ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: อารมณ์ขันของท่านพุทธทาส  (อ่าน 2908 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29299
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
อารมณ์ขันของท่านพุทธทาส
« เมื่อ: สิงหาคม 22, 2013, 01:37:22 pm »
0


อารมณ์ขันของท่านพุทธทาส
โดยสันติเทพ  ศิลปบรรเลง

พระธรรมโกศาจารย์ หรือในนาม  “พุทธทาสภิกขุ” ท่านเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ในวงการพระพุทธศาสนา ผลงานเขียนและการแสดงธรรมของท่านมีมากมายมหาศาล แต่ละเรื่องก็ล้วนแต่เป็นหลักธรรมขั้นสูงที่เรียกว่า “ปรมัตถ์” แทบทั้งสิ้น ท่านเป็นพระภิกษุผู้ประเสริฐเลิศด้วยปัญญาและเมตตา อีกทั้งปฏิปทาการประพฤติปฏิบัติก็เป็นแบบอย่างที่ดีของพระภิกษุที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหรือ “สุปฏิปันโน” อันหาที่ติไม่ได้ บุคลิกภาพ จรรยามารยาทอันงดงาม น้ำเสียงอันอ่อนโยนนุ่มนวลยังคงประทับใจผู้พบเห็นมิรู้วาย

ส่วนผลงานของท่านที่พิมพ์ออกมาเป็นเล่มให้เราได้อ่านกันก็เหมือนกับได้ฟังธรรมอันทรงคุณค่าและเป็นอมตะประดับไว้ในบรรณพิภพ แม้ว่าไปไหน เหมือนกับคำกลอนที่ท่านเขียนไว้ให้เป็นปริศนาข้อคิดว่า....“พุทธทาสจักอยู่ไปไม่มีตาย....”


 ans1 ans1 ans1

ในที่นี้จะไม่กล่าวถึงประวัติของท่านแต่จะกล่าวถึงอารมณ์ขันของท่านพุทธทาสที่แฝงไว้ในบทธรรมคำกลอนบางเรื่อง เพื่อให้เห็นว่าถึงแม้ท่านจะเป็นปราชญ์ระดับอัจฉริยะก็ตาม ท่านก็ยังมีอารมณ์ขันเหมือนกัน  แต่ไม่ใช่อารมณ์ขันครื้นเครงตลกคะนองแบบคนทั่วไป กลับเป็นอารมณ์ขันอันแฝงเร้นไว้ซึ่งธรรมะในชั้นลึกเลยทีเดียวเช่น หัวข้อธรรมคำกลอน เรื่อง “ความสุข” ท่านประพันธ์ไว้ดังนี้

       "ความเอ๋ยความสุข  ใครๆทุกคน ชอบเจ้า เฝ้าวิ่งหา
        แกก็สุข ฉันก็สุข ทุกเวลา  แต่ดูหน้า ตาแห้ง ยังแคลงใน”


ประโยคนี้ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นถึงอารมณ์ขันของท่านอย่างชัดเจนโดยแทบไม่ต้องอธิบาย สรุปก็คือ “แกก็สุข ฉันก็สุข” แต่ทำไมดูหน้าตาแห้งเหี่ยวหมองคล้ำคล้ายมีความทุกข์ซึ่งตรงกันข้ามกับที่บอกว่า “แกก็สุข”  “ฉันก็สุข”  ทำให้คลางแคลงใจนัก.



ในเรื่อง “กิเลสคุย” จะเห็นได้ชัดถึงอารมณ์ขันที่ท่านเขียนออกมาด้วยความขบขันแกมสมเพชกับผู้ที่อวดอ้างตนเองว่ารู้ธรรมะมากมายแล้วเที่ยวคุยโม้โอ้อวดว่ารอบรู้หลักธรรมข้อนั้นข้อนี้ แต่ความจริงตนเองประพฤติธรรมใดๆ ไม่ได้เลย กลับมีกิเลสตัณหามากมายยังมีโลภ-โกรธ-หลงอยู่มาก เช่น ซื้อล๊อตเตอรี่หวังจะรวยทางลัด ใครยุแหย่ยั่วเย้าหน่อยก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ  หลงอยู่ในอบายมุขทั้งปวง  ทั้งที่อ่านตำราหนังสือธรรมะเต็มโต๊ะแต่ยังเป็นทาสของกิเลสอยู่นั่นเองตามคำกลอนดังนี้

