ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ตำนาน ขุมทรัพย์ปริศนา  (อ่าน 1016 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 29346
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ตำนาน ขุมทรัพย์ปริศนา
« เมื่อ: กันยายน 29, 2013, 10:38:12 am »
0


ตำนาน ขุมทรัพย์ปริศนา

ท่ามกลางทะเลทรายที่ร้อนระอุ มองไปทุกทิศมีแต่ดินแห้ง หินก้อนเล็กๆ ไปจนถึงภูเขาหินรูปร่างประหลาด ชายบนหลังม้าทุกคนดูอิดโรยเพราะแสงแดดที่แผดเผาจนแทบละลาย หมวกปีกกว้างแบบคาวบอยดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรได้มากนัก ริมฝีปากแห้งผากเพราะความร้อน ทั้งที่น้ำในกระติกยังพอมี แต่ทุกคนรู้ดีว่าต้องถนอมมันไว้ให้นานที่สุด เพราะไม่มีใครตอบได้ว่า วันไหน เมื่อไหร่ จะเจอแหล่งน้ำที่สามารถใช้ดื่มกินได้อีก ถึงกระนั้น แต่ละคนก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ความหวังที่จะเจอทองคำ ซึ่งจะเปลี่ยนชีวิตของแต่ละคน จากคนหาเช้ากินค่ำกลายเป็นเศรษฐีได้เพียงชั่วคืน....

เมื่อปี ค.ศ.1969 มีภาพยนตร์คาวบอยชื่อ Mackenna's Gold (ขุมทองแม็คเคนนา) เข้าโรงฉาย ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่าดังมากในยุคนั้น ขุมทองแม็คเคนนานี้สร้างขึ้นโดยอาศัยเรื่องจากตำนาน Lost Adams diggings (ขุมทองที่สาบสูญของอดัมส์)



เหล่านักขุดทองในยุคของอดัมส์


สัปดาห์นี้ คอลัมน์ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียลโดยทีมงานนิตยสารต่วย’ตูน ขอนำเสนอตำนานขุมทรัพย์อภิมหาศาล ที่ยังคงเป็นปริศนาและมีคนตามหากันอยู่ตราบจนทุกวันนี้

ย้อนยุคกลับไปราวทศวรรษที่ 60 ชายชาวอเมริกันคนหนึ่งนามว่า อดัมส์ เดินทางจากรัฐนิวยอร์กไปยังเมืองทัคสัน อริโซนา ระหว่างทางเจอพวกอินเดียนแดงเผ่าอาปาเช่โจมตี เกวียนและสัมภาระถูกเผาเสียหายหมด เขาจึงเปลี่ยนเส้นทางไปยังเมืองซาคาตัน เพื่อขายม้าที่ยังเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง ที่นั่นเขาพบกับนักขุดทอง 12 คนที่มี จอห์น บริวเวอร์เป็นหัวหน้า และมีคนนำทางเป็นชาวเม็กซิกันพื้นเมือง คนพวกนั้นกำลังจะไปขุดทองในหุบเขาลึกลับที่ซึ่งมีหน้าผาที่มี “หยดน้ำตาไหลออกมาเป็นทองคำ” ในที่สุดอดัมส์ก็ได้ร่วมไปกับคณะขุดทอง โดยมีม้าเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนพวกเขาเลาะไปตามแม่น้ำไวท์ แล้ว





