ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: หลวงปู่เพียร วิริโย 'เพียรอยู่..มรรคผลจึงจะเป็นไปได้'  (อ่าน 3081 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29340
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


หลวงปู่เพียร วิริโย 'เพียรอยู่...มรรคผลจึงจะเป็นไปได้'
โดย...ภัทระ คำพิทักษ์

วันที่ 25 พ.ย.นี้ วัดป่าหนองกอง อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี จะจัดงานฉลองเจดีย์ หลวงปู่เพียร วิริโย ซึ่งพุทธศาสนิกชนได้ร่วมกันสร้างขึ้นบรรจุอัฐิธาตุและบริขารของท่านเพื่อเป็นพุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติ

หลวงปู่เพียรเป็นสุปฏิปันโน มรณะเมื่อวันที่ 23 มิ.ย. 2552 และเป็นพระภิกษุรูปหนึ่งที่หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เคยสรรเสริญไว้ว่า “เป็นพระที่สมควรแก่อนุสรณ์ทุกอย่าง จะก่อเจดีย์ก็ได้ อะไรก็ได้ พูดชัดเจนเลยว่า เป็นผู้สิ้นกิเลสโดยสิ้นเชิง

...ทุกอย่างรอบตัวบอกหมดเลย มันก็แปลกอยู่นะ เครื่องบริขงบริขารอยู่ในนั้นเลย กลายเป็นพระธาตุไปหมด...ท่านเพียรนี้สิ้นสุดทุกอย่างแล้ว บอกชัดเจนเลย สิ้นสุดทุกอย่าง สมควรจะก่อเจดีย์กราบไหว้บูชาได้...เรียกว่า เป็นผู้บริสุทธิ์ทุกส่วน ในสมัยปัจจุบันเรียกว่า เป็นพระอรหันต์ พูดชัดๆ อย่างนี้ล่ะ ท่านเพียร”

ในโอกาสอันเป็นมงคลนี้ คณะศิษย์หลวงปู่เพียร ได้จัดพิมพ์หนังสือขึ้นหลายเล่มเพื่อเป็นอนุสรณ์ เนื้อหาเป็นข้อธรรมะของท่าน ซึ่ง “คณะงานธรรม” ซึ่งเป็นผู้ดำเนินงานเรื่องนี้ได้บอกเจตนาและวัตถุประสงค์ไว้ในคำนำว่า “ได้พยายามรวบรวมข้อธรรมะสั้นๆ ของหลวงปู่เพียร วิริโย เพื่อนำมาฝากเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ให้สะดวกต่อการอ่าน และสามารถเข้าใจได้ง่าย ประโยชน์นั้นย่อมเกิดกับผู้ที่น้อมนำไปประพฤติ ปฏิบัติ เพื่อการพ้นทุกข์ต่อไป”


 :welcome: :welcome: :welcome:

“นิพพาน ข้อธรรมะ...ที่หลวงปู่ได้เมตตาบอกสอนไว้นี้ เปรียบเสมือนประทีปและแผนที่ในการเดินทางเข้าสู่มรรคผล หลักธรรมและหลักใจที่หยิบเก็บมาฝากนี้ แม้จะมีไม่มาก แต่ก็เพียงพอสำหรับผู้ที่ต้องการจะทำ‘มรรค’ ให้แจ้ง...”

เพื่อให้ข้อธรรมเหล่านั้นได้แพร่่หลายมากขึ้น กองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ จึงขออนุญาตจากทางวัดป่าหนองกองและคณะศิษย์ของท่านนำเนื้อหาดังกล่าวมาเสนอผ่านคอลัมน์นี้ ซึ่งก็ได้รับอนุญาตเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอเชิญผู้สนใจสดับธรรมะเทศนาบางส่วนเพื่อยังกุศลให้เกิดตามเจตนารมณ์ของคณะผู้จัดทำโดยทั่วกันดังนี้



นี่ล่ะ บุญกับบาปมันอยู่ใกล้กัน สำหรับผู้ที่จะอยู่วัด อยู่กับครูบาอาจารย์ ถ้าทำดี จิตคิดดี พูดดี ก็เป็นบุญ แต่ถ้าจิตคิดไม่ดี ทำไม่ดี พูดไม่ดี ก็เป็นอกุศลเป็นบาปติดตัวไป ให้เลือกทำเอาเรามีโอกาสแล้ว

