ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
หน้า: 1 ... 8 9 [10]
 91 
 เมื่อ: มิถุนายน 02, 2025, 02:49:24 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 92 
 เมื่อ: มิถุนายน 02, 2025, 01:17:36 pm 
เริ่มโดย aventure1 - กระทู้ล่าสุด โดย aventure1
ดันกระทู้

 93 
 เมื่อ: มิถุนายน 02, 2025, 12:44:59 pm 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.




ขยายความ : กระแสเกิดและดับ
(ปฏิจจสมุปบาท ,ปัจจยาการ หรือ อิทัปปัจจยตา)




อ้างอิงจาก :-

- พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
https://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=ปฏิจจสมุปบาท
- พระไตรปิฎกเล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎกเล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑
https://84000.org/tipitaka/read/?4/1/1
- พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค
https://84000.org/tipitaka/read/byitem.php?book=16&item=1&items=1&preline=0&pagebreak=0
- พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๕ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๒ วิภังคปกรณ์ อภิธรรมมาติกา ปัจจยจตุกกะ
https://84000.org/tipitaka/read/?35/274/185




 :25: :25: :25:

ความหมายของปฏิจจสมุปบาท

[340] ปฏิจจสมุปบาท มีองค์หรือหัวข้อ 12 (การเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลาย เพราะอาศัยกัน, ธรรมที่อาศัยกันเกิดขึ้นพร้อม, การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันๆ จึงเกิดมีขึ้น)

       1/2. อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เพราะอวิชชา เป็นปัจจัย สังขาร จึงมี
       3. สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณ จึงมี
       4. วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูป จึงมี
       5. นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะ จึงมี
       6. สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะ จึงมี
       7. ผสฺสปจฺจยา เวทนา เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนา จึงมี
       8. เวทนาปจฺจยา ตณฺหา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหา จึงมี
       9. ตณฺหาปจฺจยา อุปาทานํ เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทาน จึงมี
     10. อุปาทานปจฺจยา ภโว เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพ จึงมี
     11. ภวปจฺจยา ชาติ เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติ จึงมี
     12. ชาติปจฺจยา ชรามรณํ เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ จึงมี

โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา สมฺภวนฺติ
ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม
เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติ.
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมีด้วยประการฉะนี้

แสดงตามลำดับ จากต้นไปหาปลายอย่างนี้ เรียกว่า อนุโลมเทศนา ถ้าแสดงย้อนกลับจากปลายมาหาต้น ว่า ชรามรณะเป็นต้น มีเพราะชาติเป็นปัจจัย ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ฯลฯ สังขาร มีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย เรียกว่า ปฏิโลมเทศนา


@@@@@@@

องค์ หรือหัวข้อ 12 นั้น มีความหมายโดยสังเขป ดังนี้

       1. อวิชชา ความไม่รู้ คือไม่รู้ในอริยสัจ 4 หรือตามนัยอภิธรรม ว่า อวิชชา 8
       2. สังขาร สภาพที่ปรุงแต่ง ได้แก่ สังขาร 3 หรือ  อภิสังขาร 3
       3. วิญญาณ ความรู้แจ้งอารมณ์ ได้แก่  วิญญาณ 6
       4. นามรูป นามและรูป ได้แก่ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ หรือตามนัยอภิธรรมว่า นามขันธ์ 3 + รูป ขันธ์ 5 (ข้อ 2, 3, 4) ; ดู รูป 2, 28 ; มหาภูต หรือ ภูตรูป 4 อุปาทารูป หรือ อุปาทายรูป 24 ; รูป 2
       5. สฬายตนะ อายตนะ 6 ได้แก่ อายตนะภายใน 6
       6. ผัสสะ ความกระทบ, ความประจวบ ได้แก่ สัมผัส 6
       7. เวทนา ความเสวยอารมณ์ ได้แก่  เวทนา 6
       8. ตัณหา ความทะยานอยาก ได้แก่ ตัณหา 6 มีรูปตัณหา เป็นต้น (ตัณหาในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสทางกาย และในธัมมารมณ์) ดู ตัณหา 3 ด้วย
       9. อุปาทาน ความยึดมั่น ได้แก่  อุปาทาน 4
     10. ภพ  ภาวะชีวิต ได้แก่ ภพ 3 อีกนัยหนึ่งว่า ได้แก่ กรรมภพ (ภพคือกรรม  ตรงกับ อภิสังขาร 3) กับ อุปปัตติภพ (ภพคือที่อุบัติ ตรงกับ ภพ 3)
     11. ชาติ ความเกิด ได้แก่ ความปรากฏแห่งขันธ์ทั้งหลาย การได้อายตนะ
     12. ชรามรณะ ความแก่และความตาย ได้แก่ ชรา (ความเสื่อมอายุ, ความหง่อมอินทรีย์) กับมรณะ (ความสลายแห่งขันธ์, ความขาดชีวิตินทรีย์)

