ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
หน้า: [1] 2 3 ... 10
 1 
 เมื่อ: ตุลาคม 21, 2025, 09:27:41 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 2 
 เมื่อ: ตุลาคม 21, 2025, 08:58:22 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 3 
 เมื่อ: ตุลาคม 21, 2025, 08:28:19 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 4 
 เมื่อ: ตุลาคม 21, 2025, 06:23:33 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 5 
 เมื่อ: ตุลาคม 21, 2025, 03:50:48 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 6 
 เมื่อ: ตุลาคม 21, 2025, 01:25:05 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 7 
 เมื่อ: ตุลาคม 21, 2025, 11:33:38 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



โลกจะไม่มี fake news เลย ถ้าทุกคนหันมาปฏิบัติตัวตามแนวพุทธ

ด้วยจุดประสงค์ที่ไม่แน่ชัดนัก บางคนชอบที่จะสร้าง fake news หรือข่าวปลอมขึ้นมา ส่วนบางคนแม้จะไม่ได้เป็นคนสร้างข่าวปลอมเอง แต่ก็อาจจะชอบแชร์ พฤติกรรมดังกล่าวทำให้สังคมสับสนและวุ่นวายในการจัดการปัญหา ไม่ว่าปัญหานั้นจะเป็นปัญหาอะไร ปัญหาในการป้องกันการระบาดของโควิด-19 นี้เป็นตัวอย่างที่ดีของการได้รับผลกระทบจากข่าวปลอมที่หลายต่อหลายคนขยันสร้างและแชร์กันทุกวัน

รัฐและรัฐบาลทั่วโลกได้พยายามกำจัดข่าวปลอมนี้ โดยการตั้งหน่วยงานขึ้นมาตรวจสอบข่าวปลอม หรือสั่งให้บริษัทอินเตอร์เน็ตทั้งหลายทำการตรวจสอบเองด้วย เมื่อพบว่าข่าวใดเป็นข่าวปลอมก็ออกมาชี้แจงหรือแก้ข่าว  แต่เราทุกคนก็รู้ดีว่ามาตรการนี้ใช้ไม่ได้ผล ข่าวปลอมก็ยังแพร่หลายอยู่ทั่วไป ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะคนเราก็แปลกมักชอบแชร์ข่าวปลอมมากกว่าข่าวจริง

ผมอยากจะลองขอเสนอแนะให้ใช้ แนวคิดและปรัชญาแบบชาวพุทธ มาแก้ปัญหานี้กัน   

แนวคิดอย่างแรกที่อยากจะเสนอคือ การใช้อริยสัจ ๔ หรือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นฐานคิด
    - ทุกข์ในที่นี้คือ ผลเสียจากปัญหาต่างๆที่มาจากข่าวปลอม
    - สมุทัย(หรือสาเหตุแห่งทุกข์) คือ การสร้างและแชร์ข่าวเท็จ   
    - นิโรธ (หรือผลสุดท้ายที่ต้องการ) คือ การไม่มีผลเสียจากข่าวปลอม และ
    - มรรค(หรือวิธีการ) คือ การยึดหลักคิดทางพุทธมาระงับข่าวปลอม


@@@@@@@

มรรคหรือวิธีการแรก ที่ผมอยากจะแนะนำนี้อยู่บนพื้นฐานที่ว่า เราจะไม่เขียนข่าวปลอมรวมทั้งจะไม่แชร์ข่าวถ้าข่าวนั้นเป็นข่าวปลอม ซึ่งก็คือ ศีลข้อมุสา หรือการกล่าวเท็จนั่นเอง นั่นหมายความว่า ถ้าเราถือศีลข้อนี้จริงจัง เราจะไม่สร้างและจะไม่แชร์ข่าวปลอม และปัญหาของสังคมที่ว่าก็จะไม่มีอีกต่อไป

