บ้านปุโรหิตบิดาขององคุลีมาล
อัศจรรย์แห่ง..."สาวัตถี" เมืองคนดีและคนบาป
นอกจากสังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่ง อันประกอบด้วยสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนา และปรินิพพาน ที่คนไทยนิยมไปสักการบูชาเพื่อเป็นสิริมงคลในชีวิต จนทำให้ธุรกิจทัวร์ในอินเดียรุ่งเรือง จนเงินบาทเงินรูปีแทบจะใช้แทนกันได้ในบางสถานที่ที่กล่าวมาแล้วนั้น ยังมีสถานที่สำคัญในทางพระพุทธศาสนาอีกหลายแห่งที่เราควรจะได้ไปตามรอยบาทพระศาสดาเสมือนหนึ่งย้อนเวลากลับไปเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในดินแดนพุทธภูมิอีกครั้ง
สาวัตถี....หนึ่งในเมืองสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา ในยุคพุทธกาล
เราได้มีโอกาสติดตามคณะพุทธสาวิกาที่นำโดย คุณแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ไปตามรอยพระพุทธองค์ที่เมืองสาวัตถีในช่วงไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ โดยได้รับความเมตตาจากพระเดชพระคุณ พระมหา ดร.ปรีชา กตปุญฺโญ มาเป็นพระมัคคุเทศก์กิตติมศักดิ์ บรรยายเรื่องราวต่างๆ ในแดนพุทธภูมิให้ฟังอย่างลึกซึ้งทางรถไฟในเมืองสาวัตถี
ทางเดินทอดยาวภายในวัดเชตวันฯ
จริงๆ แล้ว สาวัตถี เป็นเมืองที่ไม่ได้อยู่ไกลจากสถานที่ที่เป็นสังเวชนียสถานเท่าไหร่ โดยเฉพาะจากลุมพินีวันอันเป็นสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าในประเทศเนปาล เดินทางผ่านชายแดนเนปาลเข้าสู่อินเดียไปยังเมืองสาวัตถีเพียงแค่ 172 กิโลเมตร แต่ในอินเดียถ้าพูดถึง 170 กว่ากิโลเมตรให้ประมาณการการเดินทางไว้เลยว่าน่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6-7 ชั่วโมง ผิดกับเมืองไทยที่ใช้เวลาแค่ 2-3 ชั่วโมงก็ถึงแล้ว
เหตุผลหนึ่งเป็นเพราะถนนในอินเดียนั้นถ้าคนเคยไปก็คงจะเข้าใจได้ดีอยู่ว่าเป็นม้าโยกโขยกเขยกขนาดไหน อีกอย่างคือการจำกัดความเร็ว รถที่นี่วิ่งได้ไม่เกิน 60-70 กม.ต่อ ชม. ซึ่ง พระอาจารย์ ดร.ปรีชา บอกว่า อยู่อินเดียไม่ต้องทำอะไรมาก ให้ทำใจอย่างเดียว...ก็สามารถที่จะทำทุกอย่างได้ ซึ่งก็น่าจะจริง
เมืองสาวัตถี ในปัจจุบันมีฐานะเป็นอำเภอหนึ่ง ทางภาคตะวันออกของรัฐอุตตรประเทศ ห่างจากสถานีรถไฟพารัมปุระ (Balrampur) ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 18 กิโลเมตร เป้าหมายของเราในเมืองสาวัตถีมีสถานที่สำคัญๆ 2-3 แห่งที่จะไปเที่ยวชม 1 ในนั้นคือ
วัดเชตวันมหาวิหาร ซึ่งถือได้ว่าเป็นวัดที่มีความสำคัญอย่างมากๆ เป็นเสมือนศูนย์บัญชาการในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่สำคัญที่สุดในสมัยพุทธกาล พระอาจารย์ ดร.ปรีชา บอกว่า