@@@@@@@

ทั้ง 12 ข้อ เป็นปัจจัยต่อเนื่องกันไป หมุนเวียนเป็นวงจร ไม่มีต้นไม่มีปลาย เรียกว่า ภวจักร (วงล้อหรือวงจรแห่งภพ) และมีข้อควรทราบเกี่ยวกับภวจักรอีก ดังนี้

       ก. อัทธา คือ กาล 3 ได้แก่
           1) อดีต = อวิชชา สังขาร
           2) ปัจจุบัน = วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ
           3) อนาคต = ชาติ ชรา มรณะ (+ โสกะ ฯลฯ)

       ข. สังเขป หรือ สังคหะ 4 คือ ช่วง หมวด หรือ กลุ่ม 4 ได้แก่
           1) อดีตเหตุ = อวิชชา สังขาร
           2) ปัจจุบันผล = วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา
           3) ปัจจุบันเหตุ = ตัณหา อุปาทาน ภพ
           4) อนาคตผล = ชาติ ชรา มรณะ (+ โสกะ ฯลฯ)

       ค. สนธิ 3 คือ ขั้วต่อ ระหว่างสังเขปหรือช่วงทั้ง 4 ได้แก่
           1) ระหว่าง อดีตเหตุ กับ ปัจจุบันผล
           2) ระหว่าง ปัจจุบันผล กับ ปัจจุบันเหตุ
           3) ระหว่าง ปัจจุบันเหตุ กับ อนาคตผล

       ง. วัฏฏะ 3 ดู วัฏฏะ 3

       จ. อาการ 20 คือองค์ประกอบแต่ละอย่าง อันเป็นดุจกำของล้อ จำแนกตามส่วนเหตุ และส่วนผล ได้แก่
           1) อดีตเหตุ 5 = อวิชชา สังขาร ตัณหา อุปาทาน ภพ
           2) ปัจจุบันผล 5 = วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา
           3) ปัจจุบันเหตุ 5 = อวิชชา สังขาร ตัณหา อุปาทาน ภพ
           4) อนาคตผล 5 = วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา
       อาการ 20 นี้ ก็คือ หัวข้อที่กระจายให้เต็ม ในทุกช่วงของสังเขป 4 นั่นเอง

       ฉ. มูล 2 คือ กิเลสที่เป็นตัวมูลเหตุ ซึ่งกำหนดเป็นจุดเริ่มต้นในวงจรแต่ละช่วง ได้แก่
           1) อวิชชา เป็นจุดเริ่มต้นในช่วงอดีต ส่งผลถึงเวทนาในช่วงปัจจุบัน
           2) ตัณหา เป็นจุดเริ่มต้นในช่วงปัจจุบัน ส่งผลถึงชรามรณะในช่วงอนาคต

