ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: อายุบวร..ศรีลังกา  (อ่าน 1529 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29441
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
อายุบวร..ศรีลังกา
« เมื่อ: มิถุนายน 28, 2013, 07:21:03 am »
0

ลังกา

อยากร้องวี้ดๆๆ ให้กรี๊ดก้อง...ว่าที่หามาทั้งชีวิตของการท่องเที่ยวของผมเอง...บัดนี้ได้มา เจอแล้ว เคยฝันว่าอยากเที่ยวในที่ที่มีทั้งโบราณสถานที่สวยงาม เก่าแก่ สมบูรณ์ ไม่ใช่เป็นแค่ซากอาคารที่สร้างเสริมใหม่อย่างสุโขทัย หรืออยุธยาของบ้านเรา และยังอยากให้เป็นที่ที่เดินทางขยับไปแค่พริบตาก็เจอป่าธรรมชาติ ที่ยังสามารถเรียกว่า "ป่า" อย่างเต็มปากเต็มคำ ไม่ใช่ป่าปลูกเลาะเลียบริมถนน พอหลอกให้คนที่ขับรถผ่านแล้วดูว่าเป็นป่าใหญ่

แต่ที่ไหนได้ เพราะลึกเข้าไปเพียง 100-200 เมตรก็กลายสภาพเป็นที่ราบหัวล้าน ทั้งยังอยากให้อยู่ใกล้ชิดติดชายทะเล เผื่อว่าดูวัดวามาทั้งวันแล้วอยากนอนผึงแดดบนหาดทรายขาว ที่สงบเงียบก็ทำได้เลย แถมยังอยากอยู่โรงแรมดีๆ ที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ ไม่ใช่โรงแรมที่เน้นแต่วัตถุนิยมมีแต่ของปลอมๆ ที่มนุษย์สร้างไว้หลอกลวงตัวเอง เจ้าความอยากสารพัดเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ผมเฝ้าฝันมานานแสนนานจนเกือบทั้งชีวิตก็ว่าได้ ว่าอยากให้มันมารวมกันเป็นหนึ่งเดียว ในที่เดียว เมืองเดียว ประเทศเดียว เดียว เดียว เดียว....

แล้วผมก็เจอแล้วครับ เจอจริงๆ เจอแล้วรักเลย เหมือนรักแรกพบ ทั้งๆ ที่ก็เคยพบกันมาหลายครั้งแล้วก็ตาม ประเทศศรีลังกา เป็นประเทศที่ตอบสนองความต้องการของผมในย่อหน้าข้างต้นได้ทั้งหมดครับ ผมเองเคยมาศรีลังกาครั้งแรกเมื่อ 35 ปีที่แล้ว ตอนนั้นยังแร้นแค้น ยากลำบากมาก ข้าวสุกที่รับประทานกันในประเทศเป็นข้าวนำเข้าจากไทย เป็นประเภทข้าวนึ่งแล้วทำให้แห้ง เวลาจะทานก็ใส่น้ำร้อนเข้าไป เป็นข้าวที่มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวอย่างแรงจัด จนแทบจะอาเจียนออกมาทันทีที่ข้าวคำแรกเข้าปาก


 :49: :49: :49:

จากนั้นผมก็มาศรีลังกาด้วยหน้าที่การงานอีกหลายครั้ง แตก็่ไม่เคยประทับใจในเรื่องการดำรงชีวิต ความพร้อมในการรับรองนักท่องเที่ยว ยกเว้นแต่เรื่องของโบราณสถานและศาสนสถานต่างๆ ที่อุดมสมบูรณ์ และยั่วยวนชวนให้กลับมาชมอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า

ผมไปศรีลังกาครั้งสุดท้ายร่วมๆ 10 ปีเศษแล้ว ช่วงที่ขบถพยัคฆ์อีแลมกำลังอาละวาดหนัก ผมไม่กล้าไปเลย จนครั้งนี้ที่ผมตัดสินใจมา เพราะคิดถึงโบราณสถานต่างๆ ที่ไม่ได้ไปกราบกรานเยี่ยมเยียนซะนานหลายปี ครั้งนี้ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ ครับ หลังจากความสงบสุขกลับคืนมาสู่ประเทศศรีลังกาแล้ว ความเจริญต่างๆ ก็พากันผุดขึ้นมากมาย โรงแรมดีๆ ที่ผมใฝ่ฝัน ก็เกิดขึ้นหลายต่อหลายจุดทั่วประเทศ แทบจะทุกเมืองที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่สำคัญยังเป็นโรงแรมแบบอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างเอาจริงเอาจัง

