ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 10
 31 
 เมื่อ: ตุลาคม 17, 2025, 06:51:09 pm 
เริ่มโดย aventure1 - กระทู้ล่าสุด โดย aventure1
ดันกระทู้

 32 
 เมื่อ: ตุลาคม 17, 2025, 05:41:03 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 33 
 เมื่อ: ตุลาคม 17, 2025, 12:34:37 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 34 
 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2025, 11:36:41 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 35 
 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2025, 05:21:52 pm 
เริ่มโดย aventure1 - กระทู้ล่าสุด โดย aventure1
ดันกระทู้

 36 
 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2025, 09:23:17 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



ธรรมะรักษาใจสมุนไพรรักษากาย มะรุมมหัศจรรย์ ป้องกันโรคร้ายและมะเร็ง

มะรุม คือ ยอดยาไทยแสนมหัศจรรย์ เป็นผักสวนครัวที่สามารถนำมารับประทานได้ทั้ง ฝัก ใบ และดอก มีวิตามินซีและแคลเซี่ยมสูง บำรุงกระดูก ยิ่งไปกว่านั้นได้มีการศึกษาวิจัยพบว่า มะรุมสามารถต้านโรคมะเร็งร้ายได้อีกด้วย



 :25: :25: :25:

ขอเจริญพรญาติโยมสาธุชนทั้งหลาย ธรรมะรักษาใจสมุนไพรรักษากาย โดยพระมหาขวัญชัย อคคฺชโย วันก่อนอาตมาได้อ่านบทความทางการแพทย์หนึ่งเขียนว่า ในปี 2568 มีผู้ถูกวินิจฉัยเป็นโรคมะเร็งรายใหม่เพิ่มขึ้นทั่วโลก และอัตราการเสียชีวิตก็เพิ่มมากขึ้นตามจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มมากขึ้น

อาตมาเล็งเห็นว่าโรคมะเร็งร้ายสามารถป้องกันได้หากเรามีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่บั่นทอนสุขภาพและรับประทานอาหารเป็นยา ดังนั้นยอดยายอดอาหารของสัปดาห์นี้อาตมาขอนำเสนอ มะรุม ใช้เป็นยาก็ได้ทำกับข้าวก็หร่อยจังฮู้! นั่นเป็นเพราะ มะรุม คือ ยอดยาไทยแสนมหัศจรรย์ เป็นผักสวนครัวที่สามารถนำมารับประทานได้ทั้ง ฝัก ใบ และดอก มีวิตามินซีและแคลเซี่ยมสูง บำรุงกระดูก ยิ่งไปกว่านั้นได้มีการศึกษาวิจัยพบว่า มะรุมสามารถต้านโรคมะเร็งร้ายได้อีกด้วย


พระมหาขวัญชัย อคคฺชโย เจ้าอาวาสวัดคีรีวงก์ (วัดน้ำตก)


สาเหตุที่มะรุมสามารถต้านมะเร็งได้ เพราะมีสารสำคัญได้แก่ กรดปาล์มิติก ที่ออกฤทธิ์เป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว อีกทั้งอุดมด้วยกลุ่มสารพฤษเคมีหลายชนิด อาทิ ฟลาไวนอยด์, เทอร์พีนอยด์, ซาโปนิน, อัลคาลอยด์ และ กรดฟีโนลิค ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ และต้านเชื้อจุลชีพ

ในทางการแพทย์แผนไทย ใบมะรุมมีรสเฝื่อน แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้การอักเสบบริเวณเซลล์ชั้นเยื่อเมือก ฝักมีรสหวานเย็น ดับพิษถอนไข้ แก้ปัสสาวะไม่ปกติ เมล็ดรสจืดมัน แก้ไข้ แก้หอบ บำรุงไฟธาตุ สามารถนำมาทำเมนูอาหารได้หลากหลาย เช่น แกงจืดใบมะรุม, ยอดมะรุมผัดไฟแดง หรือจะนำใบ ดอก และฝักมาลวกรับประทานแนมกับน้ำพริกหนุ่มปลาช่อนนึ่งสมุนไพร ส่วนแกงบะค้อนก้อมใส่ปลาแห้งกับผักหละ  (แกงมะรุมใส่ปลาแห้งกับชะอม) แบบชาวล้านนาก็ลำแต้ลำว่า ถ้ารับประทานคู่กับชาใบมะรุมตำรับหลวงปู่วัดคีรีวงก์ยิ่งได้ประโยชน์หลายเด้ง รีบมาทำตาม ๆ กันเถิดโยม



มะรุม คือ ยอดยาไทยแสนมหัศจรรย์ เป็นผักสวนครัวที่รับประทานได้ทั้ง ฝัก ใบ และดอก


เกร็ดยาหลวงปู่วัดคีรีวงก์ (วัดน้ำตก) สูตรป้องกันโรคร้ายและมะเร็ง ให้ท่านผู้อ่านนำใบมะรุมมา 1 กำมือ ล้างให้สะอาดแล้วพักให้สะเด็ดน้ำก่อนหั่นเป็นท่อนสั้น ขณะเดียวกันเทน้ำดื่มสะอาดปริมาตร 4 ลิตรลงในหม้อสเตนเลสหรือหม้อเคลือบ ตั้งไฟกลางค่อนอ่อน นำใบมะรุมใส่ลงไปให้หม้อต้มจนเดือด แล้วปิดเตากรองเอาแต่น้ำ ดื่มทุกวัน ๆ ละ 2 ครั้ง ๆ ละ 60 มิลลิลิตร ก่อนอาหารเช้า-เย็น สำหรับข้อควรระวัง ผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคไต สตรีตั้งครรภ์ และเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ให้ปรุงเป็นเมนูอาหารรับประทานตามเมนูที่เคยบอกไปข้างต้นจะดีกว่านะโยม

ยาดีมีอยู่คู่ครัวไทย หากท่านผู้อ่านต้องการใส่ใจดูแลสุขภาพ ขอเพียงแค่เดินไปสอดส่องดูตามท้องตลาด สวนหลังบ้าน หรือหาพื้นที่ปลูกในกระถางไว้รับประทาน ก็สามารถใช้ประกอบอาหารหรือทำเป็นยาเพื่อป้องกันตนให้ห่างไกลโรคร้ายได้แล้ว ไม่มียาใดที่เลอค่าและเลิศรสไปกว่าสมุนไพรไทย