พึงสังเกตด้วยว่า การกล่าวถึงส่วนประกอบของภวจักรตามข้อ ก. ถึง ฉ. นี้ เป็นคำอธิบายในคัมภีร์รุ่นหลัง เช่น อภิธัมมัตถสังคหะ เป็นต้น


@@@@@@@

การแสดงหลักปฏิจจสมุปบาท ให้เห็นความเกิดขึ้นแห่งธรรมต่างๆ โดยอาศัยปัจจัยสืบทอดกันไปอย่างนี้ เป็น สมุทยวาร คือฝ่ายสมุทัย ใช้เป็นคำอธิบายอริยสัจข้อที่ 2 (สมุทัยสัจ) คือ แสดงให้เห็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ ปฏิจจสมุปบาท ที่แสดงแบบนี้ เรียกว่า อนุโลมปฏิจจสมุปบาท)

การแสดงในทางตรงข้ามกับข้างต้นนี้ เป็น นิโรธวาร คือฝ่ายนิโรธ ใช้อธิบายอริยสัจข้อที่ 3 (นิโรธสัจ) เรียกว่า ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท  แสดงให้เห็นความดับไปแห่งทุกข์ ด้วยอาศัยความดับไปแห่งปัจจัยทั้งหลายสืบทอดกันไป ตัวบทของปฏิจจสมุปบาทแบบปฏิโลมนี้ พึงเทียบจากแบบอนุโลมนั่นเอง เช่น

       1/2. อวิชฺชาย เตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ เพราะอวิชชาสำรอกดับไปไม่เหลือ สังขารจึงดับ
       3. สงฺขารนิโรธา วิญฺญาณนิโรโธ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ฯลฯ
       12. ชาตินิโรธา ชรามรณํ เพราะชาติดับ ชรามรณะ (จึงดับ)

โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสา นิรุชฺฌนฺติ
ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส ความคับแค้นใจ ก็ดับ
เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส นิโรโธ โหติ.
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ ย่อมมีด้วยประการฉะนี้

นี้เป็นอนุโลมเทศนาของปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท ส่วนปฏิโลมเทศนา ก็พึงแสดงย้อนว่า ชรามรณะ เป็นต้น ดับ เพราะชาติดับ ชาติดับเพราะภพดับ ฯลฯ สังขารดับเพราะอวิชชาดับ อย่างเดียวกับในอนุโลมปฏิจจสมุปบาท

ปฏิจจสมุปบาทนี้ มีชื่อเรียกอย่างอื่นอีก ที่สำคัญคือ อิทัปปัจจยตา (ภาวะที่มีอันนี้ๆ เป็นปัจจัย) ธรรมนิยาม (ความเป็นไปอันแน่นอนแห่งธรรมดา, กฎธรรมชาติ และ ปัจจยาการ) (อาการที่สิ่งทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่กัน) เฉพาะชื่อหลังนี้เป็นคำที่นิยมใช้ในคัมภีร์อภิธรรม และคัมภีร์รุ่นอรรถกถา.



ขอขอบคุณ :-
ที่มา : https://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=ปฏิจจสมุปบาท
อ้างอิง : วินย. 4/1/1 ; สํ.นิ. 16/1/1 ; อภิ.วิ. 35/274/185 ; วิสุทธิ. 3/107 ; สงฺคห. 45.





ปฏิจจสมุปบาท
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ปฏิจจสมุปบาท (/ปะติดจะสะหฺมุบบาด/) (บาลี : Paṭiccasamuppāda ปฏิจฺจสมุปฺปาท ; สันสกฤต : प्रतित्यसमुद्पाद ปฺรติตฺยสมุทฺปาท) แยกเป็น ปฏิจจ แปลว่า อาศัยกันและกัน, สมุปบาท แปลว่า เกิดร่วมกัน,

ปฏิจจสมุปบาท จึงแปลว่า อาศัยกันและกันเกิดขึ้นร่วมกัน หมายถึง ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นโดยปราศจากสิ่งอื่น ทุกสิ่งต่างอิงอาศัยกันและกันเกิดขึ้นหรือปรากฎลักษณะขึ้น