สร้างบารมีก็คือสร้างความดี ทำแต่ความดี มันก็ดีเท่านั้นแหละ เรื่องใดไม่ดีเป็นทุกข์ก็อย่านำมา รู้ว่าคิดแล้วเป็นทุกข์ไม่ดีก็อย่าไปคิด บวชมาก็ไม่มีการมีงานอะไร อะไรดีเขาก็หามาให้ใช้ให้กิน เงาะเอย ทุเรียน มังคุดเอย อาหารคาวหวาน น้ำดื่มเอย ผ้าจีวรเอย หยูกยา เขาก็หามาให้พอได้อยู่ได้ใช้ นี่ก็เพราะอานิสงส์ภาวนา ไปมีลูกมีเมียก็สร้างภพสร้างชาติให้ตัวเองอีกไม่ได้หยุด ภพชาติสงสารก็เวียนอยู่อย่างนั้น


ภาวนาก็ให้มีสติจดจ่ออยู่กับคำบริกรรม พุทโธ จดจ่อเข้าไปบ่อยๆ เดี๋ยวมันก็สงบเองหรอก ถ้าดูลมหายใจก็ให้มีสติจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้า “พุท” ออก “โธ” ก็ได้ ทำไปๆ ทำบ่อยๆ ทำให้มากๆ นี่ล่ะคือความดี ตั้งแต่เช้าจนค่ำ วันหนึ่งๆ ก็มีแต่ความดี นี่ล่ะเรียกว่าสร้างบารมี เช้ามาก็ทำข้อวัตรกิจวัตรบิณฑบาต เย็นมาก็ทำข้อวัตรกิจวัตร นี่ล่ะรักษาตัวนี้ล่ะ นี่ล่ะความดีนะ

 ans1 ans1 ans1

ภาวนาก็นำเอาอันนี้แหละ เทวทูตทั้ง 4 ความเกิด ความแก่ คนเจ็บ คนตายนี่ล่ะ แต่นี่พวกเราดูอะไรก็งามไปหมด ดมอะไรก็หอม ดูอะไรก็งาม ถ้าคนมีธรรม ดูอะไรก็เป็นธรรมไปหมดอย่าเหมือนกับสัตว์อย่างวัวอย่างควายนะ ให้พวกเรารู้จัก พุทโธ ธัมโม สังโฆ ก่อนนอนก็ดีให้มี พุทโธ ธัมโม สังโฆ ตื่นนอนก็ดี ก่อนไปไร่ไปนา ไปทำงานก็ดี ให้รู้จัก พุทโธ ธัมโม สังโฆ สวดมนต์ไหว้พระ รักษาศีลนะ อย่าเป็นเหมือนอย่างวัวอย่างควาย ให้ทำบุญรักษาศีลบ้าง

ใจเป็นใหญ่ การภาวนาไม่ได้สำเร็จด้วยกายนะ แต่สำเร็จด้วยใจ มีใจเป็นใหญ่เป็นนาย ใจที่มั่นคง ครองธรรมครองวินัยรักษาธรรมวินัยก็งามแล้ว งามเป็นไหนๆ อะไรจะงามเท่ารักษาพระวินัย ถึงแม้จะแต่งให้สวยให้งามสักเท่าไร อะไรๆ ก็สู้รักษาพระวินัยไม่ได้หรอก รักษาธรรมวินัยก็งามแล้วการภาวนาทำตอนหนุ่มนี่ล่ะมันดี เปรียบเหมือนกับคนขับรถ ถึงแม้จะเก่งจะชำนาญขนาดไหน แต่ว่าสภาพตัวรถมันเก่า แม้จะเหยียบคันเร่งเต็มที่ มันก็วิ่งได้เท่าเดิมตามสภาพของมัน การภาวนานี่ก็เหมือนกัน การภาวนาพยายามให้มีสติ ถ้ามีสติก็มีความเพียร

 :25: :25: :25:

สมัยนี้พระที่จะทำความพากความเพียร มันกำลังจะหมดไป หมดไป ถ้าหมดความเพียร ศาสนาก็เสื่อมจากพระรูปนั้นหมู่นั้น พระอริยะก็ค่อยๆ หมดไป เพียรก็เพียรรักษาความดี เพียรรักษาสติไว้ให้มั่น เพียรสังวรสำรวมระวังเรื่องของปาก ใครจะพูดจะทำอะไรมันก็กรรมของเขา