ก่อนจากกันอาตมาขอเชิญชวนทุกท่านร่วมอนุโมทนาบุญสร้างกุศลรับวันออกพรรษา งานกฐินสามัคคี สร้างโรงเรียนแพทย์แพทย์ไทย-หมอพื้นบ้าน (หมอพร) ณ วัดคีรีวงก์ (วัดน้ำตก) อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร เพื่อสร้างปัญญาการศึกษา สร้างหมอ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีเพราะจะมีทุนการศึกษาและแหล่งฝึกงานได้มาตรฐาน ให้ศึกษาแพทย์แผนไทยร่ำเรียนจบไปช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบความทุกข์จากโรคภัย อีกทั้งช่วยกันอนุรักษ์สืบสานการแพทย์ที่เป็นสมบัติชาติ

ผู้ใดมีจิตศัรทธาอาตมาขออนุโมทนาบุญมา ณ ที่นี้ ….ขอเจริญพร




บทความโดย : พระมหาขวัญชัย อคคฺชโย เจ้าอาวาสวัดคีรีวงก์ (วัดน้ำตก)
ศูนย์เรียนรู้สมุนไพรแพทย์แผนไทย-หมอพื้นบ้าน (หมอพร) อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร





Thank to : https://www.dailynews.co.th/news/5201932/
ข่าว > การศึกษา-ศาสนา | 14 ต.ค. 2568 • 16:13 น.

 37 
 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2025, 08:37:44 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



‘กรมการศาสนา’ จัดทอดกฐิน-ผ้าป่า ช่วยวัด 4 จังหวัดชายแดนใต้

กรมการศาสนา (ศน.) ร่วมกับพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย-เนปาล คณะสงฆ์หนเหนือ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) จัดโครงการถวายผ้ากฐิน และผ้าป่าพัฒนาวัดในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และโครงการถวายผ้ากฐินล้านนาและผ้าป่าพัฒนาวัดภาคเหนือ

นายชัยพล สุขเอี่ยม อธิบดีกรมการศาสนา (ศน.) กล่าวว่า ศน. ร่วมกับพระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย-เนปาล คณะสงฆ์หนเหนือ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) จัดโครงการถวายผ้ากฐินล้านนาและผ้าป่าพัฒนาวัดภาคเหนือ ในวันที่ 25 ต.ค. เวลา 09.30 น. ณ มหาศาลาหทัยนเรศว์ร วัดพระธาตุศรีจอมทอง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ และในวันที่ 2 พ.ย. เวลา 09.30 น. ณ หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา จ.สงขลา เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 28 ก.ค. 2568

โดยการถวายผ้ากฐินและผ้าป่าพัฒนาวัดในจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น จะได้นำไปถวายให้กับวัดพุทธในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส จำนวน 312 วัด ส่วนการถวายผ้ากฐินล้านนาและผ้าป่าพัฒนาวัดภาคเหนือ จำนวน 300 วัด ในเชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และแม่ฮ่องสอน ที่ตกค้างกฐิน ไม่มีเจ้าภาพกฐิน ขณะที่บางวัดจัดเป็นทอดผ้าป่าเพื่อทำนุบำรุงวัดและเป็นกำลังใจให้กับพระสงฆ์ที่อยู่ในพื้นที่ด้วย





อธิบดี ศน. กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้จากการสำรวจพบว่า พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีวัดที่จะรับการถวายผ้ากฐินได้จำนวน 12 วัด และวัดที่จะรับการถวายผ้าป่า จำนวน 300 วัด รวม 312 วัด และพื้นที่ในภาคเหนือ มีวัดที่จะรับการถวายผ้ากฐินได้มีจำนวน 12 วัด และวัดที่จะรับการถวายผ้าป่า จำนวน 288 วัด รวม 300 วัด





Thank to : https://www.dailynews.co.th/news/5205698/
ข่าว > การศึกษา-ศาสนา | 15 ต.ค. 2568 • 12:06 น.

 38 
 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2025, 08:31:24 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



เปิด 5 เรื่องจริงของ ‘กฐิน’ ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ ชี้วัดมีพระจำพรรษา 1 รูปรับกฐินได้  

รศ.ดร.เวทย์ บรรณกรกุล อาจารย์ประจำมหาวชิราลงกรณบาลีเถรวาทราชวิทยาลัย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก เรื่องจริงของ "กฐิน" ที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้ 5 เรื่องบางคนเข้าใจผิดมาทั้งชีวิต

เมื่อวันที่ 15 ต.ค. รศ.ดร.เวทย์ บรรณกรกุล อาจารย์ประจำมหาวชิราลงกรณบาลีเถรวาทราชวิทยาลัย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า  เรื่องจริงของ “กฐิน” ที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้ 5 เรื่องบางคนเข้าใจผิดมาทั้งชีวิต


@@@@@@@

1. จุดเริ่มต้นกฐิน เกิดจาก “ความเมตตา” ไม่ใช่แค่ประเพณี

อาจคิดว่ากฐิน คือ ธรรมเนียมที่วัดจัดขึ้นทุกปี แต่ต้นกำเนิดแท้จริงนั้น มาจาก “น้ำพระทัยของพระพุทธเจ้า” ต่อภิกษุ 30 รูปที่ชื่อว่า ภัททวัคคีย์ ผู้เดินทางไกลมาด้วยศรัทธาอันแรงกล้าจนจีวรเปื้อนโคลน ขาดรุ่งริ่งจากการเดินทางกลางฝน

เมื่อพระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็น ทรงปรารภเหตุนี้ และบัญญัติให้มี “กฐิน” ขึ้นมา เพื่อให้พระภิกษุเหล่านั้นได้พักต่ออีกหนึ่งเดือน จนกว่าฝนจะหมด ก่อนออกเดินทางต่อ

นี่ไม่ใช่เพียงการ “เยียวยา” แต่เป็น “การแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ” เป็นพุทธานุญาตที่เกิดจากความเข้าใจในความเหนื่อยยากของพระสงฆ์อย่างแท้จริง เพราะทุกศาสนพิธีในพระศาสนา ล้วนมีหัวใจคือความเมตตานั่นเอง

2. พระ 1 รูป ก็รับกฐินได้

ความเข้าใจผิดเรื่อง “ต้องมีครบ 5 รูป” หลายคนคิดว่า วัดจะรับกฐินได้ต้องมีพระจำพรรษา 5 รูปขึ้นไป แต่ตามพระวินัยแท้จริงแล้ว มีเพียง 1 รูปที่จำพรรษาครบไตรมาส ก็รับกฐินได้แล้ว จำนวน 5 รูปนั้น เป็นองค์ประกอบของสังฆกรรม คือ ขั้นตอนภายในของคณะสงฆ์ที่ใช้ในการสวดกรรมวาจา ไม่ใช่เงื่อนไขของการรับผ้ากฐินจากญาติโยม

ดังนั้น แม้วัดจะมีพระจำพรรษาเพียงรูปเดียว ก็สามารถรับผ้ากฐินได้ เพียงนิมนต์พระจากวัดอื่นมาครบองค์สงฆ์เพื่อทำพิธีให้สมบูรณ์