เช่น ฝน ย่อมเกิดขึ้นหรือแสดงลักษณะ จากเหตุปัจจัยหลายอย่างรวมกัน ทั้งการระเหยของน้ำ การแปรสภาพเมฆ การกระทบความเย็น จนควบแน่นจนตกลงมาเป็นฝน เป็นต้น จะเห็นได้ว่าฝนไม่ได้เกิดขึ้นเองลอยๆ,

@@@@@@@

ปฏิจจสมุปบาทเป็นชื่อพระธรรมหัวข้อหนึ่งในศาสนาพุทธ เรียกอีกอย่างว่า อิทัปปัจจยตา หรือ ปัจจยาการ เป็นหลักธรรมที่อธิบายถึงการเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกัน, การที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกันจึงเกิดมีขึ้น เช่น ทุกข์เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัย 12 เรื่องเกิดขึ้นสืบ ๆ เนื่องกันมาตามลำดับดังนี้ คือ

    • เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารทั้งหลายจึงมี
    • เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
    • เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
    • เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะ หรือ อายตนะ จึงมี
    • เพราะสฬายตนะ หรือ อายตนะ เป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
    • เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
    • เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
    • เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี
    • เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพจึงมี
    • เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
    • เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะจึงมี
    • ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมี


@@@@@@@

การเทศนาปฏิจจสมุปบาท ดังแสดงไปแล้วข้างต้น เรียกว่า อนุโลมเทศนา หรือเรียกว่าปฏิจสมุปบาทสายเกิด ซึ่งจะแสดงถึงกระบวนการเกิดทุกข์

หากแสดงย้อนกลับจากปลายมาหาต้น จากผลไปหาเหตุปัจจัย เช่น ชรามรณะเป็นต้น มีเพราะชาติเป็นปัจจัย ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย ฯลฯ สังขารมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ดังนี้ เรียกว่า ปฏิโลมเทศนา หรือเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาทสายดับ (นิโรธก็เรียก) ซึ่งจะแสดงถึงกระบวนการดับทุกข์

ในหนึ่งรอบจะแบ่งออกเป็นวัฏฏะ 2 ช่วง ช่วงที่ 1 อวิชชาเป็นกิเลส สังขารเป็นกรรม วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนาเป็นวิบาก ช่วงที่ 2 ตัณหา อุปาทานเป็นกิเลส ภพเป็นกรรม ชาติ ชรามรณะเป็นวิบาก เมื่อจำแนก ปฏิจจสมุปบาทเป็น 2 ช่วงเช่นนี้ ปฏิจจสมุปบาทจะใกล้เคียงกับสัญลักษณ์ อินฟินี้ตี้ "8" มากกว่า สัญลักษณ์ งูกินหาง "0"

@@@@@@@

ลำดับแห่งปฏิจจสมุปบาทฝ่ายดับทุกข์

    • ความทุกข์ จะดับไปได้เพราะ ชาติ (การเกิดอัตตา "ตัวตน" คิดว่าตนเป็นอะไรอยู่) ดับ
    • ชาติ จะดับไปได้เพราะ ภพ (การมีภาระหน้าที่และภาวะทางใจ) ดับ
    • ภพ จะดับไปได้เพราะ อุปาทาน (ความยึดติดในสิ่งต่าง ๆ) ดับ
    • อุปาทาน จะดับไปได้เพราะ ตัณหา (ความอยาก) ดับ
    • ตัณหา จะดับไปได้เพราะ เวทนา (ความรู้สึกทุกข์หรือสุขหรือเฉย ๆ) ดับ
    • เวทนา จะดับไปได้เพราะ ผัสสะ (การสัมผัส) ดับ
    • ผัสสะ จะดับไปได้เพราะ สฬายตนะ (อายตนะใน 6 + นอก 6) ดับ
    • สฬายตนะ จะดับไปได้เพราะ นามรูป (รูปขันธ์) ดับ
    • นามรูป จะดับไปได้เพราะ วิญญาณ (วิญญาณขันธ์) ดับ
    • วิญญาณ จะดับไปได้เพราะ สังขาร (อารมณ์ปรุงแต่งวิญญาณ-เจตสิก) ดับ
    • สังขาร จะดับไปได้เพราะ อวิชชา (ความไม่รู้อย่างแจ่มแจ้ง) ดับ