ไปทางตะวันออกมุ่งหน้าสู่ภูเขาไวท์ แล้วต่อไปยังภูเขาอีกสองลูก ผ่านโตรกผาที่แคบมากจนต้องขี่ม้าผ่านไปทีละตัวเท่านั้น เมื่อไปถึงจุดหมายก็พบทองจริงอย่างที่หวัง คณะล่าสมบัติขุดหาทองคำกันเพลินจนเสบียงที่เตรียมใกล้หมดเต็มที เพื่อไม่ให้เสียเวลาจอห์นกับคนอีกห้าคนจึงไปหาซื้อเสบียงเข้าไปเพิ่ม แต่ 9 วันผ่านไปก็ยังไม่มีใครกลับเข้าไปที่นั่นแม้แต่คนเดียว อดัมส์จึงออกไปตามหาพร้อมคนหนึ่งคน ไม่ไกลจากภูเขานั้นเท่าใด เขาพบศพคนที่ไปหาเสบียง5 ศพ แต่ไม่พบจอห์น อดัมส์จึงรีบรุดกลับไปที่ค่ายเพราะรู้ว่าถูกพวกอาปาเช่โจมตีแล้ว แต่เมื่อกลับไปถึงก็สายไปเสียแล้ว ที่ค่ายถูกโจมตีจนยับเยิน ทุกคนที่นั่นถูกฆ่าตายจนหมด

หลายวันต่อมา ทหารลาดตระเวนไปพบอดัมส์หลงอยู่ในทะเลทรายในสภาพใกล้ตายเต็มที เขาสามารถรอดชีวิตมาได้ และไปตั้งรกรากอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย ภายหลังเมื่อสงครามระหว่างคนผิวขาวและชนเผ่าอาปาเช่ยุติลง อดัมส์พยายามหาทางกลับไปยังภูเขานั้นอีก แต่หลายปีผ่านไปก็ยังหาไม่เจอ ถึงกระนั้นก็ยังมีคนตามหาเหมืองทองลึกลับของอดัมส์มาจนถึงทุกวันนี้



โบสถ์พิซโค ประเทศเปรู


ขุมทรัพย์แห่งโบสถ์พิซโค ที่เปรู ค.ศ.1859 ชาวยุโรปสี่คนประกอบด้วย ดิเอโก อัลวาเรซ (สเปน), แจ็ค คิลโลเรน (ไอร์ริช), ลุค แบร์เร็ต (อังกฤษ), อาเธอร์ บราวน์ (อเมริกัน) ไปเป็นทหารรับจ้างให้กับกองทัพของเปรู วันหนึ่งมีคนทราบจากนักบวชชื่อมาทีโอว่าที่โบสถ์ในเมืองพิซโค (Pisco) มีสมบัติจำนวนมากซ่อนอยู่ ทั้ง 4 จึงหนีจากกองทัพแล้วไปยังเมืองพิซโค

แผนการเริ่มด้วยการให้อัลวาเรซและ คิลโลเรนไปเข้าโบสถ์ที่นั่นบ่อยๆ จนสนิทสนมคุ้นเคยดีกับพระ จากนั้นก็กุเรื่องขึ้นมาว่า มีคนกลุ่มหนึ่งที่วางแผนจะมาปล้นสมบัติที่โบสถ์ จากนั้นอัลวาเรซก็อาสาที่จะช่วยย้ายสมบัตินั้นไปซ่อนยังที่ปลอดภัยในเมืองคาลเลา (Cal-lao) ตัวเขาและเพื่อนอีก 3 คนจะช่วยจัดการและคุ้มครองให้ ในที่สุดการย้ายสมบัติทางเรือก็เกิดขึ้น ว่ากันว่า สมบัตินั้นประกอบด้วย ทองคำ 14 ตัน, เชิงเทียนทองคำฝังอัญมณีขนาดใหญ่ 7 อัน, สร้อยเพชร 38 เส้น, เครื่องประดับอัญมณีต่างๆอีกจำนวนมาก


 :93: :93: :93:

หลังจากที่เรือออกจากท่าเมืองพิซโคไม่นาน พระและกัปตันเรือก็ถูกฆ่าตายทั้งหมด อัลวาเรซเสนอให้หาที่ซ่อนสมบัติก่อน จากนั้นก็แล่นเรือต่อไปยังออสเตรเลีย แสร้งทำให้เรืออับปาง แล้วค่อยหาเรือลำใหม่กลับไปเอาสมบัติที่ซ่อนไว้ภายหลัง