พระวินัยจึงสรุปไว้อย่างแยบคายว่า “สงฆ์ไม่ได้กรานกฐิน คณะไม่ได้กรานกฐิน แต่บุคคลกรานกฐิน” นั่นคือ พระเพียงรูปเดียวก็เป็นผู้กรานกฐินได้เพราะ “สงฆ์อนุโมทนา”

3. “กฐิน” แปลว่า “มั่นคง” ไม่ใช่ “ไม้สะดึง”

ใครๆ ก็เคยได้ยินว่า “กฐิน” หมายถึง ไม้สะดึง – ไม้ที่ใช้ขึงผ้าให้ตึงตอนเย็บ ซึ่งเป็นคำแปลตามคัมภีร์นิฆัณฑุศาสตร์พจนานุกรม ความหมายของ กฐิน หากอ้างอิงตามคัมภีร์วินัยแล้ว คำว่า “กฐิน” ไม่ได้แปลว่า “ไม้สะดึง” แต่เป็นความของ “ถิร” ที่แปลว่า “มั่นคง”

ในคัมภีร์สารัตถทีปนีฎีกา ได้อธิบายคำว่า กฐิน ไว้ว่า
   "กะฐินันติ ปัญจานิสัง อันโตกรณสมัตถะตายะ ถินันติ อตฺโถ"

คำว่า กฐิน ในที่นี้หมายถึง ความสามารถทำให้ อานิสงส์ 5 ประการ ของกฐิน อยู่ภายในเขตของตัวเองได้ (เขตของกฐินคือ 5 เดือนหลังออกพรรษา หรือจนกว่ากฐินจะเดาะ)

ในคัมภีร์ฎีกาพระวินัย เราพบความหมายแท้จริงของ กฐิน ที่มีรากคำมาจาก ถิน หรือ ถิร เป็นความหมายที่งดงามและลึกซึ้งกว่า “ไม้สะดึง” นั้นมาก เพราะเมื่อวัดใดกรานกฐินสำเร็จแล้ว อานิสงส์พิเศษ 5 ประการจะดำรงอยู่มั่นคง ตลอดระยะเวลาหลังออกพรรษาไปจนถึงกลางเดือน 4 รวมราว 5 เดือน

ดังนั้น กฐินไม่ใช่เรื่องของ ไม้สะดึง ที่เป็นวัตถุ แต่คือ ระบบแห่งความมั่นคง ที่ทำให้พระภิกษุอยู่ในธรรมวินัยได้สะดวก เป็นการจัดระเบียบชีวิตสมณะให้ดำเนินต่อด้วยความมั่นคงทั้งกายและใจ





4. “คณโภชนัง” ไม่ได้ห้ามพระนั่งฉันล้อมวง

อานิสงส์ข้อหนึ่งของกฐินคือการ “ผ่อนปรนพระวินัย” ชั่วคราว แต่ข้อที่ถูกเข้าใจผิดมากที่สุดคือ คำว่า "คณโภชนัง" ซึ่งหลายคนคิดว่าแปลว่า “พระได้รับอนุญาตให้นั่งฉันข้าวเป็นวง” ผิดถนัด จริงๆ แล้ว พระวินัยไม่เคยห้ามพระนั่งฉันอาหารเป็นกลุ่มเลย

สิ่งที่ “คณโภชนัง” หมายถึงนั้นซับซ้อนกว่านั้นมาก คือ จะถือเป็นอาบัติได้ ก็ต่อเมื่อมีเงื่อนไขครบสามข้อ
    (1) ฆราวาสนิมนต์พระไปฉันนอกวัด
    (2) มีการเอ่ยชื่ออาหารใน “โภชนะ 5” (เช่น ข้าว เนื้อ ปลา ขนมสด ขนมแห้ง)
    (3) มีพระตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไปรับนิมนต์พร้อมกัน เช่น นิมนต์ว่า “นิมนต์พระไปฉัน ข้าวมันไก่” (ซึ่งมีทั้ง “ข้าว” และ “เนื้อ”) และมีพระไป 4 รูปขึ้นไปนั่นแหละจึงจะเข้าข่าย คณโภชนัง

จะเห็นได้ว่า พระธรรมวินัยนั้นละเอียดและมีตรรกะลึกซึ้ง ไม่ใช่สิ่งที่ตีความจากชื่อหัวข้อได้ง่ายๆ นี่คือเสน่ห์ของพระพุทธศาสนา ที่ทุกคำล้วนผ่านการวางระบบอย่างมีเหตุผล

5. ผ้ากฐินเป็นของสงฆ์ พระต่างวัดไม่มีสิทธิรับ

อานิสงส์ข้อสุดท้ายของกฐิน คือ สิทธิในผ้าจีวรที่เกิดขึ้นในวัดนั้น ตามพระบาลีว่า
     “โย จ ตัตถะ จีวรูปปาโท โส เนสังเยวะ ภวิสสติ”

ผ้าจีวรในวัดนั้น ย่อมเป็นของภิกษุผู้จำพรรษาในวัดนั้นเท่านั้นหมายความว่า พระจากวัดอื่นที่มาร่วมพิธี แม้จะนั่งในงานด้วย ก็ไม่มีสิทธิรับส่วนแบ่งจากผ้ากฐิน เว้นแต่เจ้าภาพจะถวาย “ส่วนบุคคล” แยกต่างหาก เพราะผ้ากฐิน คือ ของสงฆ์ประจำวัด ไม่ใช่ของ “พระที่มาร่วมงาน” และการหยิบรับโดยไม่รู้วินัยนี้ อาจกลายเป็น “หนี้สงฆ์” โดยไม่รู้ตัว

ข้อนี้เองสะท้อนหัวใจของพิธีกฐิน คือการถวายเพื่อ “สนับสนุนพระผู้จำพรรษาและปฏิบัติจริง” ตลอดพรรษาไม่ใช่เพียงพิธีภายนอก แต่คือการมอบกำลังแก่ผู้ทรงศีลที่แท้จริง

@@@@@@@

เบื้องหลังกองผ้าไตรที่เราเห็นในงานทอดกฐิน คือเรื่องราวของพระเมตตา พระปัญญา และระบบวินัยอันลึกซึ้ง ที่ทำให้พิธีนี้ไม่ใช่แค่ประเพณีปีละครั้ง แต่เป็นบทเรียนแห่งธรรมและเหตุผลที่สืบทอดมากว่า 2,500 ปี






Thank to : https://www.dailynews.co.th/news/5206268/
ข่าว > การศึกษา-ศาสนา | 15 ต.ค.2568 • 13:55 น.