ทีนี้เราจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่า ข่าวหรือข้อมูลที่แชร์ๆกันมานั้นเป็นข่าวปลอมหรือข้อมูลที่ไม่จริง ซึ่งหากเราเป็นฝ่ายรับข่าวหรือข้อมูลและอยากจะแชร์ข่าวหรือข้อมูลนั้น เราก็ควรต้องมั่นใจก่อนว่ามันเป็นเรื่องจริง โดยเราจะไม่เชื่อสิ่งที่ได้รับมานั้นอย่างงมงายไร้เหตุผล

ด้วยการใช้หลัก 10 ข้อมาช่วยวิเคราะห์ นั่นคือ เราจะไม่เชื่อข่าวหรือข้อมูลพวกนั้นเพียงเพราะ 

    ๑) ฟังตามๆกันมา 
    ๒) ยึดถือสืบๆกันมา 
    ๓) เล่าลือกันมา   
    ๔) มีตำรามาแสดง 
    ๕) มีตรรกะ 
    ๖) ด้วยการอนุมานหรือคาดคะเน 
    ๗) ด้วยการคิดตามเหตุผล 
    ๘) เพราะมันเข้ากับทฤษฎีหรือวิธีคิดที่ตัวเองเชื่ออยู่แล้ว 
    ๙) เพราะคนที่ให้ข่าวหรือข้อมูลแก่เรานั้นน่าเชื่อถือ  และ 
  ๑๐) คนที่ให้ข้อมูลหรือข่าวมานั้นเป็นครูอาจารย์ของเราเอง

และต่อเมื่อเราได้ใช้ปัญญาพิจารณาอย่างถี่ถ้วนจนเห็นแล้วว่า ข้อมูลหรือข่าวนั้นจริงหรือเท็จ จึงค่อยตัดสินใจแชร์หรือไม่แชร์ไปตามนั้น

ธรรมหรือวิธีการข้อ ๒ นี้คนพุทธเขาเรียกว่า ‘กาลามสูตร’ ครับ





วิธีการเชิงพุทธที่ ๓ ที่อยากจะพูดถึงคือ อคติ ๔ ซึ่งมีอยู่ 4 อย่าง อันได้แก่

    1) ฉันทาคติ คืออคติจากความชอบเป็นส่วนตัว อะไรที่มันตรงกับความคิดเรา เราชอบ เราก็จะเขียนจะแชร์แม้มันจะไม่จริง ซึ่งก็ต้องกำกับไม่ให้ทำด้วยวิธีการตามข้อ ๑ (ศีลข้อมุสา) และข้อ ๒ (กาลามสูตร)ข้างต้น คือ ถ้าเราเพียงแค่สงสัยหรือไม่เชื่อว่ามันจริงเราก็ต้องไม่เขียนไม่แชร์   

    2) ถัดมาคือโทสาคติ หรืออคติหรือความลำเอียงอันเนื่องมาจากความไม่ชอบ ความโกรธ ความเกลียด อันนี้หลักคิดก็เฉกเช่นเดียวกับฉันทาคติ แต่เป็นในทางตรงข้าม ซึ่งเราต้องไม่เขียนไม่แชร์ข่าวปลอมนั้นแม้นมันจะสะใจที่ทำให้ฝ่ายที่เราไม่ชอบนั้นเดือดร้อนหรือรำคาญใจ   

    3) อคติอีกข้อหนึ่งคือ โมหาคติ หรืออคติจากความหลงความเขลา ที่เมื่อไม่ใช้หลักกาลามสูตรข้างต้นมากำกับเราก็จะโง่และเชื่อตามข่าวปลอม และแชร์ไปแบบมีบาปข้อมุสาติดตัวไปด้วย

    4) ส่วนความลำเอียงหรืออคติข้อสุดท้าย คือ ภยาคติ หรือความกลัวเนื่องจากภัยที่จะมาถึงตัว เช่น กลัวว่าจะแพ้  กลัวไม่ได้ขึ้นเงินเดือน กลัวเพื่อนไม่ให้เข้ากลุ่ม ฯลฯ