สมัยพุทธกาลนั้นพุทธบริษัททั่วทั้งชมพูทวีปเมื่อประสงค์จะเข้าเฝ้าพระศาสดา จะต้องเดินทางดั้นด้นมาที่สาวัตถี และเชตวันมหาวิหาร ซึ่งพระพุทธองค์ประทับจำพรรษานานที่สุดถึง 19 พรรษา
กุฏิพระโมคคัลลานะ
บ้านอนาถบิณฑกะเศรษฐี
แม้จะเรียกว่าเป็นวัด แต่ถ้าคนไม่เคยไปจะนึกภาพไม่ออก เพราะไม่ใช่วัดอย่างที่เราเคยเห็นที่ต้องมีโบสถ์ วิหาร ช่อฟ้า ใบระกา ฯลฯ แต่ วัดเชตวันมหาวิหาร วันนี้เป็นเพียงซากโบราณสถาน คล้ายๆ กับซากโบราณสถานที่สุโขทัยนั่นแหละ เพียงแต่สถานที่ต่างๆ ที่เป็นซากกองอิฐที่เหลืออยู่นั้น มีเรื่องราวในทางพระพุทธศาสนาที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย
ตามประวัติบอกว่า วัดเชตวันมหาวิหารเป็น 1 ใน 3 วัดสำคัญในทางพระพุทธศาสนาที่ตั้งอยู่ในเมืองสาวัตถี ซึ่งประกอบด้วย วัดบุพพารามมหาวิหาร สร้างโดยมหาอุบาสิกาวิสาขา วัดราชิการาม ซึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลสร้างไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของตัวเมือง และ วัดเชตวันมหาวิหาร ที่อนาถ–บิณฑกะเศรษฐีสร้างถวายพระพุทธเจ้า
สถานที่สำคัญที่สุดในวัดเชตวันมหาวิหาร ก็คือ มหามูลคันธกุฎี หรือกุฏิของพระพุทธเจ้า ซึ่งด้านหน้ามีซากฐานของเจดีย์ทอง ซึ่งตามพุทธประวัติ ระบุว่า เป็นสถานที่ซึ่งท้าวสักกะให้เทวดาองค์หนึ่ง มากราบทูลพระพุทธองค์ว่า “เทวดาและมนุษย์ เป็นอันมาก ผู้หวังความสวัสดี ได้พากันคิดมงคลทั้งหลายมาเป็นเวลาถึง 12 ปี ก็ยังไม่เป็นที่ตกลงกันได้ ขอพระพุทธองค์ตรัสบอกมงคลอันสูงสุดว่าคืออย่างไร เพื่อนำประโยชน์สุขมาให้โดยส่วนเดียวแก่ชาวโลกทั้งปวง”
ซากเจดีย์ทองหน้ามหามูลคันธกุฎี
พระพุทธองค์จึงทรงแสดงมงคลสูตรโปรดเทวดาปรากฏเป็นมงคลสูตร 38 ประการ ที่พระพุทธองค์ตรัสว่า เป็นธรรมอันเป็นอุดมมงคล เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายประพฤติมงคลเช่นนี้แล้ว จะเป็นผู้ไม่ปราชัยในข้าศึกทุกหมู่เหล่า ย่อมถึงความสวัสดีในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ
นอกจากนี้ ด้านหน้าของมหามูลคันธกุฎี ยังมีบ่อน้ำซึ่งเชื่อกันว่าเป็นบ่อน้ำที่พระพุทธองค์ทรงใช้น้ำในบ่อแห่งนี้ทั้งดื่มกิน สรงสนาน ปัจจุบันยังคงมีน้ำอยู่ตลอด มีการทำคันโยกสำหรับดึงน้ำขึ้นมาจากบ่อที่เชื่อว่าหากนำมาล้างหน้า ลูบศีรษะแล้วจะเป็นมงคลแก่ชีวิตด้วย
นอกจากกุฎีหรือกุฏิอันเป็นที่ประทับของพระพุทธองค์แล้ว ภายในเชตวันมหาวิหารยังมีกุฏิของพระอรหันตสาวกอีกหลายองค์ อาทิ กุฎีพระมหากัสสปะ กุฎีพระสิวลี กุฎีพระโมคคัลลานะ กุฎีพระองคุลีมาล กุฎีพระอานนท์ กุฎีพระสารีบุตร