ในครั้งพุทธกาลก็มีคนนินทาพระพุทธเจ้า มันก็กรรมของเขานั่นล่ะ เราไม่ไปทุกข์กับมัน มันก็ไม่ทุกข์หรอก นั่นเป็นเรื่องของเขา เรื่องของเราก็คือรักษาใจ รักษาความดี มันทุกข์เพราะอะไร มันเจ็บเพราะอะไร อะไรมันทุกข์ ใจมันไปยึดมันก็เลยทุกข์ ไม่ช้าไม่นานมันก็จะตายอยู่แล้ว กลัวมันก็ตาย ไม่รู้จะไปกลัวมันทำไม ใจมันไม่ตายนะ แล้วใจไปทุกข์กับอารมณ์ต่างๆ ทำไม อารมณ์เป็นอย่างไร ใจไปทุกข์กับมันทำไม



อะไรๆ ก็ดีสู้ความเพียรไม่ได้

เพียรนี้เพียรละกิเลส เพียรภาวนาละความยึดมั่นถือมั่นอุปาทาน นี่ตัวกู รูปกู นี่สวย นี่งาม สัญญาอารมณ์ ความฟุ้งซ่าน อารมณ์ทางโลก ปรุงแต่งทางโลก มันก็ทุกข์

นั่นล่ะมีแต่ทุกข์ สัญญาเก่าฟุ้งมา อารมณ์เก่าฟุ้งมา ปรุงแต่งสร้างโลก อันนี้แหละ ให้เพียรละ มีแต่ขันธ์ 5 นี่ล่ะทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะใจไม่รู้ ไปแบก ไปหามมัน ใจก็ไม่รู้จักว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หลงอันนี้ว่าสวย ว่างาม ว่าของกู ถือเนื้อถือตัว ยึดเอาไว้ ชาวโลกเขาหลงกันว่าดีว่างาม แต่ทางธรรมไม่ใช่นะ ขี้ออกทางหัวก็เรียกว่าขี้หัว ขี้ออกทางตาเรียกขี้ตา ขี้ทางหูทางจมูกตามตัวก็เรียกขี้เหงื่อขี้ไคล มูตรคูถเต็มอยู่ในนี้หมด ไหลเข้าไหลออกอยู่ในนี้หมดเลยนะ ลองดู ภาวนาก็ดูอันนี้แหละ ภาวนาดูตรงนี้ซิ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โลกก็มีเท่านี้ อันนี้แหละประโยชน์

ถ้ามีความเพียรอยู่ ถ้ายังได้ต่อสู้อยู่ ยังลุกขึ้นสู้อยู่ ระมัดระวังอยู่ มรรคผลมันจึงจะเป็นไปได้นะ ถ้าไม่สู้แล้ว ไม่ฝืนสู้แล้ว ก็ถูกกิเลสมันขี่คออยู่อย่างนี้แหละ ถ้ายังสู้อยู่ มันถึงจะพอเป็นไปได้นะ


 :96: :96: :96:

ร่างกายนี้เป็นเพียงเครื่องใช้ ก็ต้องใช้มันในทางที่ดีในทางที่ถูก ไม่นานมันก็พัง มันก็จากเราไป ใจนี้ ถ้ามันดี มันก็ได้แล้ว ได้ใจแล้ว ไปอยู่ที่ไหนก็สบายไม่วุ่นวาย ถ้าใจไม่ดี ไปอยู่ที่ไหนก็วุ่นวายก็ลำบาก พระพุทธเจ้าท่านว่า “ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย” การทำความเพียรไม่ได้มีเวล่ำเวลา เย็นก็ทำ เช้าก็ทำ อกาลิโก ไม่จำกัดกาลในการทำความดี ทำได้ทั้งวัน ร่างกายเป็นเพียงเครื่องมือเครื่องใช้ของใจ ฝึกใจ ถ้าได้ใจแล้วก็สบาย

มันทุกข์เพราะความสำคัญมั่นหมาย ว่าเราดีกว่าเขา ว่าเขาดีกว่าเรา ว่าของเราว่าตัวเรา อยากใหญ่อยากโต ว่าทุกข์ว่ายาก ร่างกายเขาไม่ได้ว่าเขาเป็นอะไรทั้งนั้น กระดูกหรือหนังหรือฟัน เขาเป็นเพียงเครื่องใช้เท่านั้น ใจนี้แหละไปสำคัญมั่นหมาย หลงความคิดยึดไว้ ถ้ายังมีความเพียรอยู่ มันก็อยู่ใกล้มรรคใกล้ผล