เช่นโรงแรม Heritance Kandalama ที่ออกแบบโดย Mr.Jeffery Bawa ที่ได้รับรางวัล Agarkhan Award Architechter คนเดียวของทวีปเอเซีย ลองเข้าไปดูในเว็บของโรงแรมนะครับ ตัวอาคารตั้งอยู่บนเขา และพยายามเกี่ยวข้องกับพื้นดินน้อยที่สุด ดังนั้น จึงเป็นแต่เสาตั้งปักลงดินสูงขึ้นไปเท่ากับตึก 2-3 ชั้น แล้วถึงจะเป็นตัวอาคาร ทำให้ต้นไม้ป่าทั้งหลายงอกงามแบบไม่ถูกรบกวนเลย ทั้งล็อบบี้และห้องอาหารก็เปิดโปร่งให้ลมผ่านได้อย่างสบายอารมณ์

 
โรงแรม Heritance Kandalama

ส่วนห้องพักก็เป็นผนังกระจกใสที่มองไปเป็นป่าดงดิบอย่างแท้จริง มีลิงและสารพัดสัตว์กระโดดโลดเต้น ไต่ต้นไม้ เลื้อยมาเลื้อยไป เหมือนอยู่ในซาฟารีจริงๆ รอบตัวตึก 6 ชั้นใหญ่ๆ ของตัวอาคาร มีแต่เถาวัลย์พันเกี่ยวเลี้ยวลดคดไปมา จนแทบจะกลบตัวอาคารให้หายสูญไปเป็นส่วนหนึ่งของป่าใหญ่ การจัดสวนของโรงแรมคือ การเพาะวัชพืชนานาชนิดที่มีมาแต่ดั้งเดิมให้ขยายพันธุ์แพร่หลายและกระจายกันปลูกแบบธรรมชาติ เป็นบ้างแห้งตายบ้าง แต่ดูกลมกลืนกับพื้นที่ป่าที่มีมาแต่ดั้งเดิมก่อนสร้างโรงแรม ไม่มีต้นไม้ผิดถิ่นขึ้นเลยแม้แต่ต้นเดียว ตามระเบียงก็ก่อหินบล๊อกขึ้นแล้วเอาวัชพืชมาลง

จากนั้นก็ปล่อยให้เติบโตเอง ไม่ตัดแต่ง ปล่อยให้เบียดกันแย่งอาหารกัน ต้นที่แข็งแรงรอดได้ก็งามเป็นกอฟู ดูแล้วถูกอารมณ์สมใจผมเหลือเกิน ส่วนโรงแรมอื่นๆ ที่ไม่ได้เคร่งครัดกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเช่นนี้ ก็ใช่ว่าจะปล่อยปละละเลยนะครับ เนื่องจากราคาที่ดินที่นี่ยังไม่สูงมาก ดังนั้น แต่ละโรงแรมจึงมีสวนใหญ่ๆ ปลูกต้นไม้ต้นโตๆ เต็มพื้นที่ ความที่มีฝนชุกเกือบตลอดทั้งปี ทำให้ต้นไม้ต่างๆ งอกงามเขียวขจีไปทั่ว


 :sign0144: :sign0144: :sign0144:

เวลาที่ไปเที่ยวชมโบราณสถานต่างๆ ก็ประทับใจผมมาก เนื่องจากศรีลังกายังเป็นประเทศที่ยากจนอยู่ การที่จะนำเงินงบประมาณแผ่นดินไปบูรณะโบราณสถานต่างๆ ในเชิง "ซ่อม-สร้าง" ใหม่แบบบ้านเราจึงยังไม่มี

ถนนหนทางเข้าสู่โบราณสถานเหล่านี้เคยเป็นอย่างไรเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว ก็ยังคงเป็นเช่นนั้นในวันนี้ สิ่งที่เห็นแล้วปลื้มใจมากเหลือเกิน คือการให้ความสำคัญกับธรรมชาติ เพราะเค้าให้การรักษาต้นไม้ใหญ่น้อยและวัชพืชหญ้าสารพัดเอาไว้อย่างดี แค่มองดูปร้าดเดียวก็รู้ได้เลยว่ามีระบบการจัดการที่ดีมาก มีการสางใบแห้ง แต่งทรงพุ่มและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ

     แม้แต่ถนนหนทางสำหรับรถราวิ่งและถนนสำหรับคนเดินเท้าในเขตโบราณสถานสำคัญๆ เช่น ในอุทยานโบราณคดีเขาสีคิริยา ก็ยังคงเป็นดินลูกรังบดอัดเรียบ มีการดูแลปัดกวาดสะอาดสะอ้าน ไม่รุกรานธรรมชาติด้วยการลาดซีเมนต์ หรือลาดยางให้ขัดตาเลยแม้แต่น้อย

    หรือในวัดวาอารามที่ผู้คนยังเข้าไปกราบไหว้บูชาอยู่โดยปกติทุกวัน
    ก็ยังเป็นพื้นโรยด้วยทรายทั่วไปทุกวัด ไม่ใช่ว่าวัดจนไม่มี "ปัญญา" ลาดซีเมนต์นะครับ
    แต่พระภิกษุของเค้ามี "ปัญญา" มากพอที่จะอนุรักษ์จารีตประเพณีโบราณดั้งเดิมเอาไว้ ให้พื้นลานวัดยังคงเป็นทรายตามจารีตดั้งเดิมเหมือนบ้านเมืองไทยของเราแต่สมัยโบราณ


เจดีย์รุวันเวลิ เมืองอนุราธปุระ

คนลังกาผู้ใดมีใจศรัทธาก็จะขนทรายเป็นลำรถ มาเทถวายลงที่ลานวัดเป็นพุทธบูชา แม้แต่ที่วัดมหาโพธิ เมืองอนุราธปุระ ซึ่งมีความสำคัญเช่นเดียวกับวัดพระแก้วของไทยเรา หรือไม่แพ้พุทธคยาที่ประเทศอินเดีย ก็ยังคงโรยพื้นด้วยทรายทั่วไปทั้งวัด ที่เด็ดมากก็คือไกด์เล่าว่า มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ทางรัฐบาลอยากเอาใจประชาชน โดยใช้ศาสนาและวัดเป็นสื่อ จึงได้นำหินแกรนิตมาปูพื้นเต็มลานวัด หวังว่าจะได้คะแนนนิยม ทางฝ่ายวัดและราษฎรก็ไม่ว่าอะไร ปล่อยให้รัฐบาลปูพื้นหินอย่างวิจิตรจนเเล้วเสร็จ

จากนั้นก็พร้อมใจกันขนทรายเทลงทับกลบพื้นหินแกรนิตนั้นจนหนาเป็นศอก ยังปรากฏให้เห็นอยู่จนทุกวันนี้ ที่ผมเหยียบลงไปก็ใช่เลยครับ ผมถ่ายภาพมาแยะมากนะครับ แต่พื้นที่ในคอลัมน์นี้จำกัด ท่านใดสนใจก็ตามไปดูรูปในเฟซบุ๊กผมได้ก็แล้วกัน...Paothong Thongchua..นะครับ

 :bedtime2: :bedtime2: :bedtime2:

ส่วนเรื่องของป่าไม้และความเขียวขจีของประเทศนั้น ผมต้องขอยกให้ศรีลังกาชนะเลิศที่สุดในเอเชียตอนนี้ ขนาดญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ที่ว่ามีป่าไม่สวยงามและมากมายแล้ว เมื่อมาเจอกับศรีลังกาเข้าแล้วต้องชิดซ้าย เพราะที่ประเทศนี้มีป่าไม้อุดมสมบูรณ์จัดมาก ตลอดสองข้างทางที่รถวิ่งไปในเกาะก็มีแต่ต้นไม้ใหญ่ๆ นับร้อยๆ ปีขึ้นงอกงามเคียงข้างไปโดยตลอด ถึงแม้ว่าถนนหนทางของเค้าจะเล็กมาก

แต่เค้าก็ไม่คิดขยายด้วยการตัดต้นไม้สองข้างทางลงเลย ถนนเล็กก็ให้รถแล่นช้าๆ ระยะทาง 120 กิโลเมตร รถยนต์ใช้เวลาวิ่งถึง 3-4 ชั่วโมง แต่เค้าก็ไม่ได้เดือดร้อนเลย...ระยะทางกับระยะเวลาที่ต้องเป็นไปอย่างไร ก็คงให้เป็นอย่างนั้น นักท่องเที่ยวต้องรับสภาพเอง... ผมชอบมากเลยครับสำหรับแนวความคิดในลักษณะนี้

