค์เดียว (มีสาเหตุที่ผมต้องเก็บพระพุทธรูปคืนแม่หมด )
- ครั้งแรกๆ มักจะเผลอหลับไปเลยถึงแม้จะนั่งได้พักเดียว แต่ตอนนี้ไม่มีความรู้สึกง่วงหรือเผลอหลับอีกแล้วสามารถรู้ตัวตลอดตั้งแต่นั่งจนออกจากสมาธิ แต่นั่งไปสักพักแล้วจะก้มหน้าหรือเอนตัวไปข้างหน้า (เยอะมาก) พอรู้ตัวก็จะนั่งตัวตรงใหม่เป็นแบบนี้ตลอด แต่เนื่องจากมันจะกังวลเรื่องก้มหน้าหรือเอนไปข้างหน้ามากอยู่เหมือนกัน
ไม่รู้ว่าต้องแก้อย่างไร

จะตั้งใจอย่างนี้ตลอดไปครับ สักวันหนึ่งผมคงประสบความสำเร็จและเข้าใจธรรมะ เข้าใจการนั่งวิปัสนากรรมฐานมากขึ้น

ขอบคุณอีกครั้ง
ศิวโรจน์
12  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / สอบถามการนั่งวิปัสนากรรมฐาน (เพิ่งหัดยังไม่มีครูบาอาจารย์) เมื่อ: ตุลาคม 08, 2012, 10:59:26 am
กราบเรียนทุกท่าน
    ผมเป็นสมาชิกใหม่เพิ่งสมัครเข้าเวปแห่งนี้ แต่ได้อ่านและหาข้อมูลอยู่นานแล้ว
ผมมีเรื่องสอบถามเกี่ยวกับการนั่งสมาธิของผมครับ

    ก่อนอื่นผมขอท้าวความนิดหน่อยเกี่ยวกับประวัติผม
ผมเคยเข้าสถานปฎิบัติธรรมแห่งหนึ่งจุดมุ่งหมายคือความพ้นทุกข์ ซึ่งภรรยาผมศรัทธาสถานที่แห่งนี้มาก แต่ด้วยการสอนที่ผิดเพี้ยนไปจนผมยอมรับไม่ได้ หลังจากลองไปปฏิบัติอยู่ 3 ครั้งผมก็เลิกไปและเป็นสาเหตุให้ผมและภรรยาแยกทางกัน (เรื่องยาวและซับซ้อนมาก)

    หลังจากนั้นมาผมก็ไม่เคยเข้าปฏิบัติธรรมจากที่ใหนหรือวัดใหนอีกเลย ปัจจุบันผมก็ยังมีความทุกข์อยู่มากจนคิดว่าหาทางออกไม่ได้ทั้งๆ ที่สภาพในปัจจุบันผมก็ไม่เดือนร้อนอะไรมากมายแต่ใจกลับเป็นทุกข์หาความสงบไม่ได้

   จนได้อ่านหนังสือธรรมะเล่มหนึ่งเกี่ยวกับ มหาสติปัฏฐานสูตร อ่านหลายเที่ยวก็ไม่เข้าใจ แต่ก็ลองนำคำแนะนำในหนังสือเล่มนั้นมาปฏฺิบัติดู เป็นเวลากว่า 2 เดือนแล้วที่ผมฝึกนั่งสมาธิ โดยวิธี ดูลมหายใจเข้าออก และภาวนาพุทโธ เป็นประจำเกือบทุกวัน (ก่อนนั่งสมาธิก็สวดมนต์ จากหนังสือสวดมนต์ที่ซื้อจากร้านหนังสือ) ใจก็ยังไม่สงบ และก็ยังทุกข์อย่างที่เคยเป็น

    เมื่อสองวันที่ผ่านมาผมก็นั่งสมาธิแบบที่เคยนั่ง แต่คราวนี้รู้สึกว่าใจกลับนิ่งต่างจากครั้งก่อนๆ มากไม่คิดเรื่องใดๆ นอกจากจับที่ลมหายใจเข้าออกอย่างชัดเจน ผ่านไปอยู่ๆ ก็เกิดขนลุกซุ่ทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า
มีความรู้สึกร่างกายไม่เหมือนเดิม แต่ก็เกิดความสงสัยว่าผมเป็นอะไรไป อาการนี้เกิดได้สักระยะเดียวก็พยายามกลับมาภาวนาพุทโธและกำหนดลมหายใจใหม่
     วันต่อมา ก็เป็นแบบเดียวกันอีก แต่คราวนี้ผิดไป คือจะมีอาการเหมือนมีตัวอะไรวิ่งใต้ผิวหนังเป็นลูกๆ วิ่งอย่างรวดเร็วมากจากที่นั่งขัตสมธิจากเข่าด้านซ้ายไปยังเข่าด้านขวาและวิ่งขึ้นลงไปมา พร้อมกับขนลุกแบบเมื่อวาน เมื่อรู้สึกอาการแบบนี้ ใจก็ยังมีความตกใจเหมือนเดิมว่าผมเป็นอะไรไปทำไมนั่งสมาธิแล้วเป็นแบบนี้ ก็กลับมาภาวนาพุทโธและจดจ่อกับลมหายใจอีก เป็นแบบนี้อีกสักพัก อาการแบบเดิมก็เกิดขึ้นอีก คือเหมือนผิวหนังเต้นเป็นลูกๆ เหมือมีตัวอะไรอยู่ใต้ผิวหนังวิ่งจากซ้ายไปขวา และบนลงล่างพร้อมกับขนลุกซู่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ครั้งสุดท้ายรู้สึกว่าตัวไม่เป็นตัวเองมีอาการเหมือนตัวหนักหรือพองหรือใหญ่ออก จนผมต้องลุกออกจากสมาธิ

    ทั้งสองวันที่ผ่านมาผมกลับนั่งสมาธิได้เกือบสองชั่วโมงซึ่งนับว่ามากกว่าที่เคยนั่งมาครั้งก่อนๆ มากมาย ไม่รู้สึกปวดหรือเหน็บชาเหมือนวันก่อน รู้เหมือนกันแต่พักเดียวก็หายไป(ก่อนหน้านั้นประมาณ 20-30 นาทีผมก็ทนแทบไม่ได้แล้ว)

     เนื่องจากผมไม่มีครูอาจารย์ผู้รู้ที่ผมจะสอบถามได้ผมจึงขอสอบถามท่านผู้รู้ในที่นี้ว่าอาการแบบนี้ผมเป็นอะไร และผมควรทำอย่างไรต่อไป ที่ผมปฏิบัติมาถูกต้องแล้วหรือไม่

     ไว้คราวหน้าผมจะพยายามเรียบเรียงสิ่งที่ผมไปพบเจอสถานที่ปฏิบัติธรรม จนต้องทำให้ชีวิตผมเป็นทุกข์
(ส่วนหนึ่งมาจากตัวผมเอง) แต่ส่วนตัวแล้วผมมีความศรัทธาในพุทธศาสนา และเห็นแล้วว่าความทุกข์ที่ผมมีนั้นจะหมดไปได้ถ้าหากผมไม่ต้องเกิดมาอีก

     กราบขออภัยไว้ล่วงหน้าถ้าหากอธิบายรายละเอียดบางอย่างน้อยไป

ขอบคุณทุกท่านที่เมตตา
หน้า: [1]