แล้วก็เขียนหรือแชร์ข่าวปลอมออกไป แต่ถ้าเราเข้าใจและยึดหลักอคติ ๔ นี้ให้ดีเราก็จะไม่ลำเอียงไม่ว่าด้วยเหตุใด และจะไม่เขียนไม่แชร์ข่าวปลอมพวกนี้อีกต่อไปด้วย

จากนี้ก็มาถึงวิธีการที่ ๔ คือ การพิจารณาโดยแยบคาย อันหมายถึงการพิจารณาโดยใช้สมองใช้ปัญญาสืบค้นและค้นหาเหตุผลไปตามลำดับ จนถึงเหตุหรือที่มาของข้อมูลและข่าวนั้นๆ แล้ววิเคราะห์จนได้ข้อสรุปว่า จริงหรือปลอม  ถ้าจริงเราก็เขียนหรือแชร์ ถ้าปลอมเราก็ไม่เขียนไม่แชร์ ธรรมข้อที่ใช้ปัญญาพิจารณานี้มีชื่อเรียกทางพุทธว่า ‘โยนิโสมนสิการ’

@@@@@@@

สรุป ถ้าเราจะไม่ให้สังคมต้องมีปัญหาจากข่าวปลอมข่าวลวงพวกนี้

    • เราต้องเขียนและอ่านหรือฟังข่าวแบบใช้หลักอริยสัจ ๔ และ
    • หลักการ ‘ไม่เชื่อไว้ก่อน’ (กาลามสูตร) เป็นฐานคิด
    • รวมทั้งใช้หลักการที่เราจะไม่เชื่อไม่เขียนไม่แชร์ โดยใช้ความลำเอียงมามีส่วนในการตัดสินใจ ไม่ว่าความลำเอียงนั้นจะมาจากความชอบ ความเกลียด ความหลง หรือความกล้ว(อคติ ๔)
    • ซึ่งจะทำเช่นนั้นทั้งหมดได้ ก็ต้องใช้ปัญญามาพิจารณาอย่างถี่ถ้วน (โยนิโสมนสิการ) และ
   
หากทำตามวิธีการทั้ง 4 ข้อเช่นนั้นได้แล้วเรายังจะสร้าง ยังจะแชร์ข่าวปลอมข่าวลวงอีกต่อไป ก็เท่ากับเราทำบาปโดยผิดศีลข้อมุสา เป็นการปิดฉากประการสุดท้าย

สรุปในสรุป คือ ถ้าเรายึดหลักปฏิบัติทางพุทธที่ว่ามาได้ครบ เราจะไม่มีทางเลยที่จะสร้างปัญหาให้กับสังคมโลกด้วยการสร้างหรือแชร์ fake news คิดได้อย่างนี้แล้วเรามาช่วยกันแก้หรือลดปัญหาสังคมนี้ด้วยวิถีพุทธกันดีไหมครับ.





Thank to : https://www.bangkokbiznews.com/blogs/columnist/127950
คอลัมนิสต์ | By ศ.ธงชัย พรรณสวัสดิ์ | 09 ส.ค. 2021 เวลา 4:00 น.

 8 
 เมื่อ: ตุลาคม 21, 2025, 10:39:28 am 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 9 
 เมื่อ: ตุลาคม 21, 2025, 08:55:26 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.

แฟ้มภาพ หอยนางรมจากอ่าว Arcachon ในฝรั่งเศส ภาพเมื่อปี 2006, AFP PHOTO / JEAN-PIERRE MULLER


“หอยนางรมเป็นอาหารเจ” ความเชื่อนี้อ้างอิงมาจากไหน.? ทำไมพระมหายานถึงไม่กิน.?