@@@@@@@

สมุทยวาร-นิโรธวาร

การแสดงหลักปฏิจจสมุปบาท เป็นการแสดงให้เห็น ความเกิดขึ้นแห่งธรรมต่าง ๆ โดยอาศัยปัจจัยสืบทอดกันไปอย่างนี้ เป็น สมุทยวาร คือฝ่ายสมุทัย ใช้เป็นคำอธิบาย อริยสัจข้อที่สอง (สมุทัยสัจจ์) คือ แสดงให้เห็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ ปฏิจสมุปบาทที่แสดงแบบนี้เรียกว่า อนุโลมปฏิจจสมุปบาท

(ดังแสดงสองตัวอย่างที่ผ่านไป เป็น อนุโลมเทศนา และ ปฏิโลมเทศนา ของอนุโลมปฏิจจสมุปบาท ตามลำดับ)

การแสดงตรงกันข้ามกับข้างต้นนี้ เรียกว่า นิโรธวาร คือฝ่ายนิโรธ ใช้เป็นคำอธิบาย อริยสัจข้อที่สาม (นิโรธสัจจ์) เรียกว่า ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท แสดงให้เห็นความดับไปแห่งทุกข์ ด้วยอาศัยความดับไปแห่งปัจจัยทั้งหลาย สืบทอดกันไป เช่น

เพราะอวิชชาสำรอกดับไปไม่เหลือสังขารจึงดับ เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ ฯลฯ เพราะชาติ ดับชรามรณะ (จึงดับ) ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส ความคับแค้นใจ ก็ดับ

ดังนี้เรียกว่า อนุโลมเทศนา ของ ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท

ส่วนปฏิโลมเทศนา ของ ปฏิโลมปฏิจจสมุปบาท ก็พึงแสดงย้อนว่า ชรามรณะเป็นต้น ดับเพราะชาติดับ ชาติดับเพราะภพดับ ฯลฯ สังขารดับเพราะอวิชชาดับ




Thank to :-
URL : https://th.wikipedia.org/wiki/ปฏิจจสมุปบาท
Photo : pinterest






‘ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท’



 :25: :25: :25:

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ ภาษาบาลี อักษรไทย พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ สุตฺต. ม. มูลปณฺณาสกํ

{๓๔๖.๑}
โส เอวํ ปชานาติ เอวํ กิริเมสํ ปญฺจนฺนํ อุปาทานกฺขนฺธานํ สงฺคโห สนฺนิปาโต สมวาโย โหติ ฯ 
วุตฺตํ โข ปเนตํ ภควตา โย ปฏิจฺจสมุปฺปาทํ ปสฺสติ โส ธมฺมํ ปสฺสติ โย ธมฺมํ ปสฺสติ โส ปฏิจฺจสมุปฺปาทํ ปสฺสตีติ ฯ   

ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนา โข ปนิเม ยทิทํ ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา
โย อิเมสุ ปญฺจสุ อุปาทานกฺขนฺเธสุ ฉนฺโท อาลโย อนุนโย อชฺโฌสานํ โส ทุกฺขสมุทโย 
โย อิเมสุ ปญฺจสุ อุปาทานกฺขนฺเธสุ ฉนฺทราควินโย ฉนฺทราคปฺปหานํ โส ทุกฺขนิโรโธติ ฯ

เอตฺตาวตาปิ โข อาวุโส ภิกฺขุโน พหุกตํ โหติ


@@@@@@@

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ] มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์