 39 
 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2025, 07:52:11 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.

สมเด็จพระเกษไชโย (ภาพจาก พระสมเด็จเกษไชโย พระท่ากระดาน และพระหูยาน, สนพ.มติชน)


พระสมเด็จเกษไชโย พระเครื่องชื่อดัง ที่ทำให้คนจำชื่อวัดผิด

พระสมเด็จเกษไชโย เป็นพระเครื่องชื่อดัง ซึ่งสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) อดีตเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพฯ สร้างขึ้นเป็นลำดับแรกเมื่อราว พ.ศ. 2400-2405 หากความดังของพระเครื่องนี้ ทำให้คนจำนวนไม่น้อยจำสับสนเรียกชื่อ “วัดไชโยวรวิหาร” ที่อ่างทอง ว่า “วัดเกษไชโย”

@@@@@@@

ที่มา พระสมเด็จเกษไชโย

พระนี้เป็น 1 ใน 3 “พระสมเด็จ” ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) สร้าง ซึ่งอีกสองนั้นประกอบด้วย พระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพฯ  และ พระสมเด็จวัดบางขุนพรหม กรุงเทพฯ

วัดไชโยวรวิหาร อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง เป็นวัดเก่าแก่แต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เป็นวัดในภูมิลำเนาของโยมตา-ยายของสมเด็จพระพุฒจารย์ (โต พรหมรังสี) ซึ่งท่านเองก็เกิดที่นั่น

วัดเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นช่วงปลายรัชกาลที่ 4 เมื่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) มาสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ (ภายในบรรจุพระเกษไชโยไว้ด้านใน) ให้ที่วัด 2 ครั้ง

ครั้งแรก สร้างพระพุทธรูปนั่งด้วยวิธีก่ออิฐสอดิน มีขนาดใหญ่โตมาก แต่ไม่นานเท่าใดก็พังทลายลงมา พระเกษไชโยซึ่งอยู่ภายในก็กระจัดกระจายออก บางส่วนมีการนำกลับเข้าไปในองค์พระที่จะบูรณะใหม่ บางส่วนก็มีผู้ยึดครองเป็นการส่วนตัว ถือเป็นกรุแตกครั้งที่ 1

ครั้งที่ 2 ยังคงก่อสร้างด้วยการก่ออิฐสอดินถือปูนขาว ไม่ปิดทอง แม้จะลดขนาดองค์พระลงจากครั้งแรก แต่พระพุทธรูปปางสมาธิที่ตั้งอยู่กลางแจ้งก็ยังมีขนาดใหญ่ เห็นได้แต่ไกล


สมเด็จพระเกษไชโย (ภาพจาก พระสมเด็จเกษไชโย พระท่ากระดาน และพระหูยาน, สนพ.มติชน)


พ.ศ. 2421 รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสมณฑลอยุธยา ผ่านวัดไชโย ทรงมีพระราชหัตถเลขาไว้ว่า

“…ถึงวัดไชโย ซึ่งสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) สร้างพระใหญ่ขึ้นไว้ และเข้าจอดที่นั่น พระราชเสนา พระยาอ่างทอง หลวงยกบัตร มาถวายชั้น ขึ้นไปดูพระ รูปร่างหน้าตาไม่งามเลย แลดูที่หน้าวัดปากเหมือนท่านขรัวโตไม่มีผิด ถือปูนขาวมิได้ปิดทอง…”

พ.ศ. 2430 รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยารัตนบดินทร (รอด กัลยาณมิตร) สมุหนายกสำนักราชการกรมมหาดไทย ขึ้นมาเป็นแม่กองปฏิสังขรณ์วัดไชโยขึ้นใหม่ทั่วทั้งอาราม ระหว่างการก่อสร้างครั้งนี้เกิดแรงสั่นสะเทือน ทำให้พระพุทธรูปที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) สร้างไว้พังลงมา

กรุแตกครั้งนี้มีพระเกษไชโยกระจัดกระจายออกมาอีกเช่นกัน นอกจากจะเก็บไว้รอกลับบรรจุเข้าไปเช่นเดิมแล้ว ก็มีผู้นำบางส่วนไปบรรจุไว้ที่พระเจดีย์วัดโพธิ์เกรียบ อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง

ส่วนองค์พระพุทธรูปที่พังเสียหายนั้น รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ รับสร้างพระพุทธรูปขึ้นใหม่ โดยลดขนาดให้เล็กลงอีก และให้มีโครงเหล็กยึดปูนไว้ โดยเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิเช่นเดิม แต่ครองจีวรและพาดสังฆาฏิกว้างแบบใหม่ ขนาดหน้าตัก 8 วา 6 นิ้ว สูงสุดยอดพระรัศมี 11 วา 1 ศอก 7 นิ้ว แล้วเสร็จใน พ.ศ. 2438 พระราชทานนามว่า “พระมหาพุทธพิมพ์”



พระมหาพุทธพิมพ์ ที่รัชกาลที่ 5 ทรงสร้าง ภายในบรรจุพระเกษไชโย (ภาพจากพระสมเด็จเกษไชโย พระท่ากระดาน และพระหูยาน, สนพ.มติชน)


แน่นอนว่าระยะเวลา 8 ปีนั้น พระเกษไชโยจำนวนหนึ่งหลุดรอดออกสู่ตลาดพระเครื่องด้วย รวมทั้งที่อยู่ในพระเจดีย์ที่วัดโพธิ์เกรียบก็มีคนร้ายไปขุดกรุขโมยออกมา เพราะชื่อเสียงของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ผู้สร้าง

ส่วนชื่อ “วัดไชโยวรวิหาร” คนจำนวนไม่น้อยก็เรียกตามชื่อของพระเครื่องชื่อดังของวัดว่า “วัดเกษไชโย” เรื่อยมา

อ่านเพิ่มเติม :-

    • “พระสมเด็จวัดระฆังฯ” พระที่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) สร้าง สู้ต้นแบบ “พระสมเด็จวัดบางขุนพรหม”
    • กำเนิด “พระสมเด็จวัดบางขุนพรหม” พระเครื่องดังหนึ่งในเบญจภาคี
    • เส้นทางพระเครื่องเพชรบุรี เกจิดังผนวกคติถิ่นคนดุ-เมืองนักเลง ถึงไสยเวทย์-พุทธพาณิชย์






ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : วิภา จิรภาไพศาล
เผยแพร่ : วันอังคารที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2568
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 9 สิงหาคม 2567
website : https://www.silpa-mag.com/history/article_136977
อ้างอิง : พิศาล เตชะวิภาค (ต้อย เมืองนนท์) บรรยาย. กองบรรณาธิการข่าวสด เรียบเรียง. พระสมเด็จเกษไชโย พระท่ากระดาน และพระหูยาน, สำนักพิมพ์มติชน พฤศจิกายน 2557.