“หอยนางรม” เป็น “อาหารเจ” ได้อย่างไร? ความเชื่อเรื่องนี้อ้างอิงมาจากไหน? คำตอบอยู่ในหนังสือ “เทศกาลจีน และการเซ่นไหว้” เขียนโดย ถาวร สิกขโกศล ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และประเพณีจีน ได้กล่าวถึงข้อถกเถียงว่า อาหารชนิดใดเป็น “อาหารเจ” หรือไม่ เอาไว้ว่า

“…ในการกินเจมักถือเคร่งครัดกันเรื่องอาหาร จนบางทีมีปัญหาถกเถียงกันว่าอาหารใดเป็นเจหรือไม่เจ เช่น ผักฉุน 5 อย่าง ที่ห้ามกินมีอะไรบ้าง หอยนางรมกินได้หรือไม่ เรื่องผักฉุน 5 อย่าง เมื่อศึกษาที่มาแล้วจะเห็นว่า โบราณไม่กิน เพราะกลิ่นแรงทำให้มึนงง มีผลต่อความสงบของจิตใจ เดิมถือต่างกันไป

ต่อมาในเมืองไทยถือตามแบบพุทธศาสนา และปรับให้สอดคล้องกับผักในเมืองไทย คือ หอม กระเทียม กุยช่าย หอมปรัง (หลักเกี๋ยว) และผักชี มหาหิงคุ์คนไทยไม่ใช้เป็นอาหารอยู่แล้ว การงดเว้นผัก 5 อย่าง จึงเป็นการถือตามประเพณีนิยมที่ปฏิบัติกันมา



ชาย-หญิงเลือกซื้ออาหารเจในเยาวราช กรุงเทพฯ ประเทศไทย ( ภาพจาก AFP PHOTO / PORNCHAI KITTIWONGSAKUL)


ส่วนเรื่องหอยนางรมเป็นอาหารเจหรือไม่นั้น ธนัสถ์ สุวัฒนมหาตม์ เขียนไว้ชัดเจนแล้วดังนี้

‘สิ่งที่น่าแปลกกว่านั้นคือ อาหารบางชนิดแม้จะเป็นเนื้อสัตว์ แต่ชาวบ้านโดยทั่วไปกลับถือว่าเป็นของเจ นั่นคือ หอยนางรม ชาวบ้านทั่วไปมีความเชื่อว่า การกินหอยนางรมไม่เป็นการละเมิดข้อห้ามเรื่องกินเจ

ทั้งนี้สืบเนื่องจากตำนานที่เล่ากันเรื่อยมาว่า เมื่อครั้งพระถังซำจั๋งเดินทางไปอัญเชิญพระไตรปิฎกยังชมพูทวีป (ประเทศอินเดียในปัจจุบัน) ระหว่างทางไม่สามารถหาสิ่งใดฉันได้เลย จึงตั้งจิตอธิษฐานว่า หากมีสิ่งใดที่อาตมาฉันได้โดยไม่ผิดบาป ขอจงปรากฏขึ้นมาเป็นภักษาหารด้วยเถิด ปรากฏว่าหอยนางรมผุดขึ้นมาจากดินเป็นจำนวนมาก

ด้วยเหตุนี้จึงถือว่า หอยนางรม เป็นของเจ ผู้ที่กินเจจึงสามารถรับประทานหอยนางรมได้

แต่เนื่องจากตำนานดังกล่าวเป็นเพียงวัตถุนิทานที่เล่าสืบต่อกันมาในหมู่ชาวบ้าน ไม่มีหลักฐานอ้างอิง การรับประทานหอยนางรมจึงอนุโลมใช้กับผู้กินเจเป็นกิจวัตร (กินตลอดชีพ) ที่ไม่ใช่พระภิกษุสงฆ์ตามลัทธิมหายานเท่านั้น โดยถือเป็นข้อผ่อนผันให้รับประทานได้บ้างตามโอกาส

แต่สำหรับพระภิกษุสงฆ์ตามลัทธิมหายาน และผู้ที่กินเจในช่วงเทศกาลกินเจยังคงถือเคร่งครัดที่จะไม่รับประทานหอยนางรมอย่างเด็ดขาด’…”

อ่านเพิ่มเติม :-

    • เทศกาลกินเจ กับ สมาคมลับเพื่อโค่นชิงฟื้นหมิง
    • ผ่า “กินเจ” ในไทยกับอิทธิพลงิ้ว-สมาคมลับ “อั้งยี่” จากใช้เทศกาลบังหน้า ถึงจุดสิ้นสุด





ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
เผยแพร่ : วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ.2568
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 9 ตุลาคม 2561
website: https://www.silpa-mag.com/culture/article_2959

 10 
 เมื่อ: ตุลาคม 21, 2025, 08:45:20 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.