     “คุยเสียดี ที่แท้ แพ้กิเลส  น่าสมเพช เตือนเท่าไร ก็ไม่เห็น
      ว่าเป็นทาส กิเลส อยู่เช้าเย็น  จะอวดเป็น ปราชญ์ไป ทำไมนา
      ค้นธรรมะ หาทางออก อุ้มกิเลส  ท่านสมเพช จริงๆ เที่ยววิ่งหา 
      ตำรานี่ ตำรานั่น สรรหามา  ได้เป็นข้า กิเลสไป สมใจเอย”



ท่านพุทธทาสภิกขุ  เคยพร่ำสอนกับผู้ที่มาเยี่ยมชมหรือปฏิบัติธรรมที่สวนโมกขพลารามอยู่เสมอว่า มาถึงสวนโมกข์แล้วก็ควรจะศึกษาปฏิบัติให้รู้แจ้งเห็นจริงในธรรมะจนกระทั่งได้รับ “ปริญญาจากสวนโมกข์” จึงจะนับว่าสำเร็จการศึกษา ไม่ต้องเล่าเรียนอะไรกันต่อไปอีกเลย
    แต่มีผู้สงสัยถามขึ้นว่า “สวนโมกข์มีการให้ปริญญาเหมือนกับมหาวิทยาลัยด้วยหรือ.?”   
    ท่านพุทธทาสตอบว่า ไม่มีการมอบปริญญาเป็นวุฒิบัตรอะไรหรอก 
    แต่สวนโมกข์มีปริญญาที่ผู้ศึกษาปฏิบัติเข้าถึงแล้ว จะได้ปริญญาเป็นของตนเอง
    คือ “ปริญญาตายก่อนตาย” ว่าแล้วก็ให้ดูปริศนาธรรมคำกลอนที่ท่านเขียนไว้ให้ทุกคนอ่าน ดังนี้

    “ปริญญาจากสวนโมกข์”
    “ปริญญาตายก่อนตาย” ใครได้รับ          เป็นอันนับ ว่าจบสิ้น การศึกษา
      เป็นโลกุตตร์ หลุดพ้น เหนือโลกา         หยุดเวียนว่าย สิ้นสังสาร-วัฏฏ์วน
      ปริญญา แสนสงวน จากสวนโมกข์       คนเขาว่า เยกโยก ไม่เห็นหน
      ไม่เห็นดี ที่ตรงไหน ใครสัปดน            รับเอามา ด่าป่น กันทั้งเมือง
      นี่แหละหนา “ปริญญาตายก่อนตาย”     คนทั้งหลาย มองดู ไม่รู้เรื่อง
      เขาอยากอยู่ ให้เด่นดัง มลังเมลือง       เขาเลยเคือง ว่าเราชวน ให้ด่วนตาย


    :49: :49: :49:

    คำกลอนนี้ในส่วนสองประโยคสุดท้ายที่ว่า
    “เขาอยากอยู่ให้เด่นดังมลังเมลือง เขาเลยเคืองว่าเราชวนให้ด่วนตาย”
    นี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงอารมณ์ขันอย่างเด่นชัด
    อีกทั้งยังมีนัยประชดประชันแกมหยอกล้ออีกด้วย     
    หมายความว่า ปริญญาจากสวนโมกข์ก็คือ  ปริญญา “ตายก่อนตาย” 
    แต่คนคิดปริศนาไม่เข้าใจเลยขัดเคืองหาว่า ชวนให้รีบตายเป็นงั้นไป 
    นี่แหละคือการสอนธรรมอัน ล้ำลึกและแฝงไว้ด้วยอารมณ์ขันของท่านพุทธทาสภิกขุ


อ้างอิง : หนังสืออริยธรรม ๑๒ จัดทำโดย มูลนิธิกลุ่มศรัทธาธรรม พิมพ์โดย สุวิภา  กลิ่นสุวรรณ์
ที่มา http://www.kanlayanatam.com/sara/sara23.htm
ขอบคุณภาพจาก http://www.entertraining.in.th/ , http://directorcherdsak.files.wordpress.com/ , http://yoddiary.files.wordpress.com/2
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