เดือนธันวาคมปีเดียวกัน ทั้งสี่แล่นเรือไปยังเกาะเล็กๆเกาะหนึ่งใกล้กับหมู่เกาะตัวโมตู แล้วใช้เรือเล็กทยอยขนสมบัติไปซ่อนไว้บนเกาะ จากนั้นก็เขียนแผนที่ขึ้นมาโดยไม่ใส่ชื่อเกาะลงไปเพราะไม่รู้ชื่อ แต่ภายหลังก็ทราบจากชาวเกาะใกล้เคียงว่าชื่อ พินากิ (Pinaki) แต่เขาไม่รู้ว่าคนที่บอกนั้นเข้าใจผิด แถมอัลวาเรซก็ยิงคนที่บอกนั้นตายไปแล้วเพื่อปิดปาก

 :49: :49: :49:

พวกเขาทำให้เรืออับปางนอกชายฝั่งออสเตรเลียโดยไม่มีคนสงสัย แล้วใช้ชีวิตอย่างสุขสบายจากสมบัติที่นำติดตัวกันไปคนละเล็กละน้อย แต่เมื่อถึงเวลาที่จะไปเอาสมบัติที่ซ่อนไว้ เงินสำหรับซื้อเรือดันไม่พอ ระหว่างนั้นอัลวาเรซและแบร์เร็ตก็ไปทะเลาะมีเรื่องกับคนพื้นเมืองและถูกฆ่าตาย ส่วนอีก 2 คนที่เหลือติดคุกเพราะไปร่วมกันฆ่าชายคนหนึ่งในเหตุวิวาท บราวน์นั้นตายในคุกระหว่างรับโทษ 20 ปี

ที่ซิดนีย์ คืนหนึ่งในเดือนพฤษภาคม 1912 ชาร์ลส ฮาวได้ยินเสียงเคาะประตูบ้านจึงไปเปิดดู เขาเห็นชายจรจัดคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนเพื่อขออาหาร ด้วยความสงสารเขาจึงให้อาหารและผ้าเช็ดตัว สี่เดือนหลังจากนั้นเขาก็ได้รับการติดต่อจากโรงพยาบาลซิดนีย์ว่าขอให้ไปดูคนป่วยหนักคนหนึ่ง เพราะคนป่วยพูดชื่อเขาขึ้นมา คนป่วยคือชายจรจัดคนนั้นเอง ชายจรจัดบอกชาร์ลสว่า เขาชื่อ แจ็ค คิลโลเรน แล้วก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกี่ยวกับสมบัติที่ซ่อนไว้ รวมทั้งมอบแผนที่ให้ด้วย บอกว่าให้เขาไปเอาสมบัติมา ชาร์ลสไปตรวจสอบเรื่องราวดูแล้วพบว่ามีการปล้นทองจากโบสถ์เมืองพิซโค ประเทศเปรูจริง และมีชาย 4 คนที่เรือแตกแล้วไปขึ้นฝั่งที่เมืองคุกทาวน์ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1860 จริง แต่เมื่อเขาย้อนกลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง คิลโลเรนก็หมดลมหายใจเสียแล้ว


 :96: :96: :96:

ชาร์ลสใช้ทุนรอนและเวลาค้นหาสมบัติกว่า 13 ปี โดยไม่พบอะไรเลย จนในที่สุดเมื่อสืบถามร่องรอยจากค้นพื้นเมืองก็ได้รู้ว่าเขาไปผิดเกาะ หลังจากเพียงนั้น 3 วันเขาก็พบที่ซ่อนสมบัติ มันฝังอยู่ในแอ่งน้ำที่มีลักษณะคล้ายลูกแพร์ แต่การจะย้ายทองคำถึง 14 ตันออกไปโดยไม่ให้ใครรู้ไม่ใช่เรื่องง่าย ชาร์ลสจึงนำสมบัติติดตัวไปเพียงเล็กน้อย ฝังทุกอย่างไว้ตามเดิม บอกทุกคนว่าเขาไม่พบอะไรเลย แล้วเขาก็เดินทางกลับไปออสเตรเลีย