นอกจากนี้ ยังมี อานันทโพธิ์ ซึ่งเป็นต้นโพธิ์ที่อายุยืนที่สุดในโลกเก่าแก่กว่า 2,500 ปี ตั้งแต่สมัยพุทธกาล เป็นต้นโพธิ์ตรัสรู้ที่เป็นหน่อของต้นเดิมที่พระพุทธเจ้าประทับนั่งใต้ร่มเงาได้ตรัสรู้ ได้นำเมล็ดไปปลูกเป็นต้นแรกในสมัยพุทธกาล โดยพระอานนท์เป็นผู้ดำเนินการปลูกเพื่อเป็นเครื่องหมายแทนพระองค์ เพื่อว่าสมัยใดที่พระพุทธเจ้าไม่ประทับพักอยู่ มหาชนจะได้บูชาต้นโพธิ์นั้นแทนองค์พระพุทธเจ้า ซึ่งตรงนี้เองที่คณะของพุทธสาวิกาได้สวดมนต์พร้อมทั้งนำน้ำจากบ่อน้ำสรงสนานของพระพุทธองค์มารดที่ต้นโพธิ์ด้วย
อานันทโพธิ์
ห่างจากเชตวันมหาวิหารประมาณ 2 กิโลเมตร คณะของเราแวะที่สถูปขนาดใหญ่ที่เหลือเป็นเพียงเนินดินอยู่ข้างทางระหว่างเมืองพารัมปุระกับเมืองสราวัสสติ ชาวบ้านเรียกว่าสวนมะม่วงของคัณฑกะ สันนิษฐานว่าสถานที่นี้คือที่ที่พระบรมศาสดาทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์
ซึ่งพระอาจารย์ได้เมตตา อธิบายให้ฟังว่า มูลเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ครั้งนี้ เพราะพวกเดียรถีย์นักบวชนอกศาสนาพุทธ ท้าพระพุทธเจ้าแข่งแสดงปาฏิหาริย์ว่าใครจะเก่งกว่ากัน พวกเดียรถีย์ทราบว่าพระพุทธเจ้าจะแสดงยมกปาฏิหาริย์ที่โคนต้นมะม่วง จึงให้สาวกและชาวบ้านที่นับถือพวกตนจัดการโค่นต้นมะม่วงเสียสิ้น ทราบว่าบ้านใครสวนใครมีต้นมะม่วงก็ใช้อิทธิพลทางการเงินซื้อ แล้วโค่นทำลายหมด แม้หน่อมะม่วงที่เกิดในวันนั้นก็ทำลายไม่เหลือ
แต่พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ที่โคนต้นมะม่วงจนได้ โดยมีผู้นำผลมะม่วงสุกมาถวาย ทรงฉันเสร็จแล้ว รับสั่งให้คนปลูกเมล็ดลงดินแล้วพระองค์ทรงใช้น้ำที่ล้างพระหัตถ์รด ปรากฏว่าหน่อมะม่วงโตพรวดพราดแตกกิ่งก้านสูงขึ้นถึง 50 ศอก ผลที่สุดพวกเดียรถีย์จึงพ่ายแพ้ไปโบสถ์ของวัดเชตวันมหาวิหาร
แม่ชีน้อย...สวดมนต์หน้ามหามูลคันธกุฎี
บ่อน้ำสรงสนาน..ของพระพุทธเจ้า
จากสถานที่แสดงยมกปาฏิหาริย์เรายังได้มีโอกาสไปเที่ยวที่บ้านของอนาถบิณฑกะเศรษฐีซึ่งอยู่ตรงข้ามกับบ้านปุโรหิตผู้เป็นบิดาขององคุลีมาล ซึ่งล้วนแต่เป็นซากกองอิฐที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ในอดีตทั้งสิ้น
นอกจากจะเป็นเมืองที่มีพระอรหันต์ มีเศรษฐีใจบุญแล้ว
สาวัตถียังเป็นเมืองที่มีผู้หญิงบรรลุธรรมเป็นพระอรหันตเถรีถึง 13 องค์
และยังเป็นเมืองที่มีคนถูกธรณีสูบถึง 4 คนใน 5 คนในพุทธประวัติด้วย 1 ในนั้นคือพระเทวทัตนั่นเอง
นับเป็นอีกเมืองในสมัยพุทธกาลที่เป็นทั้งปาฏิหาริย์และอัศจรรย์...อันชาวพุทธไม่ควรพลาดจริงๆ.ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://www.thairath.co.th/column/life/travelmylife/354031