ปฏิจจสมุปปันนธรรม

อนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ไว้ว่า
‘ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท’

อุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้ ชื่อว่า ปฏิจจสมุปปันนธรรม 
ความพอใจ ความอาลัย ความยินดี ความหมกมุ่นฝังใจในอุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้ ชื่อว่า ทุกขสมุทัย
การกำจัดความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ การละความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจในอุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้ ชื่อว่า ทุกขนิโรธ

ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ภิกษุได้ชื่อว่าทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมากแล้ว

 94 
 เมื่อ: มิถุนายน 02, 2025, 11:05:19 am 
เริ่มโดย aventure1 - กระทู้ล่าสุด โดย aventure1
ดันกระทู้

 95 
 เมื่อ: มิถุนายน 02, 2025, 09:48:01 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



อะไร.? คือ ความรัก | God is Love and Love is God

การที่จะเข้าใจความรักนั้นไม่ง่าย เพราะธรรมชาติอันแท้จริงและความยิ่งใหญ่ของความรักนั้น ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นค่าพูดได้ มันเป็นความรู้สึกหรืออารมณ์ที่บริสุทธิ์ และละเอียดอ่อนมากยากที่จะระบายออกมาเป็นลักษณะท่าทางและภาษาพูดได้ ผู้ที่มีความรักย่อมรู้ได้โดยการสัมผัสด้วยตนเองเท่านั้น เพราะเกินความสามารถของชิวหาหรือปากกา ที่จะพรรณนาลักษณะความรักนั้นได้

จริงๆ แล้ว ความรักเป็นชื่ออีกชื่อหนึ่งสําหรับพระเป็นเจ้า อย่างที่คัมภีร ไบเบิลได้กล่าวไว้ว่า God is love หมายถึง พระเป็นเจ้า คือ ความรัก, และความรัก คือ พระเป็นเจ้า, การที่จะเอาความยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้าลงมาสู่มิติของมนุษย์ธรรมดานั้น เป็นไปไม่ได้เลยในการที่จะพรรณนาความงดงามตระการตาของความรักในภาษามนุษย์ได้

คนทุกคนมีความปรารถนาที่จะมีความสุข และความสุขก็คือผลที่ใจมีสมาธิ หรือใจมีอารมณ์เป็นเอกัคคตา ทรัพย์สมบัติของสมาธิและความสุขของใจนั้น เราสามารถจะได้มาโดยทางความรัก, เพราะคุณสมบัติ คือ ความ สงบ ความสุข และความสว่างของใจย่อมมีได้โดยธรรมชาติแห่งความรัก

เมื่อใดก็ตามที่ความรักหายไป เมื่อนั้นทุกสิ่งทุกอย่างภายในโลกย่อมตกอยู่ในความทุกข์ ความเดือดร้อน และความเข้าใจผิด ซึ่งเป็นต้นเหตุของการทะเลาะวิวาท อันเกิดขึ้นไม่ว่าในครอบครัวในบ้าน ในประเทศ ระหว่างประเทศและภายในชาติเดียวกัน, ดังปรากฏ อยู่ทั่วไปในโลกและในชาติทุกวันนี้


@@@@@@@

พระเป็นเจ้าหรือความรัก ย่อมเห็นสรรพสัตว์เป็นอย่างเดียวกัน ไม่มีใครดี ไม่มีใครเลว ในพระเนตรของ พระองค์แล้ว ไม่มีเชื้อชาติ ไม่มีเผ่าพันธุ์ ไม่มีลัทธิศาสนา, ทุกคนเป็นลูกของพระองค์ ใครก็ตามที่เข้าใจความจริงอันนี้ เขาผู้นั้นไม่สามารถที่จะเกลียดชังคนใดคนหนึ่งได้ ดังที่พระเยซู กล่าวว่า “จงรักซึ่งกันและกัน”