ความโกรธ ความโลภ ถ้ามันยังมีอยู่ เราไม่ไปตามมัน มันก็ดับของมันเอง คือไม่ไปตามมัน ความโกรธมีอยู่แต่ไม่เอา คิดไปก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร มีแต่เศร้าหมองเปล่าๆ ไม่ไปตามมัน มันเกิดแล้วมันก็ดับ เอาใจให้มันดี ถ้าใจชั่วใจบาปแล้วก็ลำบากแน่นอน ใจโกรธ ใจโลภ ใจหลง มันก็วุ่น รักษาใจให้มันดีก็พอแล้ว

ไม่ต้องเอาอะไรมาก ถ้ามีสติก็มีความเพียร ถ้าขาดสติความเพียรก็ขาด ฝึกสตินี้ให้ดีให้มาก ความเพียรอยู่ที่สติ
ทำดีมันก็ดี ทำไม่ดีจะว่าอย่างไรมันก็ไม่ดี สิ่งไม่ดีอย่าไปทำ ถ้าเป็นความดี มันไม่อยากทำก็ต้องบังคับมัน ให้มันทำแต่ความดี คนมันเคยมีวาสนาได้บวชจึงได้บวช เห็นไหมคนข้างนอกเป็นแสนเป็นล้านไม่มีโอกาส เราบวชแล้วโอกาสดีแล้ว ให้รีบภาวนาเอา ตัวเรา ความเพียรนี่ล่ะพาให้สุข



พระพุทธองค์ พระอริยสาวกท่านสำเร็จได้เพราะอะไร ก็เพราะท่านทำความพากความเพียร มรรคผลนิพพานนั้น ต้องกระทำเอา เพียรเอา ถ้ามีความเพียรความมุ่งมั่น มันถึงจะได้ ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้อะไร หนทางมันมีอยู่ สวรรค์นิพพานรออยู่ ขาดอยู่แต่ผู้เอาจริง ให้รีบภาวนา ดูที่ใจอย่าส่งออกนอก ส่องดูที่ใจอย่างเดียว ดูอะไรๆ ก็ไม่เหมือนดูที่ใจ เราพอใจ ชอบไม่ชอบมันก็อยู่ที่ใจ กายไม่เกี่ยว กายมันก็เป็นของมันเช่นนั้นแหละ เกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ใจมันไม่เจ็บไม่ตายด้วย ฉะนั้นให้ดูที่ใจไม่ต้องไปดูที่อื่น

โอกาสดีแล้วหาภาวนา ชีวิตนั้นไม่มีอะไรแน่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันไม่เที่ยง น้อยคนนักที่จะได้บวช เป็นเพราะนิสัยวาสนาจึงได้บวช คิดบวช เคยทำมา ให้เร่งภาวนาตัดเรื่องอื่นอย่าไปคิด หาทางตัดมัน เรื่องอดีตที่ไม่ดี คิดถึงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันไม่เที่ยง

 :welcome: :welcome: :welcome:

ให้ภาวนาถึงความตายอยู่ตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืน ให้จิตสงบ ถ้าจิตสงบแล้วมันสบาย อย่าไปคิดอย่างอื่น อย่าคลุกคลีกันมาก ต่างคนต่างอยู่ ไม่มีงานอะไร ภาวนาไปมันก็จะสงบเองหรอก แต่ถ้าไม่สงบมันก็สบาย อย่าคิดออกไปข้างนอก คอยหาทางตัดมันไว้ ให้มีขันติ คือความอดทนในการภาวนา มันก็จะเห็นทางสงบเองหรอก

เกิดมามากก็ตายมาก แต่ตายไปกับความดีก็ไม่ต้องลงอบาย ตายไปกับศีลกับธรรมก็ไปขึ้นสวรรค์เป็นเทวดา ดูตัวเองทำตัวเองนี่ล่ะ มันจึงพ้นทุกข์ ดูให้มันเป็นกองธาตุกองขันธ์ รวมลงเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาซะ มันก็วางมันก็หยุดหรอก ถ้ายังมีเรามีเขามันก็ยังทุกข์มาก ดูให้มันเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันจึงไม่ทุกข์