 40 
 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2025, 06:58:37 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



ชวนเที่ยวงาน “ภูเขาทอง (วัดสระเกศ)”
สืบสานประเพณีห่มผ้าแดง บูชาพระบรมมาสารีริกธาตุ
องค์พระเจดีย์บรมบรรพต (ภูเขาทอง) ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๘
นมัสการ ๙ สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญ เพื่อความเป็นสิริมงคล


ประเพณีห่มผ้าแดง”งานภูเขาทอง (วัดสระเกศ)” เป็นพิธีที่ปฏิบัติสืบทอดต่อกันมายาวนานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ มีความเชื่อว่า การได้ห่มผ้าแดงองค์พระเจดีย์บรมบรรพต จะสร้างอานุภาพแห่งการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ และทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข มีความเจริญก้าวหน้าในชีวิต แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายนานาประการ

โดยในปีนี้ งานภูเขาทอง (วันสระเกศ ) จะเริ่มขึ้นใน วันพุธ ที่ ๒๙ เดือน ตุลาคม จะสิ้นสุด วันศุกร์ ที่ ๗ เดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๘




ประวัติความเป็นมาประเพณีห่มผ้าแดง บูชาพระบรมสารีริกธาตุ

งานภูเขาทองนี้เป็นประเพณีเก่าแก่มีมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ จนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีการจัดมานานกว่า ๑๐๐ ปีแล้ว (หยุดจัดงานไป๒ครั้งคือ ประมาณพุทธศักราช๒๔๙๗ ที่ได้บูรณะบรมบรรพต ภูเขาทอง หลังสงครามโลกครั้งที่๒ และงานพระราชพิธีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๙ พุทธศักราช๒๕๕๙-๒๕๖๑)

หลังได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐานที่พระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) วัดสระเกศ ได้มีการจัดพิธีการห่มผ้าแดงขึ้นทุกปี ในวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ จนถึง วันแรม ๒ ค่ำ เดือน ๑๒ ตั้งแต่ก่อนจนถึงหลังพิธีลอยกระทง รวม ๑๐ วัน ๑๐ คืน

หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้รับมอบพระบรมสารีริกธาตุมาจากประเทศอินเดียแล้วโปรดให้นำมาประดิษฐานไว้บน บรมบรรพต ภูเขาทอง พระองค์รับสั่งให้มีการจัดงานเพื่อทำการเฉลิมฉลอง บูชาพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อชาวพระนคร พระองค์ได้พระราชทานผ้าสีแดงเพื่อมาห่มบูชาพระบรมสารีริกธาตุ อันเป็นธงชัยสัญลักษณ์ของงานนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ

เนื่องจากในสมัยก่อนภูเขาทองเป็นสถานที่สูงสามารถมองเห็นได้จากที่ห่างไกลไปหลายกิโลเมตร นับว่าเป็นความอัจฉริยภาพของพระองค์ที่ได้นำผ้าสีแดงมาเป็นสัญลักษณ์ของงานนี้ ทำให้ประชาชนที่อยู่ห่างไกลมองเห็นธงสีแดงแล้วเกิดความเข้าใจว่า งานนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ วัดภูเขาทอง เริ่มขึ้นแล้ว ก็จะพากันมากราบไหว้สักการะบูชาพระบรมสารีริกธาตุ

แม้ในสมัยพุทธกาลก็มีพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุใหญ่บ้างเล็กบ้าง องค์ใหญ่คนก็มองเห็น องค์เล็กคนก็มองไม่เห็น พระโพธิสัตว์ได้นำผ้ามาประดับบูชาพระบรมสารีริกธาตุอันเป็นสัญลักษณ์ว่า ที่ตรงนี้มีพระเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ทำให้คนที่ผ่านไปมาได้ทราบแล้วมาทำการบูชา นับว่ามีอานิสงส์มากมาย นับเป็นเจตนาที่ดีของบูรพมหากษัตริย์ไทยที่ได้พระราชทานผ้าสีแดงมาเพื่อทำการห่มบูชาพระบรมสารีริกธาตุและคนไทยเชื้อสายจีนหรือคนจีนยังถือว่าสีแดงเป็นสีแห่งความเป็นมงคล

ทั้งนี้ความหมายของการห่มผ้าสีแดงให้กับองค์พระบรมสารีริกธาตุ ภูเขาทอง เนื่องจากสีแดงตามความเชื่อโบราณคือสีแห่งความเป็นมงคล

นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ว่า ผู้ที่เขียนชื่อ และนามสกุล ลงบนผ้าสีแดงแล้วนำผ้านั้นไปห่มบูชาพระบรมสารีริกธาตุก็จะได้รับความเป็นสิริมงคล อีกทั้งยังทำให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตราย

เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตมากยิ่งขึ้น เมื่อมาวัดสระเกศ ควรจะไหว้ที่ไหนบ้าง
 





มาทำความรู้จัก ๙ สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญภายในวัดสระเกศ

๑. ลานโพธิ์ลังกา / พระพุทธเจ้าน้อย / ต้นโพธิ์ลังกาพันธุ์พระศรีมหาโพธิ์ / รูปเหมือนสมเด็จ พระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสณมหาเถระ) ลานโพธิ์ลังกา

เป็นสถานที่รวม ๓ สิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญของพระอาราม ประกอบด้วย
   
    ๑.๑ ต้นโพธิ์ลังกา Bodhi Lanka
    ต้นโพธิ์ หรือต้นอัสสัตถพฤกษ์ พันธุ์พระศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอาจารย์ดีและพระอาจารย์เทพ หัวหน้าสมณทูตจากวัดสระเกศซึ่งรัชกาลที่ ๒ โปรดเกล้าฯ ให้ไปสืบพระศาสนาที่ประเทศศรีลังกาเป็นเวลา ๓ ปี เมื่อกลับมาได้นำต้นกล้าซึ่งเป็นหน่อต้นพระศรีมหาโพธิ์จากเมืองอนุราธบุรีมาถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๕๓

พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปลูกไว้ที่วัดสระเกศหนึ่งต้น อีกสองต้นโปรดเกล้าฯ ให้ปลูกไว้ที่วัดสุทัศน์และวัดมหาธาตุ พระศรีมหาโพธิ์คงเจริญงอกงามเป็นร่มเงาถึงทุกวันนี้ การที่เราได้แสดงความเคารพ ถวายสักการะต้นโพธิ์ เปรียบเสมือนได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าและซึมซับพระธรรมคำสั่งสอนมาสู่ชีวิต เพื่อให้เกิดสันติสุขภายในใจของผู้มีศรัทธาทั้งหลาย ท่ามกลางความสงบร่มเย็นที่ท่านจะสัมผัสได้เมื่ออยู่ใต้ร่มโพธิ์แห่งนี้