เราคงลืมความหมายอันแท้จริงของค่า กล่าวนี้ เราสามารถจะรักกันและกันได้ ก็ต่อเมื่อเราเห็นพระเป็นเจ้าอยู่ในตัว เราทุกคน เราจึงจะรักซึ่งกันและกัน เราไม่ได้รักบุคคล แต่เรารักพระเป็นเจ้าภายในตัวเราแต่ละคน เมื่อเราพบพระองค์ในภายในคนทุกๆ คน ปัญหาเรื่องความสูงความต่ำก็ไม่เกิดขึ้น, ปัญหาเรื่องตัวกูของกูก็ไม่เกิดขึ้น ปัญหาเรื่องความโกรธแค้นก็ไม่เกิดขึ้น

ดังนั้น การที่จะให้มีความรักซึ่งกันและกันเกิดขึ้นในสังคม เราจะต้องมีความรักดังกล่าวนั้น คือ รักพระเป็นเจ้าซึ่งประทับอยู่ในภายในเรา, และเราก็จะพบว่า เราทุกคนเป็นลูกของพระบิดาองค์เดียวกัน.

ในคัมภีร์ไบเบิล พระเยซูตรัสว่า
     “ท่านคงจะได้ยินคําพูดที่กล่าวสืบๆ กันมาแต่ก่อนว่า ท่านจงรักเพื่อนบ้านของท่าน และจงเกลียดศัตรูของ ท่าน, แต่ข้าพเจ้าจะพูดกับเจ้าว่า จงรักศัตรูของเจ้า จงให้พรแก่ศัตรูของเจ้า แก่ผู้สาปแช่งเจ้า จงทําความดีแก่เขาผู้จงเกลียดจงชังเจ้า และจงสวดอ้อนวอนให้พระเป็นเจ้าทรงประทานพรแก่พวกเขา ผู้ด่าว่าเจ้าและรบกวนเจ้า".

@@@@@@@

ความรักมีอยู่ ณ ที่ใด ชีวิตก็มีความสดชื่น ณ ที่นั้น , ที่ที่ความรักสูญสิ้นไป ชีวิต ณ ที่นั้นก็ไร้ค่า, จริงๆ แล้ว คนธรรมดาทั่วไปย่อมไม่เป็นคนที่มีความรักที่แท้จริงได้ เว้นเสียแต่ว่าเขาผู้นั้นมีประกายแสงแห่งความรักแห่งสวรรค์ปรากฏอยู่ในภายในตัวเขา

พระเป็นเจ้าในรูปแบบแห่งความรักย่อมประทับอยู่ในคนทุกๆคน บุคคลทั้งหลายผู้มีนัยน์ตาอันเปิดแล้ว คือ เห็นคนทุกๆ คนว่าเป็นปรากฏการณ์ของพระเป็นเจ้า เหมือนปรากฏการณ์ของแสงอาทิตย์ หรือเหมือนลูกคลื่น ในมหาสมุทร, เขาผู้เห็นเช่นนั้นเท่านั้นย่อมรู้ว่าประกายแห่งความรัก อย่างเดียวเท่านั้นที่ได้ทําให้พวกเขาเกิดมาเป็นมนุษย์ได้

เมื่อเขาได้รู้แจ้งอย่างนี้แล้ว ใครเล่าจะสูงใครเล่าจะต่ำ หรือคนย่อมดํารงอยู่ในตําแหน่งหรือฐานะต่าง ๆ ของชีวิตและอยู่ในประเทศต่างๆ ทั้งหมดนี้คน ก็คือคนผู้เป็นลูกของพระเป็นเจ้า ย่อมเห็นเป็นหนึ่งเดียวกันในสายพระเนตรของพระเป็นเจ้า, ความแตกต่างกันของวรรณะ เชื้อชาติ ประเทศ หรือลัทธิ ศาสนา ไม่มีความสําคัญแต่อย่างใด สําหรับบุคคลผู้มีคุณสมบัติแห่งความรัก เขาย่อมรู้ว่าในสวรรค์มีพระเป็นเจ้าหนึ่งเดียว ในพื้นโลกมีครอบครัวเดียว คือ ครอบครัวมนุษย์.