บรรยากาศเริ่มเทศกาลกินเจที่มูลนิธิประสาทบุญสถาน อำเภอเมืองฯ จังหวัดพิษณุโลก เมื่อปี 2563 ภาพจาก มติชนออนไลน์


“กินเจ” ในไทยกับอิทธิพลงิ้ว-สมาคมลับ “อั้งยี่” จากใช้เทศกาลบังหน้า ถึงจุดสิ้นสุด

เทศกาลกินเจ เป็นประเพณีที่แพร่หลายในไทยอย่างมาก หลายพื้นที่จัดเป็นเทศกาลใหญ่ อิทธิพลซึ่งทำให้การกินเจได้รับความนิยมอย่างสูงในไทย หากอ้างอิงตามข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญวัฒนธรรมไทย-จีนจะพบว่า ไทยได้รับอิทธิพลหลักจาก “งิ้ว” และ “อั้งยี่” ที่เป็นสมาคมทางการเมือง ผสมผสานกับพุทธศาสนามหายานในช่วงหลัง จนมีอัตลักษณ์ชัดเจน

@@@@@@@

“กินเจ” ในไทย ทำไมเกี่ยวข้องกับ “งิ้ว”

เนื้อหาในหนังสือ “เทศกาลจีน และการเซ่นไหว้” โดยถาวร สิกขโกศล ผู้เชี่ยวชาญวัฒนธรรมไทย-จีน ระบุว่า การ “กินเจ” เดือนเก้าในไทย มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าได้รับอิทธิพลมาจาก “งิ้ว” ซึ่งนำการกินเจมาเผยแพร่ในไทย มาจากเนื้อหาที่พระสันทัดอักษรสาร เขียนไว้ในเรื่อง “ประวัติงิ้วในเมืองไทย” เผยแพร่ในนิตยสาร “ศัพท์ไทย” เล่ม 3 ตอน 9 เมษายน พ.ศ. 2467 เนื้อหาระบุว่า

“พวกงิ้วเป็นต้นเหตุที่นำเอาแบบธรรมเนียมการกินเจเข้ามา ได้ตั้งโรงกินเจเรียกว่า ‘เจตั๊ว’ งิ้วนี้เมื่อถึงคราวกินเจต้องกินเจทุกโรง ต่อมาพวกจีนทั้งหลายก็พลอยพากันกินเจไปด้วย แต่ปัจจุบันการกินเจได้เสื่อมลงไปหมดแล้ว”

ผู้เขียนหนังสืออธิบายเพิ่มเติมถึงอิทธิพลของ “งิ้ว” ต่อการ “กินเจ” ในประเทศไทยว่า ผู้ประกอบอาชีพงิ้วจีน (ซึ่งมีมากกว่า 300 ชนิด ที่สำคัญมีกว่า 200 ชนิด) ส่วนมากยึดถือเทศกาลกินเจเดือนเก้าเป็นเทศกาลประจำอาชีพ กลุ่มที่ยึดถือ อาทิ งิ้วปักกิ่ง อานฮุย เซี่ยงไฮ้ แต้จิ๋ว ฯลฯ ในยุคก่อนสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อถึงเทศกาล กลุ่มงิ้วจะแต่งชุดขาวกินเจ 9 วัน