    ๑.๒ พระพุทธเจ้าน้อย
    แสดงถึงความเป็นหนึ่งในโลก ความเป็นยอดคนในโลก และความเป็นผู้ประเสริฐสุดในโลก พระพุทธเจ้าน้อยซึ่งประดิษฐาน ณ ลานโพธิ์ลังกา เป็น ๑ ใน ๓ พระพุทธเจ้าปางประสูติที่หล่อขึ้นเพื่ออัญเชิญไปประดิษฐาน ณ ลุมพินีวัน ประเทศเนปาล สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า โดยได้อัญเชิญอีก ๑ องค์มาประดิษฐานที่ลานโพธิ์ลังกา ด้านหน้าพระอุโบสถวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร เพื่อเป็นอนุสรณ์ระลึกถึงการบูรณะเส้นทางแสวงบุญสู่ลุมพินีวัน สถานที่ประสูติของพุทธเจ้า

    ๑.๓ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร อดีตประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นพระมหาเถระผู้เป็นประวัติศาสตร์ความทรงจำพระพุทธศาสนาโลก หากเอ่ยนามพระสงฆ์ผู้เป็นต้นแบบแห่งสงฆ์ที่พุทธบริษัทปรารถนาจะได้พบเห็น ซึ่งเป็นหนึ่งในทัสนานุตริยะที่เป็นมงคลยิ่ง เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เป็นพระมหาเถระที่ได้รับการกล่าวนามถึงมากที่สุดรูปหนึ่งในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาบนผืนแผ่นดินไทย ทั้งนี้ ก็ด้วยใบหน้าที่เปิดยิ้ม ฉายแววแห่งความเมตตา ทักทายผู้คนทุกชนชั้นที่พบเห็น

นอกจากนั้น เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ยังเป็นผู้ริเริ่มวางรากฐานแนวคิดนำพระพุทธศาสนาก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ และนำพระพุทธศาสนาขจรขจายไปก้องโลก เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นองค์ปฐมผู้ก่อตั้งสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ ทำให้วัดไทยเกิดขึ้นทุกมุมโลก ปรากฏอยู่จนถึงปัจจุบัน

    • ขอความเป็นหนึ่งขอพระพุทธเจ้าน้อย
    • ขอวิสัยทัศน์ขอหลวงพ่อสมเด็จฯ
    • ขอความสำเร็จ ขอต้นพระศรีมหาโพธิ์





๒. พระประธานประจำพระอุโบสถวัดสระเกศ มีพระนามว่า “พระพุทธมงคลชินสีห์วชิรมุนี”
   
พระพุทธลักษณะของพระประธาน เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิซึ่งไม่ค่อยพบมากนักในงานช่างไทยสมัยเดียวกัน ลักษณะโดยรวมใกล้เคียงกับพระพุทธรูปในสมัยอยุธยา จึงแสดงให้เห็นถึงงานที่สืบต่อมาจากสมัยอยุธยาตอนปลาย ตรงตามประวัติที่กล่าวว่า รัชกาลที่ ๑ โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพอกทับพระประธานองค์เดิม ลักษณะดังกล่าวเป็นงานช่างที่ต่างจากงานช่างในสมัยรัชกาลที่ ๓ ซึ่งจะมีพระพักตร์อย่างหุ่นอันเป็นลักษณะเฉพาะที่เกิดขึ้นในภายหลัง

ลักษณะของพระพุทธรูปประธานประจำพระอุโบสถวัดสระเกศ มีพระพักตร์ค่อนข้างสี่เหลี่ยมแบบอยุธยา ขมวดพระเกศาเล็ก พระรัศมีเป็นเปลวสูง พระโอษฐ์กว้างแบบอยุธยา ลักษณะชายสังฆาฏิที่ซ้อนทับกันแบบเดียวกับพระพุทธรูปอยุธยาตอนปลาย ในสมัยของพระเจ้าปราสาททอง มีส่วนที่แตกต่าง คือ ในสมัยรัตนโกสินทร์นิยมทำสังฆาฏิพาดกึ่งกลางพระวรกาย ในขณะที่พระพุทธรูปสมัยอื่น ๆ นั้น ชายสังฆาฏิจะอยู่ทางเบื้องซ้าย
 
สำหรับฝาผนังภายในพระอุโบสถระหว่างซุ้มหน้าต่างเป็นภาพทศชาติ ด้านบนเป็นภาพเทวดาและท้าวจตุโลกบาล ส่วนด้านหน้าเป็นภาพมารวิชัย ด้านหลังพระประธานเป็นภาพไตรภูมิ คือ ภาพสวรรค์  มนุษย์ และนรก
 
    • ขอความเป็นใหญ่ขอการเริ่มต้นที่ดี ขอหลวงพ่อพระประธาน
     
@@@@@@@
 
๓. พระอัฏฐารส / หลวงพ่อดุสิต
   
พระอัฏฐารส มีพระนามเต็มว่า พระอัฏฐารสศรีสุคตทศพลญาณบพิตร ศิลปะสกุลช่างสมัยสุโขทัยตอนต้น คาดว่า มีอายุร่วม ๗๐๐ ปี เป็นประพุทธรูปยืนที่มีความสูงที่สุดในกรุงเทพมหานคร มีความสูงถึง ๕ วา ๑ ศอก ๑๐ นิ้ว (๒๑ ศอก ๑ นิ้ว) หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ทั้งองค์ โดยไม่มีการเชื่อมต่อ นับว่าเป็นการหล่อพระพุทธรูปด้วยโลหะที่มีขนาดสูงใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชนชาติไทย

เดิมประดิษฐานอยู่วัดวิหารทอง เมืองพิษณุโลก วัดประจำพระราชวังจันทน์ ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ต่อมา รัชกาลที่ ๓ โปรด ฯ ให้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่พระวิหาร วัดสระเกศ กรุงเทพมหานคร ปัจจุบันพระอัฏฐารสเป็นพระพุทธรูปหล่อโลหะองค์สุดท้ายของกรุงสุโขทัยที่คงหลงเหลืออยู่

ในวันที่ ๑๕ เมษายนของทุกปี พระวิหารพระอัฏฐารส ยังใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ บทมหาสมัยสูตร เพื่อทำน้ำพระพุทธมนต์แจกจ่ายให้ประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เป็นประเพณีเก่าแก่ของวัดสระเกศที่สืบเนื่องมาแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ จนถึงปัจจุบัน