บางช่วงของถนนแล่นผ่านป่าทึบและป่าโปร่ง ที่มีช้างป่าอาศัยอยู่หลายโขลง ผมภาวนาว่าอยากเห็นช้างป่าเป็นๆ กับตาสักตัวเองสักครั้ง ปรากฏว่าสำเร็จครับ
     รถเราผ่านฝูงช้างป่าฝูงใหญ่มาก มีกว่า 23 ตัว ตื่นตาตื่นใจจริงๆ ทั้งแขกทั้งไทยต่างหยุดรถลงไปถ่ายรูปกันอย่างโกลาหล ระยะห่างก็ไม่กี่ร้อยเมตร เรียกว่าเห็นหน้ากันจะจะ ช้างก็ไม่กลัวคน คนก็ไม่กลัวช้าง แต่ต่างฝ่ายต่างรักษาระยะห่างของตนเองอย่างดี คนอยู่ขอบถนน โขลงช้างยืนบ้างเดินไปเดินมาบ้าง อยู่ในท้องทุ่งหญ้าติดหนองน้ำใหญ่ที่ลาดต่ำลงจากถนน จึงเห็นชัดเจนมาก
     คนขับรถบอกว่าตั้งแต่ขับรถมากว่า 35 ปี ก็เพิ่งเคยเห็นโขลงใหญ่ที่สุดก็ครั้งนี้แหละ ผมก็เลยถ่ายภาพที่มีโขลงช้างเป็นเบื้องหลังซะสะใจ


 :25: :25: :25:

สองข้างถนนหนทางที่ประเทศนี้ยังมีความเป็นทุ่งหญ้า ป่า เขา ทะเลสาบ หนองน้ำ ลำห้วย ลำคลองอยู่มาก เรียกได้ว่าส่วนใหญ่พอออกนอกเมืองแล้ว ก็จะมีแต่ธรรมชาติ ผมต้องขอให้คนขับรถจอดรถให้ลงไปชมวิวข้างทางเสมอๆ พบว่าวิวของเค้านั้น สามารถมองไปได้ไกลสุดสายตา ในมุมมองที่กว้างได้ตั้งแต่ 180-360 องศาเลยทีเดียว โดยไม่มีสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้าง หรือทำขึ้นไว้ให้ขวางตาแต่ประการใด

ลักษณะภูมิประเทศแบบนี้หายากมากนะครับในปัจจุบันนี้ สำหรับประเทศไทยเองก็ยังเคยมีเมื่อ 20-30 ปีที่แล้ว แต่ตอนนี้แทบจะหมดสิ้นหายไปเกลี้ยง พื้นที่แบบนี้เป็นที่ต้องการมากของกองถ่ายหนัง เพราะบางฉากที่ต้องการเห็นภาพมุมกว้างมากๆ แต่ก็ไม่ต้องการเห็นเสาไฟฟ้าแรงสูง หรือบ้านช่อง หรือถนนหนทางใดๆ เลย ทำนายได้ว่าต่อไปภายภาคหน้าจะเป็นโลเคชั่นถ่ายหนังที่สำคัญต่อไป

พล่ามพรรณนามาถึงศรีลังกานานแล้ว คิดว่าคงไม่จบง่ายๆ สำหรับความประทับใจที่มีต่อประเทศนี้ เอาไว้โอกาสเหมาะๆ ผมจะหยิบยกเรื่องราวอื่นๆ มาเล่าสู่กันฟังอีกครับ สำหรับวันนี้ต้องขอกราบสวัสดีด้วยภาษาของศรีลังกาคือ...อายุบวร...ครับ


เผ่าทอง ทองเจือ

www.facebook.com/paothong.pan
www.facebook.com/paothong.thongchua


ขอบคุณภาพข่าวจาก
http://www.thairath.co.th/content/edu/353711
http://cdn5.agoda.net/, www.facebook.com/paothong.thongchua
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 28, 2013, 07:24:18 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

kobyamkala

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 2236
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: อายุบวร..ศรีลังกา
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มิถุนายน 28, 2013, 10:32:34 am »
0
  st11 st12 st12  thk56
 กับผู้แจกธรรม ประจำวัน
บันทึกการเข้า
แล้วลองแอบมาแย้มกะลา
เพื่อดูโลก เห็นแล้วตกใจโลกนี้กว้างใหญ่จริง ๆ