การกินเจในพื้นที่สำคัญอย่างภูเก็ตมีประวัติว่า พวกงิ้วเป็นผู้เริ่มก่อน เมื่อ พ.ศ. 2392 ที่บ้านกระทู้ และมีชาวบ้านร่วมด้วย เมื่อร่วมด้วยและโรคภัยบรรเทาลง จึงทำเป็นประเพณีสืบต่อกันมาตามรูปแบบที่กลุ่มงิ้วสอนไว้

สำหรับโรงเจในภาคกลาง ถาวร สิกขโกศล อ้างอิงข้อมูลจากอาจารย์ธีระ วงศ์โพธิ์พระ (ธีรทาส) ซึ่งเป็นผู้ดูแลโรงเจเป้าเก็งเต็งบ่อนไก่คลองเตย ที่อยู่ในหนังสือ “ตำนานศาลเจ้าโรงเจ อายุ 100 ปี เมืองไทย” ว่า วัดจีน ศาลเจ้าจีน โรงกินเจต่างๆ ในไทยกลุ่มที่อายุมากกว่า 100 ปีขึ้นไป ส่วนมากเป็นศิษย์สายวัดเส้าหลิน (เสี่ยวลิ้มยี่) สาขาฮกเกี้ยนประเทศจีน มาก่อสร้างไว้หลายยุค ส่วนมากเป็นภิกษุที่มีความรู้ นักปราชญ์ชาวฮั่นกลุ่มเชื้อสายราชวงศ์หมิงที่หลบหนีภัยสงคราม ท่านเหล่านี้ร่วมขบวนการ “อั้งยี่” สมาคมลับผู้เป็นแกนนำ ชูอุดมการณ์ “โค่นชิงฟื้นหมิง” คือพวก หงเหมิน (洪门) แต้จิ๋วว่า “อั่งมึ้ง” ซึ่งในเมืองไทยเรียกกันว่า “อั้งยี่”



ภาพนักแสดงงิ้วสมัยราชวงศ์ชิง


สมาคมหงเหมิน ขบวนการ “อั้งยี่” กับเทศกาลกินเจ

สมาคมหงเหมิน ยังมีชื่ออื่นอีกเช่น ซันเหอฮุ่ย (三合会 ซาฮะหวย) แปลว่า องค์สามหรือสามประสานคือฟ้าดินมนุษย์

กำเนิด “สมาคมหงเหมิน” มี 3 ทฤษฎี

ทฤษฎีแรก ซุนยัตเซนและเถาเฉิงเจียงเชื่อว่า ขุนนางเก่าของราชวงศ์หมิงร่วมกันก่อตั้งขึ้นเพื่อโค่นชิงฟื้นหมิง มี เจิ้งเฉิงกง (พ.ศ. 2167-2205) เป็นผู้นำคนแรก โดยถือเอาฟ้าเป็นพ่อ ดินเป็นแม่ จึงเรียกสมาคมฟ้าดิน (เทียนตี้ฮุ่ย-ทีตี่หวย) ช่วงเวลาเดียวกันนี้ขุนนางเก่าของราชวงศ์หมิงร่วมกันตั้งขบวนการต่อต้านราชวงศ์ชิงขึ้นอีกหลายแห่ง ที่สำคัญคือหงอิงร่วมมือกับกู้เอี้ยนอู่และคนอื่นๆ ตั้งสมาคมฮั่นหลิว ซึ่งภายหลังร่วมกับสมาคมฟ้าดิน ใช้ชื่อว่า หงเหมิน ตามแซ่ของหงอิง ตามทฤษฎีนี้มีตำนานเกี่ยวข้องกับวัดเส้าหลินใต้ที่ฮกเกี้ยน เป็นตำนานที่เล่าขานไปทั่วรวมทั้งประเทศไทย สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากหนังสือ “เปิดโลกยุทธจักร” ซึ่งอรุณ โรจนสันติ แปลจากภาษาจีน