หลวงพ่อดุสิตมีประวัติว่า เดิมเป็นพระประธานประจำพระอุโบสถวัดดุสิตมาก่อน วัดดุสิตนั้น แต่เดิมตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานพระราชวังดุสิต อยู่ใกล้กันกับวัดแหลมหรือวัดเบญจมบพิตร

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงสร้างพระราชวังดุสิตและสวนดุสิต จำต้องขยายบริเวณเกินเนื้อที่วัดทั้งสองวัด จึงทรงพระราชปรารภสร้างวัดชดใช้วัดทั้งสองขึ้นวัดหนึ่ง คือ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม แล้วจึงได้โปรด ฯ ให้อัญเชิญพระประธานในพระอุโบสถวัดดุสิตไปประดิษฐานอยู่ในห้องด้านหลังพระวิหารพระอัฏฐารส ซึ่งว่างอยู่ ภายหลังเรียกกันว่า “หลวงพ่อดุสิต” ประดิษฐานอยู่ตลอดมาจนทุกวันนี้

     • ขอลูก ขอหลวงพ่อพระอัฏฐารส
     • ขอความสุขความยุติธรรม ขอหลวงพ่อดุสิต





๔. คัมภีร์โบราณ ๒,๐๐๐ ปี
   
พระธรรมเจดีย์นี้มีการขุดค้นพบในถ้ำเทือกเขาบาบิยัน ประเทศอัฟกานิสถาน บนเส้นทางสายไหม ซึ่งสมัยพุทธกาล เรียกว่า “แคว้นคันธาระ” อันเป็นแคว้นต้นกำเนิดพระพุทธรูปยุคแรกของโลก โดยพระคัมภีร์ดังกล่าวได้รับการยืนยันว่า เป็นผลงานจารึกของเหล่าพระอรหันตสาวก ในราวพุทธศตวรรษที่ ๖ หรือประมาณ ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว ได้ทำการจารึกลงบนใบลาน เปลือกไม้ หนังสัตว์ และแผ่นทองเหลือง ด้วยอักษร “พราหมีโบราณ” ซึ่งเป็นอักษรที่ใช้ในสมัยพุทธกาลหรือหลังจากนั้นไม่นาน

ทั้งนี้ สถาบันอนุรักษ์สเคอเยนแห่งราชอาณาจักรนอร์เวย์ ได้พระคัมภีร์ชุดแรกมาจากผู้ค้าของเก่า ซึ่งถูกลักลอบขนย้ายออกจากหุบเขาบาบิยัน และแตกหักเล็กน้อยไว้ได้ประมาณ ๕,๐๐๐ ชิ้น และชิ้นส่วนเล็ก ๆ อีกประมาณ ๘,๐๐๐ ชิ้น ซึ่งนักโบราณคดี นักภาษาศาสตร์ จากนานาชาติได้ร่วมกันชำระเป็นเวลา ๑๒ ปี จึงทำให้ทราบแน่ชัดว่า พระคัมภีร์โบราณนั้น คือ “พระไตรปิฎก” นั่นเอง

ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สถาบันอนุรักษ์สเคอเยนได้มอบชิ้นส่วนคัมภีร์โบราณ จำนวน ๒ ชิ้น แก่วัดสระเกศ โดยชิ้นส่วนคัมภีร์นี้ทำมาจากใบลาน ความยาวประมาณ ๔ เซ็นติเมตร มีรายละเอียดระบุถึงโพธิสัตว์ปิฎกสูตร ชิ้นส่วน “คัมภีร์โบราณ” เหล่านี้คือหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นว่าแม้กาลเวลาจะล่วงมาเกิน ๒,๐๐๐ ปี แต่แนวทางการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ายังคงได้รับการรักษาไว้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์และถูกสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันเหมือนครั้งที่พระองค์ทรงพระชนม์อยู่

ทางวัดได้สร้างพิพิธภัณฑ์จำลองถ้ำบามิยันบริเวณทางขึ้นภูเขาทอง เพื่อประดิษฐานคัมภีร์พระพุทธศาสนาโบราณขึ้นเป็นการเฉพาะ รวมถึงองค์พระพุทธรูปแห่งบามิยัน เพื่อให้พุทธศาสนิกชนที่เข้าชมได้รู้ถึงที่มาของคัมภีร์พระพุทธศาสนาโบราณด้วย

     • ขอความมั่นคง ขอความมั่งคั่ง ขอหลวงพ่อบามิยัน

@@@@@@@

๕. หลวงพ่อดำ
   
พระพุทธรูปหลวงพ่อดำ เป็นพระปูนปั้นปิดทอง ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๔ ศอก ฝีมือช่างปั้นยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นพระพุทธรูปที่สร้างคู่กับพระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) มาแต่ต้น เล่ากันว่าสร้างไว้เพื่อให้เจ้านายและพุทธบริษัททั่วไปที่ไม่สามารถขึ้นไปสักการะด้านบนองค์พระบรมบรรพตได้บูชาที่พระพุทธรูปองค์นี้แทน ส่วนที่เรียกว่า “หลวงพ่อดำ” เพราะแต่เดิมลงรักสีดำไว้แล้วไม่ได้ปิดทอง จึงกลายเป็นพระพุทธรูปสีดำ แต่ภายหลังได้มีการบูรณะปิดทององค์หลวงพ่อและสร้างวิหารใหม่เพื่อให้เหมาะสมกับที่เป็นพระพุทธรูปองค์สำคัญของวัด จนมีความสวยงามดังที่เห็นในปัจจุบัน

     • ขอโชคลาภขอความรัก ขอหลวงพ่อดำ

๖. หลวงพ่อดวงดี

หลวงพ่อดวงดี มีพระนามเต็มว่า “พระพุทธมงคลบรมบรรพต” เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ หรือปางตรัสรู้ มีพุทธลักษณะพุทธศิลป์แห่งพุทธศตวรรษที่ ๒๖ มีความงดงาม โดดเด่น ด้วยศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ หล่อขึ้นจากแผ่นดวงมหาโภคทรัพย์ที่บรรจุอยู่บนยอดพระบรมบรรพต ภูเขาทอง

ถวายพระนามโดย เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และมีบัญชาให้ประดิษฐาน ณ ศาลาสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ
 
นอกจากนั้น ที่ศาลาหลวงพ่อหลวงดี ยังเป็นที่ประดิษฐานประติมากรรมและรูปหล่อ ตลอดจนจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับประวัติของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) และจิตรกรรมฝาผนังไตรภูมิจักรวาล และจิตรกรรมฝาผนังแสนโกฏิจักรวาล อันวิจิตรงดงาม
 