ทำดีมันดียาก บวชมาแล้วให้มันได้ดี อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีอยู่ในตัวทุกคน ดูไม่เห็นมัน ว่ามันมีของอะไรจีรังยั่งยืน ดูมันซิ ให้มันเห็นเป็น อสุภะอสุภัง พิจารณาเข้ามาที่กาย ให้มันเห็นในตัวเรามันจึงจะดี หลงตัวเองก็ต้องแก้ตัวเองเสียก่อนนั่นล่ะ แก้เรื่องอันนี้ล่ะ เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อสุภะอสุภังนี่ล่ะ กรรมใครกรรมมัน ดูว่าพวกเราเกิดมากับกรรม ดูธรรมะของพระพุทธเจ้านี่ล่ะดูสังขาร ดูกาย ดูใจตัวเอง ‌ไม่ต้องดูอย่างอื่น



พ่อตาย ผมอายุได้ 15 ปี พอบวชได้ 3 พรรษา แม่ตายก็ไม่ได้ไป เขาไม่รู้ว่าเราอยู่ที่ไหน พี่ชายตาย พี่สาวตายเขาก็ไม่รู้ว่าเราอยู่ที่ไหน บ้านศรีฐานบ้านเกิดเราแท้ๆ ก็ไม่ได้ไป ไม่มีธุระอะไร ไม่ไป‌หรอก

ชาติปิ ทุกขา ชะราปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขัง ชาติปิ ทุกขา หมู่โลกเขาว่าความเกิดเป็นสุข แต่เรามันไม่ได้ว่าอย่างนั้น ‌เราว่าความเกิดมันเป็นทุกข์“ธรรมะของพระพุทธเจ้า”เกิดมา‌กายเป็นทุกข์ ใจเป็นทุกข์ นี่ล่ะ เขาว่าผู้มีวาสนา มันก็คือนักบวชเรานี่ล่ะ หาหลีกเร้น‌อยู่ป่า หาภาวนา

ธรรมะมันไม่มีผู้หญิงผู้ชาย ใครทำได้ก็ไปถึงได้ เหมือนคน‌ค้าขายนั่นล่ะ ไม่มีผู้หญิงผู้ชาย ค้าขายได้เหมือนกัน นิพพาน‌ไม่มีเครื่องกั้นให้พากันทำเอง ดูกายดูใจตัวเองให้มันรู้ ถ้ารู้กายก็รู้ธรรม ‌รู้ใจก็รู้ธรรม

ดูให้เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันจึงไม่ทุกข์เหมือนเขา ดูให้เห็นธรรมมันก็จะเบื่อ ไม่อยากได้อยากมีอยากเป็น‌อยากเอา เบื่อหน่ายคลายกำหนัด มันจึงจะค่อยๆ ละ ค่อยๆ ‌วางไปเอง


 :41: :41: :41:

ดังนั้น การภาวนาท่านจึงให้พิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนังที่ประกอบไปด้วยธาตุ 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม มีอะไรเป็นของ‌สวยของงาม ให้พิจารณาทีละอย่าง

สุขมันก็อยู่ที่ใจ ทุกข์มันก็อยู่ที่ใจ สวรรค์นรก สุขทุกข์ใจมัน‌เป็นผู้พาทำ สวรรค์นิพพานมันไม่ได้อยู่ในป่าเขาถ้ำเงื้อมผา‌หรอก มันอยู่กับเราเท่านั้นแหละให้พิจารณาใจ ดูใจของเรา‌นั่นล่ะ พิจารณาให้ละเอียด ให้เห็นอสุภะอสุภัง ให้มันเป็น‌อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พิจารณาให้มันเห็นความเน่าเปื่อยผุพัง ‌เห็นความไม่แน่นอนของสังขาร ให้มันเห็นกองทุกข์

ธรรมะเกิดเพราะเหตุ เหตุดีผลก็ต้องดี พากันทำ ให้อยู่กับอสุภะอสุภัง อยู่กับไตรลักษณ์ อนิจจัง ‌ทุกขัง อนัตตา มันก็เห็นเองหรอก ธรรมะของพระพุทธเจ้าท่าน

ธรรมะมันอยู่กับเรา อยู่ภาวนาไป ทำความพากความเพียรของเรา ดูใจให้มัน‌มีสติ อย่าไปคิดมันมาก ทำความเพียรนี่ล่ะดี ไม่ต้องไปทุกข์หาอยู่หากิน งานก็ไม่ต้องทำ ดูแต่กายกับใจเท่านั้นล่ะ

ขอบคุณภาพและบทความจาก
www.posttoday.com/ธรรมะ-จิตใจ/190028/หลวงปู่เพียร-วิริโย-เพียรอยู่-มรรคผลจึงจะเป็นไปได้
http://www.madchima.org/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