ทฤษฎีที่สอง มีตำนานว่าในรัชกาลคังซี พระวัดเส้าหลินใต้ที่ฮกเกี้ยนช่วยราชวงศ์ชิงรบขับไล่ศัตรูที่เข้ามาตีจีน แต่แล้วกลับถูกหักหลังล้อมเผาวัด มีหลวงจีนหนีไปได้เพียง 5 องค์ ถึงอำเภอสือเฉิง เมืองฮุ่ยโจว มณฑลกวางตุ้ง ได้พบกับ ว่านหยุนหลง กรีดเลือดสาบานกันตั้งสมาคมฟ้าดินขึ้น ตำนานนี้คล้ายกับตำนานอั้งยี่ ที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเล่าไว้ในนิทานโบราณคดี

ทฤษฎีที่สาม ไช่เส้าชิงค้นคว้าจากเอกสารและจดหมายเหตุปราบกบฏหงเหมินกลุ่มหลินซวงเหวินในไต้หวันในรัชกาลคังซีได้ข้อสรุปว่า หลวงจีนหงเอ้อร์ (อีกชื่อหนึ่งว่าว่านถีสี่) ก่อตั้งสมาคมนี้ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2304 รัชกาลเฉียงหลงโดยรวมศิษย์และสมัครพรรคพวกขึ้นที่อำเภอจางผู่ เมืองจางโจว มณฑลฮกเกี้ยนก่อน มีปณิธานโค่นชิงฟื้นหมิง และร่วมแรงแข็งขันถือว่า “น้ำป่าไหลหลากลงใต้ฟ้า หยดเลือดร่วมสาบานร่วมแซ่หง”


@@@@@@@

ผู้เขียนหนังสือมองว่า ทฤษฎีที่สามเชื่อถือได้มากที่สุด แต่ทฤษฎีแรกแพร่หลายที่สุดและก็มีความเป็นไปได้มากกว่า สมาคมหงเหมิน คงมีเค้ามาตั้งแต่ยุคเจิ้งเฉิงกง แต่มาสมบูรณ์ชัดเจนในยุคหลวงจีนหงเอ้อร์ตามทฤษฎีที่สาม

เมื่อแรกก่อตั้ง ขบวนการหงเหมินแพร่อยู่ในมณฑลฮกเกี้ยน กวางตุ้งและเจ้อเจียง แล้วค่อยๆ ขยายกว้างออกไป ถึงยุคสงครามฝิ่น (พ.ศ. 2383) แพร่ไปหลายมณฑลตลอดจนโพ้นทะเลถึงอเมริกา มีสมาคมสาขาใช้ชื่อต่างกันมากมายทั้งในและนอกประเทศจีน

ขบวนการหงเหมินและเครือข่ายเป็นกบฏและก่อจลาจลหลายครั้ง บางส่วนเข้าร่วมกับกบฏไท่ผิง การโค่นล้มราชวงศ์ชิงของซุนยัตเซนได้รับความช่วยเหลือจากขบวนการหงเหมิน (อั้งยี่) ทั้งในและนอกประเทศจีนรวมทั้งประเทศไทยด้วย ซึ่งไม่ขอกล่าวรายละเอียด

หลี่เทียนซี่มีความเห็นว่าพวกหงเหมิน (อั้งยี่) คงจะใช้เทศกาลกินเจบังหน้า หาพวกพ้องร่วมขบวนการต่อต้านราชวงศ์ชิง ศูนย์กลางอยู่ที่มณฑลฮกเกี้ยน ต่อมาถูกปราบ พลอยให้เทศกาลกินเจเสื่อมไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฮกเกี้ยน พวกหงเหมินเป็นอันมากหนีไปดำเนินการต่อในโพ้นทะเล กิจกรรมสำคัญประการหนึ่งคือสร้างโรงเจ ทำให้เทศกาลกินเจในโพ้นทะเลโดยเฉพาะอย่างยิ่งไทยกับมาเลย์เซียคึกคักแพร่หลายยิ่งกว่าในจีน โรงเจเหล่านี้ส่วนมากมีกลอนคู่ (ตุ้ยเหลียน-ตุ้ยเลี้ยง) สื่อความหมาย “โค่นชิงฟื้น หมิง” อยู่ด้วย