เดือนมกราคม ค.ศ.1934 ชาร์ลสกลับไปตาฮิติอีกครั้ง พร้อมด้วยคนจำนวนหนึ่ง แต่ครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อนเพราะหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ จนคนส่วนมากท้อและไม่อยากเสียเวลาเสียเงินอีกต่อไป ในที่สุดการค้นหาขุมทรัพย์ก็ต้องยุติลงขุมทรัพย์นาซี



ลายแทงขุมทองของนาซี


ในทศวรรษที่ 60 มีลายแทงฉบับหนึ่งถูกเปิดเผยออกมาสู่สาธารณะในอเมริกาโดยนักล่าสมบัติชื่อ คาร์ล ฟอน มูลเลอร์ มันมีชื่อว่า Lue map ซึ่งจะนำไปสู่ที่ซ่อนทองคำจำนวนกว่า 100 ตันของนาซี ความเป็นมามีอยู่ว่า...

ในปี ค.ศ.1934 ช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางการสหรัฐฯได้ออกกฎหมายห้ามประชาชนครอบครองทองคำทุกชนิด ใครที่มีไว้ต้องขายให้ทางการทั้งหมด ทำให้ราคาทองคำในสหรัฐฯพุ่งสูงขึ้นเกือบ 100% จาก 20.67 ดอลลาร์ต่อออนซ์ กระโดดขึ้นไปเป็น 35 ดอลลาร์ในเวลาอันรวดเร็ว กองทัพนาซีจึงวางแผนที่จะทำลายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ด้วยการจะนำทองคำจำนวนมหาศาลเข้าไปขาย ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯมีปัญหา เพราะต้องนำเงินมหาศาลมาซื้อทอง นาซีลักลอบขนทองคำน้ำหนักราว 100 ตันเข้าไปยังสหรัฐอเมริกา นำไปเก็บไว้ในที่ปลอดภัยของสมุนนาซีคนหนึ่ง ทว่ายังไม่ทันได้นำออกขายแผนนั้นก็รั่ว กองทัพนาซีจึงตัดสินใจจะนำทองทั้งหมดกลับ แต่ผู้ที่เก็บซ่อนทองคำมหาศาลนั้นไว้ตายลงอย่างลึกลับ เหลือเพียงลายแทง Lue map ไว้ให้ไปแกะรอยกันเอาเองเท่านั้น



เชื่อกันว่านาซีเคยนำทองนับ 100 ตัน ไปซ่อนไว้ในสหรัฐฯ


เชื่อกันว่า ลายแทงนั้นเขียนขึ้นมาโดยอิงกับความลับของอัศวินเทมปราห์ (Knight Templar อัศวินยุคกลางที่ไปทำสงครามครูเสดกับอิสลามในอิสราเอล) ซึ่งมีหลายอย่างคล้ายกับที่ปรากฏอยู่บนธนบัตรดอลลาร์ของสหรัฐอเมริกา ได้แก่ ดวงตา พีรามิด และดวงอาทิตย์ แต่ถึงกระนั้นนักถอดรหัสหลายต่อหลายคน รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญจาก CIA, FBI เองก็ยังมึน ไม่สามารถไขปริศนาดังกล่าวออกมาได้ แต่ก็คาดกันว่า ที่ซ่อนน่าจะอยู่ที่ใดที่หนึ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ และยังมีผู้คนพยายามค้นหามาจนถึงทุกวันนี้.

โดย... นายฉงน
ทีมงานนิตยสาร ต่วย'ตูน


ขอบคุณภาพและบทความ
http://www.thairath.co.th/column/life/sundayspecial/358350
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