มีคติแห่งการสักการะหลวงพ่อดวงดีว่า ผู้ใด ได้สักการะบูชา จะมีดวงชะตาที่ดี เป็นที่รักของมิตรสหาย ปลอดภัยจากอุปสรรคนานาประการ
 
    • ขอดวงชะตาราศีที่ดี ขอหลวงพ่อดวงดี




๗. หลวงพ่อโชคดี

หลวงพ่อโชคดี มีพระนามเต็มว่า "พระพุทธมงคลสุวรรณบรรพต” เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หรือปางชนะมาร ขนาด ๓๙ นิ้ว มีพุทธลักษณะพุทธศิลป์ มีความโดดเด่นด้วยพระเกศมีลักษณะเปลวเพลิง หล่อด้วยเงิน บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ มีความงดงามด้วยศิลปะสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ถวายพระนามโดย เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช

ซึ่งนับเป็นพระพุทธรูปองค์สุดท้ายที่เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นประธานเททองหล่อ และมีบัญชาให้ประดิษฐาน ณ ศาลาสุวรรณบรรพต วัดสระเกศ ด้านหลังพระประธาน มีจิตรกรรมฝาผนังต้นดอกมณฑาทิพย์ ประตููมณฑาทิพย์โปรยฟ้า ประตูพฤกษาภิรมย์ และพญานาค ๔ ตระกูล
 
มีคติแห่งการสักการะหลวงพ่อโชคดีว่า ผู้ใด ได้สักการะบูชา ย่อมมีแต่ความโชคดี ประสบสมหวังดังใจปรารถนาทุกประการ

     • ขอความสมหวัง ขอความมีโชค ขอหลวงพ่อโชคดี
         
๘. หลวงพ่อโต

หลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปหล่อ ปิดทอง ในสมัยรัชกาลที่ ๓ หน้าตักกว้าง ๗ ศอก ๑ คืบ ส่วนสูง ๑๐ ศอก นับว่าป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยโลหะที่มีขนาดใหญ่และมีความสำคัญมากองค์หนึ่ง เพราะการสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ทั่วไปในสมัยก่อนมักจะปั้นด้วยปูนมากกว่า ส่วนที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "หลวงพ่อโต" ก็คงเนื่องจากเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่นั้นเอง

เดิมพระพุทธรูปองค์นี้ รัชกาลที่ ๓ โปรดให้หล่อประดิษฐานไว้ริมคลองมหานาค ในสมัยเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช อยู่ ญาโณทยมหาเถระ ครั้งทรงดำรงสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ทรงดำริที่จะนำหลวงพ่อโตเข้ามาประดิษฐานที่เชิงบรมบรรพต (ภูเขาทอง) เพื่อให้เหมาะสมกับที่เป็นปูชนียวัตถุสำคัญซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงสร้าง

เมื่อพระราชดำรินี้ได้ทราบถึง ดร.บุญรอด บิณฑสันต์ และคุณหลวงสัมฤทธิวิศวกรรม (โกศล สุขประยูร) จึงได้สละทรัพย์เป็นค่าก่อสร้างฐานรองรับใหม่ ด้วย ดร.บุญรอด ในสมัยเด็กฟื้นจากความตายได้ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อโต ทางครอบครัวจึงมีศรัทธาต่อองค์หลวงพ่อโตนี้มาก ต่อมาทางวัดได้สร้างพระวิหารขึ้นใหม่เพื่อให้เหมาะสมและสะดวกแก่ผู้ที่มาสักการะ

     • ขอสุขภาพแข็งแรง ขอหลวงพ่อโต

@@@@@@@

๙. พระบรมสารีริกธาตุ

เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๔๑ มิสเตอร์ วิลเลี่ยม แคลกตัน เปปเป ชาวอังกฤษ ได้ขุดพบอิฐธาตุในพระสถูป ณ ที่ใกล้ตำบลปิปราหวะ ตั้งอยู่ปลายชายแดนเนปาล คือ เมืองกบิลพัสดุ์ มีอักษรเมาริยะที่เก่าแก่จารึกบนผอบเก่าแก่ที่สุดในอินเดีย บอกว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า คือ ส่วนที่กษัตริย์ศากยราช ในกรุงกบิลพัสดุ์ได้รับแบ่งปันในเวลาที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ

ขณะนั้นมาเครสเคอสันเป็นอุปราชครองอินเดียอยู่ แต่ก่อนเคยอยู่ที่กรุงเทพ ฯ มีความคุ้นเคยกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ปรารภว่า สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินที่เป็นพุทธศาสนูปถัมภกอยู่ในโลกเวลานั้น ก็มีแต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ พระองค์เดียว จึงมีความประสงค์จะถวายพระบรมสารีริกธาตุนั้นแด่พระองค์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยายมราช  (ปั้น สุขุมเปรียญ)

แต่ครั้งยังเป็นพระยาสุขุมนัยวินิต เป็นผู้แทนกรุงสยามไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุนั้น และครั้งนั้น ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาในนานาประเทศ คือ ญี่ปุ่น พม่า ลังกา และประเทศไซบีเรีย เป็นต้น ต่างก็ได้ส่งทูตเข้ามาทูลขอพระบรมสารีริกธาตุ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานไปตามประสงค์ พระบรมสารีริกธาตุที่เหลือโปรดสร้างพระเจดีย์ทองสัมฤทธิ์เป็นที่บรรจุ แล้วโปรดให้ประกอบพระราชพิธีบรรจุในพระเจดีย์บนยอดพระบรมบรรพต และจัดงานเฉลิมฉลองเป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืน จนเกิดเป็นที่มาของการจัดงานประเพณีประจำปี “งานนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ” หรืองานวัดภูเขาทอง ปรากฏอยู่ถึงปัจจุบัน

    • สิ่งใดที่ตั้งใจแล้ว ปรารถนาแล้ว ให้นำความตั้งใจนั้น ความปรารถนานั้น ขึ้นไปอธิษฐานบนยอดภูเขาทอง จักสำเร็จสมมโนรถตามความปรารถนาทุกประการ

@@@@@@@

ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่
เฟซบุ๊ก : วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
พระครูศรีพิสุทธิศาสตร์ : ๐๘๒-๙๕๙-๙๓๕๙
พระครูสิทธิสรกิจ : ๐๘๑-๘๕๐-๒๙๙๙
พระมหาฤทธิชัย ญาณิทฺธิโก : ๐๘๔-๖๓๕-๑๔๕๒





ขอบคุณที่มา : เฟซบุ๊ก วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร · 2 วัน
https://www.facebook.com/watsraket/posts/ข่าวประชาสัมพันธ์ชวนเที่ยวงาน-ภูเขาทอง-วัดสระเกศ-สืบสานประเพณีห่มผ้าแดง-บูชาพระบ/1216974933796386/

หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 10