ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: พระพุทธพจน์ที่เป็นตัวหนังสือ ปรากฏเมื่อประมาณ 450 ปีก่อน  (อ่าน 2184 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29307
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

สวดมนต์ : ความเป็นมา
รู้ไปโม้ด nachart@yahoo.com

อยากรู้ว่าประวัติความเป็นมาของการสวดมนต์ น้องปิ่น
ตอบ น้องปิ่น
เกี่ยวกับการเจริญพระพุทธมนต์ หรือการสวดมนต์ อ่านบทความของท่านเจ้าคุณพระวิจิตรธรร มาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ท่านเล่าไว้ว่า การเจริญพระพุทธมนต์มีจุดกำเนิดมาจากการศึกษาเล่าเรียนพระพุทธพจน์ เพื่อทรงจำและสืบต่อคำสั่งสอนของพระพุทธองค์โดยตรง โดยพระสงฆ์สาวกสมัยพุทธกาลได้นำพระสูตรต่างๆ มาสวดสาธยายในรูปแบบการบริกรรมภาวนาให้เกิดเป็นสมาธิ จึงเรียกว่าพระพุทธมนต์

เมื่อบริกรรมภาวนาพระพุทธพจน์จนจิตเป็นสมาธิย่อมเกิด พลานุภาพในด้านต่างๆ เช่น ทำให้เกิดสิ่งที่ดีงามขึ้นในชีวิต จิตใจไม่ดีก็จะดี ชีวิตไม่ดีก็จะดี สุขภาพไม่ดีก็จะดี หน้าที่การงานไม่ดีก็จะดี ครอบครัวไม่ดีก็จะดี ในขณะเดียวกันก็ต้านทานสิ่งที่ไม่ดีออกไปจากชีวิต

ต่อมาจึงมีผู้นิยมนำพระพุทธพจน์มาใช้เป็นพระพุทธมนต์เพื่อต้านทานสิ่งไม่ดีทั้งหลาย พระพุทธมนต์จึงถูกเรียกว่า "พระปริตร" แปลว่า เครื่องต้านทาน ป้องกัน รักษา ภายหลังพระพุทธมนต์ที่มีอานุภาพในการต้านทาน คุ้มครอง ป้องกัน รักษา จึงถูกเรียกว่า พระปริตร ตามไปด้วย

 :sign0144: :sign0144: :sign0144:

การศึกษาเล่าเรียนพระพุทธพจน์ในครั้งพุทธกาลใช้วิธีเรียนแบบบอกปากต่อปาก แล้วท่องจำสวดสาธยายต่อๆ กันมา เรียกว่า มุขปาฐะ วิธีเล่าเรียนพระพุทธพจน์ที่เรียกว่ามุขปาฐะนี้ พระสาวกใช้มาตั้งแต่สมัยพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่
    โดยพระสงฆ์ในสมัยนั้นแบ่งหน้าที่กันท่องเป็นหมู่คณะตามความถนัด เช่น
     พระอุบาลีเถระทำหน้าที่ทรงจำพระวินัย ภิกษุผู้สนใจเกี่ยวกับพระวินัยก็เรียนพระวินัยจากพระอุบาลีเถระ,
     พระอานนท์เถระทรงจำพระสูตร ภิกษุผู้สนใจเกี่ยวกับพระสูตรก็เรียนพระสูตรต่อจากพระอานนท์เถระ และ
     พระสารีบุตรเถระทรงจำพระอภิธรรม ภิกษุผู้สนใจเกี่ยวกับพระอภิธรรมก็เรียนพระอภิธรรมต่อจากพระสารีบุตรเถระ แล้วก็ร่วมกันสวดสาธยายเป็นหมู่คณะตามโอกาส แม้ที่พักอาศัยก็จะอยู่รวมกันเป็นคณะเพื่อสะดวกต่อการร่วมกันสวดสาธยายพระพุทธพจน์ที่ตนถนัด


ในพระวินัยปิฎกยังระบุว่า ในอาวาสที่มีพระภิกษุจำพรรษาอยู่มากรูปจะต้องให้มีพระภิกษุสวดปาติโมกข์ คือการสวดทบทวนศีล 227 ข้อของพระสงฆ์ได้ 1 รูปเป็นอย่างน้อย
    หากไม่มีจะต้องขวนขวายส่งไปเรียนยังสำนักที่มีผู้สวดได้
    หากไม่ทำเช่นนั้นจะปรับอาบัติแก่เจ้าอาวาส เพราะโทษที่ไม่ใส่ใจจะให้มีผู้ทรงจำพระปาติโมกข์
    แสดงให้เห็นว่า สมัยพุทธกาลนั้นได้มีการนำพระพุทธพจน์มาท่องบ่นสาธยายกันอย่างกว้างขวางอยู่แล้ว

ลำดับพระเถระที่สืบต่อพระพุทธพจน์ ในสมันตปาสาทิกาคัมภีร์อรรถกถาอธิบายพระวินัยปิฎกได้แสดงลำดับพระเถระที่สืบต่อพระวินัยตั้งแต่พระอุบาลีเถระจนถึงสังคายนาครั้งที่ 3 สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช มีลำดับพระเถระ 5 ท่าน ดังนี้
    พระอุบาลีเถระ ทรงจำไว้เฉพาะพระพักตร์พระพุทธเจ้า, พระทาสกะ ทรงจำต่อจากพระ อุบาลีเถระ, พระโสณกะ ทรงจำต่อจากพระทาสกะ, พระสิคควะ ทรงจำต่อจากพระโสณกะ และพระโมคคัลลีบุตรติสสะ ทรงจำต่อจากพระสิคควะ


     :25: :25: :25:

    นอกจากนั้นเมื่อพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ พระสารีบุตรเถระได้ริเริ่มจัดหมวดหมู่พระพุทธพจน์ไว้เป็นแบบอย่างแล้วเพื่อสะดวกแก่การทรงจำ จนเกิดพระสูตรหนึ่งชื่อ สังคีติสูตร แปลว่า พระสูตรว่าด้วยการสังคายนา หรือพระสูตรว่าด้วยการจัดระเบียบคำสอนนั่นเอง

ภายหลังพระพุทธองค์ปรินิพพานได้ 3 เดือน ได้มีการจัดระเบียบแบบแผนการทรงจำคำสอนใหม่อย่างเป็นระบบ เรียกว่า การสังคายนา โดยพระอรหันต์ 500 รูป มีพระมหากัสสปเถระเป็นประธาน และได้มีมติจะรักษาพระพุทธพจน์ที่จัดระเบียบไว้แล้วด้วยวิธีมุขปาฐะ หรือวิธีท่องจำ
    ภายหลังพระพุทธองค์ปรินิพพานประมาณ 450 ปี
    จึงได้มีการบันทึกพระพุทธพจน์เป็นตัวหนังสือที่ลังกาทวีป   
    สาเหตุมาจากบ้านเมืองมีความผันผวนอันเกิดจากภาวะสงคราม จึงยากแก่การทรงจำพระพุทธพจน์


ขอบคุณบทความและภาพจาก
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURONWIzVXdNakF6TURZMU5nPT0=&sectionid=Y25Wd1lXbHRiMlJs&day=TWpBeE15MHdOaTB3TXc9PQ==
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 05, 2013, 09:48:32 am โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