@@@@@@@

ผู้เขียนหนังสืออ้างอิงคำบอกเล่าของอาจารย์ธีระ ซึ่งระบุว่า อั้งยี่โพ้นทะเลเหล่านี้อพยพออกมาเป็น 3 รุ่น รุ่นแรกราว พ.ศ. 2400 สายหนึ่งขึ้นที่ภูเก็ต รุ่นสามมีเหลาฉวบซือกง ผู้บวชที่วัดซิงอำยี่ เมืองแต้จิ๋ว เป็นผู้นำสำคัญอีกราย มาขึ้นฝั่งที่ภูเก็ตราว พ.ศ. 2430 และธุดงค์ไปหลายจังหวัด นอกจากนี้ยังเป็นผู้นำก่อสร้างโรงเจ สอนพิธีกินเจให้โรงเจหลายแห่ง

ผู้ร่วมกิจกรรมโรงเจเหล่านี้มักพูดคำว่า “ฮ้วงเช็ง-ฮกเม้ง” หรือ “โค่นชิงฟื้นหมิง” กันติดปาก ซึ่งอาจารย์ธีระ เล่าให้ฟังว่า ช่วงก่อนอายุ 14 ปี เมื่อพบเพื่อนก็ยกมือขึ้น แบมือ และพูดคำนี้ตามโดยไม่รู้ความหมาย ถาวร สิกขโกศล เชื่อว่า ข้อมูลนี้ถือเป็นหลักฐานชี้ว่า โรงเจเหล่านี้เกิดจากพวกอั้งยี่อย่างแน่นอน แต่อุดมการณ์ทางการเมืองค่อยๆ จางหายไป เหลือแต่กิจกรรมทางศาสนา

สำหรับความเสื่อมสูญของขบวนการอั้งยี่ หนังสือ “วัฒนธรรมของสังคมสัญจรชน” เขียนโดยเย่เทา และจางเหยียนซิง ระบุว่า ช่วงสงครามจีนญี่ปุ่น สมาคมฟ้าดิน (อั้งยี่) ต่อต้านต่างชาติที่รุกรานจีน และร่วมมือกับซุนยัตเซน โค่นราชวงศ์ชิงสำเร็จ แต่รัฐบาลก๊กมินตั๋งไม่เหลียวแล ยกเลิกกองทัพซึ่งมีกลุ่มฟ้าดินเป็นแกนหลัก

เมื่อกลุ่มฟ้าดินเห็นว่าราชวงศ์ชิงล่ม อุดมการณ์บรรลุผลแล้วก็ค่อยๆ สลายตัว บางกลุ่มกลายเป็นโจร บางกลุ่มตกเป็นเครื่องมือขุนศึก อั้งยี่ส่วนหนึ่งยังได้เข้าร่วมงานปฏิวัติหลังพรรคคอมมิวนิสต์ก่อตั้ง ดำเนินกิจกรรมทางการเมือง หลังสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ใน พ.ศ. 2492 รัฐบาลแก้ปัญหาชนชั้นและเศรษฐกิจ ปราบกลุ่มนอกกฎหมายอย่างจริงจัง อั้งยี่ในจีนจึงสลายไป


อ่านเพิ่มเติม :-

    • “หอยนางรมเป็นอาหารเจ” ความเชื่อนี้อ้างอิงมาจากไหน? ทำไมพระมหายานถึงไม่กิน?
    • เทศกาลกินเจ กับ สมาคมลับเพื่อโค่นชิงฟื้นหมิง




ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
เผยแพร่ : วันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ.2568
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 8 ตุลาคม 2561
website : https://www.silpa-mag.com/history/article_20969
อ้างอิง : ถาวร สิกขโกศล. เทศกาลจีน และการเซ่นไหว้. กรุงเทพฯ : มติชน, 2557. หน้า 487-494

หน้า: [1] 2 3 ... 10