มีนักปราชญ์ชาวเปอร์เซียชื่อ เมา นารูม กล่าวไว้ว่า
    “กระแสความรักจากพระเป็นเจ้า ผู้หนึ่งเดียวเท่านั้น ไหลผ่านไปทั่วสากลพิภพ เมื่อท่านเห็นหน้าของบุคคลคนหนึ่ง ท่านคิดอะไรหรือ.? ท่านมองดูเขาผู้นั้นว่าไม่ใช่คนๆ หนึ่งหรือ.? แต่เขาผู้นั้นเป็นกระแสธารแห่งแก่นแท้ของความรัก(พระเป็นเจ้า) ซึ่งกระแสแห่งความรักนั้นแทรกซึมและซึมซาบอยู่ในตัวเขาผู้นั้น".

@@@@@@@

ความรักนั้นมันเป็นตัวของมันเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่หรืออาศัยสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย, มันเป็นมหาสมุทรแห่งศรัทธา เป็นความแข็งแกร่ง และเป็นพลังแห่งความอดทน, มันถ่ายทอดความสดชื่น ความเย็น และความสงบสู่หัวใจและชีวิตของผู้มีความรัก ความรักประกอบด้วยคุณค่าอันสูงส่ง และแท้จริง เป็นอมตะ

สิ่งต่างๆ ในโลกปรากฏว่าสวยสดงดงามก็ต่อเมื่อ มันมีความรักอยู่ในหัวใจเท่านั้น โดยกระแสธารแห่งความรัก บรรยากาศทั้งหมดจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขและความเพลิดเพลิน. ประกายแสงสว่างของพระเป็นเจ้าย่อมเห็นได้ในความรักนั้นเท่านั้น

ความรักเป็นขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่และสง่างามที่สุดในบรรดาขุมทรัพย์ทั้งหลาย, ปราศจากความรักเสียแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเหี่ยวแห้งไม่มีอะไรเลย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นได้ก็ด้วยความรัก. เขาผู้ที่ไม่มีความรักอยู่ในหัวใจ ไม่ควรเรียกผู้นั้นว่ามนุษย์เลย

นักปราชญ์ของไทยคนหนึ่งคือ สุนทรภู่ ท่านกล่าวว่า
    “ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร ไม่   สิ้นสุดความรักสมัครสมาน
     แม้นเกิดในใต้หล้าสุธาธาร        ขอพบพานพิศวาสมิคลาดคลาย.”





ขอขอบคุณ
ที่มา : วารสารราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ ๒๗ ฉบับที่ ๓ ก.ค.-ก.ย. ๒๕๔๕
บทความเรื่อง “ความรัก” โดย สนั่น ไชยานุกุล (ยกมาแสดงบางส่วน)
ภาคีสมาชิก สํานักธรรมศาสตร์และการเมือง ราชบัณฑิตยสถาน
บรรยายในการประชุมสํานักธรรมศาสตร์และการเมือง ราชบัณฑิตยสถาน เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๕

 96 
 เมื่อ: มิถุนายน 02, 2025, 09:14:01 am 
เริ่มโดย aventure1 - กระทู้ล่าสุด โดย aventure1
ดันกระทู้

 97 
 เมื่อ: มิถุนายน 01, 2025, 11:31:24 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 98 
 เมื่อ: มิถุนายน 01, 2025, 11:29:51 pm 
เริ่มโดย aventure1 - กระทู้ล่าสุด โดย aventure1
ดันกระทู้

 99 
 เมื่อ: มิถุนายน 01, 2025, 09:33:45 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 100 
 เมื่อ: มิถุนายน 01, 2025, 07:14:04 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

หน้า: 1 ... 8 9 [10]